Group Blog
 
<<
เมษายน 2556
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
29 เมษายน 2556
 
All Blogs
 

สาวลูกครึ่ง หน้าสวย หุ่นเป๊ะ “เจส – เจสสิก้า” ดีกรีแชมป์ Asia’s Next Top Model



หากพูดถึงอาชีพนางแบบ น้อยคนนักที่จะประสบความสำเร็จในระดับโลก แต่สำหรับเธอคนนี้ “เจส-เจสสิก้า อมรกุลดิลก” มีแววว่าจะได้โกอินเตอร์ไปไกล หลังเพิ่งคว้าชัยจากรายการ Asia's Next Top Model Cycle 1 ซึ่งกว่าจะมีวันนี้ น้อยคนนักจะรู้ถึงหนทางชีวิตของเธอที่ต้องผ่านอุปสรรคมามากมายตั้งแต่วัยเด็ก อย่างไรก็ตาม เธอก็ไม่เคยขายชีวิตดรามาเพื่อชิงชัยตำแหน่งกับใคร แต่เธอนั้นเพียรพยายามจนได้ชัยชนะมาครองสมความสามารถอย่างแท้จริง



วินาที ฝันเป็นจริง

ไม่ว่าจะต้องใช้ความพยายาม หรือต้องใช้ระยะเวลายาวนานสักเท่าไหร่ วันที่เราประสบความสำเร็จนั้นต้องมาถึง นิยามนี้คงเข้ากันได้ดีกับนางแบบสุดฮอตในเวลานี้ “เจส-เจสสิก้า อมรกุลดิลก” สาวลูกครึ่งไทย-เยอรมัน วัย 27 ปี ถึงแม้หลายคนจะดูถูกว่าอายุของเธอเป็นอุปสรรคสำคัญต่ออาชีพนางแบบ แต่เธอก็ไม่หวั่น เดินหน้าทำตามความฝัน จนสามารถลบคำครหาโดยการคว้าตำแหน่งผู้ชนะการแข่งขันรายการ Asia's Next Top Model Cycle 1 ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 8 ที่ได้ลิขสิทธิ์ออกอากาศไปเมื่อปลายปีที่ผ่านมาไปครอง

“ตอนนั้นรู้สึกเหมือน living in a dream คือเหมือนในความฝันเลยอ่ะ มันไม่ใช่ความจริง เพราะว่าเราไม่เคยคิดมาก่อนว่าเราจะได้ไปแข่งขันในรายการอะไรแนวนี้อยู่แล้ว ด้วยความที่เรามีความตั้งใจสูงด้วย เราขยันทำงานมาก ก็เลยรู้สึกเหมือนช็อกนิดนึงว่า จริงหรือเปล่า ใช่หรือเปล่า แล้วด้วยความที่แบบโชว์ก็ยังไม่ได้ออนแอร์ เราก็เลยยิ่งรู้สึกว่า มันใช่เรื่องจริงหรอ”

หากเปรียบเทียบทั้ง 14 คน สุดท้าย เจสสิก้าอาจไม่ใช่ตัวเต็งเท่าไหร่นัก แต่ก็ไต่ระดับทำดีมาตลอด และยิ่งในสัปดาห์ท้ายๆ ทุกคนยิ่งลุ้นและคาดว่า Stephanie Retuya จากประเทศฟิลิปปินส์ น่าจะคว้าตำแหน่ง Asia's Next Top Model Cycle 1 ไปครอง ถึงขนาดว่าในเว็บไซต์วิกิพีเดียเอง ยังระบุชื่อของ Stephanie ในตำแหน่งผู้ชนะก่อนจะประกาศผลเสียอีก แต่ผลการแข่งขันกลับพลิกโผให้เจสสิก้าได้รับตำแหน่งอันทรงเกียรตินี้ไปครอง แม้กระทั่งตัวเธอเองก็ยังแปลกใจที่ชนะใจกรรมการได้

“จากที่เจสได้ฟังมา น่าจะเป็นเพราะว่าเจสมีความตั้งใจสูง โฟกัสทุกจุด ฟังกรรมการเค้าคอมเมนท์ตลอดเวลา แล้วก็จะจดโน้ตไว้ทุกสิ่งทุกอย่าง คือเจสว่าเจสใส่ใจมาก แล้วเค้าก็คงจะเห็นว่าเราตั้งใจสูงตลอดเวลาที่เราไปถ่ายแบบ แล้วเวลาเค้าไกด์อะไรมา ให้เราทำอะไร เราก็จะได้เป๊ะ เป๊ะ เป๊ะ ส่วนคนอื่นต้องใช้เวลา แต่สำหรับเจสจะแบบว่า เจสมีความพยายาม ต้องทำให้ได้ ด้วยทุกอย่างเหล่านี้ เจสก็เลยผ่านตรงจุดนี้มาได้”

เจสสิก้าเล่าเรื่องราวให้ฟังอย่างเย็นใจ ราวกับเป็นเรื่องสบาย แต่เอาเข้าจริงๆ เธอยอมรับว่าเครียดอยู่ไม่น้อย ถึงแม้จะไม่ได้หวังคว้าชัย แต่ใจของเธอก็เต็มร้อยที่จะทำทุกผลงานออกมาให้น่าประทับใจมากที่สุด ดังนั้นเมื่อพบข้อผิดพลาดก็ไม่รีรอที่จะแก้ไขและพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้นไป

“เครียดแน่นอนอยู่แล้วค่ะ เครียดมาก ร้องไห้ แล้วแบบบางทีเจสได้อันดับที่ไม่ดีก็กลับมาร้องไห้ ทำไมเราไม่ดีตรงไหนทั้งที่เราเต็มที่แล้วนะ หลังๆ ก็จะเริ่มเข้าใจว่า อ๋อ! เราไม่ตรงคอนเซ็ปต์เค้า เราต้องโฟกัสจริงๆ ว่า เวลาที่เค้าให้คอนเซ็ปต์อะไรมา เราต้องถาม แล้วส่วนมากเจสไป เจสจะไม่ค่อยถามช่างภาพว่าเค้าต้องการอะไร ก็ถ่ายตามที่เราเข้าใจเอง ตอนหลังกรรมการก็มาบอกว่า เวลาไปถ่ายนะ ต้องถามช่างภาพว่าเค้าต้องการอะไร ถ้าเราไม่แน่ใจอะไรก็ให้ถามเลย เราก็เริ่มโอเค เข้าใจละ”



สลัดลุค สาวหวาน

ในวันนี้สาวเจสสิก้ามาในลุคผมสั้น ดูเปรี้ยวทันสมัย และเก๋ไม่น้อย ซึ่งเธอบอกว่า ความจริงนั้นเป็นสาวหวาน ผมยาวก่อนเข้ามาประกวด และเมื่อทางรายการต้องการปรับลุคผู้เข้าแข่งขัน ทีมงานก็ตัดสินใจเปลี่ยนโฉมเธอให้ดูเฉี่ยวและเท่ขึ้นกับทรงผมสั้น ย้อมสีน้ำตาลเชสนัท

“ทีมงานก็มาปรับลุคจากตอนแรกเจสผมยาว ดูเหมือนเกิร์ล เน็กซ์ ดอร์ อะไรอย่างนี้ (หัวเราะ) เค้าก็แบบอยากเปลี่ยนผมเธอให้สั้น ดูเป็นโมเดลมากขึ้น เพราะส่วนมากทุกคนจะไว้ผมยาว เค้าก็เลยอยากเพิ่มจุดเด่นให้หน้าเรา เพราะเค้าบอกถ้ามีจุดเด่นก็อย่าไปปิดมัน ให้เปิดเอาไว้ เค้าก็เลยตัดสินใจให้เจสตัดผมสั้น

ลุคนี้ที่ได้มาก็แฮปปี้ เพราะเวลาอยู่กับนางแบบคนอื่นเราก็จะดูเด่นขึ้นนะ เหมือนเราได้โชว์หน้าเรา ไม่ใช่เอาผมมาปิดหน้าเหมือนแต่ก่อน”

ถึงแม้จะบอกว่าแฮปปี้กับลุคนี้ แต่สาวเจสก็แอบบ่นเสียดายอยู่เหมือนกัน “ก็เสียดายนะ ไว้ตั้งนานกว่าผมจะยาว แต่ด้วยความที่เราเป็นคนชอบเปลี่ยนสไตล์อยู่แล้ว บางทีก็ทำผมบลอนด์ บางทีก็ทำผมน้ำตาล คือปีนึงเปลี่ยนที 2-3 ลุค คือจะแบบตัดสั้นบ้าง ตัดหน้าม้าบ้าง ไว้ผมยาว ต่อผม อะไรอย่างนี้ก็เลยไม่เป็นไร แค่เมกโอเวอร์ เดี๋ยวเราก็ปล่อยยาวได้”



ก้าวข้ามการแข่งขัน

สำหรับการแข่งขัน Asia's Next Top Model Cycle 1 นั้น แตกต่างจากเวทีการประกวดอื่นๆ ตรงที่ พวกเธอต้องตีโจทย์ที่แตกต่างกันในแต่ละสัปดาห์รวมทั้งสิ้น 12 สัปดาห์ ซึ่งต้องดึงตัวเองออกมาให้ตรงตามคอนเซ็ปต์มากที่สุด

“แต่ละวีค เจสพยายามจะดึงอินเนอร์ของตัวเองออกมา แพชชั่นที่เรามีก็จะส่งไปให้ตากล้อง ส่งไปให้ทุกๆ คนได้เห็นว่า เรามี Talent เรา Special ไม่ใช่แค่เราอยากมาเดินแบบ ถ่ายแบบ เพราะเราสูงเราเป็นนางแบบได้ แต่ว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น ทั้งจุดมุ่งหมายที่เราอยากจะไป มีความฝันว่าเราอยากเป็นนางแบบระดับท็อป แล้วเราอยากถ่ายแบบ ไฮ แฟชั่น อยากถ่ายแบบลงหน้าปกแมกกาซีน คือเราอยากเป็นนางแบบที่ทุกคนรู้จักชื่อเรา แล้วทุกคนก็จะให้ความสนใจเรา เราอยากเป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายคนด้วยกับการใช้ชีวิต กับอาชีพที่เราทำ

เจสจะชอบวีคที่เป็นคอนเซ็ปต์ WWF ถ่ายกับธรรมชาติ แล้วก็อีกอันเป็น Red Dress ถ่ายกับชุดที่หนักมาก 14 กิโลฯ เป็นไฮแฟชั่น แล้วก็จะมีวีคที่ถ่ายใต้น้ำ ซึ่งเจสไม่เคยลืมตาใต้น้ำมาก่อนเลย ถึงแม้จะเป็นคนว่ายน้ำเก่งแต่ก็กลัวที่จะลืมตาใต้น้ำ แต่ในวีคนั้นคือแบบ.. เราทำไปได้ยังไง เพราะพอเราอยู่ใต้น้ำ มันเหมือนเป็นอีกโลกนึงไปเลย เราจินตนาการว่าเราเป็นนางเงือกนะ คือเจสเป็นคนชอบจินตนาการ สร้างความฝันของเราเอง แล้วมันจะดูเป็นธรรมชาติ คือเจสจะชอบทุกคอนเซ็ปต์เลยที่ต้องใช้จินตนาการสูง

ส่วนวีคที่ยากที่สุด เจสคิดว่ามันก็ยากทุกอันนะ แต่ที่ยากที่สุด เจสว่าน่าจะเป็น Red Dress ค่ะ ต้องใส่ชุดเดียวกัน แล้วน้ำหนักของชุดมันหนักมาก (ลากเสียง) จะทำยังไงให้มันสวิงได้แบบว่าเหมือนลมพัดไปเอง เหวี่ยงกันจนแขนเมื่อยไปเลยกว่าจะได้ช็อตที่มันเพอร์เฟกต์จริงๆ”

สำหรับทั้ง 12 สัปดาห์นั้น จึงถือเป็นการเรียนรู้ที่แต่ละคนจะได้พบจุดเด่น-จุดด้อยของตัวเอง เจสสิก้าเผยรอยยิ้มบางๆ ก่อนจะเปรียบเทียบให้ฟังว่า รายการแข่งขันนี้เสมือนเป็นโรงเรียนทำให้เธอได้เรียนรู้เกี่ยวกับวงการแฟชั่นมากมาย “เจสได้อะไรมาเยอะมาก ได้ทั้งความมั่นใจ ได้เรียนรู้เกี่ยวกับวงการแฟชั่นมากขึ้น ว่าถ้าเราอยากเป็นมืออาชีพ เราต้องทำยังไง ไม่ใช่ทำตัวเด็กๆ เหมือนแต่ก่อนแล้ว เรามีความตั้งใจในการทำงานมากขึ้น” จากนั้นตัวเธอนั้นก็เล่าถึงความประทับใจจากเวทีนี้

“ประทับใจตรงที่ว่า เราได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างนะ ทั้งชีวิตในการเดินแบบ ถ่ายแบบ ที่ซึ่งถ้าเราผ่านจุดนี้ไปได้ พอเราออกมาข้างนอก เราก็ไม่ต้องกลัวอะไรเลย เพราะว่าเหมือนเราผ่านอะไรที่ยากมากๆ มาแล้ว การที่เราแข่งแล้วเรายังต้องมีกรรมการอีก ไม่ใช่แค่มายืนถ่ายรูปแล้วเราก็ได้เลย แต่กรรมการก็ต้องมาตัดสินรูปเราอีกว่า มันเพอร์เฟกต์ดีหรือยัง เหมือนเป็นโรงเรียนเลยนะ เป็นโรงเรียนสอนถ่ายแบบ เดินแบบ ทุกอย่าง ทั้งสร้างความมั่นใจให้เรา แล้วก็ปรับลุค เมกโอเวอร์ให้เราด้วย”




โจทย์ยากง่าย อยู่ที่ใจ

กว่าจะได้เข้ามาเป็น 1 ใน 14 ของผู้เข้าแข่งขันรอบสุดท้าย ไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อได้เข้ามาในรอบลึกๆ ก็ยิ่งยาก แต่เจสสิก้าบอกว่าเธอไม่เคยหวั่นหรือท้อแท้ใจ เพราะนี่คือสิ่งที่เธอรัก ถึงแม้บางสัปดาห์จะทำได้ไม่ดีเท่าใจหวัง เมื่อถามว่าความยาก-ง่ายในการแข่งขันนั้น เธอคิดว่าเป็นเพราะโจทย์ที่หลากหลายด้วยหรือเปล่า เจสพยักหน้ารับเบาๆ ก่อนจะตอบว่า ก็มีส่วน

“เจสว่าโจทย์ด้วย ความตั้งใจด้วย แล้วก็เรารักที่จะทำมันหรือเปล่า เจสคิดเสมอว่า สิ่งที่เรามี เราทำอยู่เนี่ย เรารักมันนะ เราอยากจะทำให้มันดีที่สุด ไม่ใช่เพราะว่าเราอยากจะชนะ แต่เพราะว่าเราอยากให้ทุกคนภูมิใจ ทุกคนแฮปปี้กับสิ่งที่เราทำออกมา คือเจสไป เจสไม่ได้คิดเลยว่า ต้องไปแข่งกับคนอื่น หรือว่าต้องชนะอย่างเดียว ในใจเจสคิดว่า อยากจะโชว์ความสามารถที่เจสมีให้ทุกคนได้เห็น และให้ทุกคนประทับใจ”

หน้าที่ของนางแบบตามที่ทุกคนเข้าใจกัน ก็ต้องหมายถึงการเดินแบบ และการถ่ายแบบไปควบคู่กัน สำหรับเจสสิก้า เธอบอกว่า ชอบทั้งสองอย่างและคงขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปไม่ได้ เพียงแต่การถ่ายแบบนั้นอาจเป็นสิ่งที่ยากกว่าเท่านั้นเอง

“เจสชอบทั้งสองอย่างนะ มันขาดไม่ได้ ถ่ายแบบก็ต้องเดินแคตวอล์กได้ดี ถ่ายแบบก็ต้องดีด้วย แต่ถ่ายแบบอาจจะยากกว่า มันต้องใช้อินเนอร์สูง ต้องพรีเซ็นต์ตั้งแต่หัวจรดเท้า เดินแบบก็แค่เดิน ทำหน้านิ่ง แค่นั้น ไม่มีอะไร แต่ถ่ายแบบมันยาก ซึ่งเจสก็ชอบทั้งสองอย่าง มันต้องไปคู่กันหากจะเป็นนางแบบที่ดี”

อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญไปไม่น้อยกว่าการแข่งขัน คือการต้องอยู่ร่วมกับคนอื่นในบ้าน การอยู่ร่วมกันของผู้หญิงเป็นสิบๆ คน การกระทบกระทั่งก็ย่อมมีบ้างตามประสา ซึ่งหากใครได้รับชมจะเห็นว่าสาวๆ ก็แบ่งพรรคแบ่งพวกกันอยู่เหมือนกัน แต่ด้วยวัยของเจสสิก้าแล้ว เธอคงควบคุมอารมณ์ได้ดีกว่าคนอื่นๆ และมีหลักในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นให้ไม่เกิดปัญหา

“เจสคิดว่าหลักๆ นะคือรับฟัง ไม่ใช่ไปแย่งเค้าพูด ถ้าดีเราก็ยอมรับ ถ้าไม่ดีเราก็โต้แย้ง อีกอย่างคือคนไหนดี เราก็เลือกไปอยู่กับคนนั้น ถ้าเวลามีปัญหาก็อย่าไปคุยกับเค้า เลี่ยงซะ เวลาอยู่ที่บ้านเค้าจะมีปัญหาแย่งกันคุย เราก็ไม่อยากสนใจ ไม่อยากดรามา หลับอย่างเดียว หลับแล้วก็เอาแรงไปใช้กับงาน Photoshoot อีกวัน คนที่ดูก็เลยจะแบบว่า เจสสิก้าหลับอย่างเดียว” (หัวเราะ)



ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ

หากไม่ได้ยินจากปากของเธอเองคงไม่เชื่อว่า เบื้องหลังกว่าจะมาเป็นเธอในวันนี้ ไม่ใช่ชีวิตที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ อย่างที่หลายคนคิด พ่อ-แม่ ทิ้งให้เธออยู่กับคุณตา-คุณยาย ใช้ชีวิตตามแบบฉบับเด็กต่างจังหวัด เติบโตมาจากจังหวัดเล็กๆ อย่างชัยนาท แต่เธอก็ไม่ได้แสดงท่าทีน้อยอกน้อยใจต่อโชคชะตา

“คุณแม่เจสเสียตอนเจสอายุได้ประมาณ 2-3 ขวบค่ะ แต่ก็จำไม่ค่อยได้แล้วนะคะ เพราะเคยเห็นแต่รูปแว้บๆ เหมือนญาติเอามาให้ดู เราก็ไม่ได้สนใจอะไร ด้วยความที่เค้าทิ้งเราให้อยู่กับคุณตา คุณยาย แล้วเค้าก็ไปใช้ชีวิตของเค้า เจสก็เลยไม่ได้ผูกพันกับคุณแม่เท่าไหร่ เพราะฉะนั้น คุณตา-คุณยายเนี่ย จะเหมือนเป็นพ่อเป็นแม่ของเจสเลย แล้วก็จะมีคุณอาเป็นพ่อ-แม่บุญธรรม ญาติๆ ก็จะชอบมาเลี้ยงมาดูแล ก็จะให้ความรัก ความเอ็นดูกับเจสมาตลอด เจสก็เลยจะมีพ่อ-แม่บุญธรรมหลายคนมาก (ยิ้ม)

แล้วช่วงเด็กๆ ของเจสก็เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากค่ะ เพราะว่าเราร่าเริงแจ่มใส เราไม่ต้องแบบว่าสนใจชีวิตอะไรมาก ไม่ต้องสนใจว่าเราต้องไปทำงาน เจสก็จะเล่นกีฬาตั้งแต่ ป.3 จนถึงมัธยมก็เป็นตัวแทนของจังหวัดก็เกือบจะได้เป็นทีมชาติแล้วเพราะว่าตอนนั้นมันมีโควตาให้เป็นเรียนที่สุพรรณฯ ไปคัดทีมชาติวอลเลย์บอล ก็เคยแข่งกับพวกพี่ๆ ทีมชาติด้วย”

ต้องยอมรับกันว่าคนไทยมักจะมองเห็นเด็กน้อยลูกครึ่งเป็นอะไรที่แปลก ไม่เข้าพวก เจสสิก้าก็ยอมรับว่า ตอนเด็กๆ ก็โดนเพื่อนล้อไม่ต่างจากในละครน้ำเน่าสักเท่าไหร่ “ตอนเด็กๆ ก็มีบ้างที่เพื่อนจะล้อ ประมาณว่า เฮ้ย! แกหน้าตาไม่เหมือนคนอื่นเลย แล้วก็จะมีล้อเรื่องหุ่น เรื่องหน้าตา เรื่องไม่มีพ่อ-แม่ อะไรอย่างนี้ พวกเด็กเกเรอ่ะ ชอบเอามาล้อ” (หัวเราะ)

อีกจุดพลิกผันในชีวิตของเจสสิก้า คือช่วงที่ต้องสูญเสียคุณยาย ซึ่งตอนนั้นก็ทำให้การตามล่าความฝันของเธอสะดุดลง เพราะเวลานั้นเธอกำลังเดินทางไปประกวด Elite International แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจไม่ไปประกวดในที่สุด และหลังจากนั้นไม่กี่เดือนคุณตาก็มาเสียชีวิตอีก

“เป็นจุดที่ดาวน์มาก มันแบบจะไปยังไงต่อดี เพราะว่าเราทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อคุณตา-คุณยายด้วย แต่คุณตา-คุณยายก็ฝากฝังไว้ว่า ตั้งใจเรียนนะ ตั้งใจเรียนให้ดีที่ที่สุด เพราะเรื่องเรียนเป็นเรื่องสำคัญ คือเราต้องใช้ในอนาคต เราต้องทำงาน เจสก็สัญญาไว้ว่าเราจะเป็นคนดี จะนึกถึงคุณตา-คุณยายตลอด ต้องตั้งใจเรียน ตั้งใจทำงาน เพื่อที่จะพิสูจน์ว่าที่คุณตา-คุณยายเลี้ยงเด็กคนนี้มา จะไม่มีวันทำให้คุณตา-คุณยายต้องเสียใจ”



ดร็อปเรียนเพื่อฝัน

เมื่อซักไซ้ไล่เลียงความ ถึงจะอายุ 27 แล้ว เจสสิก้าก็ตอบอย่างขวยเขินว่า ตอนนี้ยังต้องเรียนอยู่ แต่เหลือเพียงแค่ 2 ตัว เท่านั้น ก็จะได้คว้าใบปริญญามานอนกอด แต่คาดว่าคงต้องเลื่อนไปอีกหนึ่งปี เพราะเมื่อมารับตำแหน่ง Asia's Next Top Model Cycle 1 ก็อยากคว้าโอกาส ทำงานที่ตนเองรักให้เต็มที่ก่อน

“ตอนนี้เจสเรียนมนุษยศาสตร์ค่ะ ภาคภาษาอังกฤษ แล้วก็เป็นสาขาธุรกิจการบิน (Airlines Business) เจสชอบตรงที่มันเป็นสาขาใหม่ แล้วก็สามารถเอาไปใช้ได้จริงค่ะ คือเจสก็อยากทำงานด้านสายการบิน อยากทำอะไรสักอย่าง อย่างเป็น แอร์ โฮสเตส แต่ขอเป็นแอร์ไลน์ที่มันดีๆ ประมาณนี้ เจสก็แพลนชีวิตเอาไว้ว่า ถ้าไม่มีอะไร ถ้าเราไม่ได้เป็นนางแบบจริงๆ เราก็จะไปทำงานด้านนี้ เหมือนมีแผนสำรองชีวิตเอาไว้ค่ะ

ส่วนเรื่องเรียนตอนนี้ก็คงต้องหยุดไปอีกแล้ว ความจริงเจสจะต้องจบปีนี้ เหลืออีกแค่ 2 ตัวค่ะ เทอมเดียวก็จบแล้ว แต่พอเจสได้ตำแหน่ง มันก็ต้องดร็อปอีก คือเจสก็ลงทะเบียนไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งถ้าไม่ได้ตำแหน่งเราก็คงเรียนต่อ เพราะตอนแรกแพลนไว้ว่าจะให้จบปีนี้ รับปริญญาปีนี้ แต่ดันได้ตำแหน่งขึ้นมา เจสก็เลยคิดว่าอยากจะทำหน้าที่ตรงนี้ให้ดีที่สุดก่อน แล้วปลายปีนี้ก็ว่าน่าจะได้กลับมาเรียนต่อค่ะ”

สะดุดใจตรงที่เธอบอกว่า เรียนภาคภาษาอังกฤษ เพราะคุณพ่อที่เป็นชาวเยอรมันก็ไม่เคยได้เลี้ยงดูเธอ แต่เจสกลับพูดภาษาอังกฤษได้ฉะฉานประหนึ่งเจ้าของภาษามาเอง เจสยิ้มน้อยๆ ก่อนบอกว่า ที่พูดได้เพราะตัวเธอเองฝึกฝนเองล้วนๆ

“เจสก็เรียนแบบปกติเลยค่ะ โรงเรียนไทย แต่ที่ได้เรื่องภาษาเนี่ย เจสสะสมมาจากการดูทีวีเป็นภาษาอังกฤษแล้วก็อ่านหนังสือภาษาอังกฤษเยอะ การ์ตูนก็เป็นภาษาอังกฤษค่ะ แล้วก็เปิดดิกฯ เอา เรียนรู้เองหมดเลย

ตอนเด็กๆ เจสจะไม่ค่อยสนใจเรียนค่ะ (หัวเราะ) จะหนักไปทางกิจกรรมมากกว่า แต่พอมาเข้ามหา'ลัย เจสจะตั้งใจเรียนมากค่ะ ก็จะเครซี่กับการเรียนมาก คืออาจารย์สอนอยู่ เราก็จดทุกอย่างที่อาจารย์สอนเลย เพราะว่ามันเอาไปใช้ได้จริงในข้อสอบ แล้วก็ไปเรียนอย่างเดียวแล้วก็กลับบ้าน จะไม่ค่อยมีกรุ๊ปเพื่อนเลย ตั้งใจเรียนอย่างเดียว”



ฉายแววนางแบบ

หุ่นสูงเพรียว 177 เซนติเมตร เหมาะกับอาชีพนางแบบที่ได้มา ส่วนหนึ่งคงมาจากกรรมพันธุ์คุณพ่อชาวต่างประเทศ ซึ่งสาวเจสกล่าวติดตลกว่า ตอนแรกเธอก็ไม่สูงนะ แต่มาสูงเอาตอนอยู่มัธยมปลายแล้ว

“เจสมาสูงเอาตอนมัธยมค่ะ คือทุกคนเนี่ยจะสูงกันหมดเลย แต่เจสเนี่ยจะยังไม่โต เพราะเจสจะเป็นเด็กโตช้ากว่าคนอื่นค่ะ พอมัธยมปลายก็จะเริ่มสูงกว่าคนอื่นละ พอเข้ามหา'ลัย ก็ยิ่งสูงหนักเลย สูงขึ้นเรื่อยๆ ค่ะ แล้วก็มาหยุดตอนอายุประมาณ 25 ได้

ตอนเด็กๆ จะชอบกินนมมาก ทั้งกินนม ทั้งเล่นกีฬา แล้วเจสจะเล่นกีฬาแบบหนักมากจนจะเป็นลมได้เลยค่ะ จะออกกำลังกายเยอะตอนเด็ก วิ่งก็จะวิ่งรอบสนามฟุตบอลประมาณ 10 รอบ 20 รอบ ทุกวัน”

อีกอย่างเมื่อถามว่าเป็นเด็กที่รักสวยรักงามหรือไม่ เธอก็รีบบอกเลยว่า แน่นอน และชอบมากที่จะเล่นแต่งหน้าตัวเอง ซึ่งเธอเองก็ฉายแววความสวยมาตั้งแต่เด็กเพราะเคยเป็นทั้งดรัมเมเยอร์ ทั้งคนถือป้ายโรงเรียน

“ตอนเด็กๆ ก็รักสวย รักงามนะคะ เจสจะชอบแต่งหน้า-ทำผม ครูที่โรงเรียนก็จะชอบจับเจสแต่งหน้าทาปากแดง แล้วก็เจสจะมีเรื่องเล่าของคุณตาข้างบ้าน คือแกจะชอบอุ้มเจสไปเล่นที่บ้านเค้า แล้วที่บ้านเค้าก็ทำลิเก เจสก็จะไปเอาเครื่องสำอางเค้ามาเล่น แล้วก็เขียนเต็มหน้าเลยค่ะ ลิปสติกเต็มหน้าเลย แล้วก็กล้าส่องกระจกด้วยนะ ทีนี้พอคุณตาแกเดินขึ้นบันไดบ้านมา พอเจสหันหน้าไป คุณตาเค้าก็ตกใจอ่ะค่ะ นึกว่าเจสเป็นผี แล้วเค้าก็วิ่งไปเลยค่ะ (หัวเราะ) จากนั้นมาเจสก็ชอบเล่นแต่งหน้า ชอบเอาลิปสติกมาทาตลอดเลย

แล้วเจสก็เคยเป็นดรัมเมเยอร์ ตอนนั้นเค้าจะมีคัดดรัมเมเยอร์ของโรงเรียน เจสก็ขอสมัครเลย แล้วก็ขอเป็น ครูเค้าก็โอเคให้เป็นทุกปี แล้วก็จะมีได้ถือป้ายโรงเรียนงานกีฬาสี ใส่ชุดไทยแต่งหน้าแรงๆ” (ยิ้ม)




ครั้งแรกของการทำงาน

“เจสย้ายเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ ตอนอายุ 17-18 ค่ะ เข้ามาครั้งแรกเราแบบแปลกมาก ทำไมตึกมันเยอะแบบนี้ มันสูงแบบนี้ ตื่นเต้น แล้วตอนเจสไปห้างครั้งแรก เราแบบรู้สึกว่า โอ้โห! ทุกคนดูดีจังเลยอ่ะ แล้วเอเจนซีก็มาชวนเราทำงานตั้งแต่ครั้งนั้นเลย มาให้นามบัตร แล้วเจสก็ได้เริ่มทำงานจากการเข้ากรุงเทพฯ ครั้งแรกเลย” เจสสิก้าเล่าถึงครั้งแรกที่เธอได้เข้ามาในเมืองศิวิไลซ์อย่างกรุงเทพฯ และความสวยของเธอก็สะดุดตาตั้งแต่ครั้งแรกที่มาเยือนเสียด้วย โดยผลงานชิ้นแรกของเจสสิก้าคือถ่ายโฆษณาให้ Blink White กับแคท-แคทรียา อิงลิช ซึ่งตอนนั้นเธอยังจัดฟันอยู่ จากนั้นก็ได้ถ่ายโฆษณาฟิตเน่ กับนุ้ย-สุจิรา โดยงานชิ้นนี้ก็จะเน้นเรื่องของสัดส่วน จากนั้นเจสสิก้าก็เล่าต่อไปอีกถึงครั้งแรกของการเดินแบบในชีวิต

“เริ่มเดินแบบครั้งแรก ตอนประกวดอีลิท โมเดล (Elite Model) ก็ได้รางวัลที่ 2 ตอนแข่งขัน เค้าก็จะให้เราเข้าไปเก็บตัว ไปทำกิจกรรมกันที่ จ. กาญจนบุรี แล้ววันที่แข่งก็จะให้เดินแบบชุดว่ายน้ำ เดินแบบชุดธรรมดา เดินแบบชุดไทย แล้วก็แข่งกันเดินแบบอย่างเดียวค่ะ แล้วเราก็เริ่มเข้าวงการเดินแบบ ถ่ายแบบ ตอนแรกก็จะถ่ายพวกแคตวอล์ก ถ่ายให้บิ๊กซี คาร์ฟูร์ อะไรประมาณนี้ ถ่ายลุคบุ๊กอันนี้จะเยอะ

แล้วผลงานชิ้นแรกๆ เจสก็ต้องให้ตากล้อง ให้พี่ๆ ทีมงานสอนว่าโพสยังไง ทำยังไง แต่ส่วนมากก็จะโพสเป็นโดยอัตโนมัติแล้ว เหมือนเราก็จะเคยดูผ่านยูทิวบ์ หรือในการประกวด เบื้องหลังการถ่ายแบบ เจสก็เหมือนจะจำอยู่ในสมอง ซึมซับ หรือแม้แต่ในแมกกาซีน เจสก็จะดูว่าเค้าโพสยังไง ก็ลองโพสตาม ลองฝึกดู แล้วก็จำไว้”




นางแบบมืออาชีพ

จากนั้นเจสสิก้าก็ตกหลุมรักวงการนางแบบอย่างถอนตัวไม่ขึ้น และทำงานอาชีพนางแบบอิสระมาเรื่อยๆ พร้อมกับเรียนหนังสือไปด้วย “ก็เป็นความใฝ่ฝันมาตั้งแต่ได้เข้าประกวดอีลิท โมเดล (Elite Model) เหมือนเรามีแพชชั่นมาจากตรงนั้นว่า เออ! เราไปทางด้านนี้ดีกว่า เราน่าจะทำได้ดี แล้วมันก็มี something special ข้างในตัวเราที่อยากจะทำออกมา ทั้งเดินแบบ ถ่ายแบบ แล้วเหมือนให้คนเค้ารู้สึกประทับใจในภาพที่เราสื่อออกมา”

เมื่อต้องเริ่มทำงานตั้งแต่ยังเรียนอยู่ จนมาถึงตอนนี้ คงต้องผ่านอุปสรรคมามากมาย แต่เจสก็ตอบแบบอารมณ์ดีว่าตัวเธอเต็มใจจะทำในสิ่งที่เธอรัก และหลักการดำเนินชีวิตของเธอก็แสนง่ายเพียงแค่ขอให้คิดแต่สิ่งดีๆ เข้าไว้

“ยากที่สุดในการทำงานคือต้องอดทน เราอาจต้องไปเจอเรื่องเครียดๆ อาจเจอคนขี้บ่น คนที่ไม่พอใจเรา แต่กับตัวเจสเองไม่ค่อยมีค่ะ ก็เรื่องเครียดอาจจะมีแค่เรื่องงานที่มันเยอะจนเกินไป เรามีลิมิตทำแค่นี้นะ แต่งานที่เข้ามามันมากกว่า ส่วนมากก็ไม่เครียดเท่าไหร่ เพราะเรารักในสิ่งที่เราทำอยู่แล้ว เลยไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไหร่

แล้วเจสจะยึดหลักการดำเนินชีวิตแบบง่ายๆ ค่ะ คิดอะไรดีๆ กับตัวเอง อย่าไปคิดอะไรแย่ๆ คิดแต่สิ่งดีๆ ชีวิตเราก็จะได้มีแต่สิ่งดีๆ แล้วก็เลือกคนที่จะคบด้วย ถ้าเราคบคนดี จิตใจดี ชีวิตก็จะไม่มีปัญหาอะไร ที่สำคัญอย่าไปเครียดกับปัญหาที่ผ่านเข้ามา คิดซะว่ามันเป็นหน้าที่ของเรา ที่เราต้องผ่านมันไปให้ได้”

ถึงตอนนี้คงปฏิเสธไม่ได้ว่างานที่เธอรักและประสบความสำเร็จอย่างอาชีพนางแบบ คือสิ่งที่เติมเต็มชีวิตของเธอให้สมบูรณ์

“เจสรักในอาชีพนางแบบเพราะอะไรหรอ คือเปรียบเทียบนะคะ วาดรูป เราก็เอาจินตนาการใส่ลงไปในรูป อาชีพถ่ายแบบ เดินแบบ เหมือนก็คล้ายแบบนี้เหมือนกัน เรารู้สึกเหมือนเราได้อยู่ในโลกของเรา เวลาที่เราได้ไปเดินแบบ ถ่ายแบบ มันมีจินตนาการมากมายให้เราได้เล่น เหมือนเราได้ครีเอทภาพวาดของเรา เจสจะรู้สึกมีความสุขค่ะ มากกว่าการไปทำอย่างอื่น ก็ชอบจนอยากทำอาชีพนี้ไปตลอดชีวิตเลย” (ยิ้ม)



สาวรักสุขภาพ

อาชีพนางแบบที่ต้องรักษารูปร่างให้ผอมเพรียว เป๊ะทุกสัดส่วนอยู่ตลอดเวลา จนสาวๆ หลายคนพากันอิจฉา จึงขอเคล็ดลับในการรักษาสัดส่วนจากสาวเจสสิก้า ซึ่งตัวเธอกระซิบบอกว่าที่หุ่นสวย เป๊ะ แบบนี้ ไม่ใช่เพราะเคร่งวินัยกินอาหารตามสูตรขนาดนั้น แต่ด้วยความเป็นสาวรักสุขภาพต่างหาก ซึ่งนอกจากจะคงหุ่นสวยไว้แล้ว อนาคตยังลดการเบียดเบียนของโรคอีกด้วย

“เจสจะเป็นคนเฮลธ์ตี้มาก จะเลือกทานแต่ผลไม้ อย่างถ้าในจานอาหารมีเนื้อหมูที่ติดมันๆ เจสก็จะเขี่ยออก กินมันไม่ได้ แต่คือเป็นตั้งแต่เด็กแล้ว กินเข้าไปแล้วจะขย้อนออกมาเลย กินไม่ได้ แล้วก็ไม่ค่อยชอบทานของทอด นานๆ ทีจะกินค่ะ แล้วก็จะเลือกทานผัก ชอบกินผัดผัก ทุกวันเจสจะต้องซื้อผักมาแล้วก็เอามาผัดกิน เน้นเฮลธ์ตี้ ดื่มน้ำผลไม้ปั่น อะไรประมาณนี้ค่ะ

ที่เห็นหุ่นดี รักษาหุ่นยังไง เจสจะเลือกทานอาหารเนี่ยแหละ เรื่องสำคัญ ถ้าเราจะไม่เฮลธ์ตี้ก็เพราะอาหารที่เรากินเข้าไปเนี่ยแหละ เพราะฉะนั้นอาหารที่เราเลี่ยงได้ เราก็ควรจะเลี่ยง แล้วก็เลือกกินแต่สิ่งที่มีประโยชน์ เพราะเราไม่รู้ว่าอาหารที่เรากินมาตลอด อนาคตมันจะสะสมโรคหรือเปล่า เริ่มกินตั้งแต่ตอนนี้ แล้วเราจะได้สุขภาพดี ไม่มีโรค”

ส่วนอีกกลเม็ดเด็ดคือเมื่อมีเวลาว่าง เธอจะออกกำลังกายเรียกเหงื่อ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่เจสสิก้าโปรดปรานเป็นพิเศษนั่นเอง “เวลาว่างเจสก็จะชอบไปออกกำลังกาย ซึ่งเจสจะชอบไปว่ายน้ำมาก ชอบตีแบดฯ ที่บ้าน ตีกันช่วงเย็นๆ หลายชั่วโมงเลย เพราะเจสชอบ บางทีก็ชอบไปต่อยมวยด้วย มันลุยๆ แล้วก็ออกเหงื่อเยอะดีค่ะ”




ปัจจุบันและอนาคต

อาชีพการงานกำลังรุ่ง ส่วนความรักก็รุ่งไม่แพ้กัน เพราะสาวเจสก็คบหาดูใจกับเซเลบฯ หนุ่มคนดัง “โจ-ปิยพันธ์ เปาอินทร์” โดยปลูกต้นรักกันมายาวนานกว่า 4 ปีแล้ว ขณะเล่าไปเธอก็ยิ้มกว้าง ดวงตาสดใสเป็นประกาย มีหัวเราะอย่างขวยเขินบ้าง ซึ่งมั่นใจว่าเธอมีความสุขดังเช่นคำบอกเล่าจริงๆ

“ตอนนี้ก็แฮปปี้ค่ะ เค้าเป็นคนที่น่ารัก เป็นคนที่ใช่สำหรับเจสแล้ว ก็คบกันนาน 4 ปีแล้วค่ะ รู้จักกันจากแถวบ้านเจสเอง (หัวเราะ) บ้านเพื่อนเจสอยู่ใกล้บ้านเค้าค่ะ ซึ่งเค้าก็เป็นคนที่สนับสนุนให้เจสไปลงประกวดรายการนี้ด้วย ถ้าเจสไม่ได้เค้า เจสก็คงไม่ได้ไปรายการนี้”

เมื่อถามเจสสิก้าว่าตอนนี้ยังมีความใฝ่ฝันอะไรอีกหรือไม่ ในเมื่อการคว้าตำแหน่ง Asia's Next Top Model Cycle 1 น่าจะถือได้ว่าประสบความสำเร็จแล้ว แต่เธอส่ายหน้าปฏิเสธเบาๆ

“อนาคต เจสอยากเป็นท็อปโมเดลจริงๆ แบบให้ทุกคนบนโลกนี้รู้จักเราเลย แล้วเราเดินไปไหนก็จะมีคนเรียก เจสสิก้า เจสสิก้า อยากถ่ายรูปกับทุกคน เป็นเพื่อนกับทุกคน เราชอบให้มีคนมารักเรา เชียร์เรา ไม่อยากจะหยุดอยู่แค่นี้แน่นอน เจสต้องไปให้ไกลกว่านี้ ตอนนี้เจสว่ามันแค่ครึ่งทางเอง ซึ่งอีกครึ่งทางที่เหลือเจสจะสู้ต่อค่ะ เพราะเราก็รู้สึกยังไม่สุด อยากไปให้ไกลกว่านี้ อยากไปเดินพรมแดง อยากไปเดินกาล่า อย่างที่เคท มอสส์ เดินบนพรมแดงกับดีไซเนอร์ด้วยกัน อยากมีภาพแบบนี้บ้าง” (ยิ้ม)




ชีวิตของคนเราอาจจะไม่งดงามไปเสียทุกช่วงเวลา อย่างชีวิตของเธอคนนี้ “เจส - เจสสิก้า อมรกุลดิลก” ที่ต้องฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ มากมาย จนถึงวันที่ประสบความสำเร็จไปอีกหนึ่งก้าว และเธอก็ยังไม่คิดจะหยุดเพียงแค่เท่านั้น เมื่อยังมีความฝันที่ยิ่งใหญ่กว่านี้รอคอยอยู่ อย่างไรก็ตาม ขอเป็นกำลังใจให้เธอได้สมปรารถนาตามความใฝ่ฝัน และขอยกเธอเป็นแรงบันดาลใจของคนที่กำลังทำตามความฝันทุกๆ คน





ประวัติส่วนตัว
ชื่อ-นามสกุล : เจสสิก้า อมรกุลดิลก
ชื่อเล่น : เจสซี่, เจส
วันเกิด : 18 ธันวาคม 2528
สถานที่เกิด : โรงพยาบาลอานันทมหิดล จ.ลพบุรี
การศึกษา : Bangkok university (Department of Humanities, Major Business English, Minor of Airline Business)
การทำงาน : Model Freelance
ผลงาน : ถ่ายแบบ, ถ่ายโฆษณา, เดินแบบ
รางวัลที่สอง Elite Model Look International (2004)
รางวัลชนะเลิศ Asia’s Next Top Model (Cycle 1)





ภาพโดย พงษ์ฤทธิ์ฑา ขวัญเนตร

ขอบคุณภาพประกอบจาก Facebook Page : Jessica Amornkuldilok Asia's Next Top Model 1st Cycle และ instagram : @jessica_amorn




 

Create Date : 29 เมษายน 2556
0 comments
Last Update : 29 เมษายน 2556 21:31:41 น.
Counter : 7725 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ลูกโป่งลอยฟ้า_ชิงช้าสวรรค์
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 63 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add ลูกโป่งลอยฟ้า_ชิงช้าสวรรค์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.