Red Cliff : ความคิดเป็นของมีคม



อย่าเพิ่งทึกทักว่า Red Cliff เกี่ยวอะไรกับต้นตระกูลของ Daniel Radcliffe แห่ง Harry Potter เพียงเพราะมันออกเสียงละม้ายคล้ายกัน

Red Cliff คือตอนหนึ่งของวรรณกรรมสามก๊กอันเลื่องชื่อที่ถูกแปรรูปเป็นภาพยนตร์โดยฝีมือ John Woo ผู้กำกับหัวอินเตอร์ที่สำนึกรักบ้านเกิด อยากบินกลับรังมาเนรมิตวรรณกรรม สามก๊กที่เต็มไปด้วยตัวละคร , รายละเอียดเนื้อหา ที่แสนจะยิบย่อยยืดยาวและสลับซับซ้อน (ยิ่งกว่าสนามกีฬา Bird ’s nest ของจีน) ผลงานชิ้นนี้เป็นเสมือนเครื่องหมายเพื่อเชิดชูเกียรติยศแห่งชนชาติ ต้อนรับการมาถึงของมหกรรมกีฬาโอลิมปิก 2008 ซึ่งมีประเทศจีนเป็นเจ้าภาพ




สามก๊กเป็นเรื่องแต่งที่อิงข้อเท็จจริงบางส่วนจากประวัติศาสตร์ เช่นกัน John Woo ก็ป่าวประกาศให้รู้กันทั่วว่าบทหนัง Red Cliff ของเขาไม่ได้โคลนนิ่งลอกลายอักษรมาแบบตัวต่อตัว หลายเหตุการณ์ถูกปรุงแต่งเพิ่มเติม ทั้งยังใส่สีตีไข่เพื่อชูรสให้ถูกปากโดนใจตลาดวงกว้าง

การปรับตัวลักษณะนี้ถือเป็นกลวิธีปัดฝุ่นของเก่าที่ชาญฉลาด ช่วยต่อลมหายใจวรรณกรรมโบราณเรื่องนี้ให้โลดแล่นอยู่ได้โดยไม่แปลกแยกจากยุคสมัย ดังนั้นหากจะกล่าวว่า “Red Cliff เป็นหนังที่อิงมาจากเรื่องแต่งซึ่งอิงมาจากประวัติศาสตร์” อีกทีหนึ่งก็คงจะไม่ผิดนัก




เรื่องราวแบบรวบรัดของ Red Cliff เริ่มในสมัยพระเจ้าเหี้ยนเต้ซึ่งปกครองราชการ บ้านเมืองได้สมชื่อ ( เหี้ยนเต้แบบไม่มี “น” ) ด้วยความไร้สามารถของพระองค์ราชสำนักจึงตกอยู่ในเงื้อมมือการครอบงำของสมุหนายกนามว่าโจโฉ ( ต่อมาโจโฉเป็นผู้ก่อตั้งวุยก๊ก ) โจโฉอ้างราชโองการประกาศศึกกับเล่าปี่ในข้อหากบฏและเป็นภัยแก่ราชบัลลังก์ ( ต่อมาเล่าปี่เป็นผู้ ก่อตั้งจ๊กก๊ก ) ทัพอันกล้าแกร่งของโจโฉตีกองกำลังของเล่าปี่จนแตกพ่าย เล่าปี่เสียเมียไปในเหตุการณ์ครั้งนี้ทว่าจูล่งทหารเอกก็ช่วยชีวิตบุตรชายนามว่าอาเต๊าไว้ได้ปลอดภัย เล่าปี่หารือระหว่างพี่น้องร่วมสาบานอันได้แก่ เตียวหุย กวนอู ร่วมแจมด้วยจูล่งและขงเบ้งเพื่อหาทางรับมือกับศึกครั้งนี้ ขงเบ้งผู้ปราดเปรื่อง (หรือในอีกชื่อหนึ่งว่าจูกัดเหลียง ) เสนอให้เล่าปี่ขอความร่วมมือจากกองทัพของซุนกวนผู้ครองดินแดนทางตอนใต้ ( ต่อมาซุนกวนเป็นผู้ก่อตั้งง่อก๊ก ) เมื่อเล่าปี่เห็นดีด้วย ขงเบ้งจึงขันอาสาเดินทางไปปฏิบัติภารกิจนี้ในทันใด




ณ ดินแดนทางตอนใต้อันไพศาลและอุดมสมบูรณ์ บ้านเมืองสงบสุขภายใต้การปกครองของซุนกวน แต่เมื่อขงเบ้งนำความมาแจ้งแก่ซุนกวน ก็ถูกขุนนางในตำหนักโต้แย้งเป็นการใหญ่กล่าวหาว่าขงเบ้งยุให้ซุนกวนชักศึกเข้าบ้านโดยไม่จำเป็น ซุนกวนไม่อาจตัดสินใจได้เด็ดขาดและครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ตลอดเวลา ขงเบ้งรู้ดีว่าซุนกวนเคารพในความคิดอ่านของแม่ทัพใหญ่จิวยี่ทั้งยังนับถือเขาเสมือนพี่ชาย ขงเบ้งจึงเลือกเดินทางลัดหาทางเกลี้ยกล่อมจิวยี่ด้วยกลวิธีต่างๆ จนสำเร็จ จิวยี่ส่งเสริมให้ซุนกวนประกาศศึกครั้งนี้กับโจโฉด้วยถือว่านี่คือโอกาสทองในการแสดงความสามารถของผู้ปกครองแผ่นดินอย่างแท้จริง




ทัพเรือเรือนแสนของโจโฉล่องลำน้ำแยงซีมาประจัญหน้าเตรียมรบอยู่ที่ผาแดงในดินแดนของซุนกวน กองกำลังของเล่าปี่และซุนกวนก็ผนึกกำลังสมองเพื่อวางกลยุทธ์ต่อกรกับโจโฉอย่างสุดกำลัง ก่อนที่จะเริ่มศึกทางน้ำเพื่อตีทัพเรือของโจโฉ Red Cliff ตอนที่หนึ่งก็จบลง

Red Cliff ของ John Woo ไม่เน้นปรุงแต่งภาพหรือกำกับศิลป์ให้งดงามอ่อนช้อยเหมือนที่จางอี้โหมวหรืออังลีเคยทำในผลงานเรื่องก่อน ซึ่งถือเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับหนังจีนย้อนยุคในเวลาต่อมา แต่ด้วยงานสไตล์ John Woo ที่เคลื่อนกล้องอย่างรวดเร็วและตัดต่อฉับไว เน้นปรุงแต่งความรู้สึกของผู้ชมให้มีอารมณ์ร่วมกับเนื้อเรื่องได้เป็นสำคัญ ถึงแม้ภาพที่ออกมาของ Red Cliff จะไม่งามแบบลืมหายใจเหมือนตอนดู Hero หรือ Croughing Tiger Hidden Dragon แต่ก็ถือว่าสไตล์ใครสไตล์มันและครั้งนี้ John Woo ก็ไม่ได้ทำให้มาตรฐานของตัวเขาเองต้องตกต่ำลงแต่อย่างใด




แม้เวลาในการปูพื้นหลังของตัวละครจะจำกัด แต่ Red Cliff ก็สะท้อนวิธีคิดของแต่ละบุคคลได้แจ่มชัดว่าโจโฉว่าเป็นคนเด็ดขาด โหดเหี้ยมและไร้มิตร เล่าปี่เป็นคนดีมีคุณธรรม มีน้ำใจและให้ความสำคัญกับส่วนรวมยิ่งกว่าเรื่องส่วนตัว แม้เหมือนเล่าปี่จะขาดภาวะความเป็นผู้นำแต่เขาก็ซื้อใจลูกน้องให้ภักดีต่อตนได้ทั้งกองทัพ ฝ่ายซุนกวนที่แม้ภายนอกดูฉลาดคมคาย แต่ความรู้สึกภายในก็ยังโลเลไม่หนักแน่นพอที่จะตัดสินใจเรื่องใหญ่ ๆ ได้เด็ดขาดโดยลำพัง

Red Cliff เพิ่มบทบาทให้สตรีเพศในยุคอดีตอย่างมีนัยยะสำคัญ สื่อผ่านตัวละครเสียวเกี้ยวเมียของจิวยี่ ( มีฉากเกี้ยวกันแบบชวนเสียวอยู่นิดหน่อย ) ซึ่งมีกิริยาอ่อนหวานเป็นกุลสตรีและมีสัญชาตญาณของความเป็นแม่อยู่สูง กับซุนฮุหยินน้องสาวของซุนกวนที่ดูเหมือนจะแข็งกระด้างแต่ก็เก่งกาจมีปฏิภาณไหวพริบ มีความสามารถไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าชายชาตรี




บทหนังของ Red Cliff เล่าเรื่องได้ฉลาด ถ่ายทอดน้ำเสียงและหัวใจของเรื่องจากหนังสือเป็นภาษาหนังได้อย่างน่าชื่นชม ไม่ยึดติดกับเปลือกนอกวรรณกรรมแบบเถรตรง หากแต่แสดงความเคารพด้วยการพยายามตีความให้ถึงแก่นแกนของเรื่อง ผมชอบฉากที่แสดงให้เห็นว่าจิวยี่เป็นคนแก้ปัญหาได้ตรงจุดโดยไม่สร้างปมปัญหาใหม่ให้เกิดขึ้น (เป็นวิธีคิดเชิงบูรณาการ) ในกรณีจัดการกับทหารที่ขโมยกระบือชาวบ้าน ด้วยวิธีการของจิวยี่ผลลัพธ์สุดท้ายจึงออกมาแบบ Win-Win Situation (ทุกฝ่ายได้ประโยชน์) วิธีการนี้เป็นยอดอุดมคติในการแก้ปัญหา ที่รวมเอาหลักนิติศาสตร์-รัฐศาสตร์-สังคม-เศรษฐกิจ เข้าไว้ด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว เปรียบเปรยกับลำขลุ่ยที่ช่องลมติดขัดทำให้เสียงที่เป่าออกมานั้นทั้งสากและสะดุด แต่เมื่อแก้ปัญหาได้ถูกที่ตรงจุด ท่วงทำนองอันสดใสไพเราะก็บังเกิด สอดคล้องต้องกันกับวิถีแห่งธรรมชาติจนเข้าใกล้สภาวะที่เรียกว่า “ความยุติธรรม” ที่สมบูรณ์




อีกฉากที่ผมชอบ คือการออกล่าเสือของซุนกวนด้วยการแนะนำของจิวยี่ ฉากนี้สะท้อนให้เห็นผลร้ายของความโลเลได้ชัดเจน ( สืบเนื่องมาจากฉากชักดาบของซุนกวนที่ไม่แน่ใจว่าจะชักออกมาหรือเก็บเข้าฝักไว้ดังเดิม ) บทหนังเปรียบโจโฉกับเสือที่ร้อยเล่ห์และดุร้ายไม่ต่างกัน คอยซุ่มจ้องตะครุบเหยื่อที่โลเลไม่มีทิศทางหรือจุดยืนที่แน่นอน ( ทัพเรือของโจโฉมีผืนธงเป็นรูปเสือ) ความมั่นคงเด็ดเดี่ยวแห่งจิตเท่านั้นที่เหมาะควรแก่การเผด็จศึกใหญ่ครั้งนี้ เมื่อซุนกวนตัดสินใจได้เด็ดขาด บทหนังก็นำไปสู่ฉากฟันมุมโต๊ะต่อหน้าขุนนางตามท้องเรื่องวรรณกรรมได้อย่างเหมาะเจาะและลงตัว




แม้วรรณกรรมสามก๊กจะเป็นเรื่องว่าด้วยสงคราม แต่ Red Cliff กลับเน้นความสำคัญของความสามัคคี อย่างน้อยในระหว่างสามฝ่าย หากสองฝ่ายใดสามัคคีกัน โอกาสแห่งชัยชนะย่อมฉายปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน เหมือนที่ทัพของเล่าปี่และซุนกวนได้ร่วมมือเป็นพันธมิตรทำศึกกับโจโฉ

ในฉากที่แสดงความฉลาดของขงเบ้งต่อหน้าจิวยี่ฉากหนึ่งซึ่งสื่อได้กับความสามัคคี คือการทำคลอดลูกม้าที่โผล่ขาออกมาเพียงข้างเดียว ขงเบ้งเข้าใจธรรมชาติข้อนี้จึงกล่าวว่าขาทั้งสองข้างต้องออกมาพร้อมกันจึงจะทำคลอดม้าได้สำเร็จ ( ประมาณว่าต้องเข้าขากันให้ได้ก่อน ) รวมไปถึงฉากที่จิวยี่ปลุกใจพลพรรคของเล่าปี่โดยหยิบฟางมากำมือหนึ่งและแสดงให้เห็นว่าเมื่อรวมกันแล้วจะมีความเหนี่ยวแน่น แข็งแรง แตกต่างไปจากฟางเส้นเดียวที่เปราะบางและดึงให้ขาดได้ โดยง่าย ฉากเหล่านี้ล้วนส่งเสริมข้อความคิดว่าด้วยความสมัครสามัคคีเป็นสำคัญและถือเป็นประเด็นหลักที่สามก๊ก version นี้ต้องการนำเสนอ ( พูดถึงความสมัคร-สามัคคี พาลนึกถึงท่านนายกขึ้นมาตะหงิดๆ )




Red Cliff ยังกล่าวถึงสันติภาพ สื่อผ่านนกในอิริยาบทต่างๆ ที่ปรากฏประปรายอยู่ตลอดเรื่อง เป็นที่ทราบกันดีว่า John Woo คลั่งไคล้เสน่ห์การขยับปีกของนกมากมายขนาดไหน ใน Red Cliff นี้ John Woo ดึงแง่มุมต่างๆ ของนกออกมาใช้อย่างเต็มที่ และบ่อยครั้งก็อาศัยวิธีการจับภาพแบบมุมนกหรือ Bird’s eye view

วรรณกรรมสามก๊กได้ชื่อว่าบรรจุกลยุทธ์ ยุทธศาสตร์ในการทำสงครามไว้ครบถ้วน เหนือยิ่งกว่าสงครามนองเลือดในสมรภูมิ สามก๊กเน้นย้ำสงครามในระดับปัญญา การรู้เท่าทัน เล่ห์เหลี่ยมของอีกฝ่าย การอ่านใจศัตรู การหยั่งรู้ความนึกคิด เป็นต้น ถือเป็นการต่อสู้ที่ทรงภูมิและลึกซึ้งอันจะทำให้ชีวิตนี้อยู่รอดปลอดภัยได้ในป่าดงดิบมนุษย์ Red Cliff เฉลี่ยฉากสงครามภาคสนามและสงครามปัญญาออกมาในระดับที่สมดุล ให้ภาพของสามก๊กได้อย่างตรงประเด็น




การนำสามก๊กมาปัดฝุ่นขึ้นจอใหม่ เป็นเสมือนการนำอาวุธเก่าสนิมเขรอะมาลับคมเพื่ออวดแววปัญญาแก่สังคมโลกกันอีกครั้ง เป็นการเชิดชูวิธีคิดและสติปัญญาของคนรุ่นเก่าว่าหากนำมาประยุกต์ใช้อย่างถูกกาละเทศะในปัจจุบันก็ย่อมบังเกิดผลอย่างมีประสิทธิภาพ

ขึ้นชื่อว่าความคมคงไม่มีอาวุธใดเหนือไปกว่าปัญญาของมนุษย์ แม้คมดาบ คมทวน หรือเกาทัณฑ์ก็ยังอาจถูกลบคมให้สิ้นท่าได้เมื่อต้องประลองกับสิ่งที่เรียกว่า “คมความคิด”




แต่ถึงแม้สติปัญญาจะทรงคุณค่าเลอเลิศสักเพียงใด ภาพของผู้ทรงภูมิยามเก็บคมไว้ในฝักอย่างสงบเสงี่ยมและถ่อมตน ก็ยังคงดูทรงพลังและควรแก่การก้มหัวคารวะอยู่เสมอ

Red Cliff เรื่องนี้ก็คมคายควรแก่การคารวะด้วยเช่นกัน




 

Create Date : 15 กรกฎาคม 2551
5 comments
Last Update : 15 กรกฎาคม 2551 18:28:49 น.
Counter : 3549 Pageviews.

 

ดีคับ...วิจารณ์ได้ดีมากเห็นภาพตาม

ส่วนจะตรงหรือเปล่า..คงต้องไปดูเองแล้วหละ

นางเอกฉวยดี ป๋มชอบบบ อิอิอิ

 

โดย: Ensign IP: 202.91.19.192 15 กรกฎาคม 2551 22:05:59 น.  

 

รอดูภาคต่ออย่างใจจดใจจ่อค่ะ

 

โดย: renton_renton 22 กรกฎาคม 2551 10:56:24 น.  

 

แวะเข้ามาอ่านแบบขยักๆหลายทีแล้ว
อ่านแบบกล้าๆกลัวจะมีสปอย 555+
เพราะนี่คือสามก๊กภาคหนังที่ผมตั้งความหวังไว้ที่สุดแล้ว(ยิ่งหลังจากผิดหวังกับภาคแยกของจูล่งมาหมาดๆ)
แต่ตอนนี้คงต้องรอดูแผ่นแล้ว เลยไม่สนแล้วอ่านดีกว่า

สามก๊กนี่ผมอ่านมาแล้วกว่า 7 เวอร์ชั่น (บางเวอร์ชั่นเป็นการ์ตูนที่ยังตีพิมพ์อยู่ต่อเนื่อง)
กำลังรอสักเวฮร์ชั่นทีจิยยี่ไม่เสียท่าขงเบ้งน่าแบบเกลียดนัก
(ในเวอร์ชั่นหงสาจอมราชันย์ ผมอาจจะได้เห็นความสูสีบ้าง)

มาในเวอร์ชั่นหนังของจอห์น วู ผมดูหน้าหนังแล้วหวังเต็มที่ว่าจิวยี่จะ “มีมาด” ไม่ใช่แมวเชื่องๆ
หวังให้มันมีฉากต่อสู้ที่ควรค่ากับสามก๊กสักฉากเถอะน่า
ขอคารมดีๆไม่จับคำพูดของทั้งเรื่องมารวมไว้ในตอนเดียวเสียที
และขอนักแสดงที่เหมาะสมกับตัวละครบ้างนะ(ภาคนี้ยังไม่ได้ดูแต่ตรงจุดนี้ถือว่าผ่าน)

ยังเมนต์อะไรไม่ได้มาก เพราะสามกํกในสมองของผมกับในหนัง
จะต่างกันอย่างไรไม่รู้ (ผมไม่ยึดติดกับต้นฉบับนะ แต่หวังจะขอดูการนำเสนอที่มีคุณค่าจากหนัง)

หนังจะควรค่าแก่การคารวะไหมนั้น ขอรอดูอีกทีตอนแผ่นออกนะครับ

 

โดย: ขอรบกวนทั้งชุดนอน 22 กรกฎาคม 2551 20:14:17 น.  

 

แวะไปอ่าน hancock แล้วครับ
หนังไม่กระมิดกระเมี้ยนเลยว่าจะสื่อพระเอกถึงสหรัฐ
ยิ่งฉากจบที่บินผ่านธงชาติต่างๆ
(เห็นแล้วนึกถึง spider-man 3 ที่โหนใยมาหยุดอยู่หน้าธงชาติสหรัฐเฉยเลย)
แต่ผมก็ชอบพล็อตกับความสนุกนะ พอจะกลบเกลื่อนจุดด้อยอื่นๆ ไปได้

dark knight ซับซ้อนทั้งเรื่องราวและความคิด
หนังเล่นกับเหรียญ 2 ด้านตลอดเวลา ทั้ง "ความจริง-ความลวง" "ความดี-ความเลว" "ความเป็น-ความตาย" และคู่ขัดแย้งอื่นๆ อีกเยอะแยะ
แต่ละตัวละคร(และกลุ่มตัวละคร) ก็สะท้อนถึงกันได้หมด
ถ้าเขียนให้ละเอียดคงได้หลายแง่มุมเลยครับ

ส่วนสามก๊ก ผมยังไม่ได้ดู

 

โดย: แค่เพียงรู้สึกสุขใจ 27 กรกฎาคม 2551 20:06:31 น.  

 

ภ.เรื่องนี้ดีจริงๆค่ะ แต่ไม่ค่อยเหมือนในหนังสือมากนัก
แต่ก็สนุกดีค่ะ

 

โดย: พลอย IP: 202.149.25.234 16 ตุลาคม 2552 21:12:17 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


beerled
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2551
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
15 กรกฏาคม 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add beerled's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.