เป็นอีกหนึ่งคอนเสิร์ตของศิลปินเกาหลีที่แฟนคลับตั้งตารอคอยมานานกับคอนเสิร์ต BIGBANG 2015 WORLD TOUR [ MADE ] in Bangkok โดยครั้งนี้จัดเต็มแบบ 2 รอบ 2 วันให้แฟนๆได้หายคิดถึง
โดยคอนเสิร์ตครั้งนี้ ต้องยอมรับว่าแฟนคลับถึงขั้นโอดครวญก่อนหน้านี้หลังมีการประกาศขายบัตรที่ราคาแพงลิบลิ่วโดยบัตรราคาสูงสุดอยู่ที่ 8,500บWาท และ ราคารองลงมาอยู่ที่ 6,500, 5,500, 4,500, 2,500 และ 1,500 บาท
แต่หลังจากได้ชมโชว์การแสดงวันแรกเมื่อวันที่ 11 ก.ค. ที่ผ่านมา จึงทำให้เข้าใจถึงสาเหตุที่ราคาบัตรถูกตั้งไว้สูงได้ทันที เพราะคอนเสิร์ตครั้งนี้อัดแน่นด้วยโปรดักชันที่ขนมาแบบจัดเต็มคุณภาพคับฮอลล์ โดยเฉพาะกับระบบแสง สี เสียง เลเซอร์ รวมถึงพลุเอฟเฟคท์ต่างๆที่ทำเอาสะดุ้งกับความอลังการได้ตลอดคอนเสิร์ต
นอกจากนั้นสิ่งที่ทำให้แฟนๆเซอร์ไพร์สกันสุดๆคือ การจัดเวทีพื้นใส เคลื่อนที่ไป-มาจากฝั่งซ้ายไปขวา จากขวาไปซ้าย ข้ามผ่านผู้ชมที่อยู่ในโซนยืนด้านหน้า เพื่อให้สามารถใกล้ชิด และได้ยลโฉมศิลปินที่ตนเองชื่นชอบได้อย่างทั่วถึง ไม่เบียดเสียดกันอยู่ที่ใดที่หนึ่งจนเกินไป ซึ่งถือเป็นเวทีรูปแบบใหม่ที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นในคอนเสิร์ตเกาหลีวงไหนมาก่อน
และไม่แปลกใจเลยเมื่อเห็นชื่อของทีมงาน เมื่อโปรดักชันสุดอลังการงานสร้างครั้งนี้คือฝีมือของ ลีรอย เบนเนต ผู้เคยร่วมงานกับศิลปินดังระดับโลกอย่าง พรินซ์, พอล แมคคาร์ทนีย์, บียอนเซ, เลดี กากา และ รีฮันนามาแล้ว นอกจากนั้นวิดีโอที่ถูกเปิดคั่นระหว่างการแสดงต่างๆอีกหลายครั้ง ก็อลังการงานสร้างไม่ต่างจากการถ่ายภาพยนตร์ เพราะนอกจากฝีมือการแสดงขั้นเทพของ ท็อป และสมาชิกวงรายอื่นแล้ว ยังเป็นผลงานการกำกับของ เอ็ด เบิร์ก ผู้กำกับวิดีโอและกำกับเวทีที่ทำงานร่วมกับ บียอนเซ มายาวนาน ก็มารับหน้าที่ช่วยดูแลเรื่องทัวร์ครั้งนี้ให้สาวกวีไอพีได้รับความฟินตื่นตาตื่นใจกลับบ้านแบบคุ้มค่าบัตรด้วย
โดยคอนเสิร์ตครั้งนี้หนุ่มๆทั้ง 5 นำโดย จี-ดรากอน, แทยัง, ท็อป, ซึงรี และ แดซอง ต่างก็ขนเพลงฮิตจากอัลบัมเก่า-ใหม่มาร่วมโชว์มากมาย
โดยเปิดตัวด้วยเพลง Bang Bang Bang จากอัลบัมใหม่ล่าสุด M.A.D.E ซึ่งทันทีที่เสียงอินโทรลขึ้น ฮอลล์ก็เปลี่ยนเป็นทะเลสีเหลือง ด้วยแท่งไฟหัวมงกุฏสีเหลือง ซึ่งเป็นสีประจำวง จากนั้น 5 หนุ่มก็ปรากฏตัวในชุดเสื้อคลุมสีแดง พร้อมกับแสงสีแดง และเอฟเฟคท์เปลวไฟที่พุ่งขึ้นตามจังหวะเพลงเปลี่ยนเวทีให้ร้อนแรงยิ่งขึ้น ซึ่งแค่เพลงแรกก็ทำทั้งฮอลล์ลุกขึ้นเต้นกระโดดกันตัวลอย
ก่อนจะตามต่อด้วยผลงานเพลงเก่าอย่าง Tonight ที่เพลงนี้ก็ร้อนแรงเช่นเดิมกับพลุไฟที่ยิงกระหน่ำจนทำเอาโซนยืนด้านหน้าถึงขั้นสะดุ้งตกใจกันเป็นแถบ นอกจากนั้นความเก๋ยังอยู่ตรงที่ จี-ดรากอนที่ทำทีเหมือนจะโซโลกีตาร์เดี่ยว แต่แท้จริงแล้วเป็นการนำกีตาร์เลเซอร์ที่ตรงด้ามจับสามารถยิงเลเซอร์ออกไปเล่นกับคนดูมาเล่นกับผู้ชมแทน
ความสนุกในช่วงแรกยังไม่จบ ตามมาด้วยเพลง Stupid Liar ที่แต่ละคนกระจายจากเวทีหลักไปที่เวทีด้านข้าง ก่อนจะสร้างเซอร์ไพร์สให้แฟนๆด้วยการที่เวทีด้านข้างทั้งสองฝั่ง สามารถเลื่อนข้ามผ่านศีรษะของผู้ชมโซนยืนด้านหน้าไปซ้ายและขวาโดยมีบันไดเชื่อมกับเวทีกลางและเวทีหลัก ทำให้ได้เห็นศิลปินชัดๆแบบทั่วถึง
หลังจากแดนซ์กันอย่างสนุกสนาน 3 เพลงรวด ก็มีการกล่าวทักทายแฟนๆชาวไทย ซึ่งหนุ่มซึงรีที่มาเมืองไทยบ่อยที่สุดก็โชว์ทักษะภาษาไทย กล่าวสวัสดี และบอกรักแฟนๆชาวไทย ก่อนจะปล่อยมุขฮาๆให้แฟนคลับได้หัวเราะ โดยเขายังยอมรับว่าตนเองพูดมากเพราะบัตรคอนเสิร์ตแพง เลยต้องพูดเยอะๆให้แฟนๆได้หายคิดถึงและคุ้มค่าบัตร ทำเอาแฟนคลับหัวเราะลั่น หลังจากพูดคุยทักทายกันหอมปากหอมคอ ก็ถึงช่วงฟังเพลงช้าๆอย่าง Haru Haru ที่มาในเวอร์ชันบัลลาดอคูสติก
จากนั้น 5 หนุ่มกลับขึ้นเวทีอีกครั้งด้วยเพลง จังหวะสนุกๆอย่าง How Gee, Feeling ที่ซึงรีขอรับหน้าที่ดีเจ และ Hands Up
จากนั้นกลับเข้าสู่ช่วงเพลงจังหวะช้าๆอย่าง Loser ที่เพลงนี้มาพร้อมกับพรอพแผ่นกระจกใสเคลื่อนที่ ซึ่งเป็นพรอพเดียวกันกับตอนที่ใช้แสดงบนเวทีรายการเพลงต่างๆของบิ๊กแบงด้วย ก่อนจะต่อที่เพลง BLUE ซึ่งในเพลงนี้หนุ่มๆขึ้นยืนประจำแท่นแก้วกลางเวทีของตนเอง ก่อนที่แท่นดังกล่าวจะถูกขยับขึ้นลงตามจังหวะการร้องของแต่ละคน
จากนั้นก็ตามมาด้วยเพลง BAD BOy และ If You ซึ่งเพลงหลังนี้นับเป็นเพลงที่เปิดการแสดงสดบนเวทีเวิล์ดทัวร์ครั้งแรกที่ไทย ทำเอาแฟนๆฟินไปตามๆกันที่ได้ยิน 5 หนุ่มร้องเพลงเศร้าสะเทือนอารมณ์แบบสดๆครั้งแรกในคอนเสิร์ต
นอกจากจะขนเพลงใหม่ๆมาร้องสดให้แฟนๆฟังแล้ว 5 หนุ่มก็ยังไม่ลืมที่จะนำเพลงเก่าๆสร้างชื่อกลับมาเล่นสดให้แฟนๆได้ร่วมแดนซ์ร่วมร้องกันอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเพลง Lies ที่เคยทำให้พวกเขาโด่งดัง นอกจากนั้นยังมีช่วงโซโลเดี่ยวของแต่ละคนที่ขนเพลงจากการออกผลงานเดี่ยวตนเองมาร้องบนเวทีด้วย
โดยประเดิมคนแรกที่หนุ่มซึงรี กับเพลง Strong Baby และ Let's Talk About Love ที่ได้พี่ๆทั้งจีดี และ แทยาง มาร่วมร้อง จากนั้นตามด้วยการโชว์พลังเสียงของ แดซองในเพลง Wings ที่ต้องบอกว่าแม้จะออกมาเดี่ยวๆคนเดียวแต่ก็เอนเตอร์เทนเอาคนดูทั้งฮอลล์อยู่จริงๆ
ต่อด้วยพี่ใหญ่เสียงทุ้มอย่างท็อป ที่มาพร้อมกับเพลง Doom Da Da แร๊ปไฟแล่บ จากนั้นก็ตามด้วยเพลงฮิตของแทยางกับ Eyes Nose Lips และแน่นอนว่าหัวหน้าวงอย่างจี-ดรากอนก็ไม่พลาดที่จะสร้างความสนุกให้แฟนๆด้วยการนำเพลงฮิตอย่าง Good Boy ที่ร้องกับ แทยางมาร่วมโชว์ รวมถึงเพลง Crooked จากผลงานเดี่ยวของเขาด้วย
ตามมาด้วยเพลงที่นำมาโชว์ที่ไทยเป็นที่แรกอีกเพลงอย่าง Sober ที่เปิดตัวด้วยการโซโลกลองแบบสุดมันของแดซอง ที่แฟนๆต่างก็ตะโกนเรียกชื่อแดซองเพื่อเชียร์เขากันลั่นฮอลล์ พร้อมกับการปรากฏตัวของเพื่อนร่วมวงที่ออกมาร้องเต้นกันสุดเหวี่ยง ตามด้วยเพลงจากอัลบัมใหม่อีกเพลงอย่าง Bae Bae ที่มีรูปปั้นเทพีติดปีกขนาดยักษ์ปรากฏอยู่กลางเวทีเพิ่มความอลังการ
จากนั้นก็ปรับอารมณ์เข้าสู่ความสนุกสนานอีกครั้งกับ Fantastic Baby เพลงที่ทั้งฮอลล์พร้อมใจกันแดนซ์อย่างสนุกสนาน ก่อนที่หนุ่มจะกล่าวลาและลงเวทีไป ซึ่งแฟนๆก็พร้อมใจกันตะโกนเรียกBig Bang ให้ออกมาอีกครั้ง จึงเป็นการเข้าสู่ช่วงอังกอร์ด้วยเพลง We Like to Party พร้อมกับนำเพลงที่ร้องไปแล้วเมื่อตอนต้นอย่าง Bang Bang Bang และ Fantastic Baby กลับมาทิ้งทวนความมันให้แฟนๆได้เต้นกันทั้งฮอลล์อีกครั้ง
ต้องบอกว่างานนี้สาวกวีไอพี แฟนคลับของ Big Bang ต่างพกเอาความฟินกลับบ้านกันถ้วนหน้า เพราะนอกจากความอลังการของฉาก แสง สี เสรยง เอ็ฟเฟ็คท์ตระการตาแล้ว การเอนเตอร์เทนผู้ชมและการหยอกเย้าเล่นกับแฟนคลับอย่างเป็นกันเอง ก็ทำให้บรรยากาศคอนเสิร์ตสนุกสนานมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะช่วงสนทนาพูดคุยกับแฟนคลับ ที่แบ่งทักทายแฟนๆต่อเนื่องในหลายๆช่วงของคอนเสิร์ต ก็ทำให้ทุกคนหัวเราะคลายเครียดไปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการโชว์ทักษะการพูดภาษาไทยของแต่ละคน โดยเฉพาะจีดรากอน ที่กล่าวว่า "ผมรักแฟนชาวไทยมากๆ" พร้อมยืนยันว่าคอนเสิร์ตที่ไทยคือคอนเสิร์ตที่สนุกที่สุดตั้งแต่เปิดการแสดงมา นอกจากนั้นยังมีการกำนัลแฟนๆด้วยการแปลงท่อนฮุคเพลง Bae Bae ให้เป็นเนื้อภาษาไทยว่า ขอบคุณครับ และ สวัสดี ให้ในฮอลล์ได้ยิ้มแก้มแตกกันอีกด้วย
นับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งคอนเสิร์ตที่จบลงอย่างน่าประทับใจและคุ้มค่าสมการรอคอยของสาวกวีไอพีแฟนคลับ Big Bang ที่รอชมคอนเสิร์ตของพวกเขามานานหลายปีจริงๆ โดยวันนี้ ( 12 ก.ค. ) จะมีการจัดคอนเสิร์ตขึ้นอีกรอบในเวลา 16.00 น.
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 63 คน [
