บทเรียนคดี"นางงามเด็ก" เปิดเส้นทาง"เหยื่อทางเพศ" การรื้อฟื้นคดีปริศนาฆาตกรรมเด็กหญิงจอนเบเนต์ แรมซีย์ หนูน้อยชาวอเมริกันวัย 6 ขวบเมื่อสิบปีก่อน จากการจับตัวผู้ต้องสงสัยในประเทศไทยได้ ไม่เพียงทำให้เกิดข้อถกเถียงในเนื้อหาของคดีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงประเด็น "นางงามเด็ก" อีกด้วย คดีฆาตกรรมหนูน้อยจอนเบเนต์โด่งดังระดับประเทศ ภาพของเด็กหญิงตัวน้อยสวมเสื้อรัดติ้ว สวมรองเท้าส้นสูง แต่งหน้าทาปาก ดัดผมหยิกเป็นลอนแบบหญิงสาววัยรุ่น สวมมงกุฎมิสโคโลราโดรุ่นจิ๋วและร้องเพลง "I Wanna Be a Cowboy"s Sweetheart" เผยแพร่ทางโทรทัศน์อเมริกาครั้งแล้วครั้งเล่า พร้อมกับคำถามว่า การนำเด็กมาแต่งตัวแบบนี้เป็นภัยกับเด็กหรือไม่ อย่างไร บาร์บาร่า เคลลี่ ที่ปรึกษาจัดการประกวดนางงามเด็กในแอตแลนตาเห็นว่า การประกวดเป็นโอกาสอันดีที่เด็กจะหลุดพ้นความเขินอายและยังมีเงินรางวัลสำหรับเรียนต่อ เด็กๆ ที่เข้าประกวดเหล่านี้เพราะพ่อแม่อยากให้ลูกกล้าแสดงออกและพัฒนาความสามารถด้านการร้องเพลง แต่บาร์บาร่า โพลแลนด์ อาจารย์ภาควิชาพัฒนาการเด็ก มหาวิทยาลัยรับแคลิฟอร์เนีย มองต่างมุมว่า การให้เด็กเข้าประกวดนางงามนอกจากไม่ส่งผลดีต่อเด็กแล้ว ยังทำลายความภูมิใจในตนเอง "เด็กเหล่านี้ต้องเติบโตมากับการเดินอวดโฉมต่อหน้ากรรมการที่จะบอกว่า หนูชนะ หนูแพ้ ซึ่งจะเกิดปัญหามากกับคนที่ถูกคัดออก" โพลแลนด์กล่าวและว่า ชุดที่ให้เด็กใส่ประกวดไม่ใช่ชุดสำหรับเด็ก โดยเฉพาะชุดยั่วยวนแบบผู้ใหญ่ สำหรับผู้ที่ทำงานกับเด็กในบ้านเรามีความเห็นถึงเรื่องนี้เช่นกัน จากการที่เมืองไทยมีเวทีประกวดความงามและการแสดงของเด็กมากมาย นางรัชนี ธงไชย ครูใหญ่โรงเรียนหมู่บ้านเด็ก มูลนิธิเด็ก แสดงความเห็นว่า การนำเด็กเข้าสู่เวทีประกวดความงามใดก็แล้วแต่น่าจะส่งผลเสียต่อเด็กมากกว่า เท่ากับนำเด็กเข้าสู่กระแสทุนนิยม-วัตถุนิยมอย่างรวดเร็ว เบื้องต้นก็ทำให้เด็กสับสนกับบทบาทของตัวเอง การวางตัวปฏิบัติตัวไม่ถูกต้องเหมาะสมตามวัย ที่เรียกกันว่า เด็กพันธุ์ใหม่ ซึ่งเป็นความรู้สึกลบต่อเด็ก โดยผู้ใหญ่เป็นผู้กระทำให้เด็กเกิดพัฒนาการข้ามวัย จนเด็กไม่สามารถจัดการตัวเองได้ ผู้ใหญ่มองเด็กเป็นตุ๊กตาของเล่น อยากเล่นกับเด็กแบบนี้ก็เอาเด็กมา ให้แสดงออกในลีลาท่าทางต่างๆ ส่วนเด็กแสดงออกตามที่ผู้ใหญ่ต้องการ เพราะอยากให้ผู้ใหญ่ยอมรับ เนื่องจากผู้ใหญ่มีอำนาจต่อความรู้สึกของเด็ก "ผู้ใหญ่ควรเริ่มต้นคิดใหม่ นึกถึงความเป็นมนุษย์ อย่าเอาเด็กไปเล่นตามใจชอบ ทำให้เด็กโตเกินวัย แต่งตัวล่อแหลม กระตุ้นความรู้สึกเพศตรงข้าม ซึ่งกลุ่มที่ทำร้ายเด็กส่วนใหญ่มีปัญหาครอบครัวตั้งแต่วัยเด็ก ซึ่งผู้ใหญ่พ่อแม่ผู้ปกครองอาจมีความสุขกับการใช้อำนาจกับเด็ก แต่เด็กซึ่งอ่อนแอกว่าจะเป็นทุกข์ได้ จากการถูกผู้ใหญ่ให้แต่งตัวล่อแหลม น่ารัก แต่เป็นผลลบกับเด็ก การป้องกันปัญหาพ่อแม่ควรให้เวลากับลูก ต่อต้านคนที่เข้ามาทำกับลูกเหมือนเป็นตุ๊กตา ให้แสดงความสามารถ แต่งตัวล่อแหลม พ่อแม่ผู้ปกครองต้องไม่ไปส่งเสริม สนับสนุน แต่เพราะพ่อแม่ทุกประเทศไปสนับสนุนวิธีคิดคนเหล่านี้ ทำให้คนจำนวนมากมากระทำสิ่งไม่เหมาะสมต่อเด็กได้" ครูใหญ่โรงเรียนหมู่บ้านเด็ก กล่าวว่า เห็นด้วยกับการให้เด็กได้มีโอกาสแสดงความสามารถ การร้องเพลง แต่ต้องไม่ใช่การแต่งกายที่สุ่มเสี่ยงเกินวัย ล่อแหลม ลีลาออกมาลักษณะยั่วยวน สะท้อนได้จากการแสดงบางอย่าง นำหน้ากระแสสังคมเกินไป พ่อแม่ต้องต่อต้านรายการหรือการประกวดที่จัดแบบนี้ เพื่อช่วยกันป้องกันเด็กตกเป็นเหยื่อ ขณะที่นายมนตรี สินทวิชัย หรือ ครูยุ่น เลขาธิการมูลนิธิคุ้มครองเด็ก กล่าวว่า ผู้ใหญ่ต้องให้ความคุ้มครองพัฒนาเด็กตามวัย ไม่ใช่เร่งเร้าให้เด็กโตเป็นผู้ใหญ่ ต้องเรียนรู้ให้เท่าทัน ว่าการนำเด็กมาประกวดประชันแข่งขัน เป็นกับดักหนึ่งของระบบทุน การจัดประกวดเวทีเด็กต่างๆ เกิดจากการเลียนแบบประเทศตะวันตก โดยให้เด็กแต่งตัวประกวดเป็นนางงาม ดารา ประกวดแฟนซี ประกวดเต้น แต่งตัววับๆ แวมๆ ตั้งแต่ระดับประเทศไปจนถึงเวทีงานวัด ถามว่าเป็นเรื่องของการแสวงหากำไร หารายได้ของผู้ใหญ่ แล้วอ้างว่าเพื่อให้เด็กแสดงออกหรือไม่ "เป็นเรื่องที่แย่มากกับการให้เด็กมาแต่งตัวเร้าทางเพศตามเวทีหรือรายการต่างๆ ไม่ว่าเด็กจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม แต่ถูกผลักดันให้เป็นตัวเร้าทางเพศไปแล้ว ผู้ใหญ่อาจไม่รู้ว่ามีสายตาคนมองมากมาย ทั้งนักข่มขืน คนที่มีปูมหลังมีความต้องการทางเพศสูง ติดอบายมุข มีความไม่สมบูรณ์ทางเพศ ส่งผลให้เด็กตกเป็นเหยื่อทางเพศได้" ครูยุ่นกล่าว เลขาธิการมูลนิธิคุ้มครองเด็กกล่าวต่อว่า อยากให้ทุกฝ่ายทบทวนรอบตัวว่ามีคนที่ตกอยู่ในกระแสเหล่านี้มากแค่ไหน เด็กที่เดินสู่เวทีประกวดหรือการแข่งขัน ไม่เป็นอย่างที่คิดหวังจำนวนมาก เหมือนมวยเด็กมีเด็กไม่กี่คนที่มีชื่อเสียง แต่เด็กที่เสียอนาคตมีมากกว่า ส่วนเด็กที่มีชื่อเสียง ไม่รู้ว่ามีความสุขจริงหรือไม่ ไม่มีใครถามเด็ก ขณะนี้เกิดวังวนการแข่งขัน โลกในจินตนาการของเด็กถูกตัดทิ้งไป ต้องทิ้งวัยเด็กของตัวเองไปอยู่อีกโลกหนึ่ง กลายเป็นความสำเร็จของผู้ใหญ่ "เด็กถูกนำไปแสดงออกในที่ต่างๆ กลางค่ำกลางคืน ไปอยู่ในสภาพที่ไม่ใช่โลกของเด็ก ทั้งที่เด็กควรได้เรียนหนังสือ ได้นอนหลับพักผ่อน หลายคนเรียนชั้นประถมอายุไม่กี่ขวบเป็นนักร้องต้องเดินสายร้องเพลงถึงตีสองตีสาม ทั้งที่เด็กอยากนอนคุยกะหนุงกะหนิงกับพ่อแม่ที่บ้าน เพราะวัยเด็กมีค่ามาก ไม่สามารถย้อนกลับได้ เด็กต้องการบรรยากาศซึมซับที่บ้าน ความจริงเด็กไม่ได้ต้องการเงิน แต่เด็กต้องการความสุขจากการอยู่กับพ่อแม่ ดังนั้น อย่าบังคับแบบเลือดเย็นกับลูก ให้ทำในสิ่งที่พ่อแม่ต้องการให้เดินไปตามทางที่พ่อแม่ลิขิตไว้ เพราะผู้ใหญ่มีหน้าที่ดูแลเด็ก แต่อย่าแปรเป็นอำนาจ" ครูยุ่นกล่าว เมื่อถามถึงมาตรการคุ้มครองเด็ก ครูยุ่นกล่าวว่า หากเด็กมีค่านิยมเหล่านี้มากๆ จะตามเป็นกระแสกันไปหมด อาจต้องหันมาบังคับใช้กฎหมายให้ชัดเจนกับพ่อแม่ผู้ปกครอง เรื่องนี้ยังไม่มีมาตรการดูแลชัดเจน แต่ของไทยมีพ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก ที่กำหนดไว้ในมาตรา 26 ห้ามกระทำต่อเด็กใน 10 ประเด็น เช่น ห้ามบังคับ ขู่เข็ญ ใช้ ชักจูง ยุยง ส่งเสริม หรือยินยอมให้เด็กแสดงหรือกระทำการอันมีลักษณะลามกอนาจาร ไม่ว่าจะเป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าตอบแทนหรือเพื่อการใด หรือห้ามบังคับ ขู่เข็ญ ใช้ ชักจูง ยุยง ส่งเสริม หรือยินยอมให้เด็กเล่นกีฬาหรือให้กระทำการใดเพื่อแสวงหาประโยชน์ทางการค้าอันมีลักษณะเป็นการขัดขวางต่อการเจริญเติบโตหรือพัฒนาการของเด็กหรือมีลักษณะเป็นการทารุณกรรมต่อเด็ก บทความจากหนังสือพิมพ์ข่าวสด   Create Date : 24 สิงหาคม 2549 3 comments Last Update : 24 สิงหาคม 2549 1:26:16 น. Counter : 1705 Pageviews. Share Tweet

ที่อ่านมาเห็นด้วยนะค่ะ เด็กควรอยู่ในวัยใสๆของเด็ก ขอบคุณค่ะที่นำมาฝากกันอ่าน   โดย: โอน่าจอมซ่าส์ 24 สิงหาคม 2549 1:37:39 น.

กำลังติดตามเรื่องนี้อยู่พอดี ได้อ่านแล้ว ขอชื่นชมที่นำมาให้อ่านนะคะ   โดย: รักการ์ตูนทิงทัย 24 สิงหาคม 2549 1:44:14 น.

เค้าบอกว่า อีตา ฆาตกร ที่สารภาพว่าฆ่าเด็ก ไม่ใช่ ฆาตกร จริงๆอ่า   โดย: ดา IP: 68.234.61.175 24 สิงหาคม 2549 13:44:09 น.