"รัก" และ "กำลังใจ" ฉันมีไว้เพื่อแบ่งปัน Blog ของสาวน้อยขี้เหงาและช่างฝัน (Beee Diary & Music)
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2551
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
9 ตุลาคม 2551
 
All Blogs
 

เรื่องเล่าธรรมะ - สวดมนต์เป็นยาทา ภาวนาเป็นยากิน

เรื่องเล่าธรรมะ

สวดมนต์เป็นยาทา ภาวนาเป็นยากิน
โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)


"หลวงพ่อคะ ลูกสวดมนต์ (ทำวัตรเย็นและเจริญกรรมฐาน) ไม่ค่อยได้ ได้แต่นั่งภาวนา"

ภาษิตพระอรหันต์องค์หนึ่งท่านพูดไว้ เวลาที่ฉันไปหาท่าน ท่านบอกว่าไอ้สวดมนต์น่ะเป็นยาทานะลูกนะ ภาวนาเป็นยากิน สวดมนต์ท่านบอกว่าเป็นยาทา ภาวนาเป็นยากิน การสวดมนต์ไม่ต้องสวดมากหรอก ว่า นะโม พุทธัง ธัมมัง สังฆัง เสร็จ อิติปิ โส จบใช้ได้เลย ต่อไปเริ่มภาวนาเลย แค่นั้นพอแล้ว

"สวดจนเหนื่อยบางทีไม่มีเสียงจะสวด"

ก็ล่อกันเต็มที่

"ภาวนาพุทโธ นั่งทำวัตรกับเขาด้วย"

ใช่ ๆ เราสวดไม่ได้เราก็ภาวนาไปเลย แล้วก็ถือเสียงสวดนั้นแหล่ะเป็นสรณะไปเลย ถือว่าเสียงสวดมนต์ เราสวดไม่ได้ใช่ไหม ถ้าภาวนาเราจับเสียงสวดนั่นแหล่ะ จับเอาจิตคล้อยตามไปเลย ถือเป็นสมาธิในนั้นเหมือนกัน

เมื่อฉันเด็ก ๆ คนแก่สวดมนต์ไม่อยากให้จบ ชอบในอยู่บน แต่ว่าไม่เหมือนแก แต่เมื่อเด็ก ๆ ว่าได้ อะไรนะ อิมัสสมิงฯ มงคลจักรวาฬทั้งแปดทิศ (หัวเราะ) แล้วก็ว่าพร้อมฟังเพราะจริง ๆ ไม่มีเครื่องบันทึกเสียงสมัยนั้น โยมเสงี่ยมแกยังว่าได้เลย

"ที่หลวงพ่อบอกว่าสวดมนต์เป็นยาทา ภาวนาเป็นยากิน ยังงั้นก็ไม่ต้องสวดมนต์เลยได้ไหมคะ...?"

สวดมนต์ก็เป็นสรณะอันหนึ่ง การสวดมนต์นี่จิตเข้าถึงอุปจารสมาธิ เป็นเทวดาชั้นยามา ท่านกล่างสวดมนต์เป็นยาทา ภาวนาเป็นยากิน หมายความว่าสวดไม่ต้องมากนัก อิติปิ โส บทเดียวนั่นคุ้มแล้ว

ห้องต้นสรรเสริฐคุณพระพุทธเจ้า ใช่ไหม ห้องกลางสรรเสริญคุณพระธรรม ห้องท้ายสรรเสริญคุณพระสงฆ์ หมดแค่นี้ ไอ้ว่าบทอื่นว่าไปก็ไปสรรเสริญ ๓ อย่างนี่ ฉันเลยไม่เอาเปลือกเอาเนื้ออย่างเดียว ใช่ไหม แต่เดี๋ยวนี้สวดไม่ได้ พอเริ่มจะสวดเปิดเลย พอเริ่มจะสวดปุ๊บไปแล้ว พอเริ่มจะสวดหยุกกึ๊กแล้ว มันชิน

ถ้าจะสวดให้ได้ทำไง ต้องเริ่มปล่อยให้ใจไปตั้งอยู่สักพักหนึ่งก่อน แล้วถอยหลังมาให้กำลังมันทรงตัวแล้วถอยหลังมานิด ก็ว่า แต่พอว่าไปก็อีกนั่นแหล่ะ ถ้าว่าถึงบทพุทธคุณ พอถึงอิติปิ โส ท่านก็มาแล้ว แจ๋ว

พอถึงสวากขาโต พระธรรม ธัมมานุสสตินี่นิมิตเป็นดอกมะลิแก้ว เป็นดอกมะลิแก้วใส ไหลจากพระโอษฐ์ หลวงพ่อปานท่านเคยสอนยังงั้น แล้วเป็นยังงั้นจริง ๆ พอขึ้นสวากขาโต เป็นดอกมะลิแก้วไหลลงหัว พอขึ้นปุปฏิปันโน พระอริยะมาเต็มพรึ่บ

ต้องพยายาม ต้องไม่ปล่อยจิตให้มันลึกเกินไป ต้องพยายามดึงไว้แค่อุปจารสมาธิ พอสวดจบเข้าไปเลย ออก พอสวดจบก็พึ้บออกไปแล้ว ไปหาท่าน นั่งคุยตามสบาย ๆ

ฝึกเข้าฌาน


แต่ว่าวิธีการแบบประเภทฉับพลันรีบร้อนนี่ นึกพั้บให้อารมณืจับทันที นี่ต้องฝึกให้คล่อง อย่าไปห่วงว่าภาวนานานดี จิตเข้าถึงฌานเร็วน่ะดี

การฝึกเข้าฌานนี่เขาต้องฝึกให้ไม่เสียเวลาแม้แต่ ๑ วินาที เริ่มจับพั้บนี่ต้องเริ่มไม่สนใจกับลมหายใจเข้าออกเลย ต้องฝึกตัวนี้ เริ่มพั้บจับอารมณ์จับภาพพระเลย ไม่สนใจกับลมหายใจเลย อันนี้ทำบ่อย ๆ จับพั้บเป็นฌาน ๔ ทันที

ไอ้ที่เราต้องเลี้ยงลมหายใจเพราะว่าจิตกำลังมันยังอ่อนอยู่ ใช่ไหม ต้องเลี้ยงลมหายใจให้จิตมันทรงตัว อันนี้ก็จำเป็นเหมือนกัน ก็ต้องฝึกอยู่ ๒ อย่าง คือจับลมหายใจไว้ให้จิตมันทรงตัว กับไม่สนใจกับลมหายใจเลย

ถ้าพอไม่สนใจกับลมหายใจเลย มันคล่องตัวแล้วไม่ต้องสนใจจับมันเลย มันจับพั้บให้ได้เลย จับพั้บให้ได้เลย พอจับพั้บอารมณ์เป็นฌาน ๔ ทันที ก็เป็น ๒ แบบ

คือว่าถ้าอารมณ์ใจยังอ่อนก็ต้องคุมอารมณ์หายใจ แต่ว่าลมหายใจนี่ถ่าเราคุมไป ๆ พอถึงฌาน ๔ นี่มันจะไม่รู้สึกว่าเราหายใจ นี่การฝึกไม่สนใจกับลมหายใจมันฝึกตั้งฌาน ๔ ทันทีนะ จับตัวปลาย เราลองซ้อมดู

มันไปไม่ไหวก็มาจับลมหายใจ จับไปจับมาพั้บฉันไม่สนใจลมหายใจ จับภาพพระพุทธเจ้า ก็เราเห็นแล้วใช่ไหม

จับตรงนี้เราไม่สนใจกับลมหายใจ และประเดี๋ยวมันจะตก ตกลงมาจับลมหายใจก็ช่างมัน จิตก็จับภาพพระพุทธรูปไว้ ภาพพระพุทธเจ้าอย่าให้เคลื่อน พอสบายดีฉันไม่สนใจแกอีก เล่นขึ้น ๆ ล่อง ๆ แบบนี้ ไม่ช้าอารมณ์จิตมันจะชิน

พอจับพั้บไม่สนใจกับลมหายใจเลย ไอ้นั่นน่ะพอจับพั้บทีไรเป็นฌาน ๔ ทุกที ตัวนี้แหละเราต้องการ ถ้าจิตเป็นแบบนั้น กำลังจิตมันก็เข้มข้นมันก็ตัดกิเลสง่าย ฌาน ๔ มันตัดกิเลสได้อย่างง่าย

ยอดพระไตรปิฎก


"การสวดมนต์ยอดพระไตรปิฎก ถ้าสวดทุกวันจะเป็นยังไงคะ...?"

ดี สวดได้ก็ดี ไอ้ยอดพระไตรปิฎกนี่มันอยู่ไหนหนอ... ยอดพระไตรปิฎกจริง ๆ มันสวดไม่มากหรอก อัปปมาเทนะ สัมปาเทถะ เท่านี้

"ต้องหมดสิคะ"

ไอ้นั่นโคนพระไตรปิฎก ยอดพระไตรปิฎกเราต้องดูอย่างนี้ซิ ตอนวันที่พระพุทธเจ้าจะนิพพาน ใช่ไหม วันนั้นพระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ว่า

"อานันทะ ดูก่อน อานนท์ พระธรรมวินัยที่ตถาคตสอนมาสิ้นเวลา ๔๕ ปี ย่อมรวมอยู่ในความไม่ประมาท"

จึงตรัสว่า อัปปมาเทนะ สัมปาเทถะ แปลว่า "ท่านทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม"

นี่ยอมพระไตรปิฎกแล้ว ยอดมันก็ต้องเล็กนิดเดียว โตเบ้อเริ่มเป็นยอดได้ไง ไอ้ที่เขาบอกว่ายอด ฉันไปดูแล้วมันโคนพระไตรปิฎก เอ้า...จริง ๆ ท่านบอกว่า คำสอนทั้งหมดรวมอยู่ในคำว่าไม่ประมาทคำเดียว ใช่ไหม พออ่าน ๆ ดูแล้วไม่รู้ว่าเป็นยอดแบบไหน ที่เขาพิมพ์ขายน่ะ ไม่รู้แกไปคัดเอาอะไรมาบ้าง

"ที่วัดหนูก็มียอดพระไตรปิฎก"

มีโคนพระไตรปิฎก ก็บอกแล้วยอดมันมีแค่อัปปมาเทนะ สัมปาเทถะ นี่ยอด คือรวมหมด ท่านตรัสวันนิพพาน คือว่าคำสอนทั้งหมดรวมอยู่ในคำนี้คำเดียว นี่ยอด ใช่ไหม

นี่ฉันมันมีความเห็นไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านเขา เพราะอะไร เพราะฉันถือเอากฎความเป็นจริงมาใช้เท่านั้น แต่ที่เขาบอกยอดพระไตรปิฎก ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงเรียกยอดพระไตรปิฎก ยอดใหญ่มันต้องโคน เดี๋ยวหล่หักมา

เราไม่ประมาท คือ หนึ่ง ไม่ประมาทในชีวิต เราคิดว่าชีวิตนี้มันไม่สามารถจะทรงตัวต่อไปได้ มันต้องตาย ไม่ประมาทที่จิตเราจะไปคิดจับในขันธ์ ๕ ว่ามันเป็นเราเป็นของเรา ใช่ไหม นี่เราไม่ประมาท

เราคิดว่าร่างกายเป็นเราเป็นของเรา ไม่ช้าก็เจ๊ง เดี๋ยวมันก็พัง ถ้ามันเป็นเราเป็นของเราจริง มันก็ต้องไม่ตาย ถ้าเราต้องการขันธ์ ๕ แบบนี้ มันก็มีแต่ความทุกข์ มันหาความสุขไม่ได้ ก็แค่นี้ จบ.



ที่มา: จากหนังสือ ธรรมปฏิบัติ ๑๓
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
วัดจันทาราม (ท่าซุง) อ.เมือง จ.อุทัยธานี




 

Create Date : 09 ตุลาคม 2551
8 comments
Last Update : 9 ตุลาคม 2551 17:17:40 น.
Counter : 1583 Pageviews.

 

-ขอบคุณข้อมูลธรรมะดีจากพี่ Beee_bu

 

โดย: อัสติสะ 9 ตุลาคม 2551 18:53:27 น.  

 

อนุโมทนา สาธุ

 

โดย: hs_olj 9 ตุลาคม 2551 19:50:12 น.  

 

เขียนหลายเรื่อง
ค่อยๆคอมเม้นท์ก็แล้วกัน
เรื่องสวดมนต์
เราว่าขึ้นอยู่ว่าเรา้เป็นใคร
ถ้าเป็นถึงเจ้าอาวาสแต่สวดมนต์ได้ไม่กี่บท
แล้วอ้างคำสอนพระอรหันต์ที่ว่ามา
อาตมาชอบภาวนามากกว่าสวดมนต์
"สวดมนต์เป็นยาทา ภาวนาเป็นยากิน"
รับรองวัดนั้นมีอันเละตุ้มเปะ
ผู้ที่เป็นผู้มีกิจเป็นผู้ประกอบศาสนพิธี
คงคิดแบบนี้ไม่ได้มั๊ง
ส่วนฆราวาสก็ว่าไปอีกอย่าง
ครั้นมองแบบวิทยาศาสตร์
ยาทากับยากิน มันคนละเรื่อง
ขืนเอายาแดงมากินแก้แผลในกระเพาะ
แล้วเอายาแก้ไอมาทาคอแก้ไอ
สลับแบบนี้ อันตราย ถึงตาย
เราว่าจะสวดหรือภาวนา ต้องใช้สติ
ตรองดูว่าเราจะทำอะไร เพื่ออะไร
แล้วถ้าพระคิดแบบนี้กันทุกรูป
อาจจะไม่มีพระที่สวดปาติโมกข์ในพรรษาก็ได้นะ
อย่างทุกวันนี้วัดในกรุงเทพฯบางวัด
มีพระสวดปาติโมกข์ได้ไม่ถึง 2 รูปก็มี
ช่วยสวดๆกันเยอะๆเถอะหลวงพ่อ
ที่สำคัญสวดแล้วแปลไม่ออกเลย
สวดไปทำไม

 

โดย: Opapatika IP: 124.121.247.212 9 ตุลาคม 2551 20:54:17 น.  

 

อืม....นานาจิตตังนะคะเรื่องนี้

 

โดย: smile family 9 ตุลาคม 2551 21:21:43 น.  

 

เรื่องฝึกเข้าฌาน

พออ่านตรงนี้...
ความเห็นก็สอดคล้องกับคำสอน
เพราะท่านสอนว่า อย่าไปห่วงภาวนานาน
ต้องฝึกเข้าฌานให้เร็ว
อันนี้เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง ขอกราบสาธุ
ท่านพระอาจารย์พุทธทาสได้เคยสอนไว้เป็นใจความโดยย่อว่า
ต้องฝึกพื้นฐานให้แม่นๆ ทำบ่อยๆ ทำเรื่องหายใจนี่แหละ
อย่างไรเรียกว่า หายใจสั้น หายใจยาว ลมหายใจหยาบ ลมหายใจละเอียด
ต้องรู้และจำให้ได้ว่าแบบนี้หายใจยาว ซึ่งยาวก็จริงๆ
แต่เป็นยาว ยาวมาก ยาวมากๆ และยาวนานๆ จิตต้องฝึกจนรู้ทันกำลังลมเข้าออก
อย่าลืมว่านักดำน้ำเก่งๆ กลั้นหายใจได้ครั้งละหลายนาที ดังนั้นคำว่ายาวมันมีหลายระดับ
พอทีนี้ก็จะรู้ว่าเราหายใจช้าเร็วเป็นอย่างไร ก็ช่วยได้มาก
อย่างพอตื่นเต้นลมหายใจจะหยาบลง หายใจสั้น สติจะสับสน สมาธิจะหลุด
สติต้องรู้ทัน ต้องปรับอัตราการหายใจ แต่ไม่ใช่ฝืนบังคับ แบบนี้ก็ต้องนับหนึ่งใหม่ แต่ก็ไม่เป็นไร
ไม่มีใครเข้าฌานได้โดยไม่เคยฝึกเรื่องลมหายใจ
ดังนั้นขั้นแรกต้องขยันหายใจ หายใจมันทุกรูปแบบ จำให้ได้

ส่วนเรื่องได้ฌานแล้ว จะลืมเรื่องลมหายใจไป
อันนี้เป็นภาวะที่เขียนอธิบายยาก ต้องทำได้เองถึงจะรู้
อย่างเรา เรามักจะสอนผู้อื่นว่า
ถ้าขับรถ(ยนต์)เป็น จะเข้าใจเปรียบเทียบได้ง่าย
ใหม่ๆก็หมกมุ่นกับคันเร่ง เบรค คลัช เกียร์ กระจก ไฟเลี้ยว และ พวงมาลัย
พอขับชำนาญ สมองมันก็สั่งการไปแบบอัตโนมัติ
ถ้าไปถามว่าขับรถจากโน้นไปนี้ เปลี่ยนเกียร์หรือเหยียบเบรคมากน้อยอย่างไร
บางทีก็ตอบไม่ได้เพราะไม่ได้ใส่ใจเรื่องนั้น
แต่ไม่ได้หมายความว่าขับรถโดยขาดสติ ไม่สนใจว่ารถจะจอดหรือวิ่ง เรารู้ตัว เราขับอย่างปลอดภัย
เพราะถ้ามีคนหรือสุนัขวิ่งตัหน้า ก็เบรคได้ทันที
อันนี้แหละคือความหมายที่ว่า ได้ฌานโดยไม่ห่วงเรื่องลมหายใจ
แต่พอมีอะไรมากระทบจิตหรืออารมณ์ สติและสมองจะปรับอัตราการหายใจให้อัตโนมัติ
คนที่โกรธ ลองหายใจยาวๆช้าๆ เดี๋ยวก็เย็นลง

หายใจนี้แหละสำคัญ พอลืมตาดูโลกก็ต้องหัดหายใจ
ถ้าวันไหนหยุดหายใจ ก็แปลว่าจบ

 

โดย: Opapatika IP: 124.120.12.158 10 ตุลาคม 2551 8:47:32 น.  

 

ต้องขอบคุณพี่บีมากๆเลยนะคะ
ที่พยายาม เอาธรรมะเข้าข่ม
ในภาวะที่ทุกคนบนโลก กำลัง
แก่งแย่งชิงดี
แต่ทำไมน้า มันไม่เข้าหัวหนูสักนิด

นู๋เชื่อนะว่า ร่างกายของคนเรา มันไม่ใช่ของคนเรา สักวัน เราต้องคืนธรรมชาติไป ตาย แล้ว เผา กลายเป็นอากาศ เป็นสสาร ล่องลอยไป





พอจะ เข้า ถึง พระธรรม ได้ไหมเนี่ย นู๋ เครียด

 

โดย: ปาล์ม (palmpada ) 10 ตุลาคม 2551 11:04:58 น.  

 

ยุทธวิธีในการปฏิบัติธรรมมีหลากหลาย

เช่นในการฝึกสมาธิ บางคนอาจปฏิบัติตามวิธีที่แพร่หลาย ในขณะที่บางคนก็อาจคิดค้นวิธีใหม่ๆ ที่เหมาะสมกับจริตของตนได้เช่นกัน

บางครั้งเราไปสำนักที่ฝึกในวิธีที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน เราก็อาจตกใจ ฉงนใจ บางครั้งเลยเถิดไปถึงคิดว่าพวกเขาบ้าก็มี...

ทั้งที่บางทีเขาอาจมีวิธีการฝึกที่แยบคายแฝงอยู่

เพียงแต่เราไม่เข้าใจ...

.........


ขอบคุณที่นำมาเผยแพร่เป็นธรรมทาน และขอร่วมอนุโมทนาบุญด้วยนะครับ

 

โดย: ตั้งสติ 10 ตุลาคม 2551 18:06:39 น.  

 

ตามความคิดของเรา
คำว่า ยอด ในภาษาไทย มี 4 ลักษณะแตกต่างใหญ่ๆ ดังนี้

1. ยอด คือ ดีเลิศ
ตรงกับคำว่า best, excellent คือ คุณศัพท์บอกว่ามีค่ายิ่งนัก
เช่น ยอดรัก, ยอดเยี่ยม, ยอดอัจฉริยะ ...

2. ยอด คือ การสรุป (summary) ซึ่งเป็นการคำนวณตัวเลข
เช่น ยอดขาย, ยอดผู้สูญเสียชีวิตในเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551, ยอดรวมหนี้สิน, ...

3. ยอด คือ ยิ่งใหญ่ (big) มีพลังมาก หาที่เปรียบได้ยาก
เช่น ยอดมนุษย์, ยอดนักเทนนิสโลก, ยอดภาพยนต์รักแห่งปี, ....

4. ยอด คือ ปลาย(top) ของสิ่งที่มีลักษณะเรียวยาว หรือโคนใหญ่ปลายเล็ก
เช่น ยอดไม้, ยอดจอมปลวก, ยอดเขา, ยอดธง, ....

ที่นี้ตามที่คุณเอามาโพสต์ไว้
เราได้อ่านแล้ว กำลังสงสัยว่า
ทำไมนำเอาสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดของศาสนาพุทธ
มาเปรียบเทียบกับยอดไม้ หรือ ยอดจอมปลวก แบบนั้น หรือว่าเราอ่านแล้วไม่เข้าใจ
ถ้าคิดว่าเป็นยอดไม้ เรื่องนี้ก็ต้องดูเป็นกรณีไปอีก
อย่างยอดไม้บางชนิดก็ใช้เป็นยารักษาโรคได้
แต่บางชนิดเขาเอารากหรือหัวไปทำอาหารและยา
ประโยชน์อาจจะอยู่คนละจุด

ปัจจุบันมีคนอ้างพระไตรปิฎก คล้ายกับไบเบิ้ลของศาสนาคริสต์กันมาก
ไม่ทราบว่าผู้กล่าวอ้างได้เคยอ่านหรือศึกษาอะไรจากพระไตรปิฎกมาหรือยัง
หรือเป็นเพราะอ้างแล้ว ทำให้ตนมองดูว่าเหนือผู้อื่น ดูมีภูมิปัญญา เป็นพวกโสดาบัณ
ยุคนี้ ต้องคิดทุกครั้งที่ได้ยินได้ฟัง มิเช่นนั้นอาจจะเป็นเหยือของพวกลัทธิต่างๆ
สุดท้ายก็ควักเงินทำบุญเลอะเทอะ ทั้งที่กุศลกรรมทำได้ตั้ง 10 วิธี
แต่วิธีที่ทำให้พวกเขา(เจ้าลัทธิ)สุขสบายได้ คุณต้องจ่ายเงินเท่านั้น

สำหรับเรืองเกี่ยวกับพระไตรปิฎก เราขอแบ่งเป็น 2 ส่วน
เราจะขอเขียนในเฉพาะส่วนที่เราเข้าใจ
เผื่อผิดพลาดไปเราขอรับผิดแต่เพียงผู้เดียว
เพราะเรื่องนี้มีทั้งเรื่องจริงและความเชื่อปนกันอยู่ ยากที่จะพิสูจน์ให้แจ่มชัด
และเราก็ไม่ได้มีเจตนาล่วงเกินผู้ใด หรือครูบาอาจารย์ใคร

1. พระไตรปิฎก
เมื่อคราวเสียกรุงฯครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2312 สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีฯ
ทรงได้ขอยืมคัมภีร์โบราณเกี่ยวกับพระไตรปิฎกมาจากนครศรีธรรมราช
และยังได้ขอยืมจากอุตรดิตถ์อีกฉบับเพื่อสอบทานข้อความ
อันยังประโยชน์ในการสังคยานาในสมัยรัชกาลที่ 1 และรัชกาลต่อๆไป
เราเอามาเล่าแค่นี้ก็คงพอจะให้เกิดความรู้สึกว่า
เมืองไทย - พระมหากษัตริย์ - พุทธศาสนา - พระไตรปิฎก - สร้างชาติ
มีความเกี่ยวข้องและสำคัญประสานกันหรือไม่
ทำไมไม่เอาแต่พระไตรปิฎกที่เนื้อหามากมาย มาใช้เพื่อสร้างบ้านสร้างเมือง ?
ตอนนี้คนไทยกำลังช่วยกันนำพระไตรปิฎกทั้ง 84000 ข้อ มาลงใน Internet
ใครสนใจลองอ่านที่ พลังจิตดอทคอม //board.palungjit.com/showthread.php?t=40242
หรือจะโหลดมาอ่านได้ที่ //www.learntripitaka.com

2. บทสวดยอดพระไตรปิฎก
ยอดพระไตรปิฎกนี้ บ้างก็ว่าเป็น พระกัณฑ์ไตรปิฎก
บ้างก็ว่าเป็น คาถายอดพระไตรปิฎก ซึ่งกล่าวโดยแนวทางเดียวกันได้ว่า
คือ การนำ ตัวอักขระต้นบททุกหัวข้อ เอามารวมกันไว้เป็นจุดท่องจำอ้างอิง
หรือ หัวใจ ของพระไตรปิฎก

โดยมีความเชื่อว่า ผู้ใดสามารถจดจำหัวใจพระไตรปิฎกได้ก็เป็นผู้รักษาซึ่งพระไตรปิฎก ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
ยังประโยชน์ไว้ซึ่งพระพุทธศาสนา ต่อยอดคำสอนของพระพุทธเจ้า
เป็นสิ่งที่มีอานิสงส์อย่างมากมาย ถึงจะไม่ใช่ข้อความหมื่นแสนล้านตัวอักษรทั้งหมดของพระพุทธพจน์
แต่สามารถใช้อ้างอิงสอบทานกับส่วนบันทึกดั้งเดิมได้
ใช้สวดในพิธีสำคัญๆหรืองานมงคลต่างๆได้

ในทางประพฤติปฏิบัติ ยอดพระไตรปิฎก เป็นเหมือนน้ำพุทธมนต์หล่อเลี้ยงหัวใจชาวพุทธอีกต่อหนึ่ง
คุณมีหนังสือบทสวดมนต์ที่เขาแจกงานศพหรือตอนไปไหว้พระฟังธรรมที่วัดหรือเปล่า
หรือคุณอาจจะเป็นคนหนึ่งที่ช่วยพิมพ์หนังสือบทสวดมนต์เหล่านั้น
หลายคนไม่ได้สวดให้ตัวเองเพื่อให้ได้มีฌานหรือพลังจิตเหนือมนุษย์
หากแต่ว่าสวดให้ผู้อื่น บ้างสวดให้พ่อแม่ผู้มีพระคุณ และบุคคลที่เคารพรัก โดยเฉพาะกำลังเจ็บป่วยอย่างน่าเป็นห่วง
เมื่อปี 2550 มีการเชิญชวนคนไทย 63 ล้านคน ร่วมกันสวดยอดพระไตรปิฎกนี้
เพื่อให้องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯของเรา ทรงพระเจริญและมีพระพลานามัยแข็งแรง
คุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็ไม่รู้จะบอกอย่างไร แต่วันนี้ในหลวงทรงมีพระพลานามัยดีขึ้นเป็นทวี

เราไม่ได้ มาเป็นศัตรูกับคุณบีนะ
เรามองแบบเป็นกลาง
เพราะคุณบีเคยบอกกับเราว่า โพสต์แบบเป็นกลาง
และอยากแลกเปลี่ยนความคิดกัน
เรามองว่า ถ้าเราคิดว่า คำสอนของพระศาสดาเมื่อคราววันปรินิพพาน
จะเป็นสุดยอดพุทธพจน์ คุณก็คิดไปได้ตลอดชีวิตของคุณ
แต่เรากลัวว่าถ้าทุกคนคิดว่า
พระไตรปิฎกเป็นของไกลตัว เนื้อหามากมายไม่มีวันอ่านหมด
หรือ ยอดพระไตรปิฎกเป็นของไร้สาระ ไม่มีประโยชน์
หาทางบรรลุธรรมทางอื่นที่ลัดและง่ายกว่า ก็สุดแต่ใจของท่าน
ลองนึกถึงภาพหนังสือสวดมนต์ที่หายส่วนนี้ไป หรือหายไปทั้งเล่มเลย
หรือกิจกรรมร่วมใจคนไทยแสดงความจงรักภักดีในหลวง
หรือการช่วยทำจิตให้เป็นสุขสงบของพุทธศาสนิกชน จะหายไปหรือเปล่า

 

โดย: Opapatika IP: 124.120.3.174 14 ตุลาคม 2551 9:56:35 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


Beee_bu
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]




"ไม่ได้คิดถึงทุกครั้งที่หลับตา
แต่คิดถึงทุกเวลาที่หายใจ"


ผลิตภัณฑ์เห็ดหลินจือเพื่อสุขภาพ
รายละเอียด
www.taradplaza.com/dxn

www.pantipmarket.com/mall/dxnshop/

www.facebook.com/SozityShop

www.facebook.com/BeeeGadgets

www.Sozity.com
Friends' blogs
[Add Beee_bu's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

สาวๆเอนมาหนุ่มๆเอนไปเทพมังกรอวยชัยเอนมาๆ width=40 height=40 align=middle vspace=2 hspace=2 border=0 title="cilladevi">
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.