สุดแต่ใจจะไขว่คว้า สุดแต่ใจจะไขว่คว้า สุดแต่ใจจะไขว่คว้า
=สุดแต่ใจจะไขว่คว้า ^_^ สุดแต่ใจจะไขว่คว้า=
Group Blog
 
<<
เมษายน 2558
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
26 เมษายน 2558
 
All Blogs
 
แอสไพริน ยาดี มีทั้งคุณและโทษ

 ประโยชน์ของแอสไพริน

     ก่อนอื่นเราจะมียาแก้ปวดชื่อดังอย่างพาราเซตามอลเป็นยุครุ่งเรืองของยา บรรเทาปวดลดไข้ที่ชื่อว่า แอสไพริน เราทุกคนคงเคยกินยาชนิดนี้มาบ้าง ก็ยาชื่อดังทั้งหลายที่เราเคยได้ยินกันนั่นแหละ ที่เป็นซองๆ รสเปรี้ยว แพร่หลายไปทั่วทุกหัวระแหงของประเทศไทยและในโลกใบนี้

แอสไพรนิน เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นยาบรรเทาปวด ลดไข้ เรียกได้ว่า เป็นยาสามัญประจำบ้านกันเลยทีเดียว แต่ต่อมาเมื่อคุณสมบัติด้านที่ไม่ค่อยดีหรือที่เรียกกันว่า ผลข้างเคียงของแอสไพรินถูกเปิดเผยออกมา คือทำให้มีเลือดออกในช่องท้องและกระเพาะอาหาร หรือที่ภาษาชาวบ้านเรียกกันว่ามีฤทธิ์กัดกระเพาะ และเพิ่มอาการของไข้เลือดออก ความนิยมในยาแอสไพรินก็ค่อยๆ ลดลงและใครต่อใครก็หันไปสนใจใช้ยาพาราเซตามอล ที่อาการข้างเคียงน้อยกว่าหรือแทบไม่มีเลย

แต่อย่างไรก็ตาม แอสไพรินยังคงมีการใช้กันอยู่ ถึงจะไม่แพร่หลายเท่ายาพาราฯ พระเอกคนใหม่ แต่แอสไพรินก็ยังอยู่ และยังมีความพยายามนำกลับมาใช้ด้วยจุดประสงค์ใหม่ๆ มีการเผยแพร่ข้อมูลด้านดีของแอสไพรินมากขึ้นและเพิ่มเติมข้อมูลให้ผู้ที่ ต้องการใช้ระมัดระวังหลายประการ

ยาโบราณที่หลงลืม


แอสไพรินนั้นมีมาบนโลกนี้ร่วมหนึ่งร้อยปีมาแล้ว เป็นยาตำรับแรกๆ ที่วงการแพทย์สมัยใหม่ได้นำมาใช้ แอสไพรินได้ถูกพัฒนาขึ้นโดยนักเคมีชาวเยอรมันชื่อ เฟลิก ฮอฟฟ์มานน์ (Felix Hoffmann) เมื่อปี ค.ศ.1897 เพื่อจุดประสงค์การค้นหายาสูตรใหม่ๆ เพื่อรักษาโรคไขข้อให้กับบิดาของเขาเอง

อาจเป็นไปได้ว่าคนเรารู้จัก "อะไรที่คล้ายๆ" แอสไพรินมานาน มาก เป็นไปได้ว่าอาจจะตั้งแต่ราวๆ 500 ปีก่อนคริสต์กาลนั้นเลยทีเดียว ฮิปโปเตรติส แพทย์ชาวกรีก ผู้ได้ชื่อว่าเป็นบิดาการแพทย์สมัยใหม่ได้ถูกถึง "Willow bark" อันเป็นยาบรรเทาอาการเจ็บปวดและรักษาบาดแผล ยาที่ว่านี้ประกอบด้วย ซาลิซิน (salicin) ซึ่งเป็นสารพื้นฐานของยาที่ชื่อ ซาลิไซเลต นั่นเอง

ซาลิไซเลตถูกใช้เป็นยารักษาโรคไข้ข้อมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 190 แต่ผลข้างเคียงของยาชนิดนี้คือมีฤทธิ์ทำลายรุนแรงมากต่อกระเพาะอาหาร ฮอฟฟ์มานน์จึงคิดสูตรยาขึ้นมาใหม่ด้วยการสังเคราะห์สารเคมีที่ชื่อ อะเซตทิลซาลิไซลิค แอซิด (ASA) และแอสไพรินก็ถือกำเนิดมาบนโลกนับแต่บัดนั้น

เมื่อโลกเจริญก้าวหน้าขึ้น นอกจากการบรรเทาอาการเจ็บปวดแล้ว ยังมีการค้นพบว่าแอสไพรินไม่มีผลเสียต่อหัวใจ ในปี ค.ศ.1932 จึงได้มีการตีพิมพ์เรื่องนี้เป็นครั้งแรกต่อสาธารณะ

เมื่อโลกรู้จักแอสไพริน ซึ่งต่อมาไม่ช้าไม่นาน ก็ได้แพร่หลายไปทั่ว แม้ในที่กันดารห่างไกล ผู้คนก็ยังรู้จักยาแก้ปวดสูตรวิเศษที่มีราคาถูก หาซื้อง่าย มีประสิทธิภาพเร็วทันใจ แก้อาการมีไข้และอาการปวดต่างๆ นานาได้ชะงัด

คุณสมบัติที่ดีของแอสไพรินได้มีคนจำนวนมากนำไปใช้ในทางที่ไม่ค่อย ตรงกับจุดประสงค์ เช่น แก้ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อจากการทำงาน เป็นต้นว่า ต้องกินก่อนไปทำงาน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ใช้แรงงาน และชาวบ้านทั่วไป จนถึงขั้นติดแอสไพริน ที่ต้องกินวันละสองสามเม็ดหรือซองทั้งๆ ที่ไม่ได้มีไข้หรือเจ็บปวด หรือกินเพื่อให้นอนหลับสบาย บางรายก็กินยาแอสไพริน ตามด้วยเหล้าสองสามอึกแล้วจึงนอนหลับได้อย่างรื่นรมย์ ซึ่งมีผลเสียตามมาต่อร่างกาย เช่น เป็นโรคกระเพาะอย่างรุนแรง เลือดออกในช่องท้อง มีคนที่ติดแอสไพรินจำนวนมากทีเดียวที่ต้องเสียชีวิตด้วยเหตุดังกล่าวนี้ อาจเป็นไปได้ว่าด้วยการกินยาเกินขนาด กินทุกวันๆ ผลข้างเคียงคงมากเกินกว่าร่างกายจะรับไหว โดยเฉพาะผู้มีโรคเกี่ยวกับกระเพาะ ตับ ไต

แอสไพริน ทางเลือกราคาถูก

ทุกวันนี้มีการค้นพบคุณสมบัติใหม่ๆ ของแอสไพริน จริงๆ ก็คงเป็นคุณประโยชน์ดั้งเดิมของแอสไพริน เพียงแต่ยังไม่มีใครนำมาใช้ในจุดประสงค์อื่นๆ นอกจากไปบรรเทาปวดลดไข้

ลองมาดูว่า ทุกวันนี้มีการค้นพบการใช้แอสไพรินขึ้นมาอีก…อย่างไรบ้าง แต่การจำไปใช้อย่างที่มีคำแนะนำนี้ อาจต้องพิจารณากันมากเป็นพิเศษ และต้องปรึกษาแพทย์อย่างเคร่งครัด เพราะบางคนก็อาจเสี่ยงกับอาการข้างเคียง ที่ดูน่ากลัวของแอสไพรนินได้

กลุ่มนักวิจัยของเมโยคลินิก ในสหรัฐอเมริกา ออกมาเปิดเผยถึงยาเม็ดที่ใช้ป้องกันโรคมะเร็งต่อมลูกหมากได้ มีชื่อทางเคมีว่า อะซีทิลซาลิไซลิก แอซิด ซึ่งแทบจะไม่มีผลข้างเคียงใดๆ เลย ทั้งได้รับการรับรองจาก FDA แล้ว ยิ่งกว่านี้ผลการศึกษายังแสดงให้เห็นว่ายาชนิดนี้ช่วยยับยั้งอาการหัวใจ พิบัติ ขจัดมะเร็งลำไส้ใหญ่ ทำลายโรคอัลไซเมอร์ และป้องกันโรควูบ (ภาวะสมองขาดเลือด) อะซีทิลซาลิไซลิก แอซิด เมื่อสังเคราะห์แล้วก็คือ แอสไพริน

" ยังมีการค้นพบที่น่าสนใจอื่นๆ อีกในช่วงเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมาเรื่องที่ว่าแอสไพริน ทำอะไรให้กับร่างกายของคุณได้บ้าง" นายแพทย์เจอรัลด์ เฟลตเชอร์ ศาสตราจารย์ด้านยาที่เมโยคลินิกในรัฐฟลอริด้า และโฆษกของ American Heart Association กล่าวขึ้น " เป็นเรื่องธรรมดาที่ยาชนิดอื่นๆ ข้างนอกนั้นไม่มีวิธีการใช้ได้มากอย่างนี้ และเราไม่ได้ค้นพบอะไรจากยาอื่นๆ ได้มากอย่างนี้"

ต่อไปนี้เป็นประโยชน์ 12 ข้อ ของเจ้ายาแอสไพริน


ลดความดันโลหิต

เมื่อพยาบาลบอกคุณว่า ความดันโลหิตสูงเกินไปให้ขอแอสไพรินกับแพทย์เสีย ผลการศึกษาของสเปนเมื่อไม่นานมานี้พบว่าการทานยาแอสไพริน 100 มิลลิกรัมทุกวัน จะช่วยลดค่าความดันโลหิตตัวบนได้เฉลี่ย 7 จุด และลดค่าความดันโลหิตตัวล่างได้เฉลี่ย 6 จุด ขอแนะนำว่าให้ทานยาตอนก่อนนอน เพราะพบว่าคนไข้ที่ทานแอสไพรินตอนเช้า ไม่ได้มีค่าความดันโลหิตลดลงเลย

    หยุดอาการคัน


เลือกตัวที่คุณแพ้มาเลย แอสไพรินจัดการได้อยู่หมัดทั้งหมด บดแอสไพรินสัก 2-3 เม็ด เป็นผงแล้วผสมผงดังกล่าวกับโลชั่นทามือทาส่วนผสมดังกล่าวลงไปบนผิวบริเวณที่ คัน " โลชั่นจะช่วยดึงเอาแอสไพรินเข้าไปแล้วช่วยบรรเทาอาการคันได้" คือ คำกล่าวของนายแพทย์เวล รีส ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังที่อยู่ใน Dermatology Medical Group of San Francsico

แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่อาการแพ้ทุกอย่างจะใช้แอสไพรินได้ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนนำไปใช้

รักษามะเร็งต่อมลูกหมาก

ผลการวิจัยแนะว่า ผู้ชายทุกคนจะเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก หากมีอายุยืนยาวมากพอถึงช่วงหนึ่ง เมื่อคณะวิจัยของเมโยคลินิกศึกษากลุ่มตัวอย่างผู้ชาย 1,400 คนเป็นเวลา 5 ปีครึ่ง ก็พบว่าผู้ชายที่ทานยาประเภทเอ็นเสด (nonsteroidal anti-inflammatory drugs) อย่างเช่นแอสไพริน เป็นประจำทุกวัน จะมีแนวโน้มก่อมะเร็งต่อมลูกหมากเพียงครึ่งหนึ่งของผู้ที่ไม่ทาน ตามคำกล่าวของแพทย์หญิงโรสบัด โรเบิร์ตส์ซึ่งทำการวิจัยนั้น ยาชนิดนี้จะขัดขวางการผลิต และจำกัดความเสียหายที่เกิดจากเอนไซม์ค็อกซ์-2 (COX-2 enzyme) ซึ่งช่วยเสริมการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง

อาจบรรเทาผิวไหม้จากแสงแดดได้ทันใจ

ถึงคุณจะใช้ เอสพีเอฟ ป้องกันผิวตลอดช่วงหน้าร้อน แต่ยังไม่วายถูกแดดเผา ตอนพักร้อนที่ชายทะเลจนได้ มีการวิจัยว่าแอสไพรินขนาด 325 มิลลิกรัม 2 เม็ดนั้น อาจบรรเทาอาการได้ ดอกเตอร์รีสบอกว่า "แอสไพรินจะช่วยยับยั้งกระบวนการที่ก่อให้เกิดผิวไหม้ (การแพ้แดดของผิวหนัง) ถ้าคุณทานยาไปสัก 2-3 เม็ด หลังจากตากแดดมากเกินไป ผิวคุณจะไหม้และเป็นรอยพองน้อยลงเยอะเลย"

  ป้องกันอาการหัวใจพิบัติ

ไม่ว่าจะเป็น โคเลสเตอรอลสูง ความดันโลหิตสูง น้ำหนักเกิน สูบบุหรี่ หรือมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคหัวใจ ถ้าคุณมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งในนี้ล่ะก็ U.S.Preventive Health Task Force พบว่าการกินแอสไพรินอาจช่วยได้ อย่างน้อยวันละ 75 มิลลิกรัม จะลดความเสี่ยงโรคหัวใจได้เกือบร้อยละ 30 โดยอาจทำให้เลือดไม่จับตัวเป็นก้อน และยับยั้งการอักเสบของหลอดเลือด และจำไว้ว่าการเคี้ยวแอสไพรินตั้งแต่ครั้งแรกที่มีอาการเจ็บหน้าอก จะยับยั้งอาการหัวใจพิบัติตั้งแต่เริ่มต้น หรืออย่างน้อยก็ช่วยลดความเสียหายที่เกิดจากหัวใจพิบัติได้

ในกรณีนี้ องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาได้ให้การรับรองว่าแพทย์สามารถสั่ง แอสไพริน ให้กับคนไข้โรคหัวใจเพื่อรักษาอาการของโรคได้แล้วตั้งแต่ปี 1988 การวิจัยใหม่ๆ ก็ให้ผลตรงกันว่าแอสไพรินไม่ได้มีผลทำลายหัวใจทั้งยังสามารถให้เป็นยารักษา โรคดังกล่าวได้ด้วย ทุกวันนี้คนอเมริกันกินแอสไพรินร่วมๆ 80 ล้านเม็ดต่อวัน เพื่อจุดประสงค์เพื่อป้องกัน และรักษาโรคหัวใจมากกว่าการกินเพื่อบรรเทาปวดลดไข้

    ขจัดผิวสากด้าน


ผู้หญิงบางคนรู้สึกว่ามือสากด้านนั้นดึงดูดใจ แต่มือที่นุ่มนวลนั้นย่อมน่าสัมผัสกว่าเป็นไหนๆ ให้บดแอสไพริน 5-6 เม็ด ให้ละเอียดผสมผงยากับน้ำเปล่าและน้ำมะนาวอย่างละครึ่งช้อนชา เอาไปพอกผิวหนังสากด้านไว้ แล้วห่อด้วยผ้าหมาดอุ่นๆ ประมาณ 10 นาที ซูซาน เลไวน์ ผู้เชี่ยวชาญโรคเท้า โรงพยาบาลนิวยอร์ค เพรสไบทีเรี่ยน กล่าวว่า " พวกกรดในแอสไพรินจะทำให้ผิวสากด้านอ่อนนุ่มลง จากนั้นก็จะหลุดออกอย่างง่ายดายเมื่อถูเบาๆ ด้วยหิวภูเขาไฟเพียงไม่กี่ครั้ง"

ลดอัตราเสี่ยงต่อมะเร็งลำไส้ใหญ่และ มะเร็งในช่องท้องอื่นๆ

ประวัติคนในครอบครัวที่เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่หมายหัวคุณไว้แล้วว่า ให้ทำการตรวจภายในลำไส้ใหญ่เมื่อเริ่มอายุ 50 ขึ้นไป ลองปรึกษาแพทย์เรื่องการทานยาแอสไพริน ประจำทุกวันได้แล้ว บอกเขาว่าคณะนักวิจัยของดาร์ตเมาธ์พบว่าผู้ชายที่ทานแอสไพรินทุกวันๆ ละ 81 มิลลิกรัมนั้น อาจมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่น้อยกว่าพวกที่ไม่ใช้แอสไพรินถึงร้อยละ 50 นายแพทย์จอห์น บารอน ผู้ทำการวิจัยบอกว่า " แอสไพรินจะยับยั้งการเติบโตของติ่งเนื้องอก ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าเป็นอาการแรกเริ่มที่นำไปสู่มะเร็งลำไส้ใหญ่"

นอกจากลดความเสี่ยงของมะเร็งแล้ว ยังอาจใช้แอสไพรินในการรักษามะเร็งดังกล่าว ในระยะเริ่มแรกก่อนที่จะลุกลามได้ด้วย

รักษาเริมที่ปาก

เชื้อไวรัสเริมอาจมีผลร้ายต่อการใช้ชีวิตในสังคมได้ป้องกันด้วย แอสไพรินเสีย คณะวิจัยที่มหาวิทยาลัยการแพทย์เซมเมลไวซ์ในฮังการีพบว่าการทานแอสไพริน 125 มิลลิกรัมเป็นประจำทุกวัน ช่วยลดระยะเวลาของการเกิดเริมที่ริมฝีปากจากเฉลี่ยประมาณ 8 วันเหลือเพียงแค่ 5 วัน ตามคำบอกของนายแพทย์อิสต์วาน คาราดี หัวหน้าคณะวิจัย ก็คือ " แอสไพรินช่วยลดการอักเสบที่ก่อให้เกิดเริมที่ริมฝีปาก ดังนั้นจึงช่วยรักษาให้หายเร็วขึ้น"

รักษาสมอง

คณะวิจัยที่ศูนย์การแพทย์อีราสมัสในเนเธอร์แลนด์พบว่า คนที่ใช้แอสไพรินประจำเป็นเวลาหลายปีมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคอัลไซเมอร์น้อย กว่า คนที่ไม่ได้ใช้เป็นประจำถึงร้อยละ 80 ดร.ปีเตอร์ แซนดี้ นักวิจัยที่ ศูนย์แพทย์มหาวิทยาลัย จอห์นฮอปกินส์กล่าวว่า " ทฤษฎีข้อหนึ่งก็คือโรคอัลไซเมอร์เกิดจากปฏิกิริยาอักเสบภายในสมอง และยาจำพวกแอสไพรินอาจช่วยขัดขวางปฏิกิริยาดังกล่าว"

    ทำลายหูด


กำจัดหูดซะเถอะ วิธีก็มีดังต่อไปนี้ : ตัดเทปชิ้นหนึ่งให้มีรูแล้วแปะบนผิวเพื่อให้หูดยื่นออกมา บดแอสไพรินเม็ดหนึ่งให้ละเอียดแล้วค่อยๆ แปะผงแอสไพรินลงบนบริเวณที่หูดโต ไม่ใช่บริเวณผิวโดยรอบ จากนั้นก็หุ้มด้วยเทปชิ้นเล็กๆ อีกชิ้นหนึ่ง แพทย์หญิง เมอร์วีน เอลการ์ต ศาสตราจารย์ด้านผิวหนังของโรงเรียนการแพทย์ มหาวิทยาลัยจอร์จ วอชิงตัน แนะนำว่าใช้วิธีนี้รักษาข้ามคืนทุกๆ 3 วัน "ผงแอสไพรินจะช่วยกัดหูดให้หลุดออกมา"

   ผลิตลูก

เมื่อภรรยาของคุณพร้อมที่จะเลิกกินยาคุม (กำเนิด) ลองขอให้เธอทานแอสไพรินดูบ้าง เมื่อคณะผู้วิจัยในอาร์เจนติน่าให้แอสไพริน 100 มิลลิกรัม แก่ผู้หญิงที่เป็นหมันในทุกวัน คณะผู้วิจัยพบว่าผู้หญิงที่ทานแอสไพรินมีโอกาสตั้งครรภ์เพิ่มขึ้นร้อยละ 40 นายแพทย์ เอสเตอร์ โพแลก เดอ ฟรายด์ ผู้ทำการวิจัยกล่าวว่า " แอสไพรินช่วยให้เลือดไหลเวียนไปที่รังไข่มากขึ้น"

ป้องกันภาวะสมองขาดเลือด

คุณไม่มีทางเกิดภาวะสมองขาดเลือดได้ ถ้าไม่เกิดลิ่มเลือดด้วย ข้อเด่นพิเศษของแอสไพรินคือ ป้องกันไม่ให้เลือดจับตัวเป็นก้อนหรือเป็นลิ่มเลือด ซึ่งบทความผลการศึกษาชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในนิตยสาร British Medical Journal คณะวิจัยพบว่าการใช้แอสไพรินทุกวันช่วยลดความเสี่ยงภาวะสมองขาดเลือด ได้มากกว่าร้อยละ 25 ในผู้ชายที่เคยมีภาวะดังกล่าวหรือมีแนวโน้มว่าจะมีผลการศึกษาอื่นๆ แนะนำว่าอัตราการลดความเสี่ยงดังกล่าวอาจสูงกว่านี้ด้วยซ้ำ ดอกเตอร์บารอน กล่าวว่า " นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งในการป้องกันภาวะสมองขาดเลือดที่เราค้นพบ และยังช่วยลดความเสียหายที่ภาวะสมองขาดเลือดก่อให้เกิดขึ้นได้"

นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยอื่นๆ อีกที่บอกว่าแอสไพรินสามารถป้องกันโรคหลอดเลือดอุดตัน บรรเทาอาการเท้าชา ลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง สามารถชะลอความแก่ได้

ผลข้างเคียง ความเสี่ยงที่ยังคงอยู่

ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มีมิติที่หลากหลาย และไม่มีอะไรจะดีสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ แม้จะมีงานวิจัยจำนวนมากบอกว่าแอสไพรินมีประโยชน์ในการรักษาอาการต่างๆ มากกว่าการลดไข้บรรเทาปวดและในบางแห่งบางที่จะมีการพูดถึงสรรพคุณราวกับเป็น ยาวิเศษ แต่นั่นอาจเป็นเพียงคุณสมบัติด้านเดียวที่แอสไพรินมีและอาจทำให้เราละเลยข้อ ควรระวังอื่นๆ ก็เป็นได้

ถึงแม้จะมีการค้นพบคุณสมบัติใหม่ๆ แต่แอสไพรินใช่ว่าจะสามารถใช้ได้กับมนุษย์ทุกรูปแบบ บางทีอาจต้องให้แพทย์พิจารณาเป็นรายๆ ไป เช่น ในกรณีของเด็ก ผู้ป่วยโรคต่างๆ หญิงมีครรภ์ คนชรา ฯลฯ เพราะผลข้างเคียงที่เป็นข้อด้อยจะออกฤทธิ์รุนแรงหาผู้ที่กินเข้าไปมีอาการ เกี่ยวกับเลือด เช่น เลือดออกในช่องท้องอยู่แล้ว ผลข้างเคียงของแอสไพรินก็คือ อาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องอืด เสียดท้อง เสียงดังในรูหู อุจจาระมีสีดำหรือมีเลือดปน หอบหืด หายใจขัด วิงเวียน สับสน กระวนกระวาย และซึม

อีกประการหนึ่งก็คือแอสไพรินมักทำปฏิกิริยาในทางลบกับกระเพาะอาหาร ในภาษาทั่วไปก็คือมีฤทธิ์กัดกระเพาะ ทำให้เลือดออกได้ง่ายและเกิดอาการอักเสบ

แอสไพรินอาจทำให้การตั้งครรภ์มีปัญหาได้โดยเฉพาะช่วงสามเดือนแรก และสามเดือนก่อนคลอด หากมีความจำเป็นต้องใช้ ควรให้แพทย์ให้ในปริมาณน้อยๆ

ระวังอย่างไร หากใช้แอสไพริน

แอสไพรินที่มีอยู่ในตลาดยาเวลานี้มีหลายรูปแบบ เป็นเม็ดธรรมดา เม็ดเคลือบ แคปซูล สำหรับเด็กอาจเป็นแบบเหน็บก้นในต่างประเทศทำเป็นหมากฝรั่งก็มี

แบบเม็ดฟู่ที่ต้องละลายน้ำนั้นไม่เหมาะกับคนที่เป็นโรคหัวใจ ไตและมีความดันโลหิตสูง เพราะมีปริมาณของโซเดียมมาก ผู้ป่วยโรคเหล่านี้ไม่ควรได้รับโซเดียมมากเกินไป

ควรกินแอสไพรินหลังอาหาร และต้องดื่มน้ำตาม 1 แก้วใหญ่ เพื่อป้องกันการกัดกระเพาะ

สำหรับแอสไพรินชนิดเหน็บทวารสำหรับเด็กนั้น ให้นำเม็ดยาจุ่มน้ำพอให้ขึ้น ให้เด็กนอนตะแคงซ้าย ยกเข่าขวาให้สูง สอดเม็ดยาเข้าไปในทวารหนัก และให้เด็กอยู่ในท่าตะแคงประมาณ 15 นาที หรือนานกว่านั้น และต้องไม่ให้เด็กใช้ยาแอสไพรินหากเด็กป่วยเป็นอีสุกอีใส ไข้เลือดออก ไข้หวัดใหญ่ เพราะอาจเป็นอันตรายได้

หากคุณกินแอสไพรินเป็นยาแก้ปวด ไม่ควรใช้ติดต่อกันนานเกิน 10 วัน สำหรับผู้ใหญ่และเด็กไม่ควรเกิน 5 วันโดยไม่ปรึกษาแพทย์ และไม่ควรได้รับแอสไพรินเกินกว่า 5 ครั้งใน 1 วัน ที่มีไข้สูงนานกว่า 3 วัน หรือเป็นไข้เป็นๆ หายๆ ไม่ควรใช้เพราะอาจเกิดจากการติดเชื้ออื่นๆ ได้

ผู้ที่เป็นเบาหวานและต้องตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดเป็นประจำ หากกินแอสไพรินเกินกว่า 8 เม็ดต่อวัน อาจทำให้ผลตรวจผิดพลาดได้

ตามคำแนะนำของเภสัชกร ผู้เป็นโรคต่อไปนี้ไม่ควรกินแอสไพรินโดยไม่ปรึกษาแพทย์ โรคภูมิแพ้ โลหิตจาง เลือดออกผิดปกติ มีแผลในกระเพาะหรือลำไส้ หอบหืด ตับ ไต เก๊าท์หรือโรคข้อ เนื้องอกในโพรงมดลูก

ผู้ที่มีความจำเป็นต้องกินแอสไพรินเป็นประจำ ไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์ เพราะแอสไพรินนั้นปกติก็มีฤทธิ์กัดกระเพาะ เมื่อบวกกับแอลกอฮอล์ก็ยิ่งเร่งปฏิกิริยา ให้กระเพาะเสียหายเร็วขึ้น

การกลับมาของแอสไพริน แม้ว่าจะมีการค้นพบสรรพคุณมากมายหลายหลากของยาชนิดนี้ แต่ยาก็คือยา ไม่ใช่ขนมและไม่ใช่สิ่งวิเศษ แม้ว่าจะมีประสิทธิภาพสูง ราคาถูก หาซื้อง่ายจนเกือบเป็นยาสามัญประจำบ้าน หากไม่แน่ใจว่าจะลองกินเพื่อรักษาอาการต่างๆ ดีหรือไม่ หรือไม่แน่ใจว่าตนเองมีโรคอะไรที่แอสไพรินจะก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้แล้วละ ก็ การปรึกษาแพทย์และเภสัชกรก่อนใช้ย่อมเป็นหนทางที่ดีที่สุดอยู่นั่นเอง… ก็สุขภาพของเรานี่นา

แอสไพรินมาส์ก
ไม่รู้มีใครเคยใช้หรือเปล่านะครับ แต่ผมพอดีไป Search เจอเข้า ว่า Aspirin ที่เอาไว้กินแก้ไข้ แก้ปวด สามารถนำมาทำเป็นมาส์กได้แถมเข้าขั้นมาส์กระดับเยี่ยมสำหรับคนหน้ามัน เป็นสิวอีกต่างหาก เวบที่ผมเข้าไปดูข้อมูลอยู่บ่อยๆมีคนมารีวิวเป็นเกือบร้อยคนและเกิน 90% ที่พอใจกับผลที่ได้ คนที่ใช้เคยใช้มาทั้ง Clinique, Murad, Proactive, Clean & Clear

ผมขออธิบายนิดนึงก่อนเข้าเรื่องวิธีการทำและใช้นะ ครับ Aspirin เป็นรูปหนึ่งของ BHA หรือ Salicylic Acid ที่เพื่อนๆได้ยินกันบ่อยๆสำหรับคนเป็นสิว หน้าที่ของมันคือ ผลัดเซลล์ผิว ละลายไขมันที่เกาะตามรูขุมขน และกระชับรูขุมขน แถมช่วยให้หน้าขาวใสขึ้น นี่แหละครับคนก็เลยเอา Aspirin มาทำเป็นมาส์กชั้นเยี่ยมซะเลย

คุณสมบัติ ของแอสไพรินมาส์ก
1. ช่วยกระชับรูขุมขน
2. ช่วยละลายไขมันที่อยู่ตามรูขุมขนให้หลุดออก ลดการเกิดสิว
3. ลดการอักเสบของสิวที่แดงๆ
4. ช่วยทำให้หน้าขาว ใสขึ้น
5. ช่วยทำให้หน้ามันน้อยลง

วิธีทำ
1. เตรียมแอสไพรินขนาด 500 มิลลิกรัม 4-5 เม็ด (มีขายทั่วไปตามร้านขายยา ที่ซื้อมาจากวัตสันแผงละ 13 บาทมี 8 เม็ด)
2. นำมาบดให้ละเอียดเป็นผงๆ ด้วยหลังช้อนหรืออะไรก็ได้ที่สะอาด
3. เติมน้ำอุ่นๆลงไปนิดหน่อยให้พอใช้ คนให้ละลาย
4. ทาทั่วหน้าทิ้งไว้จนกว่าจะแห้ง แล้วล้างออก ทำอาทิตย์ละ 2 ครั้ง (ถ้าใครผิวมันมาก อาจมาส์กบ่อยขึ้นได้)


ปฏิกิริยาระหว่างยา ของยาแอสไพรินกับยาตัวอื่นๆ คือ


    การใช้ยาแอสไพรินร่วมกับยาที่ใช้ดูดซับพิษในกระเพาะ ลำไส้ อาจทำให้การดูดซึมของยาแอสไพรินเข้าสู่ร่างกายลดน้อยลง ยาดังกล่าว เช่น Activated Charcoal
    การใช้ยาแอสไพรินร่วมกับยาที่มีฤทธิ์เป็นด่าง จะทำให้การดูดซึมยาแอสไพรินลดลง จึงควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาร่วมกัน ยาที่มีฤทธิ์เป็นด่างดังกล่าว เช่น กลุ่มยาลดกรดในกระเพาะอาหาร
    การใช้ยาแอสไพรินร่วมกับ ยาต้านการอักเสบบางกลุ่มก็สามารถลดการดูดซึมของยาแอสไพรินได้เช่นเดียวกัน ยาดังกล่าว เช่น ยากลุ่มสเตียรอยด์ (Corticosteroids)

แอสไฟรินกับน่ำมันปลา


น้ำมันปลาประกอบไปด้วยสารสำคัญประเภท omega-3 fatty acid สองชนิด คือ Decosahexaenoic acid (DHA) และ Eicosapentaenoic acid (EPA) ซึ่งสารสองชนิดนี้มีคุณสมบัติอย่างหนึ่ง คือ สามารถยับยั้งการแข็งตัวของเลือดได้ (มากขึ้นตามขนาดที่รับประทาน) เป็นผลทำให้เมื่อเกิดเลือดออก (bleeding) เลือดจะหยุดไหลช้าลง รวมถึงอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดเลือดออกได้เช่นกัน
จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นได้ว่าทั้งน้ำมันปลาและยาแอสไพรินต่างก็มีผลต่อการแข็งตัวของเลือดทั้งคู่ ทำให้ในทางทฤษฎีเชื่อว่าการรับประทานน้ำมันปลาร่วมกับยาแอสไพรินอาจทำให้เลือดแข็งตัวช้าลง และความเสี่ยงในการเกิดเลือดออกสูงขึ้น (เลือดออกง่าย) เมื่อเทียบกับการรับประทานแอสไพรินเพียงอย่งเดียว อย่างไรก็ดีผลการศึกษาในมนุษย์พบว่าการรับประทานน้ำมันปลาร่วมกับยาแอสไพรินนั้นทำให้เลือดหยุดไหลช้าลง แต่ไม่น่าจะทำให้ความเสี่ยงในการเกิดเลือดออกเพิ่มขึ้น ดังนั้นหากต้องการรับประทานยาน้ำมันปลาร่วมกับแอสไพรินก็สามารถที่จะทำได้ แต่ยังคงต้องระมัดระวังการเกิดเลือดออกอยู่

ผลข้างเคียง

อาจทำให้เกิดโรคกระเพาะ เลือดออกง่าย และแพ้ยาได้

ข้อควรระวัง

1.ที่สำคัญและพบบ่อย คือ การระคายเคืองต่อกระเพาะอาหาร ทำให้เกิดโรคกระเพาะ/แผลเพ็ปติก กระเพาะ
อาหารอักเสบ ถ้ารุนแรงอาจทำให้กระเพาะอาหารทะลุ อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายดำ ควรกินหลังอาหาร หรือพร้อม
นม และควรดื่มน้ำตามมาก ๆ ควรหลีกเลี่ยงการใช้ในผู้ป่วยโรคกระเพาะ/แผลเพ็ปติก

ที่มา : //www.ideaforlife.net/health/drug/0005.html

https://sites.google.com/site/tanawattaxi/prayochn-mhasal-khxng-xaesphirin




Create Date : 26 เมษายน 2558
Last Update : 26 เมษายน 2558 7:33:34 น. 0 comments
Counter : 2062 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

bestyx
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]





เป็นคนเรียบง่าย สบาย ๆ ..คิดอะไรได้ช้า.. คิดไม่ค่อยทันคนอื่น...เขียนอะไรไม่ค่อยเป็น... เลยต้องหาสิ่งที่คนอื่นคิด สิ่งที่คนอื่นเขียน มาเก็บรวบรวมไว้อ่าน เพื่อให้ตนเองได้ฉลาดขึ้น เป็นคนที่ไม่ชื่นชอบหรือหลงใหลสิ่งใดเป็นพิเศษ ..แต่ก็ค้นหาหาไปเรื่อยๆ.. จนกว่าได้จะพบเจอ....แต่ดูเหมือนว่า ยิ่งค้นหาก็ .."ยิ่งยาก".. ที่จะพบ เพราะโลกกว้างใหญ่เกินไปที่มนุษย์ตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งจะเรียนรู้ได้หมด

Friends' blogs
[Add bestyx's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.