Group Blog
 
<<
กันยายน 2552
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
19 กันยายน 2552
 
All Blogs
 
เข็มทิศชีวิต.....ภาคที่ 3

ภาคที่ 3 วางใจ ให้ถูกต้อง

ทุกอย่างในโลกนี้หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา รัก-ไม่รัก รวย-จน สุข-ทุกข์ อยู่-ตาย แข็งแรง-เป็นโรคร้าย ดี-ไม่ดี ฯลฯ ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ไม่ได้สร้างความทุกข์ให้เกิดขึ้นในใจเรา จนกว่าใจเราจะเคลื่อนไปเกาะไปยึด ว่าอันนี้ตัวเรา ของเรา ความคิดเรา และเราอยากให้มันเป็นอย่างใจเรา อยากให้เขาไม่ตาย อยากให้บริษัทเจริญ อยากให้รักเราตลอดไป เมื่อนั้นทุกข์เกิดขึ้นทันที.....


หลวงพ่อชา สุภัทโท อดีตท่านเจ้าอาวาสวัดป่าพง เคยกล่าวไว้ว่า "ไก่ก็เป็นไก่ เป็ดก็เป็นเป็ด เมื่อไหร่ที่เราอยากให้ไก่เป็นเป็ด ไก่มันก็เป็นไม่ได้ ใจเรามันอยากฝืนธรรมชาติ มันก็ทุกข์เท่านั้นเอง หรือไม้อันหนึ่งจะบอกว่ามันสั้นหรือยาว มันก็อยู่ที่ใจเราอีก เราอยากได้ไม้ยาวๆ ไม้นี้ก็สั้นเกินไป เราอยากได้ไม้สั้นๆ ไม้นี้ก็ยาวไปอีก ไม้มันก็เป็นไม้อยู่อย่างนั้น แต่ใจเรานี่แหล่ะที่คอยไปยุ่งกับมัน"


เมื่อไหร่ที่คิดบังคับ เมื่อนั้นความไม่สบาย ความหนัก จะเกิดขึ้นกับใจเราทันที หน้าที่เดียวของเราก็คือ รู้เท่าทันใจที่ยืดไปยึด ไปอยากได้สิ่งต่างๆ เป็นอย่างใจเรา ทันทีที่รู้ทันใจ ในวินาทีนั้น ใจจะมีอาการปล่อยวางหนึ่งขณะเป็นอย่างน้อย วินาทีนั้นจะเกิดใจที่ว่าง โล่ง มีคุณภาพ รู้ว่าเราสามารถสร้างเหตุ ดูแลปัจจัยสภาพแวดล้อมได้แค่ในระดับหนึ่งเท่านั้น ผลจะเป็นอย่างไรเราเลือกไม่ได้ แต่สามารถฝึกใจให้คอยรู้ทันใจทุกขณะที่ยืดเข้าไปอยากอีก จนใจยอมเข้าใจหันมาตั้งใจที่การทำเหตุในแต่ละขณะให้ดีที่สุด


*เข็มทิศ
ชีวิตเราเลือกให้มีแต่สิ่งที่เราพอใจไม่ได้ แต่เราสามารถเลือกรู้ทันใจที่กำลังจะหยิบฉวยก้อนหนาม จัดการกับปัญหาด้วยใจที่ไม่ทุกข์ได้





O "รู้" คือ เข็มทิศ

เราจะมีความรู้สึกตัวเป็นเข็มทิศคอยกำกับชีวิตได้ตลอดเวลา เพียงแต่เราจะต้องให้โอกาสเข็มทิศ ให้โอกาสความรู้สึกตัวได้ทำงานเท่านั้นเอง


เราสามารถที่จะฝึกให้รู้ ตัวเร็วที่สุด ทันทีที่ใจเราเริ่มไหลไปตามอารมณ์ ใจเริ่มมีการทำงาน คิดๆๆ ด้วยความรู้สึกตัวในขณะนั้น ถ้าเราเห็นใจกำลังกำมีด กำหนาม ดมกะปิ ในขณะที่รู้ก็สามารถวางความรู้สึกและความคิดนั้นๆ ลงได้ทันที


การรู้ทันใจตัวเอง เห็นทันใจที่กำลังปรุง คิด อยาก เป็น การเห็นต้นเหตุของความทุกข์และเป็นการดับทุกข์ ในขณะเดียวกัน ต้นเหตุของความทุกข์เกิดจากใจที่หลงออกไป ทันทีที่รู้ทัน ตัดตั้งแต่ต้นตอ วินาทีนั้น ใจไม่หลง มีแต่ความรู้สึกตัว เป็นตัวของตัวเองอย่างแท้จริง


ด้วยความรู้จักธรรมชาติ ยอมรับตามความเป็นจริงของมันว่า อะไรๆ ก็ไม่คงที่ เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่สามารถบังคับให้เป็นอย่างใจได้เลย เมื่อไหร่ที่ความยึดถือในความคิด ความอยากของเราเบาบางลง ความทุกข์ก็น้อยลงตามลำดับ แล้วเราจะได้พบความจริงที่ยอดเยี่ยมที่สุดคือ ไม่มีใครหรือเหตุการณ์อะไรสามารถกระชากใจให้ใจเราจมอยู่ในความทุกข์ได้ ความรู้สึกที่ไม่ดีเกิดขึ้นได้ ต่อเมื่อเราเผลอปล่อยใจให้ไหลไปโดยไม่รู้เท่าทันใจตัวเอง


ในแต่ละขณะ ที่เราดำรงชีวิตอยู่ด้วยความระลึกรู้สึกตัวเต็มที่ เท่ากับว่าเราได้ทำหน้าที่แต่ละขณะของเราอย่างดีที่สุด เป็นอิสระจากความกลัว ความอยาก ความไม่อยาก เราได้ทำปัจจุบันและผลในอนาคตอย่างสมบูรณ์





O รู้ทันความกลัว

บ่อยครั้งในชีวิต ที่คนเราปล่อยตัวเองให้จมลงไปในวิถีชีวิตที่ไม่มีคุณภาพ ไม่เอื้อต่อการพัฒนาจิตใจของตนเอง ปล่อยตัวเองให้จมอยู่ในวิถีชีวิตที่เราไม่ต้องการ แต่เราไม่เข้มแข็งพอที่จะสลัดหลุดออกจากมันได้


บางคนเสพติดการช็อปปิ้ง เสื้อผ้า เครื่องประดับ รองเท้า นาฬิกา ที่เราทนต่อแรงดึงดูดภายในไม่ไหว เพราะเราไม่มีโอกาสรู้ทันใจ ไม่ได้ให้โอกาสเข็มทิศชีวิตทำงาน จึงต้องมานั่งแก้ปัญหาหนี้สินที่ตามมาไม่รู้จบ บางคนทนอยู่กับคนที่ไม่ได้รัก ไม่ได้ศรัทธา เพียงเพราะเรากลัว กลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลง


โดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ ตาม เรามีความกลัวผุดขึ้นในใจเสมอ กลัวจน กลัวคนไม่ชอบ กลัวเขาไม่รัก ไม่อยู่กับเรา กลัวไม่สมดังใจ ความเครียดในใจของเราเกิดจากใจที่กลัวว่าอนาคตจะไม่เป็นอย่างที่คาดหวัง หรือคิดถึงอดีตที่ผ่านไปแล้วว่ามันควรเป็นอย่างนั้นอย่างนี้


การที่เราฝึกดูจิตใจตัวเอง คอยรู้สึกตัว รู้ทันความคิด รู้ทันความกลัว ใจของเราจะเกิดความรู้สึกมั่นคงสะสมขึ้นทีละขณะ ความกลัวเป็นความเผลอสติ เกิดจากใจที่หลงไป ถ้าเราเห็นความกลัวนั้นทัน ความกลัวก็จะหายวับไป ใจเราก็จะสงบ มั่นคง ตั้งมั่นอยู่กับขณะนั้น เราจะรู้จักความเป็นอิสระ รู้ประจักษ์ด้วยตัวเองอย่างแท้จริง ว่าเราสามารถมีความสุขได้จากภายใน โดยไม่ต้องอิงอาศัยคนอื่น อาศัยของ เป็นอิสรภาพทางจิตวิญญาณที่เราสามารถสัมผัสกับมันได้ทุกขณะ แม้ในขณะนี้ ทันทีที่ท่านผู้อ่านเห็นว่าใจไหลมาจดจ่ออยู่กับตัวหนังสือ ใจของเราจะเกิดความรู้สึกตัวเป็นปรกติ ธรรมดา มั่นคงก่อนที่จะเริ่มไหลใหม่ หลงใหม่ หลงอีกในขณะต่อๆ ไป แล้วเราก็จะเริ่มรู้สึกตัวใหม่อีก


* เข็มทิศ
วินาทีนี้ ลองสำรวจใจตัวเอง เราทนอยู่ ทนทำ ทนจมลงไปในวิถีชีวิตที่ไม่ต้องการ เพราะเรากลัวอะไร?





O หนีทุกข์ตลอดเวลา

หัวใจสำคัญในการดำเนินชีวิตคือ การรู้จักที่จะหยุดฟังเข็มทิศภายใน ในชีวิตที่ทุกอย่างเป็นของสำเร็จรูป ตั้งแต่กาแฟ บะหมี่ ไปจนถึงวิธีดำเนินชีวิต วิธีประสบความสำเร็จ วิธีบอกรักใครสักคน สิ่งที่ได้มาอย่างง่ายๆ ลวกๆ ผลที่ได้ก็ตื้นๆ คร่าวๆ ตามมา


ชีวิตเป็นสิ่งลึกซึ้ง อ่อนโยน สิ่งดีที่สุดที่ใจเราโหยหาอยู่ตรงหน้าเราตลอดเวลา แต่เราไม่เคยสัมผัส ใจเราถูกห่อหุ้มปิดบังไว้ด้วยความวุ่นวานภายนอกและภายใน


การฝึกให้เราว่องไวต่อความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง เริ่มจากการที่ตามรู้จิตใจของเราให้ได้ทันกับการเกิดขึ้นแต่ละขณะ ต้องใช้การฝึก หลายคนมักจะบอกว่าเป็นสิ่งที่น่าอึดอัด ที่ต้องมาตามรู้ร่างกายและจิตใจของตัวเอง สิ่งที่อยากจะบอกก็คือ ร่างกายและจิตใจนี่แหล่ะ คือความจริงของชีวิต ตลอดเวลาเราหนีความจริงที่ว่าร่างกายและจิตใจของเราอยู่ในสภาพที่ถูกบีบคั้น เป็นทุกข์ มีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด บังคับไม่ได้.....อยู่บ้านเบื่อก็ไปเที่ยว เที่ยวมากๆ เหนื่อย ทุกข์ ก็ต้องกลับมาพักที่บ้าน.....ทำงานที่นี่เบื่อ ทุกข์ ก็เปลี่ยนงานใหม่ .....อยู่กับแฟนคนนี้เบื่อ ทุกข์ เปลี่ยนแฟนใหม่.....เราหนีอยู่อย่างนี้ตลอดชีวิต โดยไม่มีโอกาสหยุดพิจารณาว่า สาเหตุใหญ่ของความทุกข์เริ่มที่ใจ แล้วเราก็หนีไม่เผชิญหน้ากับมัน แล้วหากเกิดมันเป็นเรื่องที่เราหนีไม่ได้ เช่น ปัญหาของคนในครอบครัวเรา ในชีวิตเรา หรือโรคร้ายที่เกิดกับตัวเราที่เราหนีไม่ได้ เราจะทำอย่างไร


การฝึกตามรู้ร่างกายและจิตใจ ทำให้เราสามารถอยู่กับสิ่งที่เป็นทุกข์ โดยที่ใจเราไม่ทุกข์ได้ เหมือนเป็นแค่คนเฝ้ารู้ เฝ้าดูอยู่ห่างๆ เหมือนที่ดิฉันเล่าว่า ได้เห็นด้วยตัวเอง เมื่อความเจ็บปวดเกิดขึ้นกับร่างกาย แต่ไม่สามารถลากใจเราให้กระเพื่อมทุรนทุรายตามไปได้





O มีหาง ปวดหาง

มีครั้งหนึ่งในหลักสูตรที่เราทุกคนมีหน้าที่ตามรู้ ดูร่างกายและจิตใจตนเอง มีชายคนหนึ่งลุกขึ้นไปบอกวิทยากรผู้ดูแลว่า "ผมคิดว่า ถ้าผมอยู่ต่อไป ผมคงเป็นอัมพาต หรืออัมพฤกษ์อย่างแน่นอน เพราะผมปวดหัว ปวดคอ ปวดหลัง ปวดเอว ปวดขา ปวดไปหมดทั้งตัว"


คุณยายอีกท่านหนึ่งรีบเสริมทันทีว่า "จริงค่ะ คุณยายแก่แล้ว เขาให้นั่งบนเก้าอี้ นั่งยังไม่ถึง 5 นาที กระดูกกระเดี้ยวยายแทบหักเป็นท่อนๆ ทั้งที่ตอนอยู่บ้าน ยายนั่งเล่นไพ่สามวันสามคืน ลูกหลานต้องส่งข้าวในวงไพ่ ยายยังสบายๆ"


วิทยากรหันหน้าไปทางชายคนแรกแล้วถามว่า "ปวดทั้งตัวเลยหรอ แล้วปวดหางบ้างไหม" ชายคนนั้นตอบทันทีว่า "ไม่ปวด" วิทยากรจึงตอบว่า "เออดีนะที่ไม่มีหาง ไม่อย่างนั้นคงปวดหางเข้าไปด้วยอีกอย่างหนึ่ง"


ตอนแรกที่ได้ยิน ดิฉันขำเอามากๆ แต่ขำได้เพียงครู่เดียวก็ขำไม่ออก จริงของวิทยากร ถ้ามีหางก็คงทุกข์เรื่องหางเข้าไปด้วยอีกอย่างมีร่างกายทุกข์เรื่องร่างกาย มีลูก มีครอบครัว ก็ทุกข์เรื่องลูก ครอบครัว มีงาน ก็ทุกข์เรื่องงาน มีหนี้ มีทรัพย์สิน มีญาติ ก็ทุกข์เรื่องหนี้ เรื่องทรัพย์สิน เรื่องญาติ ทุกอย่างที่เรามี เราเป็น เราทุกข์กับมันทั้งสิ้น


แล้วเราต้องทำอย่างไร เราต้องไม่มีอะไรเลยหรือเปล่า จะได้ไม่ต้องทุกข์ ไม่มีปัญหา แต่ความจริงก็คือ เรามีได้ทุกอย่าง เพียงแต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ใจเราหลงอยาก หลงคิด อยากบังคับให้เป็นอย่างใจเรา เราก็แค่รู้ทันใจที่กำลังแอบไปสร้างภาระให้ตัวเอง สร้างเงื่อนไขไว้ให้เป็นปัญหาในอนาคต ทันทีที่รู้ ขณะนั้นใจที่เห็นตัวเองกำลังกำก้อนหนาม กำลังยึดอยู่ มันจะปล่อย จะวางเอง โดยที่ไม่ต้องรอให้หลวงพ่อวัดไหนมาบอกให้ปล่อยวาง เพราะเราทุกคนรักตัวเอง ห่วงตัวเอง ถ้าเราได้เห็น ได้รู้ทันว่า เรากำลังกำก้อนทุกข์ กำลังกำของร้อนอยู่ เราจะปล่อยเองโดยอัตโนมัติ โดยที่ไม่ต้องห่วงเลยว่า เราจะทำหน้าที่ได้ไม่ดี นักวิ่งที่แบกของหนัก แบกภาระเงื่อนไขเป็นลูกตุ้มผูกขาเต็มตัวไปหมด จะสู้นักวิ่งตัวเบาไม่แบกอะไรได้อย่างไร





O หนอนในกองอึ

ทุกวันนี้ เราคิดว่าเรารู้ทุกอย่าง เราคิดว่าเราดี มีความสุขอยู่แล้ว แต่ไม่รู้ว่าเราเหมือนหมูที่กิเลสเลี้ยงเอาไว้เชือด ให้ความสุขเล็กๆ น้อยๆ มาล่อ พอติดใจก็เหมือนปลาติดเบ็ด ที่ถูกความทุกข์เกี่ยวจนปวดแสบปวดร้อนที่ใจ หาทางออกไม่ได้ เหมือนที่ครูบาอาจารย์วัดป่าท่านมักจะเปรียบว่าเราเป็นเหมือนพวก "หนอนในกองอึ" (ท่านใช้คำแบบนี้จริงๆ) สมมุติว่ามีกองอึกองอยู่ตรงหน้าเรา 1 กอง แล้วมีหนอนอยู่ในนั้น ทั้งเน่าทั้งเหม็น เราอยากจะช่วยหนอน หยิบหนอนออกมาวางไว้นอกกองอึ คุณคิดว่าหนอนจะทำยังไง แน่นอน หนอนจะคลานกลับเข้ากองอึไปทันที


เหมือนทุกครั้งในชีวิต ที่เรามีโอกาสช่วยตัวเองให้หลุดพ้นจากวิถีชีวิตที่ทำร้ายเรา สร้างปัญหา สร้างความทุกข์ให้เรา แต่แล้วเราก็ยอมกลับไปอยู่กับสิ่งเดิมๆ ที่เราชิน ทั้งๆ ที่รู้ที่เห็นว่ามันเน่าเหม็นแค่ไหน


เพียงแค่เราเข้มแข็งสัก นิด ยอมฝึกฝนตัวเองสักหน่อย ไม่มีอะไรมนชีวิตที่ได้มาง่าย ปริญญาทางโลก เราใช้เวลาเกือบยี่สิบปี ปริญญาทางจิตใจที่มีความสำคัญที่สุด เรากลับไม่มีเวลาให้ ไม่เคยมีเวลาศึกษา กลับทุ่มเทให้คนอื่น ของอื่นทั้งชีวิต ไม่มีเวลาแม้เพียง 3 วัน 7 วัน เพื่อเริ่มต้นฝึกให้เข้าใจรู้จักตนเองอย่างแท้จริง





O ตัวปัญหาที่แท้จริง คือ กายกับใจ

เมื่อก่อนดิฉันเคยนึกว่าสิ่งต่างๆ นอกตัว งาน เงิน คน สร้างปัญหาให้เรามากมาย แต่เมื่อเราศึกษากลับมาที่ตัวเอง เราจะเห็นเลยว่า สิ่งที่ทำให้เรายุ่งยากมากมาย ไม่ใช่ของข้างนอกเลย แต่เป็นตัวเรา ร่างกายและจิตใจเราเองต่างหาก


ร่างกายของเราดูแลอย่างดีแค่ไหน เดี๋ยวก็ปวด หิว ขับถ่าย เมื่อย เที่ยว ป่วย เมื่อเราได้เห็นได้เข้าใจร่างกายของเราว่า มันมีสภาพเน่าเหม็น เสื่อมโทรม เดี๋ยวหิว เดี๋ยวปวดเมื่อย ต้องขับถ่ายอยู่ตลอดเวลา ใจเราก็จะคลายความรักในร่างกายนี้เอง มันจะเหี่ยวไปบ้าง เจ็บป่วยไม่สบาย หรือแม้ยามจะตาย หากยังประคับประคองจิตใจไว้ได้ ตัวเองก็ไม่ทุรนทุรายเดือดร้อน คนรอบตัวก็จะได้เดือดร้อนน้อยลงไปด้วย


จิตใจเรายิ่งใหญ่แล้ว ไม่ว่าจะอยู่สุขสบายอย่างไร ก็ยังหาเรื่องให้เราต้องทำโน่นทำนี่ สนองตามความคิดจนเราต้องทุกข์ยากลำบากก็ยังไม่เคยหยุดคิด หยุดอยากปรุงแต่ง ไม่เคยหยุด ไม่เคยพอ


แต่เมื่อเราได้ฝึกการตามรู้จิตใจตัวเองดีแล้ว สิ่งที่เราจะต่างกับตอนที่เรายังไม่ได้ฝึกก็คือ ตอนที่เรายังไม่ฝึก ใจของคนทั่วๆ ไปก็จะปรุง-คิด-ทุกข์ แต่ใจที่ฝึกดีแล้วจะเป็น ปรุง-คิด-รู้ จบไป ตัดกระแส หยุดความทุกข์ตั้งแต่จุดเริ่มต้นที่มันเริ่มคิด เพื่อให้เราสามารถทำหน้าที่ได้ด้วยใจที่ปลอดโปร่ง เพราะชีวิตคนเรา เราอาจเลือกไม่ได้ให้มีแต่สิ่งดีๆ เกิดขึ้นในชีวิตเรา แต่เราสามารถเลือกที่จะทำหน้าที่ด้วยใจที่เป็นสุขปลอดโปร่งได้





O รั้วกั้นใจ

เคยบ้างไหม ที่อยู่ดีๆ ใจเกิดอยากกินบะหมี่เจ้านั้น หรือส้มตำเจ้านี้ ไม่ว่าจะไกลแค่ไหน เราก็ดั้นด้นไปหามารับประทานตามที่ใจอยากกันจนได้ ในชีวิตเราๆ ถูกกิเลสพาให้เราวิ่งๆๆ อย่างนี้ตลอดทั้งชีวิต แค่คิดอะไรขึ้นมาก็ต้องทำตามนั้นโดยที่ไม่ทันได้พิจารณาว่าเหมาะควรดีหรือ ไม่ แล้วถ้ามันไม่ใช่แค่เรื่องบะหมี่ชามเดียว หรือส้มตำจานเดียว แต่เป็นคนรัก ของรักของคนอื่น เงินทอง ข้าวของ ความร่ำรวยของคนอื่นหล่ะ ถ้าเราไม่เฝ้าตามดูใจตัวเอง เมื่อเราเกิดอยากได้ แล้วทำตามที่เราอยากได้ เราก็อาจจะต้องไปแย่งแฟน หรือคนรักของคนอื่น หรือต้องไปเสี่ยง ไปโกงเขามา เพื่อให้มีอย่างที่อยากได้ หรืออยากเป็น โดยแค่อ้างกับตัวเองว่า ก็ทำไงได้มันรักไปแล้ว หรือเราก็มีสิทธิ์อยากได้ อยากมี อยากเป็น เหมือนคนอื่นเหมือนกัน หมาหรือแมวที่เอามาเลี้ยงไว้ เรายังต้องฝึกให้ถ่ายเป็นที่เป็นทาง ฝึกให้ทำตัวดีๆ คนที่เริ่มงานก็ต้องฝึกงาน แต่ใจที่เราใช้อยู่ทุกวันไม่เคยถูกฝึก เราปล่อยใจเหมือนลูกหมาไม่มีเจ้าของ อยากทำอะไรก็ทำแต่เมื่อเกิดทุกข์ขึ้นมาก็จนปัญญาจะช่วยเหลือตัวเองได้


ชีวิตเรา รถยังไงต้องมีเบรค บ้านยังต้องมีรั้ว ใจทั้งใจเราไม่คิดติดเบรค กั้นรั้วให้ใจเราบ้างหรือ การที่เราหมั่นสังเกตจิตใจตัวเอง เป็นการกั้นรั้ว ติดเบรคให้ใจตัวเองอย่างดีที่สุด


เรามักจะใช้ตา หู จมูก ลิ้น ร่างกาย จิตใจในการหาเงิน เสพสุขจากสิ่งต่างๆ เพื่อให้ความเพลิด เพลินแก่ตัวเอง ในขณะที่ใช้ความรู้ที่เราเรียนมาหาเงิน หาของ หาวัตถุ มาใส่ตัวให้ได้มากที่สุด แต่มีบางสิ่งซึ่งเป็นสิ่งสำคัญ ที่เราไม่เคยเรียน ที่ทำให้การหาของเรา การเสพของเรา ไม่เคยพาเราไปสู่จุดหมายที่เป็นความสุข
อย่างยั่งยืน





O แก้วที่ไม่เคยพอ

เรามักถูกสอนให้ มองด้านดีว่า แก้วน้ำที่มีน้ำอยู่ครึ่งแก้วนั้น มีน้ำเหลือตั้งครึ่งแก้ว มากกว่าจะมองว่าน้ำหายไปครึ่งแก้ว แต่จะมองด้านไหนก็ตาม ก็ทำให้เราคิดว่าแก้วยังขาด พร่อง ยังต้องหาน้ำมาเติมให้เต็ม


ตลอดชีวิตที่ผ่านมา เราจะรู้สึกว่า เรายังมีไม่พอ ต้องมีนั่น มีนี่เสียก่อน แล้วเราจะอิ่มจะเต็ม สิ่งหนึ่งที่เราไม่เคยถูกสอนก็คือ ไม่ว่าเราจะพัฒนาความสามารถในการหาเงิน หาของ หาความรักให้ได้มากสักเท่าไหร่ก็ตาม น้ำในแก้วไม่มีวันเต็ม เพราะความอยากในใจเราไม่เคยหยุด แก้วของเราก็จะโตขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่เคยพอ


เมื่อก่อนที่เราเคยคิดว่า ถ้าเรามีเงินล้าน เราจะมีความสุข พอเรามีเข้าจริงๆ ปริมาณความต้องการ มาตรฐานการครองชีพ ความเป็นอยู่ของเราก็โตรุดหน้าไปจนเราต้องหาเพิ่มตลอดเวลา ซึ่งอย่าว่าแต่คนมีเงินสิบล้านร้อยล้านเลย ขนาดคนที่มีเงินเป็นหมื่นล้าน ยังหาเงินอย่างไม่รู้จักอิ่มไม่รู้จักพอ เมื่อก่อนเราถือกระเป๋าใบละพันก็เก๋แล้ว เดี๋ยวนี้กระเป๋าผู้หญิงใบละ 7-8 แสน หรือถึงล้านก็ถือกันเกลื่อน คนที่เรารักหนักหนา ยากลำบากกว่าจะได้มา พออยู่กันไปนานๆ ใจเราก็เรียกร้องมากขึ้นๆ เห็นจุดอ่อนข้อบกพร่อง ไม่อิ่ม ไม่เต็มได้ตลอดเวลา แก้วน้ำหรือความอยากในใจเราไม่เคยหยุดโต หาเท่าไหร่ก็ไม่เคยเต็ม


เคล็ดลับของความสุขก็คือ เราสามารถที่จะพยายามอย่างเต็มที่ในการที่จะหาเงิน หาความรัก เหมือนหาน้ำมาใส่แก้ว แต่สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือ เราต้องเรียนรู้ที่จะปรับขนาดของแก้วน้ำให้พอดีกับน้ำ ให้ใจเราสามารถที่จะมีความสุขสงบพอใจกับขณะนี้ เดี๋ยวนี้ โดยไม่ต้องรออนาคต


ถ้าเรามีน้ำอยู่ครึ่งแก้ว แต่เราสามารถลดขนาดของแก้วน้ำลงจนเหลือเพียง 1 ใน 4 น้ำที่มีครึ่งแก้ว ก็จะล้นมีเกินอยู่อีกเท่าตัว มีเกินพอสำหรับเรา และพอที่จะแบ่งให้คนอื่น เมื่อเราเต็ม เราก็ไม่ต้องวิ่งไปหาน้ำมาเติมอีก มีเวลาเหลือเฟือให้ลูก ให้คนที่เรารัก ให้กับการพัฒนาจิตใจตัวเอง ให้กับสิ่งที่มีความหมายต่อชีวิตเราอย่างแท้จริง


* เข็มทิศ

การลดขนาดของแก้วก็คือ การที่เราหมั่นตามรู้ ตามดูจิตใจ ความรู้สึก ความคิดของเรา แต่ละขณะที่เรารู้ทันใจเราที่อยากได้ อยากให้คนอื่นคิดให้ถูกใจเรา ทุกขณะที่เรารู้ทัน ความอยากทำงานไม่ได้ เราก็ได้ลดขนาดของแก้วลงทุกขณะที่เรามีความรู้สึกตัว ชีวิตเราก็จะเป็นแก้วที่อิ่มเต็มพอดี พอเพียง มีความสุขมั่นคง





O ชีวิตที่ดีเริ่มต้นเมื่อเรากิน-อยู่เป็น

ชีวิตที่มีคุณภาพเริ่มต้นจากการที่เราใช้ตา หู จมูก ลิ้น ร่างกาย และจิตใจของเราเป็น ใช้อย่างรู้เท่าทัน ใช้เพื่อทำประโยชน์ แต่ส่วนใหญ่ในชีวิต เรามักปล่อยตัวเองเป็นทาสแรงผลักในใจ ที่ทำให้เราเป็นปลาที่ฮุบเหยื่ออย่างเต็มเหนี่ยว โดยลืมว่าทุกเหยื่อมีเบ็ดติดมาด้วย กว่าจะรู้ตัว ปากเราก็โดนเบ็ดเกี่ยว ปวดแสบปวดร้อน ทุกข์ทรมาน


เราตกเป็นเหยื่อของการโฆษณาวันนี้ใน เศรษฐกิจการตลาด ที่มีของขายชนิดซื้อเท่าไหร่ก็ไม่หมด แสตมป์ที่ส่งจดหมายให้ไปลอยเป็นขยะในอวกาศก็ยังขายได้ โฆษณาทางโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร กระหน่ำใส่เรา ให้เรารู้สึกว่าเรายังดีไม่พอ สวยไม่พอ ยังไม่เป็นที่ยอมรับ จนกว่าเราจะมีในสิ่งที่เขาต้องการขาย


โฆษณาทางโทรทัศน์ชิ้นหนึ่งใช้ดาราสาวชื่อดังออกมาพูดว่า ผู้หญิงอย่างพวกเราต้องผิวขาวเท่านั้น ยอมให้ผิวคล้ำ ผิวดำกันไม่ได้ ต้องไปซื้อครีมที่เขาโฆษณามาใช้ จึงจะขาวพอยอมรับกันได้ เอ.....แล้วถ้าบางคนเขาภูมิใจในผิวดำ ผิวคล้ำของเขาบ้าง จะไม่มีที่ว่างพอต้อนรับคนผิวดำเลยหรือ


The best things in life are free, but it costs a lot of time and money before you find this out.
-Anonymous-


ถ้าเราไม่มีความรู้ตัว ไม่มีสติคอยกำกับการรับรู้ข่าวสารข้อมูลต่างๆ ที่สามารถทำให้เราคล้อยตามได้ง่าย ใจเราก็จะไหลตามไปโดยที่เราไม่รู้ตัว กว่าที่เราจะรู้ตัวก็มีหนี้ก้อนโต หรือไปรักไปอยู่กับคนที่เราไม่ได้ต้องการ ทำงานที่ทำให้เราเป็นทุกข์ทุกวัน แต่ต้องทนทำไป เพราะเรามีภาระหนี้สินมากเกินกว่าที่จะถอยหลังได้


ดังนั้น การรู้เท่าทันจิตใจของเราจะเป็นเข็มทิศในชีวิต ที่คอยป้องกันแต่ละขณะไม่ให้เราเบี่ยงเบนไปวันละ 1 องศา จนในที่สุดไปจบที่ที่เราไม่ได้ต้องการไป


* เข็มทิศ

ลองสังเกตจิตใจของเราเวลาเห็นโฆษณา จากที่เคยปกติดี เราก็จะเริ่มรู้สึกอยากลองซื้อ เห็นอะไร ดูอะไร ใจเราก็จะลอยเคลิบเคลิ้มไป กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็หิ้วถุงใบโตกลับบ้าน หรือไม่ก็ตอนบิลเรียกเก็บเงินบัตรเครดิตมาถึงบ้าน ให้เราผ่อนจนหัวโต





O อะไรก็ช่วยไม่ได้

ตอนที่เราไม่เคย ฝึกตามดูจิตใจตัวเอง เราไม่รู้สาเหตุว่าไฟในใจที่เผาไหม้ให้เราร้อนรน เริ่มที่ในใจเราเอง เราก็จะเสาะแสวงกาวัตถุ คน สิ่งต่างๆ หวังว่าเมื่อได้มาแล้วจะทำให้เราสุขมากขึ้น


แต่ในความเป็นจริง วัตถุไม่สามารถทำหน้าที่ของมันได้เลย ถ้าเราไม่ได้ฝึกตัวเอง เช่น

o เรามีรถยนต์เพื่อประหยัดเวลาเดินทาง แต่เรากลับเสียเวลาบนท้องถนนกับการเดินทางมากขึ้น เราเหน็ดเหนื่อยมากขึ้น เพราะเราเลือกที่จะเดินทางไปไหนด้วยความสะดวกของการมีรถ และเพราะคนอื่นก็ทำเหมือนกับเราเช่นกัน

o เราเพิ่มถนนเพื่อให้รถติดน้อยลง ยอมถมคลอง รื้อบ้านคนให้ออกไปอยู่ไกลๆ ทุกคนซื้อรถเพิ่มขึ้น ฝนตกลงมาน้ำท่วมคลองระบายไม่ทัน เพราะถูกถมทำถนนหมด รถติดมากขึ้น เราเสียเวลาในชีวิตมากขึ้นไปอีก

o อุปกรณ์อำนวยความสะดวก เช่น เครื่องซักผ้า เครื่องล้างจาน ก็ไม่ได้ช่วยให้เราใช้เวลาทำงานบ้านน้อยลง เพราะถึงจะทำงานเร็วขึ้น แต่เราเพิ่มงานมากขึ้น เพราะเราใช้เสื้อผ้า ใช้จานเปลืองมากขึ้น

o เรามีโทรศัพท์เพื่อประหยัดเวลาการติดต่อกับคนอื่น ไม่ต้องเดินทางไปพบ หรือเขียนจดหมายส่งไปหา แต่เรากลับเสียเวลามากขึ้นเพื่อพูดคุย แม้กระทั่งในเวลาที่เราอยู่กับครอบครัว

o เรามีอุปกรณ์อำนวยความสะดวก เครื่องทุ่นแรง มากกว่าชาวบ้านที่ทำทุกอย่างด้วยตัวเอง แต่เรากลับมีเวลาให้ตัวเองน้อยลง เพราะเราใช้เวลากับอุปกรณ์ต่างๆ เหล่านั้นทำงานที่เมื่อก่อนเราไม่ทำ


ในที่สุดเราก็จะพบว่าทุกสิ่ง ทุกอย่างที่เราหา โตไม่ทันกับปริมาณความอยากในใจเรา ความสุขสมบูรณืในชีวิตจึงไม่เคยมาถึง จนกว่าเราจะรู้จักปรับความอยากในใจเราเอง





O ใจเสพติด

วัตถุสิ่งของ งาน เพื่อน คนรัก ต่างก็เป็นสิ่งที่มองเห็น จับต้องได้ ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราพบว่าเมื่อเราเบื่อ หงุดหงิด เครียด กระวนกระวาย เราจะหันไปเสพติดสิ่งต่างๆ ที่จะช่วยให้เอาใจออกไปจากปัญหาที่แท้จริง คือใจ แม้เพียงชั่วครั้งชั่วคราวก็ตาม


แต่สิ่งต่างๆ ภายนอกที่เราเพียรหามาด้วยความยากลำบาก แลกกับแรงกายแรงใจ เวลาที่จะได้อยู่กับตัวเอง หรือกับคนที่เรารัก นอกจากจะไม่ได้ให้ความสุขกับเราอย่างแท้จริงแล้ว ยังให้โทษกับเราในระยะยาว เพราะมันจะทำให้เราเคยชินกับการแก้ปัญหาแบบหนีปัญหา เหมือนคนติดยาเสพติด ที่ต้องการหนีโดยการเสพยา เพียงแต่เราเสพคน วัตถุ สิ่งของ ชื่อเสียงและงานเท่านั้น


ที่สำคัญที่สุด เมื่อเราเสพติดมันไปเรื่อยๆ จะทำให้เราหมดความสามารถที่จะมีความสุขได้ด้วยตัวเอง ชีวิตเราต้องพึ่งพาสิ่งต่างๆ นอกตัวอยู่ตลอดเวลา ในปริมาณที่มากขึ้นเรื่อยๆ ของอย่างเดิมๆ ให้ความสุขได้น้อยลง ต้องหาชิ้นใหม่ สิ่งใหม่เรื่อยไปไม่รู้จบ เพื่อตอบสนองนิสัยเสพติดอันนี้ ทำให้เราต้องทำงานหาเงินมากขึ้น เสี่ยงมากขึ้น เบี่ยงเบนไปจากเป้าหมายหลักที่แท้จริงของเราไปทีละนิดๆ ทุกวัน





O นักบวชกับจีวร

มีเรื่องเล่าว่า พระบวชใหม่รูปหนึ่งมีความใส่ใจในการภาวนามาก อาจารย์เลยให้ไปอยู่ภาวนาคนเดียวในกุฏิชายป่า วันหนึ่งมีหนูมากัดจีวร แทนที่พระจะแก้ปัญหาด้วยตัวเอง โดยการเก็บจีวรให้พ้นหนู หรือป้องกันหนูเข้ามา พระรูปนั้นตัดสินใจไปขอแมวมาใช้จับหนู เมื่อมีแมวก็ต้องมีนมให้แมวกิน เมื่อขี้เกียจเดินไปขอนมจากชาวบ้านทุกวัน ก็แก้ปัญหาด้วยการไปขอวัวมาเลี้ยง เลยต้องหาหญ้ามาให้วัวกิน แต่ตัวเองก็ต้องภาวนา จึงไปจ้างผู้หญิงชาวบ้านมาตัดหญ้าให้วัวกิน นานวันไปไม่อยากเสียค่าจ้างตัดหญ้า ก็เลยแต่งงานอยู่กินกับหญิงชาวบ้านนั้น เลยต้องสึกออกมาทำมาหากิน


การแก้ปัญหาที่ไม่ตรงจุด แทนที่จะแก้ปัญหาตรงหนูและจีวร แต่กลับหวังว่าสิ่งอื่นจะมาช่วยแก้ปัญหาได้ ทำให้นักบวชผู้นี้เบี่ยงเบนจากเป้าหมายของตัวเองไปไกล เพียงเพื่อที่จะรักษาจีวร ผลสุดท้ายกลายเป็นต้องสึกออกมาทำมาหากินแบบชาวบ้าน สละเพศบรรพชิตเพื่อรักษาจีวร


เหมือนเราที่ใจมันโหวงๆ ก็คิดว่าชีวิตนี้ยังไม่อิ่มไม่เต็ม เพราะยังไม่มีคู่ ก็ไปหาคู่มา โดยไม่เคยรู้เลยว่า ไม่มีใครสามารถมาเติมความโหวงในใจเราได้ นอกจากใจเราเอง คู่ครองที่หามาอาจจะต้องเป็นภาระให้ใจเราแบกมากขึ้น ถ้าเราวางใจไม่เป็น ถึงมีคู่แล้ว หลุมในใจก็อาจจะยิ่งลึกลงไปทวีคูณ หลายคู่พอรู้สึกว่าชีวิตคู่ยังไม่ทำให้รู้สึกมั่นคงขึ้น ก็คิดว่าต้องมีลูกเป็นโซ่ทองคล้องใจพ่อแม่ผูกให้อยู่ด้วยกัน แล้วชีวิตคู่จะสมบูรณ์ขึ้น แล้วก็เหมือนเดิม ถ้าวางใจไม่ถูก ไม่จัดการที่ใจก่อน ก็ยิ่งรู้สึกไม่มั่นคง ทีนี้พอรู้สึกเราไม่มั่นคง ครอบครัวไม่มั่นคงก็ต้องไปกู้เงินซื้อบ้าน ซื้อรถ กู้เงินขยายธุรกิจเพื่อสร้างความมั่นคงให้ครอบครัว ทำงานจนหัวปั่นจนไม่ได้มีโอกาสอยู่ในบ้านที่หาเงินผ่อนแทบตาย ไม่ได้เห็นหน้าครอบครัวที่แสนรัก กลัวธนาคารจะยึดบ้าน ยึดรถ ยึดธุรกิจไป


นักธุรกิจคนหนึ่งทำงานหนักมาก กำลังจะขับรถพาครอบครัวไปเที่ยวต่างจังหวัด เป็นการอยู่ร่วมกันเป็นครั้งแรกในรอบปี บริษัทไฟแนนซ์มายึดรถที่ขาดการผ่อนส่ง นักธุรกิจคนนั้นเลยคว้าปืนมายิงเจ้าหน้าที่ที่มายึดรถ แล้วยิงตัวเองตายตามไปต่อหน้าลูกเมีย


จากจุดเริ่มต้นของความรู้สึก ไม่มั่นคง ปั่นป่วน โหวงๆ ที่ใจ เราก็แก้ปัญหาผิดจุด จนกลายเป็นการผูกเงื่อนปมใหม่ๆ ให้ชีวิตมากมายจนไม่มีวันแก้หลุด





O ทุกข์ตรงไหน วางตรงนั้น

ครั้งแรกที่ดิฉันออกจากหลักสูตรปฏิบัติธรรม จำได้ว่า รัฐบาลประกาศลอยตัวค่าเงินบาท เศรษฐกิจของประเทศหยุดชะงัก เช้าวันนั้นเข่าอ่อน น้ำตาไหล นึกไม่ออกว่าชีวิตคนคนหนึ่ง จะหาเงินขนาดนั้นมาจากไหน เพื่อมาใช้หนี้อันมหาศาลขนาดนั้นให้หมดลงได้


วินาทีที่ความทุกข์มันเกิดขึ้นในใจ ใจที่คุ้นเคยกับการถูกฝึกให้รู้ทันจิตใจตัวเองก็จะเฉลียวรู้เห็นใจที่กำลัง เป็นทุกข์ ขณะนั้นวินาทีนั้นความทุกข์หายวับไป มีแต่ความรู้สึกตัว ใจที่มั่นคงตั้งมั่น วินาทีนั้นดิฉันรู้เลยว่า ทุกวันนี้เราทุกข์เพราะส่วนเกินของชีวิต แท้จริงแล้ว ไม่มีอะไรเลยเราก็อยู่ได้ อยู่ได้อย่างดี อย่างมั่นคง จริงๆ ที่เรารู้สึกทุกข์มากมาย เพราะเราเสพติดเงิน เอาความมั่นคงทางใจของเราฝากไว้กับเงิน เราทุกข์ทั้งๆ ที่การมีเงินน้อยลง ไม่ได้หลายความว่า เราต้องระเหเร่ร่อนไม่มีที่นอน ไม่มีอะไรจะกิน


วันนั้นดิฉันแก้ปัญหาโดยวิธีการตัดอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต มีหลักการง่ายๆ ว่า ทุกข์ตรงไหนก็วางมันตรงนั้น หนักตรงไหน ปล่อยตรงนั่น อะไรที่เรารักษาไว้ไม่ได้ เกินกำลัง ก็แค่ปล่อยมันไป อะไรที่มันใหญ่เกินตัว ถ้าเอามารักษาไว้ก็ยุ่งยากลำบาก ก็ปล่อยไป อะไรที่เราเข้าใจมัน ดูแลมันได้ดี ก็ตั้งใจทำหน้าที่อย่างดีที่สุดภายในเวลาประมาณ 3 ปี ดิฉันจัดการกับภาระหนี้สินที่ต้องรับผิดชอบหมดสิ้น เป็นอิสระ เป็นคนไม่มีหนี้ เป็นไทแก่ตัวเอง แล้วก็ตั้งใจทำงานที่ตัวเองต้องรับผิดชอบต่อไป ภายในเวลาไม่นาน สิ่งที่เราหาได้ก็มีพอที่จะเติมเต็มแก้วใบเล็กๆ ของสองแม่ลูกตลอดไปจนชั่วชีวิต


วันนี้ในวัย 35 ปี ดิฉันวางมือจากธุรกิจ ใช้ชีวิตสงบเงียบกับลูกตัวน้อย บนเส้นทางชีวิตที่เราเลือกเอง มีเพื่อนกลุ่ม เล็กๆ ที่เป็นกัลยาณมิตร คอยเป็นกระจกให้กันในการดำเนินชีวิต บางคนถามว่า เป็นการทำตามความคิด "เกษียณเร็ว เกษียณรวย" หรือ "ให้เงินทำงานแทนเรา" ที่เป็นแนวคิดในหนังสือที่กำลังขายดีทั่วโลกหรือเปล่า


ดิฉันยังไม่ได้มีโอกาสอ่านหนังสือเหล่านั้นทุกเล่ม แต่มีความเชื่อว่า การดำเนินชีวิตที่เหมาะสมของแต่ละคน มีคำตอบอยู่ลึกๆ ข้างในตัวเราเอง ไม่ต้องไปค้นที่อื่น เพียงแต่เราฝึกรู้สึกตัว จนสามารถจับกระแสความคิด ความรู้สึกภายในตัวเอง เข็มทิศในตัวของทุกคนทำงานอยู่ตลอดเวลา แต่เราไม่เคยที่จะหยุดฟังที่จะรับรู้ และว่องไวต่อความรู้สึกของตัวเอง พอที่สติจะจับความรู้สึก ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นความคิด ความอยาก การกระทำ คำพูด


สำหรับตัวเอง เข็มทิศภายในนำทางให้ดิฉันทำในสิ่งที่ไม่มีเงินเป็นผลตอบแทนแต่ดีกับตัวเอง และคนที่มีความหมายในชีวิตเรา เงินเป็นสิ่งจำเป็นที่ช่วยให้ชีวิตมีความสะดวกสบาย แต่เราสามารถจัดวิถีชีวิตการทำงาน และการใช้ชีวิต ที่จะช่วยให้เราหาความสะดวกสบายในชีวิตได้พอเพียง โดยไม่ติดอยู่เพียงแค่ความสะดวกสบาย แต่สามารถนำชีวิตสู่ความมั่นคงที่มากกว่าเงินจะสามารถให้ได้





O ลิงกำถั่ว

หลายคน โดยเฉพาะธนาคารมักจะถามเสมอว่า ใช้หนี้หมดได้เร็วขนาดนี้ได้ยังไงในสภาพเศรษฐกิจแบบนี้ ดิฉันมักจะเล่าเรื่องที่มีคนเล่าให้ฟังต่อๆ กันมาว่า สารคดีเนชั่นแนลจีโอกราฟฟิกเคยฉายให้ดูวิธีชาวสวนไทยดักจับลิงที่มาทำลายพืชผล คือปรกติลิงจะเป็นสัตว์ที่ว่องไวมาก ทั้งวิ่งหนี ปีนต้นไม้ แต่ชาวสวนไทยจะนำกะลามะพร้าวมาเจาะรู ขูดเนื้อมะพร้าว หรือใส่ถั่วที่ลิงชอบไว้ในกะลา เจ้าลิงพอได้กลิ่นของชอบก็วิ่งมา ล้วงมือเข้าไปในลูกมะพร้าว กำของโปรดของมันไว้แน่น แล้วคราวนี้มันจะพบว่า พอมันจะดึงมือออกมา มันกลับดึงออกมาไม่ได้ นั่งรอจนชาวสวนมาจับตัวได้ มนุษย์มากมายหัวเราะเยาะลิงว่า โง่จริงๆ ถ้าอยากให้มือหลุดออกไป ก็แค่ปล่อยผลไม้ที่มันกำไว้แน่น


วันนี้ ทุกปัญหา ทุกความทุกข์ที่เราทุกข์กับมันนักหนา เราก็เหมือนลิงกำถั่ว ที่กำความคิด ความอยาก ความยึดว่านี่ของเรา ต้องเป็นอย่างใจเรา เอาไว้อย่างแน่นหนา


เรากำความคิดว่า หนี้ก้อนนี้ต้องจ่ายเท่านี้ ไม่งั้นก็ยอมยืดเยื้อฟ้องร้องกัน ที่ดินแปลงนี้ขายได้เท่าที่เราอยากได้ ไม่อย่างนั้นก็ยอมให้ธนาคารยึดไป ทั้งๆ ที่เราขาดทุนมากขึ้นด้วยซ้ำ หรือผู้หญิงคนนั้นต้องเป็นคนออกไปจากชีวิตของแฟนเรา ไม่อย่างนั้นก็ยอมทนทุกข์ทรมานกันอยู่แบบนี้ คนนั้นต้องพูดให้ถูกใจเรา ทำให้ถูกใจเราเสียก่อน หรือฝังใจยึดอยู่กับอดีตที่เราเคยมี เคยรวย เขาเคยรักเรา จมแช่อยู่กับความรู้สึกเศร้าโศก จนพลาดโอกาสที่จะเริ่มต้นใหม่ในชีวิตที่อาจจะดีกว่าเก่าเสียด้วยซ้ำ


ผู้หญิงคนหนึ่งถูกโกงเงินไปจำนวนหลายล้านบาท เธอเป็นทุกข์อย่างแสนสาหัส เสียดายเงินที่ถูกโกงไป จนไม่มีแรงที่จะลุกขึ้นมาทำธุรกิจมูลค่าหลายสิบล้านของตัวเองต่อไป จนบริษัทต้องปิดตัวไป กระแสรายได้ที่จะมาจุนเจือครอบครัวต้องชะงักลง และยิ่งทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลง เพียงเพราะใจที่ไม่สามารถวางความรู้สึกเสียดาย เสียใจลงได้


ถ้าเจ้าลิงน้อยมันเคยฝึกดูจิตใจตัวเอง มันจะเห็นเลยว่า ที่มือมันติดอยู่ในลูกมะพร้าว เพราะกำลังกำบางสิ่งบางอย่างไว้ เพียงแค่มันปล่อย ชีวิตมีทางเลือกอีกมากมาย ถอยหลังมาอีกไม่กี่ก้าว มีผลไม้อีกมากมายให้เลือก หรืออาจจะหาก้อนหินมาทุบลูกมะพร้าวให้แตกไปเสียเลย ก็ยังดีกว่าขังตัวเองไว้ในปัญหา ไว้ในลูกมะพร้าวโดยไม่มีทางออก


ไม่มีอะไรสร้างปัญหาให้เราได้ นอกจากใจเราเอง ทุกอย่างเป็นเพียงแค่เหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นกับทุกคนได้ตลอดเวลา แต่เมื่อมันเกิดขึ้นกับเรา เราทุกข์เพราะเราอยากให้มันเป็นอย่างใจเรา เมื่อเราไม่รู้ทันใจตัวเอง เรายึดความคิดและความต้องการของเราอย่างแน่นหนา จนลืมมองว่า ความอยากของเราทำให้ตัวเองทุกข์ทรมานอยู่ขณะนี้ และสร้างเงื่อนไขขังตัวเองจนมองไม่เห็นทางออก
รอบตัว


ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ที่เรารู้สึกว่าหนัก ทุกข์ใจกับมัน มองให้เห็นทันความอยากในใจเรา ที่อยากให้มันเป็นอย่างนั้น หรืออยากให้มันไม่เป็นอย่างนั้น ให้ใจมันตื่น หยุดอยาก ผ่อนคลาย รู้สึกตัวให้เต็มที่ ใจจะเบาสบาย เมื่อความอยากถูกปล่อยไป ใจจะเห็นเหตุการณ์ตามความเป็นจริง มีปัญญามองทะลุไปถึงต้นตอของเหตุการณ์ ทำหน้าที่ด้วยใจตั้งมั่น รู้ทันว่าบางอย่างแก้ไขได้ บางอย่างแก้ภายนอกไม่ได้ แต่แก้ภายในได้ ด้วยใจที่ปล่อยวางความอยากและด้วยปัญญาที่เข้าใจ


ความระลึกได้ รู้เท่าทันใจ เป็นเข็มทิศนำทางความคิด คำพูด การดำเนินชีวิตของเราไม่ให้ไหลไปตามสถานการณ์ จนชีวิตบิดเบี้ยว หลงทางโดยที่เราไม่รู้ตัว


* เข็มทิศ

วันนี้เรายึด เรากำอะไรไว้จนเป็นทุกข์บ้าง







ป.ล. หนังสือ "เข็มทิศชีวิต" เขียนโดยคุณฐิตินาถ ณ พัทลุง



Create Date : 19 กันยายน 2552
Last Update : 20 กันยายน 2552 15:46:39 น. 4 comments
Counter : 803 Pageviews.

 
แวะมาเจิม...สบายดีนะคะ


โดย: Dangjarunun วันที่: 20 กันยายน 2552 เวลา:1:33:49 น.  

 
อ่านยังไม่จบค่ะ แล้วจะกลับมาอ่านอีก หลับฝันดีนะคะคุณบี


โดย: Dangjarunun วันที่: 20 กันยายน 2552 เวลา:1:35:55 น.  

 


หวัดดีวันอาทิตย์ค่ะน้องบี
สบายดีนะคะ คิดถึงค่ะ แม้ว่าจะไม่ได้
มาที่บล็อคอ่ะนะ เวลาเห็นอาไรน่ารัก ๆ
จะต้องคิดถึงน้องบีทุกทีเลยค่ะ
หมายถึงงานฝีมืออ่ะนะคะ
จากบล๊อคน้องบี พี่อ่านเป็นข้อ ๆ ค่ะ
เพราะบางข้อก็เคยอ่านมาแล้ว
ว่าจะไปหามาไว้เป็นสมบัติที่บ้าน
ก็ ลืมทุกทีเลยค่ะ เพราะเวลาไปห้างอ่ะ
มัวแต่ไปเดินดูอย่างอื่น จนลืมทุกครั้งอ่ะ
ปล.มีความสุขมาก ๆ นะคะ น้องบี
รักษาสุขภาพด้วยนะ...


โดย: มินทิวา วันที่: 20 กันยายน 2552 เวลา:9:26:24 น.  

 


น้องบีจ๋า

ที่น้องเคยพิมพ์ไว้ให้ พี่เก็บรวบรวมไว้อ่านเป็นที่เรียบร้อยโรงเรียนเจ้เหมี่ยว

มาอ่านต่อค่ะ ขอบคุณน้องบีเป็นอย่างมากค่ะ



วันอาทิตย์ไปเที่ยวไหนจ๊ะ


โดย: colchique วันที่: 20 กันยายน 2552 เวลา:10:08:20 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

beebeetoon
Location :
ปทุมธานี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




อะไรก็ได้ง่ายๆๆๆ (ยืมคำเฮียนมอุโด๊ส.....โน๊ส อุดมมาใช้)
Google

ท่องไปทั่วโลกหาแค่ในพันทิบก็พอ
Friends' blogs
[Add beebeetoon's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.