Group Blog
 
 
พฤศจิกายน 2552
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
8 พฤศจิกายน 2552
 
All Blogs
 

What the heck! The series/ Episode 1 - When I'm feeling blue - มีชีวิตอยู่เพื่อใคร


**เรื่องนี้อาจมีการใช้ภาษาหรือเนื้อเรื่องบางส่วนไม่เหมาะสมสำหรับผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 12 ปี
ผู้อ่านกรุณาใช้วิจารณญาณ**




ฉันเคยมีความเชื่อว่า มนุษย์เราจะสามารถหาสิ่งบันเทิงใจเพื่อคลายเครียดไปได้ในแต่ละวัน และนั่น มันเป็นสิ่งที่มนุษย์พึงกระทำ ตื่นนอนตอนเช้า แปรงฟัน บ้วนปาก อาบน้ำ ขับถ่าย แคะขี้หู ถูขี้ไคล ตะไบเล็บ กินข้าว ร่ำลาคนที่บ้าน ออกไปทำงาน แล้วก็ไปทำตัว ‘เป็นการเป็นงาน’ มีสังคมแบบเพื่อนร่วมงาน ตกเย็น กลับบ้าน ทักทายครอบครัว ตบหัวเล่นหมาหรือแมวที่เลี้ยงไว้ ออกกำลังกาย กลับมาอาบน้ำ กินข้าว ดูข่าวภาคค่ำ นั่งขำกับละครตอนดูกับคนที่บ้าน แล้วเข้านอน

เพื่อที่ตื่นมาในอีกวัน มันก็จะเป็นแบบนี้อีกครั้ง และอีกครั้ง วนไปจนครบห้าวัน เริ่มจากวันจันทร์ แล้วก็มีกิจวัตรที่แปลกไปอีกสองวันในรอบสัปดาห์ เสาร์ และ อาทิตย์ ตื่นสาย กินกาแฟกับขนมปังตอนเช้าได้โดยไม่ต้องรีบตาลีตาเหลือกออกไปเกลือกกลั้วกับรถราขวักไขว่แย่งชิงสิ่งที่หามาเพิ่มไม่ได้ นั่นคือ ‘เวลา’

คิดแบบนั้นตั้งแต่เป็นเด็กตัวเล็กตัวน้อยจนโตมาหมาชิสุเลียก้นไม่ถึง แล้วจึงมาค้นพบว่า...


“แม่ง มันไม่ใช่ว่ะ” ธนเศรษฐ์ส่ายหน้าวืดหนึ่งตอนที่อ่านงานเขียนในมือไปได้เพียงสองวรรคแรก แล้วเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนตัวเองที่นั่งจ๋องในสภาพสุดโทรมอยู่ตรงกันข้าม

“ไม่ใช่อะไรของมึงอีก นี่กูอดนอนเขียนให้มึงเชียวนะ” สภาพมนุษย์ผู้หญิงที่เหมือนถูกตกแต่งจากโปรแกรมภาพสามมิติเสมือนจริงในโหมดหลังถูกข่มขืนขยับปากเล็กน้อยแล้วทำหน้านิ่งพูดออกมาหลังจากเอาปลายนิ้วชี้ที่เล็บกระด่อนกระแด่นเขี่ยปอยผมยุ่งเหยิงออกจากปาก

“กูไม่ได้ต้องการเรื่องแบบนี้ กูอยากได้งานเขียนแบบที่ดึงอารมณ์คนอ่านให้รู้สึกห่อเหี่ยว เบื่อหน่ายชีวิต มองโลกในแง่ร้ายจนกลายเป็นพวกจิตตก ไม่ใช่เล่าเรื่องชีวิตน่าเบื่อของมึงให้คนอ่านฟัง”

“โรคจิตนะมึงน่ะ” เพียงทรายพึมพำดังๆ พร้อมทำหน้าไร้อารมณ์มองเพื่อนที่อยู่ตรงกันข้ามทั้งตำแหน่งที่นั่งและกายภาพวางกระดาษปึกเล็กๆ ลงบนโต๊ะ แล้วกางแขนออกสองข้างพาดไปตามเบาะพิงด้านหลังอย่างสบายๆ

“แล้วกูก็ไม่ได้ประสงค์ให้มึงอดนอนเขียนให้กูด้วย มึงเพิ่งเขียนเมื่อคืนทั้งที่กูบอกไปสองสัปดาห์แล้ว ความผิดมึง”

แม้คนถูกโยนความผิดพยายามจ้องเขม็งไปที่เพื่อนหนุ่ม แต่สุภาพบุรุษที่สุดในระยะรัศมีสองเมตรก็ตอบมาได้โดยไม่ระคายปากสักนิดว่าเป็นความผิดของเพียงทราย แล้วนั่นก็ทำให้เธอถอนหายใจเฮือกยาวก่อนพูดออกมาเนือยๆ

“แล้วจะเอาไง ฉบับนี้ยกเลิกคอลัมน์ ‘เรื่องของกู’ ไปก่อนเลยไหม” เป็นคำถามแรกของวันที่แสดงถึงการมีความรับผิดชอบในฐานะนักเขียนบทความประจำของนิตยสารแหวกแนวในสำนักพิมพ์เปิดใหม่ด้วยเม็ดเงินหนุ่มนักเรียนนอกที่ดันเรียบไม่จบกลับมาแบมือขอเงินบิดามาผลาญแทน

“ไม่ยก มึงกลับไปเขียนมาใหม่”

เพียงทรายกลับมานั่งจ้องหน้าเพื่อนพร้อมสายตาพิฆาตอีกครั้งหลังจากที่เขาทำหน้าเหมือนไม่ทุกข์ร้อนอะไรและสั่งการออกมาง่ายๆ

“ไหนว่าวันนี้ปิดเล่ม”

“กูโกหก ปิดมะรืน กูหลอกไง มึงได้ขยันหน่อย... อะไร นี่มึงยังไม่ชินอีกเหรอ โดนกูหลอกน่ะ” ธนเศรษฐ์ทำท่าเหมือนเป็นเรื่องขำขันประจำวันธรรมดาที่หาได้ตามซิทคอมทั่วไป แต่คนที่โดนขำใส่นี่สิ

“ไม่ขำ ไม่ต้องทำตลก กูเหนื่อย กูง่วง กูดวงตก แล้วยังต้องมานั่งเป็นข้ารองบาทให้มึงอีก มึงเห็นกูเป็นอะไร” เพียงทรายใกล้ตบะแตก อาจด้วยระดับเอ็นโดรฟินที่ต่ำลงถึงขั้น Minimum level หรืออาจเพราะอดนอนจนขอบตาคล้ำดำปืด

“กูรู้มึงโกรธ และรู้ด้วยว่ามึงกำลังจะด่ากูว่ากูไม่เห็นใจเพื่อน กูเลวกับเพื่อน... แต่ยังไงเสีย มึงก็เพื่อนกู ไม่เคยสักครั้งที่จะเทียบมึงเป็นลูกจ้าง กูขอแค่ความช่วยเหลือจากมึง คอลัมน์นี้ถ้าไม่ใช่มึงเขียน มันก็ไม่มีความหมาย ในฐานะเพื่อน ช่วยกันหน่อยได้ไหม นะ ทราย... ขอพรุ่งนี้นะ”

เพียงทรายเงียบกริบเม้มปากแน่น จ้องตาเพื่อนที่งัดไม้ตายมาเล่นอีกครั้ง มันเป็นไม้เด็ดที่ธนเศรษฐ์มักจะใช้กับคนทั่วไป เน้นว่าโดยเฉพาะผู้หญิงที่มันก็สำเร็จแทบทุกครั้ง ไม่มีใครหรอกที่จะไม่ใจอ่อนกับท่าทางแบบนี้ของเขา ด้วยรูปพรรณสัญฐานที่ออกจะดูดีถึงดูดีมากของเขาแล้ว การใส่มารยาหนุ่มที่มีมากกว่าร้อยเล่มเกวียนเข้าไปอีกนิด มันแทบจะพิชิตได้ทุกอย่าง แม้แต่...

“อย่ามาทำตอแหล มึงเคยเรียกกูว่าทรายที่ไหน นับครั้งได้ ทีนี้จะมาหลอกใช้กู มึงก็งัดเอาชื่อกูมาเรียก มาทำตาออดอ้อน มาพูดจาสวยหรู ปกติ มึงเรียกกูไอ้กรวด มึงเคยว่า ชื่อทรายมันของผู้หญิงสวยๆ เขาโน่น... ไม่รู้ละ กูจะเขียนใหม่ แต่จะใช้การตัดสินใจของกูเองว่าจะเขียนแบบไหน มึงไม่ชอบใจ... ก็เรื่องของมึง เพราะคอลัมน์นี้นะ ‘เรื่องของกู’ จำไว้ ไอ้เสด บอกออีเดียต... กูเกลียดมึง”

พูดจบก็พาสภาพน่ารังเกียจกับหัวฟูๆ หน้าซีด ตาคล้ำโหล ปากแห้ง ตัวเหี่ยวในยืดคอวีตัวหลวมที่สวมทับกางเกงยีนส์สีเข้มกับย่ามสะพายไหล่เดินออกไปจากส่วนสำนักงานของเพื่อนที่พ่วงตำแหน่งเจ้านายผู้จ่ายค่าครองชีพให้รายเดือน ส่วนเจ้านายนั้น ได้แต่ผิวปากหวือตามหลังนักเขียนบทความของนิตยสาร “What the heck! Magazine” ด้วยความชอบใจในวาจาดุเดือดของเพื่อนสาวเพียงคนเดียวที่เขาเรียกได้สนิทปากว่า ‘เพื่อน’



เพียงทรายเดินสะโหลสะเหลพร้อมวังวนมืดครึ้มในหัวว่าจะไปเหลางานเขียนในบทความที่ตัวเองรับผิดชอบแบบไหนในหัวข้อเท่ๆ ว่า ‘When I’m feeling blue’ ที่เพื่อนจั่วหัวข้อมาให้ แม้ว่าเธอจะไม่เคยเข้าใจในสมองของเพื่อนคนนี้เลยว่าคิดอะไรอยู่ จากแต่ละหัวข้อที่หยิบยื่นให้เธอเขียนทุกสองสัปดาห์ มีแต่หัวข้อประหลาด แต่เธอก็ยังเขียนให้เขาเสมอไป เพราะสุดท้ายก็ต้องยอมรับ ว่าเขาเป็นเพื่อนที่สามารถผลาญเงินพ่อมาเปิดสำนักพิมพ์และจ่ายค่าจ้างให้เธอด้วยตัวเลขสวยงามไม่น่าเชื่อ แลกกับบทความโรคจิตแค่สองเรื่องต่อเดือนเท่านั้น

“อยากรู้นัก หน้าไหนมั่งวะที่จะซื้อหนังสือมันมาอ่านคอลัมน์กูเนี่ย” เธอบ่นใส่ตัวเองเบาๆ ตอนที่พยายามเสียบกุญแจสตาร์ทรถ เพื่อที่จะพบว่า... สตาร์ทไม่ติด

“ไอ้สะ...” เพียงทรายออกมายืนเตะยางรถข้างนอกแทนการด่ารถตัวเองเป็นสิ่งมีชีวิตจำพวกมีไฟลัมระบุ เพราะอย่างน้อย เธอก็ยังอยากเก็บสมบัติของส่วนตัวเอาไว้จากการบริภาษใส่ของตัวเอง

‘รถแบตหมด กุญแจฝากน้องซากอ้อยไว้ ชาร์ตแล้วเอาไปให้กูที่คอนโดด้วย ไม่งั้นกูเขียนไม่จบพรุ่งนี้แน่/ กรวดทิ่มตีนมึง’

เธอกดส่งข้อความทางโทรศัพท์มือถือถึงเพื่อนอีเดียตที่เพิ่งด่าใส่หน้าไปไม่กี่นาทีที่ผ่านมานี้ หลังจากที่ส่งกุญแจรถยนต์คันเก่าจนไม่คิดว่าจะมีใครลงทุนมาขโมยไปขายทิ้งเป็นเศษเหล็กให้กับน้องน้ำหวาน สาวสวยหน้าแฉล้ม พนักงานต้อนรับและโอเปอร์เรเตอร์ในชื่อเฉพาะว่า ‘ซากอ้อย’ ที่ไว้เรียกกันสองคนระหว่างเธอกับธนเศรษฐ์ ด้วยเหตุที่น้องน้ำหวานเคยมีสามี พร้อมมีลูกเล็กๆ แล้ว ดันบอกคนโน้นคนนี้ว่ายังไม่เคยมีใครเพื่อโปรยเสน่ห์ม่ายสามีหนีของเธอ น้ำหวานรับกุญแจไปพร้อมรับคำกำชับไว้ว่าให้ส่งถึงมือนายใหญ่ธนเศรษฐ์เท่านั้น เป็นเรื่องสำคัญมากกับเส้นตายปิดเล่มรายปักษ์นี้

แล้วเธอก็หมดอารมณ์จะขึ้นรถเมล์กลับคอนโดเพื่อหลงวังวนความรู้สึกสีน้ำเงินหม่นๆ ตามหัวข้อของท่านบ.ก. เพียงทรายจึงเดินเตาะแตะไปเรื่อยเปื่อย ประกอบกับกวาดสายตาเบลอๆ ไปรอบตัวเผื่อหาอะไรดีๆ ใส่ชิวิตยามสายของวันนี้ พลันสายตาเธอกวาดไปพบกับร้านกาแฟร้านเล็กๆ น่ารักที่ตกแต่งให้ได้บรรยากาศสบายๆ ตามสมัยนิยม ร้านนี้เธอเพิ่งเห็นได้ไม่นานเพราะเป็นร้านที่เพิ่งมาเปิดใหม่ เธอจึงตัดสินใจเดินตรงไปยังจุดที่สายตากำหนด

โต๊ะแรก เก้าอี้แรกที่เธอเคลื่อนตัวไปถึงเป็นจุดที่เหมาะสมที่สุดกับการนั่งแหมะ แล้วสั่งคับร้าน

“ป้า ข้าวมันไก่ใส่หนังเยอะๆ มาจาน ชาเย็นด้วย”

เพราะร้านที่เธอมานั่งทำหน้าเหนื่อยอยู่นี้คือร้านข้าวมันไก่ป้าเลียบ ร้านรถเข็นที่อยู่ห่างจากร้านกาแฟหน้าตาน่ารักนั่นไม่เกินกว่าร้อยเมตร ข้างๆ หม้อน้ำซุปข้าวมันไก่ก็ยังมีโต๊ะวางขายกาแฟเย็น ชาเย็นอยู่ด้วย ด้วยความที่นาทีสุดท้ายก่อนก้าวขาขึ้นร้านกาแฟ เธอก็นึกขึ้นได้ว่ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่เมื่อวานบ่ายแก่ และความหิวติดจับขั้วกระเพาะก็ทำให้เธอต้องการอะไรมากไปกว่ากาแฟหอมๆ กับเบเกอร์รี่ชิ้นเล็กๆ

ระหว่างที่รอแม่ค้าสับไก่ใส่หนังลงบนจานข้าวมัน เธอมองไปรอบๆ ร้านอย่างไม่รู้จะทำอะไรดีไปกว่านี้ ความมึนเบลอจากกระแสไฟฟ้าสถิตย์ในหัววิ่งหาทางออกให้กับ ‘เรื่องของกู’ ยังดังเปรี๊ยะอยู่ในหัวแบบลัดวงจร เด็กสาววัยรุ่นผิวคล้ำหน้าผอมผมเปียคนหนึ่งกำลังล้างจานอย่างแข็งขันอยู่ด้านหลังรถเข็น เธอสังเกตดูเค้าโครงหน้าแล้วคิดเอาเองว่าไม่น่าใช่ลูกสาวของแม่ค้าผิวขาวที่มีโครงหน้าค่อนข้างเหลี่ยมคนนี้ ลูกค้าโต๊ะอื่นก็เพิ่งลุกออกไปตอนเธอเดินมาถึงร้าน แล้วตอนนี้เธอก็เป็นลูกค้าคนเดียวในร้านยามสาย

“ข้าวมันไก่ใส่หนังเยอะๆ มาแล้ว ระวังน้ำซุปหน่อยนะ มันร้อน”

แม่ค้าข้าวมันไก่คนที่เธอพินิจพิจารณาอยู่เมื่อครู่เดินมาส่งอาหารด้วยตัวเอง ดีอยู่ว่าชาเย็นเป็นร้านของหนุ่มอีกคนที่อยู่ข้างๆ เธอเลยได้ชาเย็นมาดูดให้ชื่นใจไปก่อนหน้าแล้ว แต่ยังไม่ทันที่แม่ค้าจะได้เดินกลับไปยังหน้ารถเข็น เธอก็สังเกตุเห็นรอยแผลเป็นฉกรรจ์ที่ข้อมือของเธอหลายแผล เสื้อยืดแขนยาวที่เธอใส่ถูกถกขึ้นเพื่อความคล่องตัว รอยแผลทั้งหมดจึงไม่ถูกซ่อนอีกต่อไป แล้วเพียงทรายก็ไม่คิดจะปิดบังสายตาตัวเองที่จ้องมองไปยังแผลนั้นด้วยสีหน้าครุ่นคิดอีกด้วย

“แผลมันนานมาแล้วล่ะ หนูเอ๊ย”

เพียงทรายอ้าปากค้างอยู่ชั่วขณะด้วยการทำงานของสมองช้าลงกว่าปกติไปหลายเท่าเพราะอดนอน เธอหน้าเจื่อนลงเล็กน้อยแล้วกล่าวพึมพำขอโทษขอโพยแม่ค้าที่ทำกิริยาละลาบละล้วงทางสายตามากเกินไป แต่แทนที่ไม่พอใจ ป้าเลียบ ตามชื่อของป้ายร้านรถเข็นก็หัวเราะออกมา

“ไม่ต้องขอท่ง ขอโทษอะไรหรอกหนู ป้าชินเสียแล้ว ลูกค้าป้ามากินข้าวก็ถามกันอยู่บ่อยออก ว่าป้าไปทำอะไรมา” ป้าเลียบที่มีสีหน้าอิ่มเอิบเหมือนคนที่ไม่มีเรื่องทุกข์ร้อนใดๆ ยิ้มให้กับเพียงทรายแล้วยินรอเหมือนต้องการให้เธอพูดบ้าง โดยปกตินิสัยแล้ว เธอไม่ใช่คนที่จะใส่ใจชาวบ้านชาวเมืองมากนัก แต่หากมีมนุษย์ที่เดินได้ พูดได้ คุยกันได้มาเปิดบทสนทนาอะไรกับเธอสักอย่างในตอนนี้ เธอก็ไม่คิดจะปฏิเสธหรอก ในเมื่อเธออยู่กับห้องสี่เหลี่ยม จอคอมพ์พิวเตอร์ และฟังแต่คำพูดขัดหูจากเพื่อนที่คบไว้เพื่อเงินมาสามวันสามคืนแล้วไม่ได้ประโยชน์อะไรนอกจากการกลับไปนับหนึ่งใหม่ เธอก็อยากได้อะไรมาเปลี่ยนสภาพหัวสมองของเธออยู่เหมือนกัน

“เอ่อ แล้วป้า... ไปทำอะไรมาหรือคะ” เธออ้อมแอ้มถามแล้วจัดข้าวมันไก่ใส่ช้อนพร้อมน้ำจิ้มส่งเข้าปากเคี้ยวหนึ่งคำ รอฟังคำตอบจากป้าแม่ค้าข้าวมันไก่

“มีดหั่นหมูนี่แหละ กำลังทำกับข้าว หั่นหมูอยู่เลย ป้าก็เอามีดมาเฉือนข้อมือเสียเลย ฮ่าๆ” เสียงหัวเราะปิดท้ายเหมือนเป็นเรื่องธรรมาดาสามัญทำให้เพียงทรายต้องอึ้งอีกครั้ง การพยายามฆ่าตัวตายกลับกลายเป็นเรื่องตลกตั้งแต่เมื่อไรกัน

“ตอนนั้น ป้าไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร อยู่ไปทำไม ก็คิดง่ายๆ ตายๆ ไปเสีย จะได้ไม่ต้องทรมานใช้ชีวิตอยู่...”ยังเล่าไม่ทันจบ หนุ่มในชุดนักศึกษาคนหนึ่งก็เดินมาหยุดอยู่ที่หน้ารถเข็นของเธอแล้วเอ่ยปากขอข้าวมันไก่จัดกลับบ้านสามชุด เธอฟังดูลักษณะการทักทายหยอกล้อของหนุ่มนี่กับแม่ค้าแล้วก็คาดว่าจะเป็นลูกค้าประจำ

แม่ค้าคนนั้นเดินกลับไปทำหน้าที่แม่ค้าของเธอต่อไป ในขณะที่หัวของเพียงทรายเกิดประกายบางอย่าง ความรู้สึกนึกคิดที่ว่า คนที่เคยต้องการพรากเอาลมหายใจและความรู้สึกนึกคิดทั้งหมดทั้งมวลออกจากร่างของตัวเองนั้น กลับมาใช้ชีวิตที่มีความสุขแบบนี้ได้อย่างไร นั่นทำให้เธอรีบจัดการกับข้าวมันไก่ตรงหน้า เพื่อที่จะได้พูดคุยกับแม่ค้าคนนี้อีกครั้ง

เพียงทรายนั่งรอจนลูกค้าหมดแล้ว เธอเดินไปหาแม่ค้าที่กำลังใช้ผ้าสะอาดเช็ดจานที่สาวเปียส่งให้ตั้งใหญ่ ในขณะที่เธอจัดการทำสิ่งเดียวกันกับช้อนส้อม จุดประสงค์เพียงอย่างเดียวคือ อยากฟังสาเหตุที่ทำให้แม่ค้าผู้อยากลาโลกกลับมามีชีวิตจริงๆ อีกครั้ง

“จ่ายตังค์ค่ะป้า” เพียงทรายยื่นเงินให้กับแม่ค้าด้วยใบสีเขียวสองใบ ในจังหวะที่แม่ค้ากำลังค้นเหรียญทอนเงินจากในตะกร้า เธอก็เอ่ยออกมาอย่างเกรงใจอีกครั้ง

“เอ่อ ป้าคะ ถ้าหนูจะขอถามเรื่องข้อมือของป้าต่ออีกนิด ป้าจะว่าอะไรไหมคะ”

แม่ค้าได้เห็นท่าทางนอบน้อมเกรงใจของเพียงทรายก็ยิ้มขัน แล้วเชื้อเชิญให้นั่งลงคุยกันก่อน แต่ก่อนที่แม่ค้าจะได้เล่าอะไรต่อ เพียงทรายก็มีจรรยาบรรณในแบบที่เธอคิดเอาเองอีกแล้วว่านี่แหละ คงเรียกจรรยาบรรณ ในการที่จะคุยกับใครสักคนแล้วนำไปใช้เป็นข้อมูลในงานเขียน เธอค้นย่ามสะพายหานามบัตรของตัวเองได้หนึ่งใบแล้วส่งให้กับป้าแม่ค้า

“เอ... อ่านไม่ชัดแฮะ ภาษาปะกิต ป้าอ่านไม่ออกหรอกหนู” พูดพร้อมอาการยื่นนามบัตรของเธอออกไปเสียไกล เพื่อปรับระยะโฟกัสสายตาให้เข้ากับตัวอักษร เด็กสาวผมเปียเดินมายื่นแว่นสายตาให้กับแม่ค้า แล้วก้มลงอ่านชื่อในนามบัตรให้

“พี่เขาชื่อเพียงทราย เป็นนักเขียนบทความของหนังสือชื่อ... What the heck...” ตอนอ่านชื่อนิตยสารที่ระบุไว้ในนามบัตรของเพียงทราย เด็กสาวหันมายิ้มขันกับเธออีกทีเพราะพอเข้าใจในคำที่ใช้

“คือ หนูเขียนบทความของนิตยสารนี้น่ะค่ะ ที่ต้องบอกก่อน เพราะว่า บางทีสิ่งที่หนูคุยอาจจะถูกดึงไปเขียนในบทความด้วย หนูไม่ได้ระบุชื่อของใครหรอกนะคะป้า อย่างน้อยก็เพื่อความเป็นส่วนตัว แต่ก็ต้องบอกไว้ก่อนเพื่อความสบายใจ เพราะในนั้นมันจะมีความคิดเห็นและการวิจารณ์ในแบบของหนูใส่ลงไปมากกว่าข้อเท็จจริง ส่วนชื่อหนังสือก็เป็นภาษาอังกฤษอ่านได้อย่างน้องเขาบอกเลยค่ะป้า...”

“เหรอ ชื่อแปลกนะ ว้อด เฮ็ค อะไรเนี่ย แปลว่าอะไรล่ะ”

“ง่า... มันอาจไม่สวยเท่าไร แต่ก็แปลประมาณได้ว่า อะไรกันวะ ทำนองนั้นค่ะป้า”

เพียงทรายทำหน้าตาบอกไม่ถูกตอนที่ป้าแม่ค้าเบิกตาไปกับคำแปลชื่อหนังสือที่ไร้ความเป็นมงคล

“หนูเคยเห็นในร้านหนังสือ เป็นนิตยสารแนวอาร์ท คือ แนวศิลป์น่ะป้า เล่มตั้งแพงแน่ะ... แหะ ขอโทษค่ะ”เด็กสาวพูดแล้วเหลือบตามาเอ่ยปากกับเพียงทราย เพราะการบ่นเรื่องราคาไม่เห็นใจผู้บริโภคของหนังสือที่เธอทำงานด้วยอยู่นั้นอาจไม่เหมาะไม่ควร

“มันก็แพงจริงๆ นั่นแหละ พี่ยังสงสัยเลยว่าหนังสือชื่อชอบกลแบบนี้มันยังอยู่ดีได้โดยไม่เจ๊งได้ยังไง”

เด็กสาวหัวเราะเบาๆ แล้วขอตัวเดินกลับไปจัดแจงเช็ดข้าวของเครื่องใช้ตรงหน้าเตาหน้าพื้นที่ขายอาหารให้เรียบร้อยและสะอาด รู้จักกาละเทศะพอที่จะไม่อยู่ฟังเรื่องของผู้ใหญ่ตรงนี้โดยที่สายตาของนักเขียนบทความสาวยังตามไปอยู่

“มันเป็นลูกคนข้างบ้านป้าที่ชัยภูมิโน่นแน่ะ เด็กมันรักดี รู้จักขยันเรียนหนังสือหนังหา พ่อแม่มันก็ไม่ได้มีเงินทองร่ำรวยอะไรแต่ก็อยากให้ลูกได้เรียนหนังสือสูงๆ อยากให้ลูกจบปริญญา นี่มันก็สอบชิงทุนได้ มหาวิทยาลัยมันจะเปิดเดือนหน้าแล้ว ป้าตัวคนเดียวอยู่ห้องเช่า เลยขันอาสาเอามันมาพักอยู่ด้วยที่กรุงเทพ มันก็ขยันหยิบโน่นทำนี่ตลอดไม่เคยขาด”

ป้าเลียบมองเด็กสาวอย่างชื่นชมเห็นได้ชัด และเพียงทรายเองก็พอจับความรู้สึกนั้นได้เสียด้วย

“ป้าไม่มีลูกเหรอคะ” เธอรู้อยู่แล้วว่าคำตอบอาจไม่สวยนัก แต่นั่นก็อาจทำให้เธอสามารถดึงเรื่องเข้าสู่สาเหตุทั้งหมดของรอยแผล

“เคยมีจ้ะ ป้ามีลูกแค่คนเดียว ลูกสาวป้า ถ้ามันไม่ตาย มันก็จะแก่กว่าไอ้นี่สักสองสามปีได้” ป้าเลียบชี้ไปยังเด็กสาวคนขยัน แต่สายตาของเธอก็ไม่ได้หมองหม่นหรือดูซึมเศร้าตอนที่เอ่ยถึงลูกสาวที่ตายไป

“หลังจากที่ลูกป้ามันหนีตามผู้ชายไปตั้งแต่ตอนอายุแค่สิบสี่ ผ่านไปแค่สองเดือน ตำรวจก็มาหาป้าเพราะว่ามันไปรถคว่ำตายอยู่ในตัวเมือง ผู้ชายของมันไม่ตายแต่ก็ติดคุกเพราะไปขี่รถกระชากสร้อยเขามา...” เพียงทรายกลืนน้ำลายกับคำบอกเล่าของป้าเลียบ แค่เริ่มเรื่องเธอก็เกิดความหดหู่แล้ว ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าทำถูกไหมที่ต้องให้แม่ค้าผู้ใจดีคนนี้รื้อฟื้นเรื่องเศร้าในชีวิต

“ตอนนั้น ป้าก็ทำไร่ทำสวนเลี้ยงชีวิตไป จนไม่มีที่จะทำมาหากิน ผัวป้า มันเล่นการพนัน ตั้งแต่ชนไก่จนไฮโล ยิ่งตอนที่ลูกป้าตายไปแล้ว มันก็ยิ่งเล่นหนัก จนที่ทางก็ถูกยึดไปเพราะหลุดจำนอง”

คอลัมนิสต์สาวในสภาพโทรมขยับตัวด้วยรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ซึ่งทางป้าเลียบก็เรียกให้เด็กสาวเอาน้ำมาส่งให้เธอสักแก้ว

“ขอบใจจ้ะ... เอ่อ ป้าคะ จะไม่เล่าต่อก็ได้นะ เรื่องส่วนตัวมากเกินไปหรือเปล่า”

“ไม่เป็นไรๆ เอาไปเขียนหนังสือก็ได้ป้าไม่ว่า เผื่อคนที่มันกำลังจะทำอะไรโง่เง่าจะดูเป็นอุทธาหรณ์... หลังจากป้าหมดที่ทำกิน เพื่อนเก่าป้ามันก็ชวนมาหากินในกรุงเทพฯ นี่แหละ ตอนแรกก็มาสมัครงานเป็นพวกแม่บ้านเฝ้าร้านให้เขา ปัญหาจุกจิกวุ่นวายมันเยอะ ผัวป้าก็ดันไปทำเรื่องขโมยของร้านเขา จนมันถูกแจ้งความ ติดคุกไปสองปี...” ป้าเลียบหยุดเล่าพักหนึ่ง ยกแก้วน้ำส่วนของแกขึ้นจิบ ซึ่งเพียงทรายก็ใช้จังหวะตรงนี้เว้นช่วงหายใจยาวๆ สักครั้ง

“พอออกมาจากคุก ผัวป้าก็พยายามจะหางานหาการทำนะ แต่ไม่มีใครเขาอยากได้คนขี้คุกมาทำงานหรอก หนักเข้า มันก็หันไปพึ่งเหล้ายา เมากลับห้องมาทุกวัน ตอนนั้นป้าเริ่มมีเงินเก็บพอเข็นรถขายขนมได้แล้ว แต่เงินก็ไม่เคยเหลือ มันเอาไปลงขวดหมด”

แม่ค้าหยุดเล่าเมื่อเห็นลูกค้าเดินเข้ามาหนึ่งคน แต่ยังไม่ทันลุกขึ้น เด็กสาวก็ทำหน้าที่แทนได้อย่างไม่น่ากังวล เธอเลยยิ้มทักทายลูกค้า แล้วหันมาคุยกับนักเขียนสาวต่อ

“อยู่กันแบบทรมาน ป้าร้องไห้ไม่เว้นวันเลยหนูเอ๋ย หนักเข้ามันเมามาก็ทำร้ายร่างกายป้า คนข้างห้องเขาก็จะแจ้งตำรวจจับ มันก็ขู่จะทำร้ายเขาอีก สุดท้าย... มันก็โดนจิ๊กโก๋แถวซอยแทงตาย”

เพียงทรายใจหายวาบ เมื่อรู้ว่าผู้หญิงที่ผ่านโลกมานานคนนี้ได้พบเจออะไรบ้างในชีวิต เรื่องราวในชีวิตของเธอมันช่างเป็นชีวิตที่ราบเรียบสิ้นดีเมื่อเทียบกับแม่ค้าสู้ชีวิตคนนี้

“ตอนนั้นป้าแทบใจสลาย ลูกก็ตาย ผัวก็ตาย เงินก็ไม่มี เรี่ยวแรงจะทำมาหากินก็หมดไม่เหลือ... ไม่รู้ผีห่าซาตานอะไรมาเข้าสิงป้า ป้าหดหู่จนไม่อยากมีชีวิตต่อไป ไม่รู้ทำได้ยังไงนะ ป้าก็อยู่ของป้าไป พยายามจะทำมาหากิน แล้ววันนั้น ป้าก็คิดว่าตายเสียดีกว่า ตัวคนเดียว ไม่มีความหมายที่จะอยู่ต่อไป ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม ลูกก็ไม่มีให้เลี้ยง ผัวก็ไม่มีอยู่ด้วยกัน มีแต่ทรมานไปวันๆ ป้าก็เลยใช้มีดทำครัวมากรีดเข้าที่ข้อมือ คิดว่าเจ็บนิดเดียว เดี๋ยวมันก็จบแล้ว”

แม้ป้าเลียบจะเล่าด้วยน้ำเสียงปกติเหมือนไม่รู้สึกอะไรกับการพูดถึงอดีตอันเจ็บปวดของเธอ แต่เพียงทรายรู้ดีว่า อดีตที่ฝังไว้ลึกนั้น มันไม่มีทางจางกลิ่นความเจ็ปปวดไปได้หรอก

“คนข้างห้องเขากลับมาจากต่างจังหวัดพอดี เขามีของฝากมาให้ ก็มาเคาะประตูดู เขาว่าเห็นไฟสว่าง ทีวียังดังลั่น แต่ป้าไม่เปิดประตูสักที เขาก็เลยพยายามมองลอดบานเกล็ดกัน เห็นป้านั่งพิงผนังห้องเลือดนองพื้นก็รีบพังประตูกันเข้ามา หามป้าส่งโรงหมอ...”

“เพราะป้าไม่ตาย ป้าเลยได้ไปพบกับคนหนึ่งในโรงพยาบาล เขาพิการและกำลังจะตายด้วยโรคประจำตัว... เขาพิการขาซ้ายกับแขนขวามาตั้งแต่กำเนิด เติบโตมาในสถานสงเคราะห์ แต่เขาก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองไม่ควรอยู่ต่อไป เขาดิ้นรนเพื่อมีชีวิตอยู่มาตลอด มีอาชีพเลี้ยงตัว เขาเปิดร้านซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าจากความพยายามของตัวเอง แม้แต่สุดท้าย เขาป่วยจนรักษาไม่ได้ เขาก็ยังยิ้มได้ บอกว่า มีเวลาเหลืออยู่ไม่ถึงหกเดือน ก็ยังถือว่าเป็นหกเดือนที่มีค่ามาก เขาดีใจ ที่ได้มีชีวิตอยู่บนโลกนี้ ถึงแม้เขาจะไม่สามารถทำอะไรที่อยากทำได้อีกหลายอย่างอีกต่อไป แต่เขาก็พอใจที่ได้มีชีวิตอยู่ เขาบอกป้าว่า ไม่มีชีวิตไหนไม่มีค่า ถึงไม่รู้จะอยู่เพื่อใครก็ต้องรู้ว่าการอยู่เพื่อคุณค่าของตัวเองเป็นอย่างไร หากผิดพลาด หรือไม่สามารถแก้คืนสิ่งที่มันเสียไปแล้วให้กลับมาได้ แต่เรายังมีกำลังอำนาจในการทำสิ่งใหม่ๆ ให้มันมีแต่สิ่งที่ดีได้ ด้วยการยังมีชีวิตของเรานี่แหละ... ป้าอายมากเลยรู้ไหม ที่ตัวเองมีแขนขา มีเรี่ยวแรง แต่ป้ากลับจะทำลายชีวิตตัวเองเสีย ในขณะที่คนอยากมีชีวิตอยู่เขาไม่สามารถเลือกได้...”

นักเขียนบทความสาวไม่อยากจะเชื่อว่าบนโลกนี้ยังมีอะไรที่เป็นยิ่งกว่าละครจากปากของป้าเลียบ แต่เธอสังเกตเห็นหยาดน้ำตาที่คลอหน่วยอยู่หลังแว่นสายตาของแม่ค้าคนนี้ เธอต้องการที่จะเชื่อทั้งหมดที่แม่ค้าข้าวมันไก่เล่า แม้ว่ามันจะจริงหรือไม่จริงก็ตาม



เกือบสิบเอ็ดโมงเมื่อเพียงทรายกลับมาถึงคอนโดด้วยความคิดพร่างพรูใกล้จะหลุดออกจากสมองมาลงสู่แป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์ ชีวิตหนึ่งที่มอดลงจนเกือบจะดับสูญกลับมาโชติช่วงอีกครั้งได้ด้วยอีกชีวิตที่จากไปไม่มีวันกลับ และยังเป็นอีกชีวิตที่ไม่เคยเกี่ยวเนื่องกันด้วยเลยแม่แต่น้อย... เธอโยนย่ามสะพายลงบนโซฟาเก่าแล้วเดินเลยไปยังโต๊ะวางคอมพิวเตอร์โน๊ตบุคมือสองที่ได้มาจากธนเศรษฐ์แบบฟรีๆ เพียงเหตุผลว่าเขารำคาญลูกตาเวลาเห็นคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะเก่าๆ อืดๆ ของเธอแล้วนึกว่ามันถูกใช้งานไปกับบทความในหนังสือของเขา เขาก็ทนไม่ได้

‘คนข้างบ้านป้า พ่อกับแม่เจ้านี่นี่แหละ พอรู้ข่าวเขาก็จะมารับป้ากลับบ้านกันเพราะเป็นห่วง ดูสิ คนที่ไม่ใช่สายเลือดเดียวกันแท้ๆ ดูแลกันดีกว่าคนที่มาจากท้องพ่อท้องแม่เดียวกันอีก แต่ป้าไม่กลับ อดทนจนตั้งตัวได้อีกครั้ง จนมาขายข้าวมันไก่นี่แหละเวลาไหนที่ป้าท้อ เหนื่อย เวลาที่คิดว่าป้าไม่มีใคร ป้าก็นึกถึงคนพิการคนนั้น มันทำให้ป้ารู้สึกว่าการที่ยังมีชีวิตอยู่มันดีแค่ไหน... ตอนนี้ป้าก็สุขสบายดี ถึงแม้ป้าไม่ได้อยู่เพื่อใคร แต่ป้าก็มีคุณค่า สามารถเลี้ยงตัวได้ เป็นที่พึ่งให้เด็กดีๆ ได้อีกคน... ทำข้าวมันไก่ให้หนูกินได้อิ่ม ใช่ไหมล่ะ’

เพียงทรายยิ้มกับตัวเองเมื่อนึกถึงรอยยิ้มและคำพูดของแม่ค้าข้าวมันไก่ผู้มีชีวิตที่สองได้โดยไม่ต้องเกิดใหม่ เลาที่ท้อ เวลาที่เหนื่อย เวลาที่คิดว่าตัวเองไม่มีใคร... When I’m feeling blue

เสียงเคาะประตูดังขึ้นเป็นครั้งที่สาม เมื่อนักเขียนไม่สนใจสิ่งรอบข้างเพราะความลื่นไหลปะติดปะต่อของบทความกำลังได้ที่เมามัน จนกระทั่งมีเสียงตะโกนแทรกพะวังของเธอนั่นแหละ เธอถึงได้หยุดปลายนิ้วแล้วหันไปมองประตูอย่างเซ็งๆ

“ไม่เอาใช่ไหม กุญแจรถ กูเอาไปโยนบ่อให้ปลากินนะเว้ย” เสียงท่านบ.ก. ผู้สร้างปัญหาชีวิตระดับย่อยของเธอมาเอะอะโวยวายหน้าห้อง เธอเหลือบมองนาฬิกาถึงได้พบว่ามันเกือบหกโมงเย็นแล้ว น่าแปลก ที่เธอใช้ชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องการน้ำหรืออาหารติดต่อกันได้ยาวนานหลายชั่วโมง

“ปลาบ้านมึงสิกินกุญแจ” เพียงทรายกระชากประตูเปิดไปคว้ากุญแจจากมือธนเศรษฐ์แล้วทำหน้านิ่งเมื่อเขาจมูกฟุดฟิด

“ชุดเดิม น้ำไม่อาบ ผมไม่หวี มึงใช้ชีวิตอยู่แบบนี้ได้ไงวะ”

“ได้ กูใช้ชีวิตแบบรู้คุณค่าตัวเอง... กลับได้แล้วมั้ง กูจะทำงาน คุยนานกว่านี้สมองกูจะฝ่อ” เพียงทรายดันหน้าอกเพื่อนออกไปห่างประตูที่เจ้าของห้องแบบเธอไม่คิดเชิญเพื่อนเข้ามาดื่มน้ำสักแก้วแบบที่ควร

“งานกูใช่ไหม” แถมเพื่อนที่ว่ายังมีหน้ามาถามเอาอีกว่างานใครที่เธอทำให้

“งานมึงสิ จ๊อบนอกกูทำทีหลัง คนสั่งมันไม่โรคจิต... พรุ่งนี้กูส่งเมล์ให้ ขี้เกียจเข้าสำนักพิมพ์ แล้วมึงก็รับๆ ไปเสีย ชอบไม่ชอบก็บอกกูได้...”

“ถ้ากูไม่ชอบ มึงจะแก้ส่งให้ใหม่???”

“เปล่า ถ้ามึงไม่ชอบ ก็เรื่องของมึง กูจะเขียนแบบนี้ เพราะมันเป็น เรื่องของกู” พูดจบเพียงทรายก็ยิ้มประชดใส่ท่านเพื่อนในฐานะเจ้านาย หรือเจ้านายในฐานะเพื่อน ก่อนที่จะปิดประตูลงกลอนเรียบร้อย เตรียมกลับเข้าโหมดเครื่องจักรกลผลิตตัวอักษร ปล่อยให้ธนเศรษฐ์เกาหัวแกรกและเดินเข้าลิฟท์ลงไปเรียกแท็กซี่กลับสำนักพิมพ์ตัวเองคนเดียวเงียบๆ



ช่วงสายของวันถัดมา เพียงทรายกำลังจัดแจงแต่งตัวออกไปหาอะไรอร่อยจัดๆ กินนอกบ้าน เพราะงานส่งเรียบร้อย เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอีก จังหวะการเคาะมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น

“มาทำไม กูส่งให้แล้วไง” เธอยื่นหน้าออกไปพูดกับธนเศรษฐ์ที่ทำหน้าตาเฉยมายืนแบมือของานเขียนตามนัด

“กูยังไม่ได้รับ เลยมารับที่นี่... แต่งตัวสาวแตกเชียว ยังกับคนละคนกับเมื่อวานเลยมึง” ธนเศรษฐ์จ้องพินิจพิเคราะห์ความเปลี่ยนแปลงมโหฬารของเพื่อนสาว ซึ่งอันที่จริงก็เป็นปกติ ผู้หญิงคนนี้เปลี่ยนสภาพตัวเองได้เร็วกว่าชาวซิมส์ในเกมเสียอีก

“เรื่องของกู... เดี๋ยวกูกดส่งให้อีกที ส่งมันทุกแอดเดรสเลยก็แล้วกัน แล้วมึงก็ขับรถกลับไปดูที่ออฟฟิศมึงนะ โอเค้”

“อย่าเรื่องมาก ไปปริ๊นท์ให้กูก่อน กูจะอ่านเดี๋ยวนี้แหละ เผื่อแก้...”

“กูไม่แก้แล้ว ไม่เอาก็ไม่ต้องเอา” เพียงทรายโวยวายใส่เจ้านายทางสังคมอย่างไม่สนใจหน้าที่การงาน เพราะรู้ดีว่าเขาต้องรับงานเธอแน่นอน จริงอยู่เพื่อนเธอเป็นเจ้านายโรคจิต แต่เธอมั่นใจว่าเมื่อเธอได้เขียนงานที่ออกมาจากสมองจริงๆ เขาก็ไม่เคยปฏิเสธอยู่แล้ว

“เออน่า... หลบ” ธนเศรษฐ์ดันไหล่เพื่อนให้พ้นระยะขวางประตูแล้วเดินเข้าไปในห้องเฉยเสมือนเป็นบ้านตัวเอง ส่วนเพียงทรายได้แต่เดินเซ็งตามมาหยิบเอาต้นฉบับที่พิมพ์ออกจากเครื่องพิมพ์มาไว้หนึ่งชุดโยนให้กับเขา

“ดีมาก เอ้า แลกกัน” เขาโยนกล่องกระดาษขนาดประมาณฝ่ามือกำได้ให้เธอกล่องหนึ่ง เธอคว้ามันหมับก่อนจะตกพื้นแล้วก็สังเกตได้ว่ามันเป็นกล่องน้ำหอมแบรนด์เนมที่นานทีเธอจะได้สัมผัสมันที

“ไม่ต้องงง พอดีเจ๊เพิ่งกลับมาจากนอก เลยฝากแกซื้อให้หิ้วมาด้วยน่ะ” เขาหมายถึงพี่สาวที่ไปทำงานต่างประเทศอยู่สองสัปดาห์ และการมีน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ที่เพียงทรายคาดไม่ถึงก็ทำเธออึ้ง

“เอ่อ... ขอบใจว่ะ มึงก็... ดีนะ รู้จักมีน้ำใจคิดถึงกูมั่ง” เพียงทรายทำหน้าเก้อเมื่อนึกว่าเมื่อวานนี้ด่าเพื่อนไว้เยอะอยู่พอควร “ที่บอกว่ากูเกลียดมึงน่ะ กูพูดเล่นนะ มึงก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากมาย แถมยังจ่ายเงินเดือนให้กูอีกทุกเดือน”

“อือ ไม่ต้องทำซึ้งน่าขนลุกขนาดนั้น ไม่ได้มากมายอะไร” ธนเศรษฐ์เปิดหน้าแรกของบทความออกอ่าน ทำท่าไม่สนใจอาการซึ้งของเพื่อน

“ก็ต้องมีมั่ง เดี๋ยวกลายเป็นว่ากูไม่รู้คุณคน มึงดีกับกู กูก็ดีตอบ นึกว่ามึงเป็นคนไม่สนใจเพื่อน สนใจแต่สาวๆ กิ๊กมึง นึกไม่ถึงว่ามึงจะซื้อของฝากกู ปกติมึงไม่เคย”

“อือ ก็กูก็เป็นปกตินี่แหละ ตอนสั่งซื้อ กูยังไม่เลิกคบน้องใบข้าว แต่กว่าเจ๊กูจะกลับมากูก็เลิกน้องเขาไปเสียแล้ว ลืมโทรสั่งเจ๊ว่ายกเลิกของ ไม่รู้จะให้ใครเพราะหญิงอื่นก็ซื้อน้ำหอมกลิ่นอื่นให้หมดแล้ว นี่เหลือ เลยเอามาให้มึงนี่แหละ”

เพียงทรายอึ้งกับคำบอกเล่าจากปากเพื่อนที่ทำท่าไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรกับเรื่องจริงของตัวเอง เธอลุกขึ้นสะกิดไหล่ธนเศรษฐ์ให้ลุกขึ้นตาม แล้วดันหลังให้เขาเดินออกไปทางประตูโดยไม่สนใจการเอะอะโวยวายของเขา

“ไปอ่านที่อื่น หนักห้อง...”

ว่าแล้วเธอก็ปิดประตูปังเหมือนเมื่อวานตอนเขามาส่งรถคืนให้เธอ แต่ตอนที่เขายักไหล่ไม่ยี่หระและเตรียมตัวหันหลังกลับ เธอก็เปิดประตูออกมาอีกครั้งพร้อมคำพูดชินหู

“ไอ้เสด กูเกลียดมึง”

“ขอบคุณนะ ดีใจจังว่ะ” เขาตอบกลับไวเท่ากันด้วยคำพูดที่เหมือนจริงใจเสียเต็มประดา ก่อนที่จะเดินเร็วๆ หนีเพื่อนลงจากห้องเธอมาที่รถตัวเอง

แต่สิ่งแรกที่เขาอยากทำมากกว่าการออกรถไปยังสำนักพิมพ์ของตัวเองคือการได้อ่านงานเขียนของเพื่อนที่เขาภาคภูมิใจที่สุดคนนี้ จริงอยู่ว่าเขาโรคจิตอย่างที่เธอบอก ด้วยความที่ชอบกดดันเป็นนิสัย และทุกครั้งที่เขากำหนดหัวข้อให้เธอแล้วเธอนั่งเขียนงานตามหัวข้อ เขามักรู้สึกว่าบทความเหล่านั้นมันขาดความสด เขาอยากได้ความสดในแบบที่ออกมาจากความคิดของเพียงทรายทั้งหมด การกำหนดหัวข้อ เป็นเพียงการระบุสิ่งที่เธอจะนำไปคิดต่อเท่านั้น และมันมักได้ผลเสมอเมื่อเขาปล่อยให้เธอทำในนาทีสุดท้าย ทีนี้ไม่ว่าเธอจะเขียนอะไรมาให้เขา เขาก็ชอบทั้งนั้น

นานกว่ายี่สิบนาทีที่เขานั่งเงียบไล่สายตาไปตามตัวอักษรที่มาจากความนึกคิดของเพื่อน สุดท้ายเขาก็ยิ้มออกมากับความรู้สึกพอใจในงานเขียน ถึงแม้มันจะไม่ได้ออกมาหดหู่ หมดกำลังในการเดินชีวิตอย่างที่เขาบอกเธอในตอนแรก แต่ในประโยคสุดท้ายของบทความ เขากลับรู้สึกว่ามันควรจะมีสิ่งเหล่านี้อยู่บ้างในสังคม

‘When I’m feeling blue แต่ฉันจะมีชีวิตอยู่เพราะรู้ในคุณค่าของตัวเอง’


Get this widget | Track details | eSnips Social DNA



End of episode 1





ป.ล. ขอขอบคุณคุณพีทคุง ที่ให้ความช่วยเหลือในบางส่วนของเรื่อง

ป.ล.2 ขอบคุณเพลง "When I'm feeling blue" ของคุณโรส ศิรินทิพย์ ด้วยค่ะ




 

Create Date : 08 พฤศจิกายน 2552
5 comments
Last Update : 8 พฤศจิกายน 2552 2:04:25 น.
Counter : 813 Pageviews.

 

เพื่อนโรคจิตที่จ่ายเงินเดือนทุกเดือน น่าสนจังเลยครับ โฮะๆๆ แถมยังหล่อ ดูดี มีมารยาร้อยเล่มเกวียนแบบนี้ น่ากลัวจัง เอ๊ย น่าลอง แว้ก...

เพียงทรายเฮ้วได้อารมณ์มากๆ นึกตอนหัวฟูหูกระเจิงแล้ว... เอ่อ... ไม่จืดนะครับ แถมแปลงร่างได้เหมือนสาวซิมส์ซะอีก กร๊าก แน่มากๆ

อ่านแล้วอยากกินข้าวมันไก่อะ ง่ำๆ

 

โดย: คุณพีทคุง (ลายปากกา ) 8 พฤศจิกายน 2552 11:19:18 น.  

 

แวะมาทักแล้วก็มาบอกว่าเรื่องสั้นยังน่าอ่านน่าติดตามเหมือนเดิมค่ะ

 

โดย: ริวไผ่ IP: 118.173.216.138 8 พฤศจิกายน 2552 11:33:04 น.  

 

ทั้งกินใจ ทั้งฮา ...

ความ "สด" ทำให้งานเขียนลื่นไหลและได้อารมณ์จริงๆ

แต่กว่าจะได้ความสด นักเขียนก็หมดแรง.. กลายเป็นซิ้ม

พอได้เงินก็กลายเป็นซิมส์..

อิอิ

 

โดย: สัมผัสรักในใจเรา IP: 61.90.92.244 8 พฤศจิกายน 2552 19:11:38 น.  

 

ชอบ..!
รอ episode 2 เลย

 

โดย: ณ IP: 203.146.6.28 9 พฤศจิกายน 2552 22:16:40 น.  

 

สดๆๆ ซ้วบ

 

โดย: คุณพีทคุง (ลายปากกา ) 10 พฤศจิกายน 2552 10:10:03 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


BestChild
Location :
ชลบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ไม่ใช่คนเลว แต่ไม่ใช่คนดี
ไม่ใช่คนมีน้ำใจ แต่ไม่ได้เห็นแก่ตัว
ไม่ใช่คนใจร้าย แต่ไม่ใช่ผู้หญิงใจดี
ไม่ได้ต่อต้านใคร แต่ไม่ใช่คนยอมคน
รับรู้ในตัวตน และไม่สนใครจะว่าอย่างไร
รู้จักให้อภัย แต่ไม่ใช่ไม่รู้จักแค้น
เป็นผู้หญิงแท้ที่ชอบโชว์แมน แต่ความจริงแสนจะอ่อนโยน O_o!!!


~ สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 ~


"...มนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ที่เรียนรู้จากความผิดพลาด ไม่มีใครเป็นผู้บริสุทธิ์ที่ถูกต้องเสมอไปในโลกใบนี้ หากจะมีก็ให้ไอ้คนนั้นมันไปเป็นเทวดาเสีย อย่ามาเป็นคนให้เสียชาติเกิดกันเลย"

โรม / เพราะเธอ...เลอค่าอมตะ







"คนที่บอกว่าคุณไม่สวยคือคนที่ไม่ได้มองคุณรู้ไหม ถ้าหากเพียงมองคุณดีๆ รู้จักมองให้ถึงความเป็นตัวคุณแล้วก็จะรู้ว่าคุณน่ะสวย..."

ยอด / ผมก็เป็นพระเอกคนหนึ่ง







จิ๊กซอว์ที่ต่อกันได้พอดีทั้งสองฝ่ายมันไม่ใช่สิ่งที่จะซื้อหาง่ายๆ เมื่อได้มันมาแล้วต้องรักษามันไว้ให้ดี อย่าทิ้งขว้างเหมือนเป็นสิ่งที่หมดค่า เพราะรู้ไหม ว่าหากแกปล่อยมันหลุดมือไปแล้วความสูญเสียจะเทียบไม่ได้กับอะไรทั้งนั้น"

อวิกา / เพราะเธอ...เลอค่าอมตะ






"...ไอ้ผู้ชายมาดแต๋วที่พี่ก่นด่านักหนาตรงหน้านี่นะ...เท่าที่รู้จักมา บอกได้คำเดียว...โคตรแมนเลยเว้ยค่ะ"

นงนุช / แมน







คุณค่าที่ว่า ความรู้สึกในทุกๆ ใบหน้าของคนในรูปคือ 'ความสุข' ไม่เห็นจะต้องมีองค์ประกอบเป็นฉากสวยงาม

ลูกชุบ / สาวติสท์แตกกับหนุ่มไฮเปอร์







"...คุณกับผมอาจดูต่างกัน คุณเชื่องช้า ผมว่องไว คุณใจเย็น ผมใจร้อน คุณชอบจดจ้องและลากเส้น แต่ผมชอบมองผ่านเลนส์และกดชัตเตอร์ แต่รู้มั๊ยในจุดประสงค์ของทั้งหมดมันคือสิ่งเดียวกัน..."

นที / สาวติสท์แตกกับหนุ่มไฮเปอร์







"มันเป็นแค่ความทรงจำ จะดีหรือร้าย เราไม่สามารถลบมันออกไปได้ เก็บมันไว้ในอดีตและเดินต่อไปยังอนาคตข้างหน้า ปล่อยให้ความทรงจำเป็นเพียงแค่ความทรงจำ"

Matsumura Ryo / Hiroshima eki สถานีแห่งความทรงจำ








"...บางทีสิ่งที่แกเห็นมันอาจจะไม่เป็นอย่างนั้นก็ได้ เหรียญยังมีสองด้านได้เลยแก ประสาอะไรกับใจมนุษย์เล่า มันขึ้นอยู่กับว่าแกเลือกที่จะรับมันทุกด้านหรือเปล่า หากแกเลือกที่จะรับไว้เพียงด้านเดียวแล้วทุกข์ไปตลอดชีวิตน่ะมันคุ้มกันไหม..."

ลูกชุบ / เพราะเธอ...เลอค่าอมตะ









เฮ้อ... ผู้ชาย ไม่มีไม่ตาย แต่อยากได้สักคนแฮะ

"ฉัน"/ ท้องฟ้า หาดทราย สายลม ผมกระเจิง




ฝากคำทักทายไว้ด้วยจิ...รักตายเลย




ShoutMix chat widget




BestChild ในคอลัมน์นักเขียนรับเชิญ ลายปากกา 2009

BestChild ในคอลัมน์ "ลายรัก" ลายปากกา 2010




Friends' blogs
[Add BestChild's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.