|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
เรื่องเล่าธรรมะ - สวดมนต์เป็นยาทา ภาวนาเป็นยากิน
เรื่องเล่าธรรมะ
สวดมนต์เป็นยาทา ภาวนาเป็นยากิน โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
"หลวงพ่อคะ ลูกสวดมนต์ (ทำวัตรเย็นและเจริญกรรมฐาน) ไม่ค่อยได้ ได้แต่นั่งภาวนา"
ภาษิตพระอรหันต์องค์หนึ่งท่านพูดไว้ เวลาที่ฉันไปหาท่าน ท่านบอกว่าไอ้สวดมนต์น่ะเป็นยาทานะลูกนะ ภาวนาเป็นยากิน สวดมนต์ท่านบอกว่าเป็นยาทา ภาวนาเป็นยากิน การสวดมนต์ไม่ต้องสวดมากหรอก ว่า นะโม พุทธัง ธัมมัง สังฆัง เสร็จ อิติปิ โส จบใช้ได้เลย ต่อไปเริ่มภาวนาเลย แค่นั้นพอแล้ว
"สวดจนเหนื่อยบางทีไม่มีเสียงจะสวด"
ก็ล่อกันเต็มที่
"ภาวนาพุทโธ นั่งทำวัตรกับเขาด้วย"
ใช่ ๆ เราสวดไม่ได้เราก็ภาวนาไปเลย แล้วก็ถือเสียงสวดนั้นแหล่ะเป็นสรณะไปเลย ถือว่าเสียงสวดมนต์ เราสวดไม่ได้ใช่ไหม ถ้าภาวนาเราจับเสียงสวดนั่นแหล่ะ จับเอาจิตคล้อยตามไปเลย ถือเป็นสมาธิในนั้นเหมือนกัน
เมื่อฉันเด็ก ๆ คนแก่สวดมนต์ไม่อยากให้จบ ชอบในอยู่บน แต่ว่าไม่เหมือนแก แต่เมื่อเด็ก ๆ ว่าได้ อะไรนะ อิมัสสมิงฯ มงคลจักรวาฬทั้งแปดทิศ (หัวเราะ) แล้วก็ว่าพร้อมฟังเพราะจริง ๆ ไม่มีเครื่องบันทึกเสียงสมัยนั้น โยมเสงี่ยมแกยังว่าได้เลย
"ที่หลวงพ่อบอกว่าสวดมนต์เป็นยาทา ภาวนาเป็นยากิน ยังงั้นก็ไม่ต้องสวดมนต์เลยได้ไหมคะ...?"
สวดมนต์ก็เป็นสรณะอันหนึ่ง การสวดมนต์นี่จิตเข้าถึงอุปจารสมาธิ เป็นเทวดาชั้นยามา ท่านกล่างสวดมนต์เป็นยาทา ภาวนาเป็นยากิน หมายความว่าสวดไม่ต้องมากนัก อิติปิ โส บทเดียวนั่นคุ้มแล้ว
ห้องต้นสรรเสริฐคุณพระพุทธเจ้า ใช่ไหม ห้องกลางสรรเสริญคุณพระธรรม ห้องท้ายสรรเสริญคุณพระสงฆ์ หมดแค่นี้ ไอ้ว่าบทอื่นว่าไปก็ไปสรรเสริญ ๓ อย่างนี่ ฉันเลยไม่เอาเปลือกเอาเนื้ออย่างเดียว ใช่ไหม แต่เดี๋ยวนี้สวดไม่ได้ พอเริ่มจะสวดเปิดเลย พอเริ่มจะสวดปุ๊บไปแล้ว พอเริ่มจะสวดหยุกกึ๊กแล้ว มันชิน
ถ้าจะสวดให้ได้ทำไง ต้องเริ่มปล่อยให้ใจไปตั้งอยู่สักพักหนึ่งก่อน แล้วถอยหลังมาให้กำลังมันทรงตัวแล้วถอยหลังมานิด ก็ว่า แต่พอว่าไปก็อีกนั่นแหล่ะ ถ้าว่าถึงบทพุทธคุณ พอถึงอิติปิ โส ท่านก็มาแล้ว แจ๋ว
พอถึงสวากขาโต พระธรรม ธัมมานุสสตินี่นิมิตเป็นดอกมะลิแก้ว เป็นดอกมะลิแก้วใส ไหลจากพระโอษฐ์ หลวงพ่อปานท่านเคยสอนยังงั้น แล้วเป็นยังงั้นจริง ๆ พอขึ้นสวากขาโต เป็นดอกมะลิแก้วไหลลงหัว พอขึ้นปุปฏิปันโน พระอริยะมาเต็มพรึ่บ
ต้องพยายาม ต้องไม่ปล่อยจิตให้มันลึกเกินไป ต้องพยายามดึงไว้แค่อุปจารสมาธิ พอสวดจบเข้าไปเลย ออก พอสวดจบก็พึ้บออกไปแล้ว ไปหาท่าน นั่งคุยตามสบาย ๆ
ฝึกเข้าฌาน
แต่ว่าวิธีการแบบประเภทฉับพลันรีบร้อนนี่ นึกพั้บให้อารมณืจับทันที นี่ต้องฝึกให้คล่อง อย่าไปห่วงว่าภาวนานานดี จิตเข้าถึงฌานเร็วน่ะดี
การฝึกเข้าฌานนี่เขาต้องฝึกให้ไม่เสียเวลาแม้แต่ ๑ วินาที เริ่มจับพั้บนี่ต้องเริ่มไม่สนใจกับลมหายใจเข้าออกเลย ต้องฝึกตัวนี้ เริ่มพั้บจับอารมณ์จับภาพพระเลย ไม่สนใจกับลมหายใจเลย อันนี้ทำบ่อย ๆ จับพั้บเป็นฌาน ๔ ทันที
ไอ้ที่เราต้องเลี้ยงลมหายใจเพราะว่าจิตกำลังมันยังอ่อนอยู่ ใช่ไหม ต้องเลี้ยงลมหายใจให้จิตมันทรงตัว อันนี้ก็จำเป็นเหมือนกัน ก็ต้องฝึกอยู่ ๒ อย่าง คือจับลมหายใจไว้ให้จิตมันทรงตัว กับไม่สนใจกับลมหายใจเลย
ถ้าพอไม่สนใจกับลมหายใจเลย มันคล่องตัวแล้วไม่ต้องสนใจจับมันเลย มันจับพั้บให้ได้เลย จับพั้บให้ได้เลย พอจับพั้บอารมณ์เป็นฌาน ๔ ทันที ก็เป็น ๒ แบบ
คือว่าถ้าอารมณ์ใจยังอ่อนก็ต้องคุมอารมณ์หายใจ แต่ว่าลมหายใจนี่ถ่าเราคุมไป ๆ พอถึงฌาน ๔ นี่มันจะไม่รู้สึกว่าเราหายใจ นี่การฝึกไม่สนใจกับลมหายใจมันฝึกตั้งฌาน ๔ ทันทีนะ จับตัวปลาย เราลองซ้อมดู
มันไปไม่ไหวก็มาจับลมหายใจ จับไปจับมาพั้บฉันไม่สนใจลมหายใจ จับภาพพระพุทธเจ้า ก็เราเห็นแล้วใช่ไหม
จับตรงนี้เราไม่สนใจกับลมหายใจ และประเดี๋ยวมันจะตก ตกลงมาจับลมหายใจก็ช่างมัน จิตก็จับภาพพระพุทธรูปไว้ ภาพพระพุทธเจ้าอย่าให้เคลื่อน พอสบายดีฉันไม่สนใจแกอีก เล่นขึ้น ๆ ล่อง ๆ แบบนี้ ไม่ช้าอารมณ์จิตมันจะชิน
พอจับพั้บไม่สนใจกับลมหายใจเลย ไอ้นั่นน่ะพอจับพั้บทีไรเป็นฌาน ๔ ทุกที ตัวนี้แหละเราต้องการ ถ้าจิตเป็นแบบนั้น กำลังจิตมันก็เข้มข้นมันก็ตัดกิเลสง่าย ฌาน ๔ มันตัดกิเลสได้อย่างง่าย
ยอดพระไตรปิฎก
"การสวดมนต์ยอดพระไตรปิฎก ถ้าสวดทุกวันจะเป็นยังไงคะ...?"
ดี สวดได้ก็ดี ไอ้ยอดพระไตรปิฎกนี่มันอยู่ไหนหนอ... ยอดพระไตรปิฎกจริง ๆ มันสวดไม่มากหรอก อัปปมาเทนะ สัมปาเทถะ เท่านี้
"ต้องหมดสิคะ"
ไอ้นั่นโคนพระไตรปิฎก ยอดพระไตรปิฎกเราต้องดูอย่างนี้ซิ ตอนวันที่พระพุทธเจ้าจะนิพพาน ใช่ไหม วันนั้นพระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ว่า
"อานันทะ ดูก่อน อานนท์ พระธรรมวินัยที่ตถาคตสอนมาสิ้นเวลา ๔๕ ปี ย่อมรวมอยู่ในความไม่ประมาท"
จึงตรัสว่า อัปปมาเทนะ สัมปาเทถะ แปลว่า "ท่านทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม"
นี่ยอมพระไตรปิฎกแล้ว ยอดมันก็ต้องเล็กนิดเดียว โตเบ้อเริ่มเป็นยอดได้ไง ไอ้ที่เขาบอกว่ายอด ฉันไปดูแล้วมันโคนพระไตรปิฎก เอ้า...จริง ๆ ท่านบอกว่า คำสอนทั้งหมดรวมอยู่ในคำว่าไม่ประมาทคำเดียว ใช่ไหม พออ่าน ๆ ดูแล้วไม่รู้ว่าเป็นยอดแบบไหน ที่เขาพิมพ์ขายน่ะ ไม่รู้แกไปคัดเอาอะไรมาบ้าง
"ที่วัดหนูก็มียอดพระไตรปิฎก"
มีโคนพระไตรปิฎก ก็บอกแล้วยอดมันมีแค่อัปปมาเทนะ สัมปาเทถะ นี่ยอด คือรวมหมด ท่านตรัสวันนิพพาน คือว่าคำสอนทั้งหมดรวมอยู่ในคำนี้คำเดียว นี่ยอด ใช่ไหม
นี่ฉันมันมีความเห็นไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านเขา เพราะอะไร เพราะฉันถือเอากฎความเป็นจริงมาใช้เท่านั้น แต่ที่เขาบอกยอดพระไตรปิฎก ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงเรียกยอดพระไตรปิฎก ยอดใหญ่มันต้องโคน เดี๋ยวหล่หักมา
เราไม่ประมาท คือ หนึ่ง ไม่ประมาทในชีวิต เราคิดว่าชีวิตนี้มันไม่สามารถจะทรงตัวต่อไปได้ มันต้องตาย ไม่ประมาทที่จิตเราจะไปคิดจับในขันธ์ ๕ ว่ามันเป็นเราเป็นของเรา ใช่ไหม นี่เราไม่ประมาท
เราคิดว่าร่างกายเป็นเราเป็นของเรา ไม่ช้าก็เจ๊ง เดี๋ยวมันก็พัง ถ้ามันเป็นเราเป็นของเราจริง มันก็ต้องไม่ตาย ถ้าเราต้องการขันธ์ ๕ แบบนี้ มันก็มีแต่ความทุกข์ มันหาความสุขไม่ได้ ก็แค่นี้ จบ.
ที่มา: จากหนังสือ ธรรมปฏิบัติ ๑๓ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม (ท่าซุง) อ.เมือง จ.อุทัยธานี
Create Date : 09 ตุลาคม 2551 |
|
8 comments |
Last Update : 9 ตุลาคม 2551 17:17:40 น. |
Counter : 1583 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: อัสติสะ 9 ตุลาคม 2551 18:53:27 น. |
|
|
|
| |
โดย: hs_olj 9 ตุลาคม 2551 19:50:12 น. |
|
|
|
| |
โดย: Opapatika IP: 124.121.247.212 9 ตุลาคม 2551 20:54:17 น. |
|
|
|
| |
โดย: Opapatika IP: 124.120.12.158 10 ตุลาคม 2551 8:47:32 น. |
|
|
|
| |
โดย: ปาล์ม (palmpada ) 10 ตุลาคม 2551 11:04:58 น. |
|
|
|
| |
โดย: ตั้งสติ 10 ตุลาคม 2551 18:06:39 น. |
|
|
|
| |
โดย: Opapatika IP: 124.120.3.174 14 ตุลาคม 2551 9:56:35 น. |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
MY VIP Friend
width=40 height=40 align=middle vspace=2 hspace=2 border=0 title="cilladevi"> |
|
|
|