รำพึงถึง 40 หนังแห่งทศวรรษ
หนังทั้งหมดนี้เรียงลำดับปีและตัวอักษร La Veuve de Saint-Pierre (Patrice Leconte / 2000) ถ้าทศวรรษแปลว่า 10 ปี นั่นหมายความว่าต้องนับย้อนจากปี 2009 ไป ซึ่งก็ต้องรวมหนังปี 2000 ด้วยมันถึงจะครบ หนังที่ดูเหมือนนิ่งแต่อารมณ์ตัวละครเดือดปุดๆตั้งแต่ยังไม่เริ่มเรื่อง ทำให้เป็นหนังบาดอารมณ์ กับประเด็นเสรีแห่งปัจเจก การเมือง รักสามเส้า ที่ทำได้เยี่ยมมาก นับตั้งแต่ Monsieur Hire (1989) Wonder Boys (Curtis Hanson / 2000) แอบปลื้มผู้กำกับตั้งแต่เรื่อง L.A. Confidential (1997) แล้ว มาดูเรื่องนี้กลับปลื้มมากเข้าไปอีก มีทุกอย่างที่หนังเยี่ยมยุทธ์พึงมี โดยเฉพาะบทหนังที่คมคาย กลวิธีเล่าเรื่องที่แยบยล การแสดงแบบแฝงนัยถึง "ความโกลาหลอันสุขสันต์" ในแต่ละฉากที่บรรจงใส่อย่างละเอียดปราณีต ตัวละครทุกตัวทรงเสน่ห์ ทั้งไมเคิล ดักลาส โทบี แมกไวร์ โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ แฟรนซิส แม็กดอร์แมนด์ เคธี่ โฮล์ม และ ริบ ทอร์น ทั้งยังมีสาระเชิงวิพากษ์ที่มากกว่าแค่ "พอผ่าน" แต่เอาไปขบคิดต่อได้อีก You Can Count on Me (Kenneth Lonergan / 2000) นอกจากบทหนังที่ผู้กำกับเขียนเองอย่างลุ่มลึกแล้ว นี่ยังเป็นหนังที่ต้องพึ่งการแสดงขั้นเทพของตัวละครทุกตัวเพื่อให้เกิดปรากฏการณ์ "น้อยได้มาก ถึงมากที่สุด" ลอร่า ลินนี่สมควรได้ออสการ์จากหนังเรื่องนี้มากที่สุดในบรรดาสาวๆเข้าชิงทั้งห้า (จูเลีย โรเบิรตส์ แสดงไม่ได้ขี้เล็บของลอร่า ลินนี่ในเรื่องนี้เลย) Gosford Park (Robert Altman / 2001) ผู้กำกับที่ไม่เคยทำให้ผิดหวังเลยไม่ว่าจะหยิบเรื่องไหนมาดู แต่ถ้าว่ากันเฉพาะทศวรรษนี้แล้วล่ะก็ เรื่องนี้มีภาษีดีกว่า A Prairie Home Companion (2006) อยู่นิดเดียวที่บทหนังสร้าง "ระเบียบอยู่ในความพัลวันวุ่นวาย" แข็งแรงด้วยเอกภาพการแสดงทั้งประเภทเดี่ยว (โดยเฉพาะเฮเลน มีเรน) และประเภททีม แถมแทรกประเด็นสตรีนิยมเอาคืนได้อย่างถึงแก่นตามที่บริบทพึงจะเอื้อ Wit (Mike Nichols/ 2001) “…And Death shall be no more; Death, thou shalt die!” -John Donne งานภาพยนตร์ฉายทางโทรทัศน์ ที่ฉาย "คมความคิด" ของบทกวีอภิปรัชญาที่จอห์น ดันเขียนได้ออกมาเฉียบแหลมกว่า Charlie Wilson's War เข้มข้นดราม่ากว่า Closer ด้วยฝืมือการแสดงของ Emma Thompson ที่ลึกซึ้งเข้าถึงตัวละคร โดยเฉพาะฉากจบที่ irony สุดๆ เป็นหนังที่ไม่พูดมาก แต่มีอะไรจะบอกคนดูมากมายเหลือเกิน Cidade de Deus (Fernando Meirelles / 2002) ไปแป้กจาก Blindness (2008) หลังจากเด่นดังจาก The Constant Gardener (2005) แต่ก็เพราะการกำกับหนังอารมณ์ดิบๆ ดุดัน แรงๆ งามๆ แบบไม่ง้อคนดูในหนังต้นแบบอย่างเรื่องนี้แหละที่ทำให้ประทับใจจนลืมไม่ลง Far from Heaven (Todd Haynes / 2002) I'm Not There (2007) เป็นหนังที่ดีมาก แต่ถ้าว่ากันด้วย "นวล" และ "นัย" ของการแสดงและการเดินเรื่องคู่ขนานสามโครงเรื่องแบบไม่มีที่ติ แถมด้วยการแสดงแห่งปีของ จูลีแอน มัวร์แล้วเรื่องนี้น่าประทับใจกว่าอยู่นิดหน่อย The Hours (Stephen Daldry / 2002) แยบยลในการเล่นกับทั้ง อุปลักษณ์ สัญลักษณ์ สีพื้น สีผสม สีเข้ม สีอ่อนดอกไม้ นาฬิกา ครัว กระจก สายน้ำ ฯลฯ น่าจะเป็นหนังที่ดูแล้วตระหนักถึงความสำคัญของความรักและความซื่อสัตย์ต่อหัวใจตัวเองมากที่สุดในปีนั้น ไม่น่าให้ Chicago ได้ออสการ์เลย In America (Jim Sheridan / 2002) หนังที่โดดเด้งด้วยดราม่าจัดๆ แบบไม่เสแสร้ง ไล่ตั้งแต่ พ่อ แม่ ลูกๆ และ เพื่อนบ้าน ทุกคนเล่นได้แบบไม่มีที่ติ ควรดูไว้เป็นกรณีศึกษาถ้าใครจะต้องสอนวิชาการแสดง สมควรให้ Screen Actors Guild Award ประเภท Ensemble กับเรื่องนี้มากกว่าเรื่องไหนๆ ในปี 2002 Russian Ark (Alexander Sokurov / 2002) หนังเล่าเรื่องการท่องไปใน Hermitage Museum ใน St. Petersburg ไม่ได้เยี่ยมยอดเพราะว่าเป็นหนังที่ถ่ายเทคเดียวยาวถึง 96 นาที แต่เยี่ยมยอดเพราะความลุ่มลึกแห่ง "ปรัชญานิพนธ์" ของศิลปะและประวัติศาสตร์ ผ่านการถ่ายภาพแบบเหมือนฝันที่เต็มไปด้วยนัยยะซ่อนเร้นมากมายโดยเฉพาะความหมายนัยของ "เรือ" และ "หีบ" ของคำว่า "Ark" ตอนที่หนังเรื่องนี้มาฉายในงานเทศกาลหนังกรุงเทพฯ มีนักวิจารณ์ซี้ซั๊วรายนึงอวดดีว่าหนังในเทศกาลนี้สู้หนังฝรั่งเศสเรื่องที่เขายกย่องในช่วงนั้นไม่ได้ สงสัยเขาคงไม่ได็ดูเรื่องนี้ Elephant (Gus Van Sant / 2003) หนังของผู้กำกับ "กล้าหาญ" ที่รุนแรง สมจริง แต่มีพลังเกินคำบรรยาย ทุกฉาก ทุกอารมณ์ ทุกตัวละคร ลงตัวอยางเหมาะเจาะกับเอกภาพศิลปะการลำดับภาพและเสียง สะท้อนมิติ irony และความหมายนัยหลายระดับ ที่ว่า "ช้างอยู่ในห้อง" ได้เรียบง่ายแต่ทรงพลัง จนน่าจะได้รางวัลมากกว่าแค่ปาล์มทองคำ Les Invasions Barbares (Denys Arcand / 2003) เป็นหนังที่มากกว่าหนัง "พ่อ-ลูกชายคืนดีกัน" เพราะ มุขตลกที่ใส่มาถูกจังหวะ บทสนทนาเฉียบคม ตั้งคำถามใกล้ตัว ครอบคลุมประเด็นเล็กๆ และยิงคำถามระดับปรัชญา สะท้อนประเด็นยิ่งใหญ่ได้แบบไม่มักง่าย ทุกตัวละครมีเสน่ห์ แสดงเชาวน์ปํญญาของทั้งตัวละครและคนทำหนังประเภทไม่ดูถูกสติปัญญาของคนดู Sud pralad (Apichatpong Weerasethakul / 2004) อาจจะดูแรงน้อยกว่าสุดเสน่หา แต่ถือว่าเป็นหนังที่ลึกซึ้งกว่ากัน ทำออกมาได้ประดิษฐ์ไม่เกินงาม และ ลึกลับน่าค้นหา หลอนแบบมีเอกลักษณ์ ไม่เหมือนใคร และยังคงลายเซ็นต์ศิลปินแนวหน้าของไทยได้ดีเยี่ยม Kill Bill: Vol. 2 (Quentin Tarantino / 2004) Inglourious Basterds นั้นเยี่ยมยอดจริงๆ แต่ที่ทำให้ชอบเรื่องนี้มากกว่าคงจะเป็นตัวละคร The Bride กับการเผชิญหน้ากับ Bill ที่สะท้อนบริบทชายเป็นใหญ่ได้ซับซ้อนพอๆ กัน แต่คงเพราะว่าทำเรื่องนี้ก่อน เลยรู้สึกว่าชอบเรื่องนี้มากกว่านิดหน่อย Turtles Can Fly (Bahman Ghobadi / 2004) หนังผู้กำกับหัวหอก Iranian New Wave ดูเผินๆ เหมือนกับว่านี่เป็นหนังสนับสนุนให้อเมริกาบุกอิรัก แต่จริงๆแล้วเนื้อแท้ของหนังสื่อสารที่ตรงกันข้าม แถมหลอกด่ารัฐบาลบุชอีกต่างหาก โครงเรื่องไม่ซับซ้อนมากมาย แต่รายละเอียดการนำเสนอเต็มไปด้วยอุปลักษณ์ และสัญลักษณ์ คู่ขนานอย่างแนบเนียนกันไปตลอดทั้งเรื่อง Vera Drake (Mike Leigh / 2004) ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า All or Nothing (2002) กับ Happy-Go-Lucky (2008) นั้นสุดยอดมาก แต่ สีหน้าของ Vera Drake แบบพูดไม่ออกบอกไม่ถูกที่รับบทโดย อิเมลดา สตอนตันนี่แหละที่หลอนคนดูในระยะยาวได้ทรงพลังกว่าด้วยการสื่อสารแฝงเร้นสตรีนิยมในบริบทกดขี่สตรีในประเทศที่เรียกตัวเองว่าหัวก้าวหน้า Yes (Sally Potter / 2004) ผู้กำกับสตรีนิยมที่ underrate ที่สุดในทศวรรษนี้ ชอบ Orlando (1992) กับ The Tango Lesson (1997) มากๆ แต่มาแผ่วนิดหน่อยกับ The Man Who Cried (2000) และกลับมาแบบขอซูฮกกับหนังวาทกรรมเพศสภาพสตรีที่เยี่ยมที่สุดของปี 2004 Brokeback Mountain (Ang Lee / 2005) งาน masterpiece ของอั้งลี่ ไม่ใช่ Crouching Tiger, Hidden Dragon แต่เป็นเรื่องนี้แหละ นอกจากถ่ายภาพได้งดงามแล้วยังใส่รายละเอียดแฝงนัยเล็กๆ น้อยๆ ตลอดทั้งเรื่อง ให้ตัวละครมีปมขัดแย้งลึกแบบขุดรากถอนโคนไม่ขึ้นเลย ดูแล้วทำเอาหดหู่ไปหลายวัน นี่น่าจะเป็นหนังที่ก่อให้เกิดกิจกรรม "มือถือสากปากถือศีล" โดยพวกลวงโลกมากที่สุดแห่งทศวรรษก็ว่าได้ ดูตั้งแต่กรณี ยกเลิกฉายหนังที่รัฐยูทาห์ กรณีนักวิเคราะห์ข่าวกำมะลออย่าง โอไรลีย์ / กิบสัน / โธมัส / ชาลิต / ลิมบาว / ไอมัส ฯลฯ เอาไปปั้นน้ำเป็นตัว หากินแบบคนสื่อไร้จริยธรรม นี่ยังไม่นับรวมกระแสตอบรับจากพวกคลั่งศาสนา ยังไม่มีหนังเรื่องไหนในทศวรรษนี้ที่เอื้อต่อกิจกรรมลวงโลกของคนสื่อไร้จรรยาบรรณได้มากขนาดนี้ Caché (Michael Haneke / 2005) The White Ribbon สมควรได้รางวัลปาล์มทองคำ แต่หนังที่ดีที่สุดในทศวรรษนี้ของ Haneke คือ "หนังซ้อนหนัง" เรื่องนี้ที่พูดถึง "สำนึก" "การเหยียดชาติพันธุ์" "ชนชั้น" และ "ความไม่เท่าเทียมกัน" ได้อย่างลุ่มลึกที่สุดในหนังทั้งหมดของผู้กำกับ ด้วยการแสดงขั้นเทพของ โอเตย กับ บินอช และ เบนิโช ที่สุดยอด รวมทั้งการเล่าเรื่องที่แนบเนียนและชวนหลอนในสำนึกในเวลาเดียวกัน Me and You and Everyone We Know (Miranda July / 2005) ไม่ใช่เพราะจูลายเขียนบทเอง กำกับเอง และแสดงนำเอง ที่ทำให้หนังออกมาเยี่ยมแต่เพราะว่าหนัง "ผู้หญิงเป็นศูนย์กลาง" ที่จัดเข้ากลุ่มไหนไม่ได้ เพราะวางกฎการเล่าเรื่องของด้วยอัตลักษณ์ศิลปินตัวจริงเท่านั้นที่สามารถพูดถึงความรักที่ต้องใช้ภาษาอารมณ์แหวกขนบที่ไม่ได้หาได้ง่ายๆ โดยเฉพาะฉากคริสตีนกับกับริชาร์ดเดินคุยกันข้างถนน มีหลายสถานการ์ณที่หยอดมุขฮาแบบไม่ยัดเยียด ผลลัพธ์จึงออกมาเป็นหนังที่มีเสน่ห์ แปลกใหม่ในความคุ้นเคย แต่ก็ไม่มีใครทำหนังที่เดินเรื่องด้วย "อารมณ์" ไม่ใช่ "โครงเรื่อง" ได้เหมือนหนังเรื่องนี้ The Three Burials of Melquiades Estrada (Tommy Lee Jones / 2005) ห่างจากงานกำกับครั้งแรกจากเรื่อง The Good Old Boys เมื่อทศวรรษก่อน แต่ทอมมี่ ลี โจนส์ก็ยังแสดงศักยภาพในการสร้างหนังที่ลุ่มลึก งดงาม สำรวจธรรมชาติของมนุษย์เชิงลึก กำกับตัวเองและนักแสดงชั้นยอดคนอื่นๆ กับการเดินทางในเม็กซิโกที่มีเพื่อร่วมเดินทางเป็นคนตาย เล่าเรื่องแบบสื่อความหมายหลายชั้นแบบบทกวีโดยเฉพาะมิติของนิทานเปรียบเทียบ แถมยังให้นักแสดงหญิงอย่างแจนยัวรี่ โจนส์ กับ เมลิสซ่า ลีโอ ได้มีบทบาทสำคัญไม่แพ้ตัวละครเพศชายได้อย่างน่าชื่นชม มากับบทหนังที่ลึกซึ้งในความหมายนัยของ Arriaga คนเขียนบทไตรภาค Amores perros (2000) 21 Grams (2004) และ Babel (2006) นัยถึงสิ่งที่ตัวละครพูดขึ้นก่อนจบเรื่องนั้นงดงามเกินบรรยาย Syndromes and a Century (Apichatpong Weerasethakul / 2006) ไม่มีหนังเรื่องไหนที่เริ่มด้วยความเป็นหนังตลกแล้วจบด้วยความเป็นหนังไซไฟ แล้วออกมาได้เรื่องแบบนี้ น่าจะเป็นเพราะหนังยึดตรรกะแบบที่เราไม่คุ้นเคย พูดถึงความความทรงจำและความรู้สึกที่ซุกซ่อนแบบได้ไม่เหมือนใคร และขอยกย่องผู้กำกับที่ "ยอมหักไม่ยอมงอ" ต่อระบบรัฐเผด็จการมันสมองจูราสสิก (กำลังพูดถึงเวอร์ชั่นที่ไม่ถูกสั่งหั่นนะ) นี่คือวิถีของศิลปินอย่างแท้จริง El Laberinto del Fauno (Guillermo del Toro / 2006) การต่อสู้ของสตรีในรูปความความรั้น/จินตนาการ/ความไร้เดียงสา ของเด็กสาว ต่อต้านการกดขี่จากอำนาจชายเป็นใหญ่ที่มาในรูปของเผด็จการ ทำได้ดีมากในการเล่าเรื่องแบบนำเสนอตังละครหญิงแกร่ง ไม่นำเสนอภาพผู้หญิงตามขนบแบบที่เห็นกันในอุตสาหกรรมฮอลลีวู้ด (ฉลาดมากๆ ในการใช้ชื่อโอฟีเลยโยงความหมายนัยกับ "ความวิกลจริต") ใช้อัตลักษณ์สตรีล้มล้างขนบชายเป็นใหญ่ที่มากับคติการนับญาติที่ชายสำคัญกว่าหญิง จบแบบสวยงามไม่ฟันธง แต่ปล่อยให้คนดูตีความได้ทั้งสองทาง Marie Antoinette (Sofia Coppola / 2006) Lost in Translation เป็นงานชั้นยอดของผู้กำกับจริงๆ แต่ว่า Marie Antoinetteเป็นการต่อยอดความถึงพร้อมของงานศิลป์ให้นำไปสู่การสร้างอัตลักษณ์ศิลปินสตรีนิยมที่ไม่เหมือนใคร ตั้งแต่การยั่วล้อทฤษฎีและการถ่ายภาพแบบ male gaze เน้นที่ตัวละครหญิงเป็นหลัก เป็น countercinema ที่ท้าทายและล้มล้างทั้งมายาคติ "Let them eat cake!" และขนบวัฒนธรรมการทำหนังแบบชายเป็นใหญ่ที่มีอยู่ในกระแสหลัก The Queen (Stephen Frears / 2006) ถ้าว่ากันด้วยฝีมือล้วนๆ เฮเลน มีเรน ควรได้ออสการ์ตั้งแต่เรื่อง Gosford Park แล้ว มาเรื่องนี้ยิ่งตอกย้ำสถานะนักแสดงระดับเจ้าแม่แห่งทศวรรษมากเข้าไปอีก ส่งให้งานชิ้นนี้เป็นงานที่ดีที่สุดในทศวรรษของสตีเว่น เฟรียรส์อีกด้วย แถมยังมี subtext สตรีนิยมในฉากสำคัญๆ หลายฉากที่นึกไม่ถึงด้วย Ten Canoes (Rolf de Heer / 2006) หนังจากออสเตรเลียเรื่องแรกที่พูดภาษาอะบอริจิน เล่า "เรื่องซ้อนเรื่อง" ของการออกล่าห่านป่า แสดงถึงความสำคัญและพลังของ "เรื่องราว" เพราะศิลปะการเล่าเรื่องทุกแขนงนั้น ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อการบันเทิงเพียงอย่างเดียว แต่เป็นดัชนีชี้วัดสิทธิการมีชีวิตอยู่ของมนุษย์ ตัวหนังทำได้ออกมาฉลาด ดูสนุก และยังแนบเนียนในการนำเสนอวาทกรรมสตรีนิยมด้วย Volver (Pedro Almodóvar / 2006) ทั้ง Talk to Her กับ Bad Education และ Broken Embraces มากด้วยคุณภาพ ล้วนเป็นตัวพิสูจน์ว่าอัลโมโดวาร์นี่ไม่ใช่ของเล่น แต่ Volver โดดเด่นกว่าเรื่องอื่นอยู่นิดตรงที่สามารถสะท้อนวาทกรรมสตรีนิยมด้วยวิธีที่น่าสนใจกว่า ดูจากผลงานทศวรรษนี้ คาดว่าไม่เกินปลายทศวรรษหน้า อัลโมโดวาร์น่าจะคว้าปาล์มทองคำแน่นอน Across the Universe (Julie Taymor / 2007) จัดเป็นหนังเพลงที่เสนอสิ่งที่เรายังไม่เคยเห็นในหนังเพลงมาก่อน ในเรื่องนี้เทย์มอร์ "หยิบยืมอย่างสร้างสรรค์" ด้วยการต่อยอดประสบการณ์กำกับละครเวทีอย่าง The Lion King (1997) The Green Bird (2000) และ The Magic Flute (2005) ทำมากกว่าแค่ตีความเพลงของ The Beatles เสียใหม่ในบริบทของหนัง แต่ยังสถาปนาวาทกรรมสตรีนิยมผ่านงานด้านภาพในหนังเพลงที่หนังเพลงตั้งแต่ Moulin Rouge! ยัน Mamma Mia! ยังไม่เคยทำ Atonement (Joe Wright / 2007) หนังซ้อนหนังจากนวนิยายซ้อนนวนิยาย ที่ทำออกมาได้เยี่ยมที่สุดในหนังกลุ่มเดียวกัน เก็บนัยทางศาสนา ประเด็นชนชั้น สัมพันธบทระหว่าง ตัวอักษร-ภาพยนตร์-ดนตรี ได้ทุกเม็ด มีฉากเยี่ยมๆ บีบหัวใจให้ดูมากมาย ตั้งแต่ ฉากร้านกาแฟในลอนดอน ฉาก Dunkirk ฉากดูหนัง หรือกระทั่ง ฉากแม่ล้างเท้า แต่หนังเรื่องนี้จะตกม้าตายทันทีถ้าไม่ได้การแสดงขั้นเจ้าแม่ของวาเนสซ่า เรดเกรฟในฉากตอนท้าย ไรท์พิสูจน์ว่าที่ทำ Pride & Prejudice ออกมามากกว่าแค่ "หน้าตาดี" นั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ Du levande (Roy Andersson / 2007) 50 เรื่องเล่าแนวแอบเสิร์ดของโลกอมทุกข์ ในเมืองอมโศก ของคนสลด ที่ดำเนินชีวิตแบบเศร้าสร้อย ที่กลายมาเป็นหนังตลกหักมุมที่ยังไม่มีใครทำได้มาก่อนนอกจากผู้กำกับจากสวีเดนคนนี้ ยิ่งดูก็ยิ่งขำ แบบตลกร้าย ต้องใช้ความสามารถในการกำกับหนังขั้นเทพแบบนี้เท่านั้นจึงจะทำได้ Persepolis (Marjane Satrapi / 2007) แอนิเมชั่นขาวดำที่เป็นตัวอย่างชั้นเลิศของนิยาม "satire" แบบก๋ากั่น จากมุมมองสตรีนิยมผ่านตัวละครสตรีนิยมสามตัวที่เกื้อกูลกัน สะท้อนให้เห็นว่าอัตลักษณ์ส่วนตัวนั้นสำคัญกว่าอำนาจรัฐชายเป็นใหญ่ ด้วยการไม่ยอมก้มหัวให้ขนบเหยียดเพศหน้าไหนทั้งสิ้น แต่ก็ไม่ได้สุดโต่งจนเกินจะเข้าใจได้ Le Scaphandre et le Papillon (Julian Schnabel / 2007) "ความหมาย/ความงดงาม ของการมีชีวิตอยู่" เป็นเพียงประเด็นระดับผิวเผินของหนังเรื่องนี้ แต่ประเด็นที่ลึกซึ้งกว่าน่าจะเป็นภาวะจองจำไร้เสรีของร่างกายกับเสรีภาพของจิตใจมนุษย์ เหมือน "ชุดประดาน้ำ" (ในฉากที่เราเห็นฌองโดอยู่ในชุดประดาน้ำ)ที่เป็นคู่ตรงข้ามกับ "ผีเสื้อ" เสรี ที่เป็นอุปลักษณ์คู่ตรงข้ามหลักมากกว่า ชนาเบลเลือกมุมกล้องถ่ายภาพได้อย่างสร้างสรรค์ สามารถเข้าถึงห้วงคำนึงของตัวละครได้แจ่มชัด "มหัศจรรย์อมัลริค" สามารถสื่อความรู้สึกลึกๆ ของฌองโดในฉากสำคัญๆ ให้คนดูรับรู้ได้โดยไม่ต้องไม่ต้องขยับตัวเลย งาน masterpiece ชิ้นนี้ของชนาเบลเป็นหนังที่ให้แรงบันดาลใจที่สุดแห่งทศวรรษ Stellet licht (Carlos Reygadas / 2007) เรื่องรักใคร่ในเม็กซิโกของชายที่แต่งงานแล้วไปรักกับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ทำให้ทั้งคู่ถูกหลอนด้วยความรู้สึกผิดจากกการละเมิดกฎที่เคารพและการทำร้ายคนที่รัก เหมือนกับว่าความรักเป็นบทลงโทษ ใช้นักแสดงที่ไม่เคยเรียนการแสดงมาก่อนแต่กลับแสดงได้สมจริงไม่มีสะดุด เปิดเรื่องด้วยฉากตะวันขึ้น และจบด้วยฉากตะวันตกดินได้อย่างสวยงาม ไม่มีดนตรีประกอบ เป็นหนังที่ยาว และเดินเรื่องแบบไม่รีบร้อนเพื่อให้คนดูได้ซึมซับทุกอารมณ์ละเมียดละไม จนลืมไปเลยว่านี่ควรจะเป็นหนังน่าเบื่อเพราะความยาวและอืด Chop Shop (Ramin Bahrani / 2008) ทั้ง Man Push Cart และ Goodbye Solo และหนังเรื่องนี้คุณภาพเยี่ยมคับแก้วเท่าๆกัน แต่พอมาพิจารณาเรื่องเอกลักษณ์ของเรื่องราว "โลกที่สาม" และความละเมียดละไมของการสร้างตัวละครในเรื่องนี้ และการไม่หาทางออกแบบมักง่ายให้กับการเดินเรื่องแล้ว เรื่องนี้น่าจะมีเสน่ห์ และน่าจดจำที่สุด บาห์รานีเป็นผู้กำกับที่นอกจากจะน่าจับตาแล้ว ยังไม่ก้าวพลาดเลยซักครั้งในทศวรรษนี้จนน่าจะเรียกได้ว่าบาห์รานีควรจะเป็นผู้กำกับอเมริกันแห่งทศวรรษที่เพิ่งผ่านไป Disgrace (Steve Jacobs / 2008) น่าประหลาดใจมากที่ไม่มีสถาบันรางวัลไหนพูดถึงการแสดงแบบ "นิ่งไหลลึก" ขั้นเจ้าพ่อดราม่าของมัลโควิชเลยแม้แต่สถาบันเดียว ทั้งๆ ที่นี่เป็นผลงานการแสดงที่น่าทึ่งที่สุดของมัลโควิชในรอบทศวรรษ โครงเรื่องคู่ขนานไปกับบริบทการเมืองของอัฟริกาใต้ และสภาพจิตใจของตัวละคร หนังเยี่ยมอีกเรื่องที่ไม่ค่อยมีคนพูดถึงทั้งในปีและทศวรรษเดียวกัน Entre les Murs (Laurent Cantet / 2008) หนังสำรวจการชิงอำนาจระหว่างครูกับนักเรียน ตรึงความสนใจได้ด้วยดราม่าดีๆที่หลายคนมองข้าม หลายสถานการณ์่สะท้อนมิติ irony เกือบทั้งเรื่อง โดยเฉพาะความหมายนัยที่ว่า "สังคมต้องการให้เด็กเป็นคนดีของสังคมที่แทบจะไม่ต้องการเด็กเหล่านี้" หยอดมุขได้ถูกจังหวะ รักษามุมมองแบบ "ภววิสัย" ได้คงเส้นคงวา คนที่ยึดอาชีพครูทุกคนควรได้ดูหนังเรื่องนี้ My Winnipeg (Guy Maddin / 2008) หนัง "กระแสสำนึก" ที่ไม่มีใคร(กล้าทำ)เหมือน เพราะนี่คือหนังที่ไม่ประนีนอมกับคนดูชนิดสุดขั้ว คงไม่มีหนังเรื่องไหนที่ผสมผสานสารคดี ดราม่าล้นๆ เรื่องราวน้ำเน่าๆ ภาพข่าวที่เกิดขึ้นจริง งานแฟนตาซีแปลกตา และ ประดิษฐกรรมภาพยนตร์อื่นๆ ที่ใส่เข้ามาได้ลงตัวสอดรับกับสารระดับปรัชญาและอภิปรัชญาได้อย่างหนังเรื่องนี้ Synecdoche, New York (Charlie Kaufman / 2008) งานกำกับชิ้นแรกของ ชาร์ลี คอฟแมน "อนุนามนัย มหานครนิวยอร์ก" เป็นมากกว่าการเล่นคำภาพพจน์ เพราะเป็น "ละครซ้อนละคร" ที่มี motif บ้าน โกดัง นาฬิกา รวมเป็นเอกภาพที่แยบยล แสดงถึงความเข้าใจลึกซึ้งต่อธรรมชาติของ เวลา สถานที่ อารมณ์มนุษย์ ศีลธรรม ความหวัง ความฝัน และ ศรัทธา แบบไม่มีหนังเรื่องไหนจะเหมือน ดำเนินเรื่องแบบไม่ปะติดปะต่อ แต่เป็นที่รู้กันว่าหนังเรื่องนี้ไม่ได้จะเอาดีทาง "เรื่องที่เล่า" แต่เอาดีแบบโดดเด้งทาง "การเล่าเรื่อง" Bright Star (Jane Campion / 2009) เป็นหนังที่อยากดูมากที่สุด และเป็นหนังที่ underrate ที่สุดในปี 2009 ถ้าสถาบันไหนมีแจกรางวัลสาขา Best Performance by Duo ไม่แคล้วรางวัลต้องตกเป็นของ Abbie Cornish กับ Ben Whishaw แน่ๆ ด้วยการรับส่งอารมณ์ที่สามารถสะกดคนดูที่อ่อนไหวให้อยู่ในภวังค์ได้เหมือนต้องมนต์ ลุ่มลึกด้วยการใส่ดอกไม้ ใบไม้ ผีเสื้อ เข้ามาสะท้อนสถานการณ์และอารมณ์ของตัวละคร การวางคู่ตรงข้ามขององค์ประกอบหลายๆ อย่างไว้ชิดกัน แบบไม่ต้องบรรยายเกินความจำเป็น ถัดจาก An Angel at my Table กับ The Piano เรื่องนี้ถือเป็นหนังที่ "ขับเคลื่อนด้วยผู้หญิง" ที่เยี่ยมที่สุดในรอบ 25 ปีของแคมเปียน ใครที่สามารถทำให้โครงเรื่องง่ายๆ พื้นๆ ที่ไม่ได้แปลกใหม่อะไร มีพลังได้แบบที่แคมเปียนทำสมควรได้รับการคารวะ Grey Gardens (Michael Sucsy / 2009) งาน "ผลิตซ้ำ" แต่ไม่ซ้ำซาก จากงานเดียวกัน ไล่จากตั้งแต่รูปแบบสารคดี มาที่ละครเพลงที่เข้าชิงรางวัลโทนี่ จนมาถึงภาพยนตร์ฉายทางโทรทัศน์ ทำออกมาได้เหมาะกับสื่อที่ใช้ในการ "ต่อยอด" ส่งสารสตรีนิยมที่แข็งแรง ถ้าผู้กำกับไม่ได้คนเขียนบทเยี่ยมยุทธ์แบบ Patricia Rozema ผู้กำกับคงไม่สามารถทำให้งานชิ้นนี้ออกมาโดดเด่น สดใหม่ในแง่การนำเสนอด้วย "อุปลักษณ์ซ้อนอุปลักษณ์ต่อยอดอุปลักษณ์ยั่วล้ออุปลักษณ์" อย่างที่เห็นในหนัง
Create Date : 14 มกราคม 2553
Last Update : 28 มกราคม 2553 21:36:03 น.
8 comments
Counter : 2649 Pageviews.
โดย: McMurphy วันที่: 14 มกราคม 2553 เวลา:20:18:31 น.
โดย: McMurphy วันที่: 16 มกราคม 2553 เวลา:19:20:00 น.
โดย: ไลแลต.. วันที่: 25 มกราคม 2553 เวลา:17:18:52 น.
โดย: navagan วันที่: 31 มกราคม 2553 เวลา:7:28:15 น.
โดย: psw2548 วันที่: 25 มิถุนายน 2553 เวลา:8:52:34 น.
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [? ]
ว่างจากงานเขียนที่ Movie and Music / Pattaya Press / Movieseer.com / Cinema in Review ก็รับงานบรรยายกลุ่มเล็กๆสอนวิชา Women and Cinema, Aspects of Cinematic Artistry, Between the Frames: How to Watch and Why, Literature and Cinema, LBGT Cinema, และ Literary Approaches to Film Criticism มีคำถามอะไรก็ M มาคุยกันได้ครับ *** หมายเหตุ : สงวนลิขสิทธิ์ บทความและผลงาน ใน Blog นี้ ***
1 2
3 4 5 6 7 8 9
10 11 12 13 14 15 16
17 18 19 20 21 22 23
24 25 26 27 28 29 30
31
- อยากดู You Can Count on Me / Gosford Park / Cidade de Deus / The Hours / In America / Elephant / Caché / Persepolis / My Winnipeg / Synecdoche, New York / Bright Star
- ดูแล้ว El Laberinto del Fauno เยี่ยมครับ / Across the Universe เฉยๆอยู่ครับ แต่เพลงเพราะ / Atonement ชอบๆ / Le Scaphandre et le Papillon สุดยอดจริงๆ