Quick Takes - 17 ตุลาคม 2552
(500) Days of Summer ทอม (โจเซฟ กอร์ดอน-เลวิท) ได้รู้จักกับ ซัมเมอร์ (ซูอี้ เดชาเนล) มา ๕๐๐ วัน แต่ต้องมารับความจริงว่าทั้งคู่ไปกันไม่รอด (ซัมเมอร์บอกกับทอมตั้งแต่ตอนแรกว่าไม่อยากแต่งงาน) นี่คือหนังรัก-คอมเมดี้แหวกแนว สร้างสรรค์ด้วยการผสมสารพัดเทคนิกตั้งแต่ฉากละครเพลงไปยันหนังขาวดำ ทำให้ตัวหนังสามารถปลดแอกตัวเองจากขนบหนัง romantic comedy ทั่วไปที่เห็นกันมาทั้งปี Fame เรื่องเก่าเล่าใหม่จากหนังคลาสสิค ปี ๑๙๘๐ ขาดทั้งพลังและอารมณ์ในการแสดง ด้อยกว่าที่ฉบับ ๑๙๘๐ ทำไว้ทุกด้าน เด็กวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งที่มาเรียนร้อง - เต้น - เล่นละคร ต้องดิ้นรนตลอดสี่ปีเพื่อค้นหาตัวเองให้เจอ ภูมิหลังตัวละครสุดบางเฉียบ ตัวละครหลายตัวก็ดูแก่เกินจะเป็นนักเรียน หรือไม่ก็มั่นจิตเกินพอดี โครงเรื่องที่ไม่ลึกซึ้งพอที่จะทำให้เราดูแล้วเชื่อได้ Transformers: Revenge of the Fallen ผู้กำกับเบย์คงตายด้านต่อสุนทรียภาพแห่งภาพยนตร์ไปเรียบร้อยแล้ว ด้วยการทำลายศักยภาพของหนังแฟรนไชส์นี้ลงแบบไม่ให้เหลือความหวังสำหรับภาคต่อไป หนังหนวกหูเกินเหตุ ด้วยหุ่นยนต์ที่ใหญ่กว่าเดิม และ เรื่องราวที่ดูแล้วทำให้หงุดหงิดกว่าเดิม นี่คือตัวแทนหนังขยะจากฮอลลีวู้ดแห่งปีนี้ The Proposal สิ่งที่ทำให้หนังน่าสนใจนั้นอยู่ที่ "เคมีระหว่างตัวพระตัวนาง" และ "มุข" ที่หยอดได้ถูกจังหวะตลอดทั้งเรื่อง ทั้งบุลล็อค และเรย์โนลด์ส สามารถทำให้เรารู้สึกถึง "แรงดึงดูด" ที่มีต่อกันระหว่างตัวละครทั้งคู่ แม้ว่าเราจะแน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า เรื่องราวจะลงเอยยังไง แต่ด้วยความสามารถในการเล่นหนังแนวถนัดของบุลล็อค และเรย์โนลด์ส แบบที่ไม่ทำให้เรารู้สึกว่าทั้งคู่กำลังแสดงแบบฝืนๆ ทำให้เราลืมข้อด้อยจุดนั้นไปได้ตลอดช่วงดำเนินเรื่อง นับเป็นการกลับมาที่ต้องถือว่าประสบความสำเร็จทีเดียวของบุลล็อคและผู้กำกับแอนน์ เฟล็ทเชอร์ที่สามารถคุมจังหวะของหนังได้อยู่หมัดทัั้งในส่วนของความโรแมนติก และ มุขตลกสุดฮา ให้มีสมดุลตลอดทั้งเรื่อง The Hangover ด้วยเรื่องราวที่วุ่นวายที่เกิดขึ้นในลาสเวกัสจำลองเรื่องราวชวนสับสนวุ่นวายที่ประดังเข้ามาในชีวิตคนเรา แม้ว่าเนื้อเรื่องอาจจะดูเกินจริงไปซักหน่อย แต่ก็สนุกเกินกว่าที่คาดไว้เยอะ มุขโดนมากๆ น่าจะเป็นหนังตลกที่สนุกสุดของ ทอด ฟิลิปส์ พร้อมสอดแทรกสาระเรื่องของมิตรภาพที่แท้จริงไว้ให้คนดูได้คิดอย่างแนบเนียน My Sister's Keeper ด้วยการแสดงที่พอเหมาะพอดี โดยเฉพาะ โซเฟีย วาสสิเลียวา ที่เป็นตัวพยุงให้หนัง ทั้งๆที่มีความเป็น "หนังบีบน้ำตา" อยู่ทุกอณู สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ได้ คาเมรอน ดิแอซได้รับบทที่ถือว่าท้าทายมากในรอบหลายปีที่ผ่านมา ในบทแม่ที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อลูกที่กำลังจะตาย เจสัน แพทริคไม่ค่อยได้บทที่ทำใหคนดูอดสงสารไม่ได้มากเท่าบทในเรื่องนี้ สามารถสื่อความอาทร ความอ่อนโยน ความรักใคร่ และ ความละมุนละไมที่มีต่อตัวละครรอบข้างออกมาได้ดีมาก อเล็ค บอลด์วิน ในบททนายส่วนตัวของแอนนาก็น่าสนใจไม่แพ้กัน โดยที่ไม่ได้ทำตัวเป็นทนายอวดดีหน้าใหญ่แบบที่เราเห็นเป็นภาพสำเร็จรูปทั่วไป แต่กลับเป็นทนายที่ยังมีหัวจิตหัวใจ เข้าใจความรู้สึกของแอนนาเนื่องจากตัวเองก็ประสบกับสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกัน ที่สำคัญสามารถทำให้คนดูเข้าใจมุขที่หยอดมาเป็นระยะๆได้ดีด้วย นี่อาจจะถูกนักวิจารณ์แปะป้ายเอาไว้ว่าเป็น "หนังเรียกน้ำตา" แต่ถ้ามองให้ลึกๆแล้ว หนังเรื่องนี้่มีประเด็นมากกว่าแค่หนังที่เต้มไปด้วยอารมณ์ฟูมฟายเกินเหตุแต่เพียงอย่างเดียว จริงๆแล้วสาระของหนังนั้นอยู่ที่ ประเด็นทางสังคมที่แตกเป็นสองฝ่ายที่เราเรียกกันว่า "pro-choice" กับ "pro-life" มากกว่า ถ้าคนดูเป็นประเภทสนับสนุน pro-life ก็จะลุ้นให้แอนนาบริจาคไตให้พี่สาว (ถึงแม้ว่าตัวแอนนาอาจตายได้ถ้าทำอย่างนั้น) แต่ถ้าคนดูเป็นประเภทสนับสนุน pro-choice ก็จะลุ้นให้แอนนาชนะคดี บทสรุปที่ต่างจากนวนิยายเป็นตัวสะท้อนจุดยืนของคนทำหนังได้อย่างชัดเจน
Create Date : 18 ตุลาคม 2552
Last Update : 22 ตุลาคม 2552 18:18:51 น.
1 comments
Counter : 694 Pageviews.
โดย: จุใจ วันที่: 22 ตุลาคม 2552 เวลา:11:04:33 น.
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [? ]
ว่างจากงานเขียนที่ Movie and Music / Pattaya Press / Movieseer.com / Cinema in Review ก็รับงานบรรยายกลุ่มเล็กๆสอนวิชา Women and Cinema, Aspects of Cinematic Artistry, Between the Frames: How to Watch and Why, Literature and Cinema, LBGT Cinema, และ Literary Approaches to Film Criticism มีคำถามอะไรก็ M มาคุยกันได้ครับ *** หมายเหตุ : สงวนลิขสิทธิ์ บทความและผลงาน ใน Blog นี้ ***
1 2 3
4 5 6 7 8 9 10
11 12 13 14 15 16 17
18 19 20 21 22 23 24
25 26 27 28 29 30 31