เพราะเธอ ,ฉัน และเรานั้น...
ภาพยนตร์สารคดีเรื่อง AN INCONVENIENT TRUTH (อันจะทำให้ อัล กอร์ ผู้"เคยเป็น'ว่าที่'ประธานาธิบดีสหรัฐ ฯ" ได้ใช้มันเป็นเครดิตก้อนโต ในการหาเสียงในการลงชิงตำแหน่งอีกครั้งในสมัยหน้า) นำเสนอภาพๆ หนึ่งซึ่งระบุรายละเอียดว่าเป็นภาพที่'ฮิต'ที่สุดในการใช้อ้างอิงถึงรูปลักษณ์ของพิภพนามว่า "โลก" เมื่องมองจากอวกาศ
ชื่อของภาพๆ นั้น คือ "The BLUE MARBLE"
-ยานอพอลโลถ่ายภาพนี้เมื่อปี 1972 เป็นภาพแรกของ โลกจากอวกาศที่ไม่มีเสี้ยวเงาด้านมืด เพราะกล้อง วางอยู่ระหว่าง-และระนาบเดียวกันกับดวงอาทิตย์ และ โลกอย่างพอดี(แน่นอนว่าไม่ใช่โดยบังเอิญ) ช่างเป็นชื่อที่ตั้งได้คมคายและแฝงอารมณ์ขันอยู่ในที พิภพที่ครั้งหนึ่งเชื่อกันว่าเป็นเป็นแผ่นดินแบนราบ ถูกหักล้างโดยข้อพิสูจน์อันจะพรากฝันของผู้ที่หวังจะเดินทางถึง 'สุดขอบโลก' ไปตลอดกาล นั่นคือ แท้จริงผืนดินไพศาลนี้บรรจบกันเป็นทรงกลม...มหึมา ในที่สุด ประวัติศาสตร์ทั้งหมดในแง่นี้ก็ถูกภาพนี้(แม้จะมิใช่ภาพแรกจากอวกาศ)เสริมเชิงอรรถให้ด้วยน้ำเสียงทำนองว่า... " (แถม)เวลามองไกลๆแล้วเหมือนหยั่งกะลูกแก้ว/ลูกหินที่เราเล่นกันสมัยเด็กๆเปี๊ยบเลย.."
ประวัติศาสตร์มนุษยชาติกำเนิดและดำรงอยู่มาเพียงหนึ่งในพันของประวัติศาสตร์โลก ก็สามารถเดิน'เลย'สุดขอบโลกในฐานะผู้สำรวจได้ กระทั่งในเชิงกายภาพ เกือบๆจะไม่เหลืออะไรให้เราพิศวงอีกต่อไป เราบอกได้ถึงความยาว'รอบเอว'ของโลก เราบอกได้ถึงอุณหภูมิ,ความกว้าง และส่วนประกอบของแก่นโลกชั้นใน เรายังบอกได้ถึงเนื้อที่พื้นผิว/มวล/น้ำหนัก และอัตราการโคจรของโลก เอ่อ...อันที่จริง เราบอกได้กระทั่งว่าเมื่อไหร่ที่'จุดจบ(แบบอุดมคติ)'ของโลก จะมาถึง ทว่าบางอย่าง...ถึงแม้จะเป็นการใช้ข้อมูล-ความรู้ ที่ได้จากการค้นคว้า ศึกษา ค้นพบ มาวิเคราะห์-คำนวณ-สรุปผล--ก็ยังเป็นได้แต่เพียงการ'กะประมาณ' และจะถือเป็นเช่นนั้นไปจนกว่าจะมีใคร หรืออะไร สามารถพิสูจน์การกะประมาณนั้นถูกต้อง,คลาดเคลื่อนเล็กน้อย หรือผิดไปคนละฟาก และหลังจากนั้น ประวัติศาสตร์ในแง่นั้นๆ ก็จะขยายขอบเขตออกไป ประหนึ่งว่า พ้นไปจากเนื้อที่เชิงกายภาพ ยังมีห้วงไร้ขอบเขตรอให้ถูกค้นพบ .................................. ตัวแปรที่ทำให้ความหมายของคำสองคำ-การคาดเดา/การกะประมาณ แตกต่างกัน คือ ความรู้ แต่ในเรื่องหนึ่งๆก็อาจมีความรู้ได้หลายชุด ซึ่งจะทำให้'การคาดเดา'กับ'การกะประมาณ' เป็นเพียงคำพ้องความหมายในบางกรณี ดังนั้น หากมีเครื่องมือใดที่จะทำให้ความหมายของคำหนึ่งต่างกับอีกคำไปลิบโลกได้(แค่ในเชิงอุดมคติก็ยังดี) ก็คง...
"วิทยาศาสตร์ !!" โลกผันผ่านสู่การฝากชีวิตไว้กับวิทยาศาสตร์ ข้อสรุปหนึ่งเดียวในหนึ่งกรณี 'ไม่เชื่อก็ช่าง-แต่จะตามเค้าไม่ทันนะ' วิทยาศาสตร์คือปัจจุบันและอนาคตอันชัชวาลย์...
ก่อนจะไปไกล...ความรู้หรือทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์โดดๆ เหมือเส้นเล็กแห้ง-ชิ้น-ตุ๋น หอมฉุยวางอยู่กลางโต๊ะไม่ผิดไปได้ ไม่รู้รสได้หากยังไม่แตะลิ้น ใช้นิ้วหยิบทีละเส้น? รู้รส แต่ทั้งไม่น่ารู้สึกอร่อย ใช้ช้อน? ตักได้เส้นดีดปลิ้นกระจาย... เมื่อรู้ว่าใช้ตะเกียบดีที่สุด รสสัมผัสลิ้นเต็มคำ อร่อยหรือไม่ไม่ใช่ประเด็น...ประเด็นคือ ครั้งต่อไปไม่พลาดที่จะหยิบตะเกียบมาคีบเส้น "ความรู้ที่-จะนำวิทยาศาสตร์มาใช้งาน"
วิทยาศาสตร์คือปัจจุบันและอนาคตอันชัชวาลย์...
จะต่อต้านข้อเสีย/ผลกระทบ/ด้านมืดของวิทยาศาสตร์-เทคโนโลยี ด้วยถ้อยคำสวยหรูอย่างไรก็ได้ แต่กล้าปฏิเสธไหมว่า ไม่มีผลิตผลจากเทคโนโลยีใดมาเกี่ยวข้องกับฉันเลยในชีวิตนี้ (เพราะคนที่ปฎิเสธได้อย่างเต็มปากคงไม่มาอ่านบล็อกอยู่แล้ว) ถึงแม้วิทยาศาสตร์จะบอกว่า "ก็ไม่ได้พูดนิว่ามีคำตอบให้กับทุกเรื่อง.." แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้เช่นกันว่าวิทยาศาสตร์...อยากจะไปให้ถึงจุดนั้นเสียจริงๆ
วงการฟิสิกส์กำลังตามหาจอกศักด์สิทธิ์ที่มีชื่อเล่นสากลว่า "ทฤษฎีทุกสิ่ง-Theory Of Everything" เมื่อจิ๊กซอว์ถูกประกบเต็มรูปร่าง (ซึ่งก็ว่ากันว่าใกล้มากแล้ว) จะได้ผลลัพธ์ซึ่งกล่าวอย่างคร่าวๆได้ว่า :โลกจะพบกรอบทฤษฎีเดี่ยวที่ครอบคลุมทุกทฤษฎีในอดีต ที่เมื่อนำกรอบนั้นมาพัฒนาจนสมบูรณ์ จะทำให้ไม่มีปรากฎการณ์ใดๆ ในจักรวาล-ที่ไม่อาจอธิบายได้..อีกต่อไป หวังว่าจะมีคนประดิษฐ์แคปซูลจำศีลด้วยไนโตรเจนเหลวราคาประหยัดสำเร็จในเร็ววันนะ...ใครล่ะจะไม่อยากอยู่ถึงวันนั้น ? เราอยากรู้การกำเนิดและสาเหตุของปรากฎการณ์ เราอยากรู้ว่าไทม์แมชีนจะมีแต่ในนิยายของ เอช.จี.เวลล์ และเรื่องโดเรมอนไปตลอดกาลจริงหรือ(เรือดำน้ำ,ลิฟต์ กับคนเหยียบดวงจันทร์ยังเป็นนิยายมาก่อนเลย)...เราไม่ชอบ..ที่จะ "ไม่รู้" อยู่ให้ถึงวันนั้น...แล้วเราอาจจะได้รู้ว่า ทำไมเราจึง...แตกต่าง ? ในแง่หนึ่ง วิทยาศาสตร์ก็อาจจะอยากรู้คำตอบของคำถามนี้ก็ได้ และควรเป็นเช่นนั้นด้วยหากมันเกิดมาพร้อม-และเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติในโลก มิใช่เป็นคนละส่วน หรือถูกกำหนดความหมายโดยมนุษย์ที่ขอยืมมาพัฒนาและใช้ยกระดับ เอ่อ...ความเป็นเรา เพราะถ้ามิใช่เช่นนั้น...จะกลายเป็นว่าตำแหน่งแชมป์เจ้าของ"นิทานก่อนนอน"ซึ่งถูกเล่าได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่รู้เบื่อ ถัดจากอีสปผู้คลาสสิก จะตกเป็นของ...จอร์จ ลูคัส องค์แรก : เมื่อแกแลคซีแห่งหนึ่ง วิวัฒน์วิทยาการจนบริษัทพลังงานที่ขุดวัตถุดิบในบ้าน(และน่าจะรวมถึงดาวใกล้เคียง)จนร่อยหรอ สามารถใช้ 'ไฮเปอร์สเปซ' ทะลุไปขุดและขนแร่จากดาวที่ห่างไกลจากศูนย์กลางได้ ให้เผอิญว่าดาวบ้านนอกดวงที่ว่า ไม่อยากสูญอัตลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ประจำตำ..เอ๊ย! ประจำดาว ให้นายทุนหน้าไหน ซึ่งถึงแม้จะต้องมีการเซ็นสัญญามอบสัมปทานถูกต้องตามกฎหมายสาธารณรัฐแกแลคซี แต่บางสิ่งบอกพวกเขาว่า สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่านายทุนนั้น มีพฤติกรรมคล้ายคลึงกันหมดตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านไป (-ของแกแลคซีแห่งนั้นน่ะนะ) โดยหลักฐานตำตาในกรณีนี้ก็ได้แก่การปิดกั้นเส้นทางการค้าทุกสายที่เข้าออกดาวบ้านนอกแห่งนั้น เป็นการกดดันให้ได้ซึ่งสัมปทาน'อันถูกต้องตามกฎหมาย'...
ราชินีดาวบ้านนอกได้ใช้เสียงของตนในสภาสูง เสนอญัตติไม่ไว้วางใจสมุหนายกผู้ซึ่งเป็นที่รู้กันว่ามีนอก-ในอยู่กับองค์กรค้าพลังงานที่ว่า ราชินีเสนอวุฒิสมาชิกน้ำดีผู้หนึ่งลงชิงตำแหน่งที่ว่างลง-และได้เสียงข้างมาก ในที่สุดกลุ่มอำนาจเก่าก็ถูกโค่นลง
...และ ในที่สุดเช่นกัน สมุหนายกคนใหม่ ก็เผยให้เห็นว่าภายใต้บุคลิกผ่องแผ้วภูมิฐานและสุขุมสมถะของเขานั้น มี 'วาระซ่อนเร้น' ขนาดมหึมา ในระดับที่จะเหยียบทั้งแกแลคซีไว้ใต้ฝ่าเท้าได้สบาย ๆ โดยมีการกระทำขององค์กรพลังงานที่ว่า(และน่าจะรวมถึงภาคส่วนอื่นๆอีกนับไม่ถ้วน)เป็นหนึ่งในขั้นตอนเพื่อการปูทาง สู่วันนี้
ต่อให้ทะลุ 'ไฮเปอร์สเปซ' ก็หนีไม่พ้น...
ไม่ว่าตัวละครสมุหนายกท่านนี้จะได้ครองตำแหน่ง"สุดยอดวายร้ายแห่งศตวรรษ" จากการโหวตของ AFI เมื่อครบศตวรรษถัดไปหรือไม่(ร้อยอันดับของศตวรรษที่ผ่านพ้นทัศนาได้ที่นี่) หรือต่อให้ภาพถ่าย The Blue Marble เป็นหนึ่งในกลไกที่ช่วยผลักดัน อัล กอร์ ได้ครองตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐได้(และทำให้เทรนด์แห่งการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เดินทางมาถึงประเทศมหาอำนาจเต็มตัวในที่สุด ?) แต่นั่นไม่เกี่ยวอะไรกับการที่โลก-จะเดินทางไปสู่จุดที่ควรเป็น ...โลกที่ควรเป็น
ลัทธิฟาสซิสม์ถูกโค่นล้ม ระบอบทุนนิยมเป็นที่ยอมรับ , รูโหว่ของชั้นโอโซนสมานคืนเมื่อสาร CFC ถูกปฏิเสธจากครัวเรือน เพื่อที่จะถูกต้อนมาอยู่รวมกันภายใต้หลังคาของ "เรือนกระจก" อีกที และอำนาจเก่าถูกถอนเขี้ยวเล็บ เพื่อที่อำนาจใหม่จะได้สยายปีกอย่างถนัดถนี่ ?... ไร้ที่สิ้นสุด...
หรือเราคิดว่าอย่างนั้น ? ใครเลยเล่าจะบอกได้...ว่าอย่างไร คือโลกที่ควรเป็น ? หรือเราคิดว่าอย่างนั้น ?
ก็ยังพอจะจินตนาการออกไม่ใช่หรือ ว่ามันต้องกว้างใหญ่มาก ไพศาลเกินกว่าจะถูกกำหนดนิยาม โดยใครคนใด...เหมือนที่เคยเป็นเสมอมา
...แม้พ้นไปจากเชิงกายภาพ ก็ยังมีห้วงไร้ขอบเขตรออยู่ไม่สิ้นสุด...
หวังว่าเมื่อเวลานั้นมาถึง เธอ,ฉัน และเรา...
............................................................
ในแง่ปัจเจก บล็อก beCause ของเรา อัพเพจตามวันที่ฝนฟ้าเป็นใจ แต่ในแง่พันธะของสมาชิก(ซึ่งในชั้นต้นนี้ มีด้วยกันสามคน) บังคับให้ผลัดกันอัพ ทุกวันที่ 5,15 และ25 ของเดือน พ่อแม่พี่น้องที่คิดจะติดตาม โปรดขอได้รับความขอบคุณจากเรา ไว้ ณ ที่นี้ด้วยจ้า
Create Date : 25 กุมภาพันธ์ 2550 |
Last Update : 14 มีนาคม 2550 17:43:08 น. |
|
2 comments
|
Counter : 551 Pageviews. |
|
|
|
โดย: ทาสบอย วันที่: 25 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:13:08:18 น. |
|
|
|
โดย: Zantha วันที่: 25 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:13:25:43 น. |
|
|
|
|
|
|
|
|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
แต่ลงท้าย
รู้สึกกลิ่นมันแปลก ๆ มาออกแนวการเมืองป่าวเนี่ย
เหมือนดูหนังสตาร์วอส์แล้วมาจบด้วยเจ้าพ่อตลาดหุ้น ยังไงไม่รุ