Group Blog
 
 
กันยายน 2548
 
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
19 กันยายน 2548
 
All Blogs
 
..คำถามจากทุ่งนางพญา..

จากทริปสองสาวปั่นจื๊ดเราได้โอกาสไปลุยต่อที่อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง
จ.พิษณุโลก กับเพื่อนต่างวัย
ช่วงจังหวะพักประมาณ 7 วัน ทำให้อาการปวดจื๊ดหายเป็นปลิดทิ้ง ที่เค้าว่า.. เวลา จะช่วยเยี่ยวยารักษาแผลใจ (ไม่นึกว่าจะรวมแผลตรงจื๊ดด้วย) คงเป็นเช่นนี้กระมัง

เจ้าของจักรยานคันงาม ที่เคยให้เราหยิบยืมเมื่อครั้งสังขละฯ คราวนี้แกยกจักรยานขึ้นหลังคารถ เพื่อให้เราได้ปั่นโดยเฉพาะ
น้ำใจคนไทยหาซื้อได้ด้วยความจริงใจ ป๋าเจ้าของจักรยานน้ำใจงาม บุคคลที่มีอุปกรณ์ดำรงชีพในป่า พอจะให้คนซักสิบคนหยิบยืมได้โดยไม่ต้องคิดเขียม



ต้องขอบคุณ หนังสือเรื่อง เสือภูเขา แรมทาง ของอภินันท์ บัวหภักดี เพราะตั้งแต่หยิบหนังสือเล่มนี้มาอ่าน เรายังไม่กล้าปฎิเสธการชวนปั่นของใครได้เลยแม้ซักคน รวมทั้งคำชักชวนของตัวเอง แต่ไหนแต่ไรพวกเราถนัดแต่การเดินทางด้วยนิ้วโป้งซะส่วนใหญ่ เพื่อนชุดที่มีจักรยานเลยหาได้น้อยมาก จะให้พวกเราลงทุนซื้อกันคนละคัน คงไม่ไหว งบน้อยนิดอย่างพวกเราคงได้แต่อาศัยคนใจดีอย่างป๋านี่แหล่ะ (ชมไว้ โอกาสหน้าจะได้ยืมได้ง่ายๆ) แกบ้าไม่บ้าก็ลองคิดดู แกคนเดียวมีจักรยานตั้งสามคัน สามคันนี่ซื้อเพื่อให้คนอื่นปั่นหมด เฉพาะตัวแกเอง แกชอบงานบริการ ประมาณว่า มรึงปั่นไปเถอะ เด๋วตรูขับรถเซอร์วิสตามหลังให้..(ความมีน้ำใจเช่นนี้เรียกว่า ข้ออ้างคนแก่ แหะๆ)

เมื่อ 7 ปีที่แล้วเราเริ่มต้นเดินทางด้วยการชูนิ้วโป้งครั้งแรก กับเพื่อน 3 คนและน้องสาวอีก 1 คน ทุ่งแสลงหลวงเป็น ความใฝ่ฝันแรกที่เราตั้งใจโบกให้ถึง โบกโดยไม่มีพี่ๆมือเก๋ามาคอยกำกับ

ครั้งนั้นเรากำหนดระยะเวลาเดินทางทั้งหมด 10 วัน จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน แวะบ้านเพื่อนลพบุรี
นอนดูดาวที่ภูหินร่องกล้า ออฟโรดกับคนผ่านทางที่แหลงหลวง
เอาตูดผิงไฟที่น้ำหนาว ปิดท้ายทริปสาวๆที่เมืองเชียงม่วน บ้านเกิดเมืองนอน จบทริปด้วยรอยยิ้มปะปนสุขของทุกคน โดยเฉพาะสาวโบกอย่างเรา..

ใครจะไปรู้ว่าหลังจากการเดินทางครั้งนั้น หัวใจของใครคนนี้ได้เปิดรับเสน่ห์แห่งการเดินทางอย่างเต็มเปี่ยม รายละเอียดตามรายทาง น้ำใจของผู้คน ภาพความสวยงามจากสองข้างทาง ทำให้หัวใจเราพร้อมที่จะเรียนรู้ทุกก้าวย่าง มันเป็นไปตามความอยาก และมันก็เป็นเช่นนั้นตลอดมา

เราออกจากบ้านด้วยหัวใจพองโต คิดถึงแต่เส้นทางจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ถึงทุ่งนางพญา ปลายทางแรกเมื่อ 7 ปีก่อน
ทุกอย่างในความทรงจำดูจะเปลี่ยนไปมาก ทั้งถนนหนทาง สีเขียวตามรายทาง เส้นทางเข้าหมู่บ้านทานตะวัน เส้นทางที่เคยเป็นลูกรังสีแดง
ตอนนี้กลายเป็นถนนลาดยางสะดวกสบาย ไม่มีใครกล้าปฏิเสธความเจริญแม้กระทั่งตัวเราเอง
แต่สิ่งที่เราปฎิเสธคือ ความเจริญที่ทำให้วิถีชีวิตของคนบิดเบือน และมันก็ทำให้มนุษย์ลืมรากเหง้าของตัวเอง

รถบีเอ็มดับบลิว แบกจักรยาน 2 คัน วิ่งผ่านป้ายอุทยานขนาดใหญ่ ถัดจากป้ายใหญ่เป็นป้ายไม้ขนาดเล็ก ที่เขียนไว้ว่า “ทุ่งแสลงหลวง”
ภาพเพื่อนๆ รวมทั้งตัวเราเมื่อ 7 ปีก่อนยังแจ่มชัด หัวฟูๆ หน้าตาดำกระด่าง หอบถุงนอน กีตาร์ เป้ หม้อสนาม พะรุงพะรัง ยืนยิ้มกรุ้มกริ๋มโพสท์ท่าถ่ายรูป
หลายอย่างในชีวิตผ่านเข้ามาและจากไปรวดเร็ว วันเวลาที่ผ่าน เราได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างจากการเดินทาง แม้กระทั่งวันนี้ เพื่อนร่วมทางต่างวัย
กับสถานที่ที่เคยผ่านทาง เราจะเก็บความรู้สึกใดได้อีกน่า..
จากการเดินทางครั้งนี้



ป๋าขับรถมาจอดตรงดงสน ข้างสนามกีฬาอะไรซักอย่าง ถ้าเดาก็คงเป็นสนามฟุตบอล เบื้องหน้ามองไปจะเป็นทุ่งหญ้าสีเขียว เบื้องหลังของเบื้องหน้าไปอีกไกล เป็นภูเขาเล็กๆซ้อนกันประมาณ 3 ลูก ป๋าชี้ให้ดูว่า ตรงนั้นแหล่ะที่เราจะปั่นขึ้นพรุ่งนี้ มองดูแล้วไม่ใช่ปัญหาเลยสำหรับเรา ดูไม่สูงมาก คงปั่นง่ายกว่าที่คิด

ป๋าวางผังที่พักเสร็จสรรพ เรากับเพื่อนร่วมทางตัวจิ๋วก็ผูกเปลนอน ป๋ากับน้องสุดสวยกางเต็นท์และกางไฟส์ชีทของกองกลาง (ไฟส์ชีท มันคือหลังคาที่กันน้ำค้างตอนกลางคืน กันแดดตอนกลางวัน) ผิว่าเราจะได้นั่งคุยกันโดยไม่ต้องหัวเปียก จัดแจงตกแต่งที่พักอาศัยของใครของมันเสร็จ (ไม่นับป๋าที่เหนื่อยสุด เพราะต้องทำที่นั่งให้กองกลางด้วย) เราทั้ง 4 คน ก็นั่งพร้อมใจกันปั้น..จิ้ม ปั้น...จิ้มข้าวเหนียวที่ซื้อมาจากตลาด มื้อเย็นนี้อาหารกระป๋องทุกอย่างดูเหมือนจะอร่อยมากเป็นพิเศษ เรากินเสร็จก็ไม่ได้นั่งคุยกะใครเลย ตั้งใจพักผ่อนเก็บแรงไว้ปั่นวันพรุ่ง เฮ้อ..นอนดีกว่า....ฟี้ๆ




เช้าแล้ว...แต่กว่าจะได้ฤกษ์ได้ยามปั่น มัวแต่เกลือกกลิ้ง กิน นอน บนเปลอันแสนสุข นั่งเขียนโปสการ์ด วาดรูป เขียนจดหมายรักถึงชายที่ทิ้งรัก (จากเรา) อะไรต่อมิอะไรที่บรรยากาศของทุ่งหญ้าสีเขียวสดจะทำให้เราเป็นไปได้ กว่าเราจะได้ฤกษ์ได้ยามตั้งต้นออกปั่น ก็ปาเข้าไปตั้งบ่ายสามโมงเย็น (ป๋าบอกเริ่มตอนบ่ายก็ยังทัน) เรากับลูกสาวคนสวยของป๋าปั่นล่วงหน้าไปก่อน ป๋ากับน้องสาวไปซื้อยอดฟักแม้วเป็นเมนูอาหารเย็น นัดเจอกันบนทุ่งนางพญา

หัวใจเรามันออกอาการระริกระรี้ตั้งแต่ เช็คล้อจักรยานแล้ว ตรูได้ปั่นแล้วโว้ย ! ตรูจะได้ปั่นจักรยานแล้ว! ดั่งคนบ้า..และก็บ้าจริงๆ

ปั่นออกจากที่พักแบบเรื่อยๆ เป็นการเรียกน้ำย่อย เจอด่านแรก ผ่านตรงป้อม สีถนนที่ทำให้หัวใจนักปั่นกำมะลออย่างเราเต้นตึกตัก เพราะตอนปั่นกับเพื่อนไปสังขละ เจอแต่ถนนลาดยางสะดวกสบายตลอด



ผ่านป้อมก็เป็นทางลง ลมเย็นปะทะกับใบหน้า ผมเผิมปลิวสยาย ทุ่งหญ้าสีเขียวที่อยู่ด้านหน้ามันแสนจะยั่วยวนใจเสียเหลือเกิน

หึๆๆ ทุ่งนางพญา..เดี๋ยวเจอกัน อึบ... อึ๊บ..อึ๊บ ..บ่ะ อะไรว่ะเนี้ยะ อีกนิดเดียว อีกนิดเดียว อีกนิดเดียว...เฮ่อ!..

ไม่ทันไร ลงเข็นซะแล้วเรา ยามตรงป้อมยังมองมา เห็นอยู่เลย ไอหย๋า ! สบตากับยามเข้าอย่างจัง ตะกี้ทำเป็นยกย้ายส่ายหน้า ทำตาเชิด นึกว่ามันจะปั่นเก่ง (คุณยามคิด) ลงเนินมาได้แป๊ปเดี๋ยว เข็นซะแล้ว ขึ้นเนินเตี้ยๆแค่นี้ยังไม่ได้ แล้วหึกเหิมจะขึ้นทุ่งนางพญา ฝันไปเถอะ! นางสาวเพ็ญประภา(ว่าให้ตัวเอง) อ้าว ไหน คุณอภินันท์บอกว่าทุ่งแหลงหลวงเหมาะกับนักปั่นมือใหม่ไง ไหงมันเหนื่อยอย่างงี้หว่า

เข็นมาได้ซักระยะไกล ด้วยความกลัวว่าป๋าจะตามมาเห็นภาพอนาถาเลยฮึดสู้อีกครั้ง ลุกขึ้นมาปั่นจนถึงจุดชมพระอาทิตย์ขึ้น นอนพักกับนักปั่นรุ่นจิ๋วเกือบชั่วโมง ถามสังขารตัวเองว่าพร้อมหรือยัง...ก็ได้คำตอบเป็นคำถามกลับมาว่า “แล้ว มึงว่ามึงจะพักไปถึงไหน กูนอนเมื่อยแล้ว” นั้นหล่ะถึงได้ไปกันต่อ เพื่อนร่วมทางบอกว่า เนินข้างหน้านั้นอีกยาว และสูงชัน เหลืออีกเนินเดี๋ยวก็สบายแล้ว

สาวน้อยมหัศจรรย์แม้เคยมาปั่นพิชิตทุ่งแสลงหลวงหลายรอบแล้ว แต่ยังมีน้ำใจปั่นมาเป็นเพื่อนเราอีก น่านับถือจริง.. จับจักรยานขึ้นตั้ง พาดเท้าข้าม เตรียมตัวเดินทาง “สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปกปักรักษาที่นี่ ช่วยลูกด้วยเถอะ ขอให้ลูกมีแรงปั่นไปจนถึงนะเจ้าคะ” น่านว่ากันไปโน้น..และตั้งแต่จุดชมวิวก็เป็นทางขึ้นตลอด ขึ้น ขึ้น ขึ้น แล้วก็ขึ้น.... ขึ้น ขึ้น ขึ้น แล้วก็ขึ้น ดีที่จังหวะเปลี่ยนเกียร์ดี ช่วยดันเราให้ไปได้เกือบถึงยอด (เกือบถึง) ไม่ต้องเข็นยาว

คงเหมือนกับโชคชะตาของคนเรานั้นแหล่ะเนอะ บางครั้งก็มีขึ้นสูง บางครั้งก็มีลงต่ำ แต่ชีวิตจะเปรียบกับการปั่นจักรยานก็ไม่ใช่ ซะทีเดียว ไอ้ปั่นตอนขาลงมันสุดแสนจะสนุกสุดๆๆ แต่ขาลงของชีวิตนี่ดิ... อย่าให้ได้สาธยาย เชื่อว่าทุกคนคงเคยผ่านช่วงเวลานั้นมาแล้ว

ระหว่างทางที่จวนจะถึงยอดชันสุดท้าย เจอกับหนุ่มเจ้าหน้าที่สองนาย ทำรถเสียอยู่กลางทาง ป๋าไม่มีสิทธิขึ้นไปรอรับเราได้ เพราะรถพี่เจ้าหน้าที่จอดหราอยู่กลางทาง สอบถามพี่ทั้งสอง ได้คำตอบที่ไม่น่าพอใจเลยว่า “สามทุ่มแหล่ะน้องเอ้ย กว่ารถพวกพี่จะไปได้” บ่ะแล้วทำไมต้องมาเสียวันนี้ด้วยว่ะ แล้วเสียตรงไหนไม่เสีย ดันมาเสียตรงกลางทางขึ้นเนี้ยะนะ แต่คนอย่างเรารึจะเชื่อ ไหนๆก็ตั้งใจมาปั่นแล้ว ยังไงก็ต้องให้ถึงทุ่งแหล่ะว่ะ

ถึงทุ่งสนต้นใหญ่ สวยมาก อากาศเย็นสบาย ที่สำคัญปั่นง่าย เป็นที่ราบมีเนินบ้างนิดหน่อย พอให้ปั่นได้ไม่เหนื่อย สูดเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าไปเก็บไว้เต็มปอด ไม่รู้ว่าตอนถึงกรุงเทพจะแบ่งให้ใครได้หรือเปล่า อาจแบ่งในสถานะที่มีกลิ่นนิดหน่อย หรือไม่ก็มีเสียงแถมมานิดๆ ไม่รู้ว่าเพื่อนๆปลายทางจะเต็มใจรับไหม ลมบางๆปะทะใบหน้าบานๆตลอดทางที่ราบทุ่งสนใหญ่ (ไม่รู้ชื่อลานจริงๆเค้าว่าไง แต่จำได้ว่ามีสนต้นใหญ่ๆ เป็นที่ราบค่อนข้างกว้าง)



ความสดชื่น ไม่รู้มาจากไหน แม้ในปากจะไม่มีลูกอมเมนทอลก็ตาม ปั่นไปเรื่อย ได้ยินเสียงอะไรสวบส้าม สังเกตว่าน้องเค้าก็ได้ยิน

คนเรานี่ก็แปลก เหมือนอยู่ในที่มืด ทุกคนจะรู้ว่าไม่ควรพูดถึงอะไร แต่ในใจทุกคนรู้ว่า..น่าจะมีอะไร เหมือนอยู่ในป่า เค้าห้ามพูดถึงเสือ ถ้ามีใครพูดให้ตบปากหนึ่งที เพราะไปสกิดต่อมกลัว กลัวว่า..มานจะโผล่มาหยอก

ครั้งนี้ก็เหมือนกัน เราก็กลัว น้องเค้าก็กลัว กลัวอะไร..ไม่รู้ แต่ยิ่งปั่น ยิ่งวังเวง คำพูดของเจ้าหน้าที่สองนาย แว่วผ่านหู “อันตรายนะครับ ข้างบนมีเสือ แถมสัตว์น่ากลัวๆอีกหลายชนิด อย่าขึ้นไปเลยครับ มันใกล้มืดแล้ว” สวบๆๆ.. ยังได้ยินตลอดทาง

“กรี๊ดดดดดดดดดด” เสียงเพื่อนร่วมปั่นร้องลั่นป่า ไอ้ตัวประหลาดที่เราเรียกว่า...ตัวเงินตัวทองยาวเกือบสองเมตร ตัวใหญ่เบ้อเริ่มเทิ่ม วิ่งตัดหน้ารถ หัวใจแทบวายปราณเพราะเสียงกรี๊ด ไม่ใช่เพราะน้องเงินน้องทองนั่น

น้องเค้าหน้าซีดจนเราสังเกตเห็นชัดเจน ด้วยความอยากขึ้นให้ถึงทุ่งนางพญาขนาดหนัก หนึ่งคือ ใครจะกล้าปล่อยให้ปุ้กปั่นลงคนเดียว สอง(อันนี้สำคัญ) ใครจะกล้าปั่นขึ้นไปทุ่งนางพญาคนเดียว

“ไม่มีอะไรหรอก ป่ะไปกันต่อเถอะ” ทำเป็นไม่สนใจ เลวจริงๆเราเนี้ย เราสองคนผ่านลานสนใหญ่มาแล้ว จากสนใหญ่ก็เป็นป่าดิบสน (ต้นไม้ใหญ่ ทึบ แสงลอดผ่านไม่ค่อยถึง) ผ่านป่าดิบก็จะถึงทุ่งนางพญา (น้องเค้าบอก)

“กลับกันเถอะ กว่าเราจะปั่นถึง พ่อก็ขึ้นมารับไม่ได้ มันมืดแล้ว” ส่งสายตาอยู่นานสองนาน ทั้งวิงวอน ขอร้อง และร้องขอ สารพัดที่จะทำได้ทางสายตา ฝ่ายตรงข้ามก็ใช่ย่อย ใช้สายตาไม่แพ้กัน
“อืม ก็ได้” นั่นเป็นคำพูดสุดท้าย

คนเรานี่ก็แปลก ตั้งหน้าตั้งตาจะให้ไปถึงแต่ปลายทาง โดยไม่ได้มองว่า แท้จริงแล้วความสุขของการเดินทาง ก็คือ เส้นทางก่อนจะถึงปลายทางนั่นเอง

ทริปนี้ปนไปด้วยความเหงาๆ หลายอย่าง คิดถึงทั้งการเดินทางไกลที่ใกล้มาถึง คิดถึงคนปลายทางที่เคยร่วมทาง

วันนี้เราร่วมทางกับเพื่อนของคนที่ปลายทาง หลายบทสนทนายังกล่าวถึง เพราะยากจะหลีกเลี่ยง พยายามเบี่ยงแบน ลี้หนี แต่หาได้สำเร็จไม่ ที่เค้าว่า หนียังไงก็หนีไปพ้น แม้จะไกลซักกี่หมื่นลี้ มันก็ยังอยู่กะเราเสมอ ก็แน่ล่ะสิ ก็มันอยู่ในใจเรานี่ไง.. บอกตัวเองแบบโง่ๆ ว่าจะไม่เดินทางกะป๋าอีก

หลายครั้งคนเรา อยากกลับไปหาอดีต เพียงเพื่อจักแก้ไขให้อดีตมันดีขึ้นเพื่อปัจจุบัน หรือเพื่ออยากกลับไปสัมผัสความสุขจากเรื่องราวในอดีต แล้วทำไมคนเราไม่คิดจะสัมผัสมันจากปัจจุบัน หรือเรากลัวที่จะเริ่มต้นกันแน่..




Create Date : 19 กันยายน 2548
Last Update : 23 กุมภาพันธ์ 2550 11:05:38 น. 3 comments
Counter : 720 Pageviews.

 
แวะมาเยี่ยมครับ ไปดูรูปผมไปเที่ยวมาบ้างยัง? มีรูปให้ดูเยอะน่า


โดย: Bluefriday วันที่: 9 พฤศจิกายน 2549 เวลา:3:50:44 น.  

 
อยากไปด้วยอ่า


โดย: RoCkY HeArT (rocky heart ) วันที่: 28 พฤศจิกายน 2549 เวลา:12:48:43 น.  

 
ยังไม่ลืม ไม่รู้ใครเคยชวนไปปั่นจักรยานด้วยกัน เมื่อไหร่จะมีโอกาสนั้นสักครั้ง

ยังคงรอคอยวันนั้นอยู่เสมอ...


โดย: น้ำตาเทียน IP: 158.108.209.247 วันที่: 21 มีนาคม 2550 เวลา:0:06:21 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ก้อนหินริมทาง
Location :
Boston United States

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add ก้อนหินริมทาง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.