|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
ครูนูญ
ฉันกลับบ้านพร้อมกับแบกความรู้สึกกลับมาหลายหลาก ด้วยความรู้สึกคิดถึงบวกกับไม่มีที่ไป เหมือนพ่ายแพ้แต่ก็ไม่ถึงกับแพ้ซะทีเดียว ยังมีข่าวคราวของความสำเร็จเฉพาะในความรู้สึกของเรากลับมาฝากพ่อกับแม่ พ่อบอกฉันว่าไม่มีพ่อแม่คนไหนอยากให้ลูกอยู่ไกลบ้าน ไกลอ้อมอกอุ่นๆ ส่วนเราก็อยากบอกพ่อเหมือนกันว่า จะมีลูกคนไหนอยากอยู่ไกลบ้านบ้างก็แล้วแต่ แต่ลูกอย่างฉันไม่เคยอยากอยู่ห่างบ้านเลย
ฉันมีกำหนดเดินทางไปอเมริกาอย่างคร่าวๆ อีกประมาณ 2 เดือน ด้วยอารมณ์อยากบอกว่า ลูกทำได้แล้วนะพ่อ แม้บางคนในเมืองหลวงหรือแม้แต่คนที่มีโอกาสดีกว่าฉันจะได้เดินทางไปเป็นร้อยๆครั้งในรอบปี แล้วกระดกริมฝีปากถากถางฉันก็ตาม แต่ในใจลึกๆฉันเองก็ภูมิใจที่มีแรงต่อสู้ดิ้นรน รวมทั้งขวนขวายจนมีแววจะได้ไปและในที่สุดฉันก็ได้ไปจริงๆ
โครงการ AuPair Care เป็นโครงการร่วมกันระหว่างรัฐบาลอเมริกากับประเทศเพื่อนบ้าน เปิดโอกาสให้เด็กผู้หญิงซึ่งมีอายุตั้งแต่ 18 - 26 ปี ได้เรียนและทำงานที่อเมริกา มีเงินค่าเล่าเรียนให้ในระยะสั้น มีที่พักและอาหารให้ตลอดระยะเวลา 1 ปี ซึ่งเราจะตอบแทนเขาโดยการทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงดูแลเด็กในครอบครัวที่เข้าร่วมโครงการนี้ แม้จะยังไม่เกิดขึ้นแต่ฉันก็รู้สึกตื่นเต้น ฉันจำเป็นต้องเก็บชั่งโมงในการอยู่กับเด็กเล็กๆถึง 200 ชั่วโมง การเลือกมาทำอะไรอย่างนี้ที่บ้านด้วยเหตุผลอย่างเดียวคือประหยัดเงิน
20 กันยายน เป็นวันเริ่มต้นของการเก็บชั่วโมง ฉันใช้เวลาอยู่กับเด็กตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึง 3 โมงเย็น ทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ ฉันรู้สึกว่าเวลาช่วงนี้ของฉันเชื่องช้ากว่าปกติ ไม่น่าเชื่อหมู่บ้านที่เคยครึกครื้น จนได้ชื่อว่า เมืองม่วน (ม่วน - สนุก) จะเงียบเหงาเพียงนี้ ครั้งหนึ่งตั้งใจไปหาซื้อกระติบใส่ข้าวเหนียวฝากเพื่อน กว่าจะหาได้ยากกว่าที่คิด ต่างกับเมื่อครั้งที่ฉันเป็นเด็ก พวกจักสานมีให้เห็นเกลื่อนกลาด ผู้เฒ่าผู้แก่ที่เคยจักสานเป็นในอดีต คงล้มหายตายจากไปเกือบหมดแล้ว กระติบข้าวธรรมดาๆเลยดูเป็นของมีค่าหายากในปัจจุบัน
เดินหาซื้อตามคำบอกของคนต่อคน ชี้ไปบ้านโน้นต่อไปบ้านนี้ ชี้ไปบ้านนี้ต่อไปบ้านโน้น จนมาถึงบ้านหลังที่มีกระติบข้าวให้ซื้อได้จริง ยายเจ้าของบ้านยิ้มทักทายอย่างสนิทสนมคงเป็นเพราะพ่อของฉันเป็นที่รู้จักของชาวบ้าน เนื่องจากเคยทำงานรับใช้สังคมในฐานะ กำนัน นานถึง 6 ปี ฉันมองไปรอบๆด้วยความรู้สึกเหงาจับใจ บ้านไม้หลังเก่าๆ 4 - 5 หลัง มีผู้เฒ่านั่งแกะลำไยอบแห้งอยู่ใต้ถุนบ้าน 3-4 คน เด็กตัวเล็กๆ ฉันเดาเอาว่าน่าจะเป็นหลานมากกว่าลูก วิ่งไล่กันสนุกสนานบนลานกว้างระหว่างบ้าน มีคำถามเกิดขึ้นกับฉันมากมาย คนหนุ่มสาวหรือแม้กระทั่งผู้ใหญ่วัยทำงานหายไปไหนหมด ฉันซื้อกระติบข้าวโดยไม่ต่อราคายายเลยแม้แต่บาทเดียว ต่างกับทุกครั้งที่ซื้อของในเมืองกรุง ฉันส่งกระติบข้าวให้เพื่อนทางไปรษณีย์ คิดนึกในใจว่าเพื่อนคงชอบของขวัญชิ้นนี้มาก พอๆกับฉัน
เช้าวันพุธ ที่ 22 อากาศสดชื่นกว่าวันใดๆ นับตั้งแต่ฉันเริ่มเก็บชั่วโมงกับเด็กมา ฟ้ากระจ่างใสไม่มีฝนเหมือนวันก่อน ฉันไปโรงเรียนเร็วกว่าปกติ เพราะชอบขี่มอเตอร์ไซค์ยื่นหน้าบานๆโต้ลมเย็นๆ มันทำให้รู้สึกเหมือนเราได้สัมผัสกับตัวจริงของลม ระหว่างทางมีโอกาสได้แวะทักทายผู้คนเรื่อยมาจนถึงโรงเรียน สังคมบ้านนอก (ฉันชอบคำนี้จัง บ้านนอก ) มักมีอะไรเล็กๆน้อยๆให้ได้ชุ่มชื่นหัวใจอย่างนี้เสมอ มิตรไมตรี รอยยิ้มบวกกับสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ ต่างกับในเมืองใหญ่ ผู้คนต้องเร่งรีบแข่งขัน ขาดการแบ่งปัน บ้างมีน้ำใจ บ้างหลอกลวง บ้างหวังผลต่างๆนานา
ฉันเดินดูโดยรอบโรงเรียน แต่ก่อนอาคารเรียนแต่ละหลังยังเป็นอาคารไม้ ชาวบ้านช่วยกันลงทุนลงแรง เพื่อให้ลูกหลานได้มีที่เรียนหนังสือ ตั้งแต่เกิดพายุเมื่อครั้งปี 2533 อาคารคอนกรีตขนาดใหญ่ก็ถูกสร้างขึ้นใหม่ ทดแทนของเก่าที่สูญหายไปกับภัยธรรมชาติ อาคารเรียนไม้หลังเก่าออกแบบง่ายๆไม่สลับซับซ้อน ด้านหลังอาคารเป็นทุ่งนา เด็กหลายคนแอบมุดรั้วไปวิ่งเล่นบ่อย หนึ่งในหลายคนคือฉันด้วย อาคารไม้ชั้นเดียวยกสูงจากพื้น ฉันกับเพื่อนๆยังได้จับแปรงทาสี ลงแชล็คกันเองตอนที่โรงเรียนประกาศซ่อมแซมอาคาร เดินย้อนอดีตเรื่อยเปื่อยจนถึงที่ๆเคยเป็นสนามเด็กเล่น ตอนนี้กลายเป็นห้องเรียนวิชาเกษตรไปเสียแล้ว ฉันไม่เคยนึกตำหนิการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น บางครั้งแค่รู้สึกเสียดายภาพความทรงจำเก่าๆที่นานวันยิ่งเลือนลางตามกาลและเวลา
ห้องเรียนวิชาเกษตร ซึ่งแต่ก่อนเคยใช้เป็นสนามเด็กเล่น ดูมีชีวิตชีวามากกว่าห้องเรียนอื่นๆใน โรงเรียน ฉันถือวิสาสะเดินเข้าไปดูโดยไม่ได้ขออนุญาตใคร สวัสดีค่ะครู ฉันแปลกใจเมื่อเห็นครูประจำวิชานั่งทำงานในห้องคนเดียวแต่เช้า ครูมนูญ หรือครูนูญ ที่ทุกคนรู้จัก เจ้าของห้องเรียนเกษตรอันร่มรื่น ว่าไง...มาถึงนี่ได้ยังไงวันนี้ คำถามที่คล้ายคำทักทายแรกของเช้าวันนี้ แม้จะเคยทักทายกันบ้าง ในบางวันที่ได้เจอ แต่วันนี้ความรู้สึกฉันดูเหมือนจะพิเศษมากกว่าวันอื่นๆ ครูลุกขึ้นจากเก้าอี้ให้ฉันนั่ง ฉันบอกครูว่า วันนี้อากาศดีเลยทำให้อยากมาโรงเรียนแต่เช้า ครูตอบว่าแกก็รู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน ครูกำลังนั่งเขียนเอกสารเกี่ยวกับมะขามอยู่ ตั้งใจจะรวบรวมเป็นเล่มแต่ยังไม่มีโอกาส ฉันจึงไม่อยากรบกวนแค่ถือโอกาสขออนุญาตเดินดูรอบๆอีกซักหน่อย
บอร์ดนิทรรศการเล็กๆตั้งอยู่ข้างฝา รูปภาพของเด็กๆร่วมมือกันทำแปลงผัก อัดฟางลงถุงเพาะเห็ด มีภาพของชาวบ้านร่วมทำกิจกรรมกับเด็ก มีผลงานเป็นชิ้นสำเร็จตั้งอวดโฉมยืนยันรูปภาพอีกที ฉันนึกย้อน...ถึงวันที่ครูเคยสอนให้ฉันติดตาต่อกิ่ง ฉันไม่ใช่เด็กเก่งแต่อาศัยว่าขยันและเผอิญติดตาต่อกิ่งได้ดีกว่าเพื่อน ครูส่งฉันไปประกวดการติดตาในงานวันเด็กประจำอำเภอ ฉันยังจำความรู้สึกวันนั้นได้ดี ฉันซ้อมติดตากับต้นมะม่วงทุกวัน พอไปแข่งขันดันไปทำกับต้นเฟื่องฟ้า ซึ่งจริงๆแล้วมันก็ไม่ได้แตกต่างกันมากมาย เพียงแต่ฉันรู้สึกว่ามันทำยากกว่าต้นมะม่วงที่ฝึกมาหลายเท่า ตำแหน่งที่ 1และที่ 2 เลยตกเป็นของโรงเรียนอื่น ส่วนฉันได้แค่ที่ 3 เพราะมีกันแค่สามคน ฮ่าๆๆ จวบจนปัจจุบันฉันจบปริญญาตรีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ คณะเกษตร สาขาวิชาพืชสวน ได้เรียนรู้เรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับพืชมากขึ้น แต่ความรู้วิชาเกษตรจากชั้นประถมที่ครูนูญสอนก็ยังติดตัวมาจนถึงทุกวันนี้
ฉันโตพอที่จะมองเห็นว่า นโยบายในการพัฒนาประเทศนั้นสำคัญมาก แนวทางที่จะนำพาประเทศให้เป็นไปใน ทิศทางใดนั้นขึ้นอยู่กับแผนพัฒนาประเทศทั้งหมด ตอนฉันเรียนอยู่ชั้น ป.6 คุณครูวิชาสปช. (ส่งเสริมประกบการณ์ชีวิต) สอนว่า ประเทศไทยต้องเป็น "นิกส์" ทราบจากการท่องจำว่า "นิกส์ คือ ประเทศอุตสาหกรรม" ความจริงแล้วประเทศไทยเป็นเมืองของเกษตรกร ผู้คนส่วนใหญ่ทำมาหากินภาคเกษตร ดังนั้นเราน่าจะเจริญเติบโตในทิศทางที่เกื้อหนุนพื้นฐานใดๆที่เรามีอยู่แล้ว เพราะถือว่านั้นคือต้นทุน แต่นั่นแหล่ะฉันก็เป็นแค่พลเมืองในประเทศคนหนึ่งที่ต้องยอมรับและปฏิบัติตามแนวทางเหล่านั้น เช่นเดียวกันกับพลเมืองคนอื่นๆ
"คุณครูคะ ตอนนี้ครูมีโครงการอะไรที่อยากทำบ้างไหมคะ" "ครูหรือ" ครูนูญคงงงๆที่อยู่ๆฉันก็ถามขึ้นมาเฉยๆ หลังจากเจอกับครูนูญวันนั้น ให้หลังอีกสองวัน ฉันก็หาโอกาสแวะ มาเยี่ยมเยียนห้องเรียนเกษตรอีกครั้ง "ก็มีเหมือนกันนะ ครูคิดมานานแล้ว แต่ไม่ได้ทำซักที ครูอยากทำไร่นาสวนผสม ปลูกหลายๆอย่างรวมกัน อยากให้เด็กมีรายได้" "ยังไงหล่ะคะ" ฉันพอจะรู้จักคำว่า เกษตรผสมผสานมาบ้าง และคิดวางแผนไว้ว่าจะทำหลังจากกลับจากอเมริกา "ก็มีปลูกทั้งไม้ผล พืชผักสวนครัว พืชไร่ ปลูกผสมกันทุกอย่าง อย่างพืชสวนครัวเราก็จะได้รายได้เป็นรายวัน พืชไร่ก็เป็นรายเดือน ไม้ผลก็จะเป็นรายปี" ครูเล่ายาวถึงโครงการที่ตนคิดอยากทำ แต่ไม่ได้ทำเนื่องจากโรงเรียนไม่มีที่ดินว่างเพียงพอที่จะให้ทำอย่างที่คิด "วิชาเกษตรนอกจากนั่งสอนทฤษฎีในห้องเรียนแล้ว เด็กๆต้องได้ฝึกปฏิบัติกันจริงๆ ถึงจะบรรลุวัตถุประสงค์ ที่เคยทำมา ก็ทำได้เท่านี้" ครูชี้ให้ดูแปลงผักบุ้ง 2-3 แปลง ซึ่งอยู่ในบริเวณห้องเรียนเกษตร ครูเล่าให้ฉันฟังถึงที่ดินแปลงเล็กๆ ซึ่งอยู่นอกโรงเรียน แต่ก่อนเคยทำเป็นเล้าไก่ ให้เด็กๆได้ฝึกปฏิบัติ และขายได้กำไรดีทีเดียว แต่ชาวบ้านใกล้ๆเค้า ไม่ชอบใจ เพราะขี้ไก่ส่งกลิ่นไปรบกวนชาวบ้านเค้า โครงการเลยหยุดชะงักไป เช้านี้ฉันสังเกตเห็นเด็กๆเดินเข้าออกห้องเรียนเกษตรตลอด ครูบอกก่อนที่ฉันจะเอ่ยปากถาม "เด็กๆจะดีใจมาก ถ้าได้เก็บผลผลิตและได้เงินกำไรจากสิ่งที่พวกเค้าทำเพราะหมายความว่าเค้าจะได้เงินไปซื้อเชื้อเห็ดก้อนใหม่" กริ่งสัญญาณเคารพธงชาติดังขึ้น ฉันขอตัวครูกลับไปเตรียมตัวสอน "ครูคะ วันหลังหนูขออนุญาตมาคุยกับครูอีกนะคะ" ครูยิ้มให้ฉันแทนคำตอบรับ
ฉันหาโอกาสไปนั่งคุยกับครูอีกหลายครั้ง ภาพของครูคนหนึ่งชัดเจนมากในความรู้สึกของฉัน 32 ปีในอาชีพครู ประสบการณ์และระยะเวลาอันยาวนานบนหนทางนี้ หาได้สั่งสมเป็นความท้อแท้และเหนื่อยหน่ายไม่ ครั้นแต่จะก่อตัวขึ้นมาเป็นมวลแห่งความศรัทธา เชื่อมั่นและพลังอันแน่วแน่ น้อยคนนักที่จักมีความสุขกับงานได้นาน แม้จะได้ค่าตอบแทนมากมายขนาดไหนหรือแม้แต่จะเป็นงานที่ตนรัก ทุกคนมีขอบเขตของความอดทนเสมอ แต่ไม่ใช่กับครูคนนี้
"อยากให้ผลส่งถึงชาวบ้าน สมมุติว่า เราสอนเรื่องการปลูกมะขามกับเด็กๆ แล้วเด็กสามารถนำความรู้ที่ได้ ไปถ่ายทอดให้กับชาวบ้านได้ เหมือนเป็นวิทยากรน้อย เป็นสื่อกลางให้เรากับชาวบ้าน อยากจะพัฒนาคุณภาพชีวิต เคยเห็นสภาพชาวบ้านแล้วเราสงสาร เค้าไม่ค่อยมีรายได้" นี้คือเป้าหมายสูงสุดในการทำงานของครูนูญ ครูนูญบอกกับฉันว่าตลอดชีวิตของความเป็นครู ครูไม่สามารถทำเป้าหมายนี้ให้สำเร็จได้และรู้สึกเสียใจที่เป้าหมายของตนไม่บรรลุ ฉันถามว่าแล้วทุกอย่างที่ครูทำมาไม่ถือเป็นความสำเร็จแล้วหรือ ครูบอกว่าใช่ แต่เป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ฉันถามครูถึงสาเหตุที่ทำให้โครงการหลายอย่างของครูไม่บรรลุเป้าหมาย ครูบอกว่าเป็นเพราะเราไม่มีสวนสาธิต เราทำให้เขาดูไม่ได้ ชาวบ้านเขาไม่เกิดศรัทธา เขาก็ทำการเกษตรแบบเก่าๆต่อไป
แต่ด้วยเป้าหมายที่แน่วแน่ของครูนูญ เด็กนักเรียนหลายคนนำความรู้ที่ได้จากวิชาเพาะเห็ดไปบอกต่อพ่อกับแม่ที่บ้าน ด.ช.จำลอง ราภิยะ เด็กนักเรียนชั้น ม.3 ด้วยลักษณะที่กล้าแสดงออกและตำแหน่งเจ้าหน้าที่ห้องสมุด จำลองได้รับหน้าที่เป็นผู้อ่านเกร็ดความรู้หน้าเสาธงให้เพื่อนๆฟังเป็นประจำทุกวัน จำลองบอกว่าตนเคยนำเรื่องการเพาะเห็ดของครูนูญไปอ่านหน้าเสาธงตอนตนเรียนอยู่ชั้น ม.2 ที่สำคัญจำลองได้เรียนรู้เรื่องการเพาะเห็ดตั้งแต่เรียนอยู่ชั้น ม.1
"มีเห็ดฟาง เห็ดหูหนูแล้วก็เห็ดนางรมครับ" จำลองตอบด้วยท่าทางหนักแน่นอย่างทหาร "ทำขายด้วยกินด้วยครับ พอได้เงินมาเราก็เอาทุนไปคืนครู ส่วนกำไรเราก็เอาไปซื้อเชื้อมาเพาะต่อ" ฉันขอให้จำลองเล่าถึงวิธีการเพาะเห็ดอย่างคร่าวๆให้ฟัง เผื่อว่าวันใดฉันสนใจจะได้ใช้ความรู้ที่ได้จากจำลองมาประกอบอาชีพบ้าง "ตอนแรกก็ซื้อฟางจากชาวบ้านมาแช่น้ำก่อน 1 คืน แล้วเอามากองและหว่านปุ๋ย ทิ้งไว้ 3 วัน พี่ก็กลับกองฟาง แล้วก็ใส่ปูนขาวกับดีเกลือ" "ปุ๋ยสูตรอะไรครับผม" ฉันถาม "46-0-0 ครับ" จำลองตอบอย่างรวดเร็ว "เสร็จแล้วก็ทิ้งไว้อีก 3 วัน พี่ก็กลับกองฟางอีกครั้ง คลุกผสมให้เข้ากัน อัดฟางใส่ถุงจากนั้นก็เอาไปนึ่งในถัง 200 ลิตร พอนึ่งเสร็จก็เอาไปเก็บไว้ในห้องที่ลมสอบถึง เปิดจุกสำลีแล้วเทเชื้อที่ซื้อมาใส่ อย่าวางสำลีกับพื้นนะครับ ให้ถือด้วยนิ้วก้อยไว้ ปิดจุกสำลี แล้วนำไปเรียงเก็บไว้ในห้องมืดเหมือนเดิม ทิ้งไว้ประมาณ 3-4 อาทิตย์ มันจะออกมาคล้ายๆใยสีขาว เราจะเอามีดกรีดถุง รอให้ดอกออก ก็เก็บผลผลิตได้" "เอ้อๆๆ เก็บดอกก่อนนะครับ ค่อยรดน้ำ แล้วคอยเก็บดอกชุดต่อไป" จำลองเล่าอย่างผู้ชำนาญการ "เราเก็บเห็ดได้ตลอด จนกว่าถุงจะขาดหรือฟางจะเน่าหมดถุง" จำนองเป็นเด็กขยัน เขานำความรู้จากการเรียนไปเล่าให้พ่อฟัง พร้อมกับแนะให้พ่อเพาะเห็ดอย่างที่เค้าเคยทำ "ผมคิดว่าเราซื้อเห็ดตามตลาดมันแพง อยากเพาะกินเอง เพราะวิธีทำมันใช้ทุนน้อย ซื้อแต่เชื้อ ขวดละ 6 บาทและผม ก็ชอบกินเห็ดฟางมากครับ" นั่นเป็นความคิดเห็นของ ด.ช.จำลอง ที่มีต่อวิชาเพาะเห็ดและดอกเห็ดที่เค้าโปรดปราน
ขณะที่เด็กๆกำลังจะเรียนรู้เรื่องราวของการประกอบอาชีพพื้นฐานในบ้านเกิด เชียงม่วนกลับเงียบเหงาเพราะผู้คนต่างพากันโยกย้ายถิ่นฐานเพื่อไปทำงานหาเลี้ยงชีพในต่างแดน ผู้เฒ่าผู้แก่ ปู่ย่าตายาย รอคอยการกลับมาเยี่ยมเยือนของลูกหลานวันแล้ววันเล่า ในวันเทศกาลเชียงม่วนจึงดูครึกครื้นเป็นพิเศษ มีรอยยิ้มเกิดขึ้นทั่วทุกครัวเรือน แม้ว่า...วันหนึ่งพวกเค้าเหล่านั้นจะกลับมาแค่เผาศพบุพการีก็ตามแต่ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ พวกเค้าต้องการเงินในการดำรงชีพ แนวคิดของครูนูญทำให้ฉันต้องกลับมานั่งคิด ทบทวนการกระทำอีกครั้ง วันนี้เรากำลังทำอะไรอยู่
ครูนูญสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง ครูเป็นโรคความดัน ครูบอกว่าบางครั้งเจ็บขึ้นหน้าอก บางครั้งปวดตา ปวดหัว ลุกนั่งเร็วไม่ค่อยได้ ฉันมองภาพจริงของครูที่นั่งอยู่ตรงหน้า ผมขาวเริ่มทำหน้าที่ตามวันและเวลา ริ้วรอยเหี่ยวย่นก็เหมือนกัน มันทำหน้าที่ของมันได้อย่างซื่อสัตย์ รอบตาขาวครูเห็นเป็นเส้นเลือดเล็กๆ สีแดง ทุกอย่างกำลังเป็นไปตามธรรมชาติ "ช่วงนี้ครูไม่ค่อยไหวแล้ว สุขภาพไม่ดี เคยคิดจะยื่นใบลาออกครั้งหนึ่งแล้วกับแฟนครู แต่ก็ต้องล้มเลิกไปเพราะเศรษฐกิจในครอบครัวยังไม่พร้อมจะให้ออก" ครูนูญเล่าไปยิ้มไปเหมือนว่าเรื่องราวที่เล่าไม่ได้ทำให้แกทุกข์ใจแต่อย่างใด ฉันนึกถึงบทความหนึ่งของธีรภาพ โลหิตกุล จากหนังสือเรื่อง "คนดลใจ" ในตอนที่พูดถึง "ลุงหลู่" ครูที่รักและเห็นคุณค่าศิลปะการรำนกและรำดาบของพวกไทใหญ่ ท่านได้ถ่ายทอดศิลปะนั้นให้กับเด็กๆจนเสียชีวิตตามวัยและเวลา ฉันจำข้อความหนึ่งได้แม่น ธีรภาพ เขียนไว้ว่า "งานศพที่ดูต่ำต้อยของ "ครู" ผู้ยิ่งใหญ่" น่าเสียดายที่ลุงหลู่มิอาจรับรู้ได้ว่าวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ของแก ถูกนำมากล่าวยกย่องหลังจากแกได้จากโลกนี้ไปเสียแล้ว เช่นเดียวกัน ฉันเองก็ไม่อยากยกย่องครูนูญ วีรบุรุษในใจ ในตอนทื่ไม่มีท่านอยู่บนโลกนี้แล้ว
ด้วยความมีน้ำใจ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงานหรือเพื่อนต่างสายงาน ในฐานะที่ครูนูญเคยทำงานเป็นคณะกรรมการสร้างคู่มือการอบรมของกรมการศึกษา ดังนั้นเมื่อใดที่มีการทำตำแหน่งเกิดขึ้น ครูทั้งในและนอกโรงเรียนต่างต้องการครูที่ปรึกษาคนนี้เสมอ "ก็ช่วยเค้า เท่าที่พอจะทำได้ หลายครั้งครูจากแถบอีสาน ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคเหนือเขียนมาขอคำปรึกษาการจัดทำผลงานทางวิชาการ เราก็ต้องช่วยเค้าเพราะเราสงสารเค้า" "บางที่หาข้อมูลให้เค้าถึงเที่ยงคืน ตีหนึ่งยังไม่ได้นอน ก็ต้องยอมเพราะเราอยากช่วย แต่ช่วงนี้ครูไม่ค่อยไหวแล้ว" ครูนูญบอกว่า พวกเขาทราบที่อยู่และเบอร์โทรจาก ปกหลังของหนังสือแนวทางการพัฒนาผลงานทางวิชาการโครงการปฎิรูปการเรียนรู้สู่การพัฒนาวิชาชีพครู สายงานครูผู้สอน เพราะครูนูญเป็นหนึ่งในคณะกรรมการที่จัดทำหนังสือเล่มนั้น พอพวกเขาเห็นก็ติดต่อมา ครูรู้สึกดีใจที่ได้ช่วยให้ครูด้วยกันมีตำแหน่งที่สูงขึ้น นั่นหมายถึงอัตราเงินเดือนที่เพิ่มมากขึ้นด้วย "โอ้ย สุดยอดลุงนูญ บ่มีใผเหมือนแกแหมแล้ว ตอนครูทำต๋ำแหน่ง แกก็ให้คำปรึกษาชี้แนะ แถมยังจ้วยตรวจทานให้อีกหลายสิบรอบ แกจะมีน้ำใจ๋กับทุกคนอย่างนี้เสมอเลยหล่ะ" คุณครูอรุณศรี เพื่อนร่วมงานในตำแหน่งผู้ช่วยผู้อำนวย การโรงเรียนกล่าวชม ส่วนฉันแนะให้ครูเลิกช่วยใครต่อใครเสียที ฉันเห็นว่าไม่จำเป็นเลยซักนิดถ้าต้องเอาสุขภาพ เพราะนั้นหมายถึงชีวิตของเราไปแลก "ไม่ไหว เราก็พักก่อนแล้วค่อยทำใหม่" เป็นคำพูดสั้นๆของครูนูญ
ด้วยลักษณะนิสัยของครูนูญที่เป็นเช่นนี้อยู่แล้ว การเรียนการสอนจึงมีเรื่องของคุณธรรมแทรกในบทเรียนอยู่เสมอ ครูนูญบอกว่า เด็กนอกจากพัฒนาทางด้านการเรียนแล้ว ด้านความคิดก็ต้องพัฒนาด้วย ดังนั้นหนังสือประกอบการเรียนการสอนเกือบทุกเรื่อง ที่ครูนูญเขียนไว้ จึงมีคุณธรรมสอดแทรกไว้เสมอ เช่น หนังสือเรื่องการเพาะเห็ดต่างๆ ได้แก่ เห็ดนางรม เห็ดฟางและเห็ดหูหนู ครูนูญเขียนเล่าเป็นนิทาน โดยมีตัวละครเป็นเด็กๆ ดำเนินเรื่อง หนังสือดังกล่าว บริษัทสำนักพิมพ์แม็ค จำกัด ขอซื้อลิขสิทธิ์จากครูนูญเพื่อนำไปเผยแพร่ เนื่องจากเป็นหนังสือที่ให้ทั้งความรู้ และความบันเทิง แก่เด็กๆได้เป็นอย่างดี ลุงนูญของเพื่อนร่วมงานต่างวัย ครูนูญของเด็กนักเรียนหลากหลาย ครูผู้เปิดหน้าต่างความคิดของฉันว่า
..คนเราแม้ไม่สามารถยิ่งใหญ่ในความคิดของใครๆ แต่เราสามารถเลือกที่จะยิ่งใหญ่ในใจเราเองได้
.
ฉันเดินทางตามความคิดที่ปราศจากการให้ เดินทางตามกระแสความต้องการของตัวเอง หาได้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นไม่ ครูนูญเป็นแบบอย่างของคนคิดดี น้อยคนนักที่จักตั้งคำถามกับตัวเองว่า วันนี้เราทำประโยชน์อะไรให้คนอื่นบ้าง ถึงแม้ครูนูญจะไม่มีผลงานชิ้นโบว์แดงมาอวดโชว์ให้ฉันดู แต่ฉันรับรู้ถึงคุณค่าทางความคิดของครูคนนี้ได้เป็นอย่างดี
จากการเก็บชั่วโมงกับเด็กๆ ทำให้ฉันมีโอกาสได้สัมผัสกับชีวิตของคนเป็นครูมากขึ้น พวกเค้ากำลังพยายามทำอะไรเพื่อตอบสนองแนวทางหรือนโยบายของประเทศชาติอยู่ทุกๆวัน ไม่ว่าผลจะออกมาสำเร็จหรือล้มเหลวก็ตาม จิตวิญญาณในวิชาชีพของคนกลุ่มนี้ ถูกใส่และถ่ายทอดให้กับเด็กเล็กๆ จนกระทั่งเติบใหญ่ เด็กเหล่านี้จักเติบโตเป็นคนดีของสังคมและประเทศชาติหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับกลุ่มคนเหล่านี้อย่างแท้จริง
ฉันนึกย้อนกลับไปมองวัยเด็กของฉัน ฉันมาโรงเรียนเพื่อเรียนหนังสือ ถ้าคุณครูของฉันสอนให้ฉันรู้หนังสือเพียงอย่างเดียว ฉันคงไม่เติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่สามารถคิดนึกและไตร่ตรองต่อสิ่งใดๆได้มากเท่านี้ ฉันคงแค่อ่าน พูดและเขียนได้เท่านั้น หลายคนแลกอาชีพความเป็นครูกับค่าตอบแทนที่เรียกว่า เงินเดือน สังคมเปลี่ยนแปลงด้วยเทคโนโลยี และสิ่งอำนวยความสะดวกที่เพิ่มขึ้น เด็กๆมีโอกาสสัมผัสกับด้านคมของความเจริญเหล่านั้นมากขึ้นเมื่อเทียบกับในอดีต ครูต้องเพิ่มความเข้มแข็งในหน้าที่มากขึ้นหลายเท่า เพื่อสร้างเกราะป้องกันที่แข็งแรงให้กับเยาวชน และเขาเหล่านั้นก็จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีต่อไป
1 ปีที่อเมริกา คงทำให้ฉันได้เห็นความเจริญทางวัตถุ อันเป็นที่สุดของโลกปัจจุบันมากขึ้นกว่าเดิม และ 1 ปีที่อเมริกาชีวิตของคุณครูคนหนึ่ง คงไม่ทำให้ฉันลืมที่จะตั้งคำถามกับตัวเองว่า " เรามาที่นี่ทำไม? "
Create Date : 09 กันยายน 2548 |
|
13 comments |
Last Update : 8 พฤศจิกายน 2549 4:08:39 น. |
Counter : 705 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: p_tham 28 กันยายน 2548 9:35:21 น. |
|
|
|
| |
โดย: p_tham 3 ธันวาคม 2548 3:14:11 น. |
|
|
|
| |
โดย: p_tham 31 ธันวาคม 2548 7:59:36 น. |
|
|
|
| |
โดย: p_tham 8 กุมภาพันธ์ 2549 4:49:31 น. |
|
|
|
| |
โดย: ธามาดา IP: 210.246.74.247 10 กุมภาพันธ์ 2549 21:26:42 น. |
|
|
|
| |
โดย: Milky ออแพร์สาว (Dekpladib ) 6 เมษายน 2550 10:42:53 น. |
|
|
|
| |
โดย: จำลอง ราภิยะ IP: 61.7.231.139 7 กุมภาพันธ์ 2551 15:41:06 น. |
|
|
|
| |
โดย: จำลอง ราภิยะ IP: 61.7.231.139 7 กุมภาพันธ์ 2551 15:41:31 น. |
|
|
|
| |
โดย: จำลอง ราภิยะ IP: 61.7.231.139 7 กุมภาพันธ์ 2551 15:42:42 น. |
|
|
|
| |
โดย: พี่เอ IP: 203.150.206.90 26 ตุลาคม 2553 16:01:48 น. |
|
|
|
| |
โดย: องอาจ IP: 119.31.88.92 3 พฤษภาคม 2554 9:35:20 น. |
|
|
|
| |
โดย: องอาจ IP: 119.31.88.92 3 พฤษภาคม 2554 9:46:12 น. |
|
|
|
|
|
|
|
เดี๋ยวมาอ่านไหมนะคะ
ชอบสไตล์และตัวตน จขบ.นะ
รักษาเอาไว้ล่ะ..ชัดเจนดี
อืมม์ ลองไปอ่าน..หลายมุมหลากอารมณ์..
หัวข้อ..สูญสลาย..
แล้วเม้นท์หน่อยสิคะ อยากอ่านจัง