<<
กุมภาพันธ์ 2555
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
26272829 
 
28 กุมภาพันธ์ 2555
 
 
งานสวดลักขี @วัดธรรมมงคล 6-9 มกราคม 2555 (2)

อาทิตย์ 8 มกราคม 2555


วันที่สาม

เริ่มปรับตัว ให้คุ้นกับที่หลับนอนได้บ้างแล้ว รู้สึกว่าได้หลับสนิทไปได้สักแป๊บหนึ่ง แล้วก็งัวเงียลุกขึ้นมานั่งสวดมนต์ (ใจสวดตาม แต่ปากแทบไม่ขยับ) ตาสว่างเมื่อได้ยินเสียงหลวงพ่อ ฟังธรรมะรุ่งอรุณ ตอนตี 3.20 น. ใจความมีดังนี้

ธรรมะจากหลวงพ่อวิริยังค์
“พุทธกิจ 5” แห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
- ตอนเช้า บิณฑบาต
- ตอนบ่าย เทศน์ให้โยมฟัง
- พลบค่ำ เทศน์ให้พระฟัง
- เที่ยงคืน แก้ปัญหาให้เทวดา
- ใกล้แจ้ง เจริญญาณ ดูหมู่สัตว์ว่าเหล่าใดพอมีบุญวาสนาบ้าง ยกตัวอย่างเช่น นางปุณณะทาสี เป็นนางทาส ฐานะยากจน แต่มีความปรารถนาจะถวายอาหารแด่พระพุทธเจ้า เมื่อพระพุทธเจ้าเห็นนางปุณณะอยู่ในข่ายแห่งญาณ ก็ได้เดินบิณฑบาตไปโปรดนางปุณณะทาสี เป็นต้น

ตอนพลบค่ำ พระพุทธเจ้าจะเทศน์ให้พระฟัง ยกตัวอย่างเช่น สุมนะสามเณร ในวัดพระเชตะวัน (สามเณรเป็นบุตรชายของมหาเศรษฐีซึ่งเป็นเพื่อนกับพระอนุรุธ ต่อมาพระอนุรุธจึงได้บวชเณรให้) แม้จะยังเป็นแค่สามเณรแต่ก็สำเร็จบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว ท่านเป็นผู้มีฤทธิ์มากรูปหนึ่ง ตัวอย่างเช่น ครั้งหนึ่งพระอนุรุธป่วย ต้องใช้น้ำจากสระอโนดาตเป็นตัวยา สุมนะสามเณรอาสานำน้ำมาให้พระอุปัชฌาย์ และได้ทรมานนาคที่เฝ้าสระอโนดาตนั้นเสีย

แต่เนื่องจากความที่สามเณรเป็นคนตัวเล็กน่ารัก จึงมักถูกพระในวัดด้วยกันลูบหัวจับเล่น ซึ่งไม่เป็นการสมควร พระพุทธเจ้าต้องการให้พระที่ยังคงเป็นปุถุชนอยู่รู้ว่าสามเณรรูปนี้เป็นพระอรหันต์แล้ว ด้วยการบอกว่าต้องการน้ำจากสระอโนดาตมาล้างพระบาท... สุมนะสามเณรก็ได้อาสาทำหน้าที่นี้....

ในตอนเที่ยงคืน พระพุทธเจ้าทรงแก้ปัญหาให้กับเหล่าเทวดา ยกตัวอย่างเช่น ก่อนหน้าที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้นั้น ได้มีการถกเถียงกันว่า “อะไรคือมงคล” เป็นเวลานานถึง 12 ปี เมื่อเทวดาเข้ามาทูลถาม พระพุทธเจ้าจึงทรงแสดง “มงคล 38 ประการ” กล่าวคือ 1) ไม่คบคนพาล คือคนที่ไม่มีเหตุ ไม่มีผล เห็นแก่ประโยชน์เข้าตัว 2) คบบัณฑิต คือคนที่มีเหตุมีผล ไม่เห็นแก่ตัว รู้จักเสียสละ ...

ในแต่ละปี หลวงพ่อฯ จัดให้มีการบวชชี สวดลักขี เพราะถือภาษิตว่า “นิมิตตัง สาธุนูปาทัง กตัญญูกตเวทิตา” แปลว่า ใครรู้จักบุญคุณท่าน คนนั้นเป็นคนดี .....


- พระธรรมมงคลญาณ (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธโร) – ภาพประกอบ -


หลวงพ่อเทศน์มาได้พอสมควร แต่ยังมีญาติโยมที่อ่อนเพลียนอนหลับอยู่ หลวงพ่อเลยปลุกด้วยเพลง “อนิจจา สังขารา .... “ เล่นเอานู๋เมี่ยงขำกิ๊กในใจ โห... หลวงพ่อเล่นใช้มุกนี้ปลุก แล้วใครจะกล้านอนต่อ

เมื่อเพลงจบ (คาดว่าคนคงรีบลุกขึ้นตื่นทันที ตอนหลวงพ่อเริ่มขับเพลงแล้วล่ะ) จากนั้นหลวงพ่อจึงได้เล่าเรื่องของการจัดงานสวดลักขีต่อ กล่าวคือได้จัดครั้งแรกในปี 2499 ที่จันทบุรี มีพระอาจารย์หลายรูปร่วมงานในครั้งนั้นด้วย คราวนั้นมีผู้หญิงคนหนึ่งอยู่จังหวัดระยองมีอาชีพต้มเหล้าขาย เมื่อตายไป ดวงวิญญาณออกจากร่าง เข้าเมืองนรกและพบนายนิรบาลที่พยายามฉุดดวงวิญาณเธอลงกระทะทองแดง แต่ก็เห็นหลวงพ่อฯ คอยช่วยปิดกระทะให้ เมื่อนายนิรบาลรู้ว่าหญิงคนนี้เคยมาสวดลักขี จึงได้ส่งดวงวิญญาณเธอกลับ หลังจากที่เธอฟื้นแล้ว ก็เลิกอาชีพต้มเหล้าขาย หันมาประกอบอาชีพสุจริตอื่น นับแต่นั้นในปีต่อๆ มาผู้ญาติโยมเข้ามาร่วมงานสวดลักขีเป็นจำนวนมากขึ้นๆ

สมัยพุทธกาลมีโสเภณีนางหนึ่ง สวยมาก มีค่าตัวสูง เมื่อนางตาย พระพุทธเจ้าได้ใช้ศพของนางเป็นกุศโลบายแสดงธรรม ทำให้พระสงฆ์และญาติโยมต่างสำเร็จบรรลุธรรมตั้งมากมาย

“จิต” – ทุกข์สุขอยู่ที่ใจ ฉะนั้นใจจึงสำคัญ เราจึงต้องสร้างอาหารใจ เป็นสมบัติของเราเรียกว่า “อริยทรัพย์” อะไรจะดีเท่าอริยทรัพย์นั้นไม่มี เพราะอริยทรัพย์ไม่ทำให้เราเกิดในอบายภูมิ แต่พาไปสู่สุคติ พระนิพพาน หากพระภิกษุสามเณรไม่ทำสมาธิเท่าไก่ตบปีก พระพุทธเจ้าเปรียบว่าเหมือนดั่งคนรับจ้างเฝ้าพระพุทธศาสนา การออกบิณฑบาตก็คือการไปรับค่าจ้าง ซึ่งต่างจากการได้เป็นเจ้าของพระศาสนา การออกบิณฑบาตคือไปโปรดสัตว์ ฯ
.........

ต๊าย! นึกว่าจดมาแค่นิดเดียว ที่ไหนได้ยาวเป็นหน้ากระดาษ ไม่น่าเชื่อว่าตัวเองจะจดได้เยอะขนาดนี้

จบจากธรรมะรุ่งอรุณ หลวงพ่อก็นำพวกเราสวดมนต์ทำวัตรเช้า นั่งสมาธิแผ่เมตตาจิต นู๋เมี่ยงก็รีบเดินไปที่โรงทาน เต็นท์ของ ม.เอเชียฯ เพื่อดูว่าจะสามารถช่วยงานอะไรได้มั่ง



อาหารทุกอย่างทำเสร็จสรรพมาหมดแล้ว เพียงแค่จัดแบ่งใส่ถุงเป็นชุดๆ นู๋เมี่ยงสนุกกับการได้ตักข้าวใส่ถุงจนมือเหนียวหนึบ สักพักใหญ่ก็เริ่มมีพ่อขาวแม่ขาวเดินมารับอาหาร



ราว 6.30 น. พระสงฆ์ได้ออกมาบิณฑบาต ณ บริเวณรอบๆ พระมหาเจดีย์ พอซุ้มอาหารของม.เอเชียแจกจ่ายหมดแล้ว (หมดเร็วมากกกก) นู๋เมี่ยงก็ขออนุญาตแว๊บบบหายตัวแป๊บนะคะ เดี๋ยวกลับมา เช้านี้ได้ตักบาตรอีกสักชุดก็ยังดี แล้วค่อยกลับมาช่วยโรงทาน ตักน้ำ ตักน้ำแข็งต่อค่ะ



ไม่น่าเชื่อว่าอาหารและน้ำดื่มของม.เอเชียจะขายดีขนาดนี้ ไม่ทันไร หมดแล้ว ในขณะที่บางซุ้มเพิ่งจากเปิดร้าน ก็พอดีให้นู๋เมี่ยงเดินไปดูซุ้มอาหาร-น้ำของผู้ใจบุญอื่นๆ ด้วย (อิ่มท้องด้วยค่ะ)

ช่วงสายๆ ภายในพระอุโบสถมีการจัดงานพิธีกรรม พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์เจริญพระพุทธมนต์ และฉันภัตตาหารเพล นู๋เมี่ยงก็เตร็ดเตร่อยู่แถวโรงทานค่ะ ตอนช่วงบ่ายจะมีการทอดผ้าป่าสามัคคีโครงการประทีปเด็กไทยถวายหลวงพ่อฯ ม.เอเชียก็ได้มา 1 ต้น พอเที่ยงพวกเราก็ช่วยกันจัดต้นผ้าป่าให้เป็นระเบียบดูดี



เหนียวหนึดไปทั้งตัว ตั้งใจหลายรอบว่าจะกลับขึ้นไปเอาถุงเสื้อผ้าเพื่อจะได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่เสียที กว่าจะทอดผ้าป่าก็ยังอีกนาน แพล็บเดียวโทรศัพท์เรียกว่าตอนนี้ ม.เอเชียอยู่ในแถวกำลังจะทอดผ้าป่าให้หลวงพ่อแล้ว เอาล่ะ ไหนๆ แล้วก็เลยรีบรุดไปหาคณะเพื่อนๆ ที่ตั้งแถวรออยู่



ระหว่างชะเง้อมองหาคณะม.เอเชียว่าไหลไปถึงไหนแล้ว สายตาก็เห็นกองผ้าป่าต้นนี้ค่ะ เรียกเสียงฮือฮาจากรอบข้าง นู๋เมี่ยงชอบไอเดียของเขาจังค่ะ


- ผ้าป่าทรงขนมเค้ก -


นู๋เมี่ยงกับชาวคณะก็ไหลไปเรื่อยๆ จนมาถึงหน้าปะรำพิธีค่ะ พอเห็นหลวงพ่อใกล้ๆ แล้วตื้นตันค่ะ นี่แหละค่ะพระอาจารย์ผู้สอนการทำสมาธิให้แก่นู๋เมี่ยง (ผ่านหลักสูตรครูสมาธิ)



แต่ว่ากองผ้าป่าจะหมดแถว ก็ยังอีกนาน เพราะผู้มีจิตศรัทธาหลั่งไหลกันมาอย่างล้นหลาน สาธุ สาธุ สาธุ

งั้นตอนนี้ก็ไปอาบน้ำอาบท่าดีกว่า จะว่าไป...ร่างกายคนเรานี่แค่ไม่อาบน้ำวันเดียว เรายังรู้สึกว่าตัวเองสกปรก เหม็นขนาดนี้ ยังแทบจะทนตัวเองไม่ได้เลย ... เฮ้อ ไม่พูดต่อดีกว่าเนอะ

การสวดลักขีก็ดำเนินต่อไปหลังจากจบการทอดผ้าป่าสามัคคี นู๋เมี่ยงก็กลับไปที่นั่งของตนเองตรงมุมระเบียงชั้น 2 นั่งสวดแล้วก็นอนพักเอาแรงบ้าง ตอนหัวค่ำเวลาทุ่มตรงได้ยินเสียงหลวงพ่อเทศน์ ซึ่งตอนนั้นนู๋เมี่ยงก็เอนหลังนอน รู้สึกเคลิ้มๆ ได้ยินแต่ฟังแล้วรู้สึกตัวมันลอยๆ น่ะ จับความได้มั่ง ไม่ได้มั่ง แต่ตอนต้นพอจับประเด็นได้ว่าหลวงพ่อพูดถึงการที่ได้มาสวดลักขี บวชชีกันในวันนี้เป็นการสั่งสมบารมี และเล่าเรื่องของสามเณรรูปหนึ่ง .... ฮะแฮ่ม เหมือนเคยได้ยินหลวงพ่อเล่ามาแล้วครั้งหนึ่งในหลักสูตรครูสมาธิ (เรื่องของสังกิจจะสามเณร) ฟังได้ระยะหนึ่งนู๋เมี่ยงก็ไม่รู้สึกตัวเสียแล้ว

แต่แล้วก็ตื่นขึ้นด้วยเสียงธรรมะเทศนาของ พระราชวรคุณ (หลวงพ่อสมศักดิ์ ปณฺฑิโต) วัดบูรพาราม จังหวัดสุรินทร์ ที่ปลุกนู๋เมี่ยงด้วยท่วงเสียงทำนองการแหล่ (เหมือนเทศน์มหาชาติ) พร้อมลีลาสลับการพูด กระชากความง่วงหลุดออกไป นู๋เมี่ยงตั้งใจฟังเนื้อความในธรรมะนั้น (ที่นั่งของนู๋เมี่ยงจะได้ยินเสียงเครื่องปั่นไฟเดี๋ยวดังเดี๋ยวดับตลอด) ไม่นานจึงตัดสินใจลุกเดินลงไปที่ปะรำพิธีเพื่อเข้าไปฟังใกล้ๆ


- พระราชวรคุณ (หลวงพ่อสมศักดิ์ ปณฺฑิโต) (ภาพประกอบ) -

ที่มาของภาพ: //www.dhammamongkol.com/content.php?id=21



ในสมัยพุทธกาล ในกรุงสาวัตถีมีกุลบุตรชายคนหนึ่งได้ฟังธรรมะจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเกิดศรัทธาอย่างแรงกล้าที่จะเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา ฝ่ายพ่อแม่เมื่อทนลูกชายสุดสวาทคะยั้นคะยอไม่ไหว ก็จำต้องยอมให้ลูกชายคนเดียวนี้บวช หลังจากลูกชายได้ไปบวชแล้ว และได้ออกเมืองไปอยู่ป่าเพื่อเจริญวิปัสสนาธุระ สองคนผัวเมียก็หมดกำลังใจที่จะดูแลกิจการงาน ในที่สุดก็ถูกคดโกง ผ่านไปหลายปี ในที่สุดจากเดิมที่มีฐานะร่ำรวยก็กลายเป็นยาจกเข็ญใจ เที่ยวขอทานประทังชีวิต ฝ่ายพระภิกษุลูกชายได้พากเพียรปฏิบัติอยู่นานหลายปี แต่ก็ยังไม่บรรลุธรรมวิเศษ

ต่อมาพระภิกษุหนุ่มทราบข่าวจากเพื่อนพระภิกษุด้วยกันว่า พ่อแม่ของตนบัดนี้แก่มากแล้วซ้ำยังตกระกำลำบากต้องเที่ยวขอทานชาวบ้านเขากินไปวันๆ ก็รู้สึกสงสาร ตัดสินใจว่าจะลาสึกเพื่อไปปรนนิบัติพ่อแม่ ขณะที่เดินทางมาสู่เมืองสาวัตถีก็มาถึงทางแยกสองแพร่ง ทางหนึ่งเข้าเมือง อีกทางหนึ่งเข้าสู่วัดพระเชตวัน จึงได้ตัดสินใจเลือกจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้าก่อน ขณะนั้นเป็นเวลาค่ำพอดี พระพุทธเจ้ากำลังแสดงมาตุโปสกสูตรพรรณาคุณแห่งการอุปการะบิดามารดา พระภิกษุได้หยุดฟังอยู่ จึงได้ตัดสินใจว่าตนจะไม่สึก พร้อมกันนั้นจะเป็นผู้เลี้ยงดูพ่อแม่ด้วย ดังนั้น ทุกครั้งที่พระภิกษุได้ภัตตาหารหรือผ้านุ่งห่มมา ก็จักนำมาปรนนิบัติพ่อแม่ก่อนเสมอ จนร่างกายสรีระของตนซูบผอมไม่สดใสเหมือนก่อน จนเรื่องนี้โจษจันกันไปในหมู่สงฆ์ บางรูปก็ติฉินว่าไม่สมควรที่นำของที่เขาให้ด้วยศรัทธาไปให้คฤหัสถ์ บางรูปก็อนุโมทนา

จึงมีผู้นำเรื่องนี้ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าฯ เมื่อไต่ถามทุกฝ่ายเรียบร้อยดีแล้ว พระองค์ทรงสรรเสริญการกระทำของพระภิกษุรูปนั้น และตรัสเล่าเรื่องสุวรรณสามชาดกในท่ามกลางประชุมสงฆ์

หลวงพ่อสมศักดิ์ท่านไม่ได้เล่าเรื่องสุวรรณสามต่อหรอกค่ะ เพราะท่านเทศน์มาก็เป็นชั่วโมงแล้ว นู๋เมี่ยงก็นั่งฟังเพลินอยู่ข้างๆ ปะรำพิธี จะด้วยเนื้อเรื่องเอง หรือจังหวะท่วงทำนองการเทศน์ของท่าน ก็ทำให้คนฟังน้ำตาซึม อิ่มเอิบ และอยากฟังท่านเทศน์เล่าเรื่องไปเรื่อยๆ เสียด้วยซ้ำ

เมื่อครบกำหนดเวลาแล้ว หลวงพ่อสมศักดิ์ได้สรุปเรื่องราวตอนสุดท้ายของพระภิกษุหนุ่มนั้นว่า ....
เมื่อพระพุทธเจ้าทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่าการเลี้ยงดูบิดามารดาเป็นวงศ์ของบัณฑิตทั้งหลาย และทรงต่อด้วยอริยสัจสี่ ในเวลาเทศนาอริยสัจสี่จบลง ภิกษุรูปนั้นก็ได้บรรลุโสดาปัตติผล ฉะนั้นเวลาฟังธรรม ฟังเทศน์ทศชาติ มหาชาติก็ดี ก็ขอให้น้อมใจรับฟัง ตั้งใจฟัง ไม่แน่ว่าก็อาจจะเข้าถึงธรรมะได้เช่นกัน...... สาธุ สาธุ สาธุ


- พระพุทธมงคลธรรมศรีไทย หรือหลวงพ่อหยก @วัดธรรมมงคล -


ขึ้นไปกราบพระหยกเสียตั้งแต่คืนนี้ก่อน เพราะพรุ่งนี้แต่เช้าตรู่ เสร็จพิธีก็จะเดินทางกลับ อาจไม่ได้เข้ามากราบลาท่าน

หมายเหตุ วันอาทิตย์ที่ 8 มกราคม สวดไปได้รวม 115 จบ


จันทร์ 9 มกราคม 2555


วันลาสิกขา


ตี 3:20 ถึง ตี 4:00 ได้เวลาธรรมะรุ่งอรุณ โดยหลวงพ่อฯ ท่านได้กล่าวถึงการทำสมาธิ นู๋เมี่ยงพอสรุปมาได้ดังนี้

ธรรมะรุ่งอรุณ จากหลวงพ่อฯ
งานที่จะสร้างพลังจิตเป็นนามธรรม มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่มีอิทธิพลสูง การสะสมพลังจิตเป็นงานทางด้านจิตใจ ช่วยอัพเกรด พัฒนาตัวเราเองจากปุถุชนให้เป็นอริยะชน

คนเรานั้นเกิดมาเสมอกัน คือเกิดมาแล้วเป็นภพเป็นชาติ เกิดมาแล้วมีความแก่และความตาย การนั่งสมาธิทุกครั้งเท่ากับเป็นการสะสมพลังจิต พลังจิตนั้นซื้อเอาไม่ได้ ใครอยากได้ต้องทำเอาเอง เหมือนกับการทานอาหาร ใครอยากอิ่มก็ต้องรับประทานเอาเอง

หลวงพ่อเล่าเรื่องเดินธุดงค์ที่ดงพญาเย็น ผจญยุง ทดสอบด้วยการนั่งสมาธิเปิดกลด สุดท้ายก็ไม่สบาย เป็นไข้มาลาเรียขึ้นสมอง วิญญาณออกจากร่าง ลอยไปในอากาศถึงเกาะแห่งหนึ่ง เจอเพื่อนฝูงคนรู้จักมากมาย แต่ได้ยินเสียงพระอาจารย์กงมาเรียกกลับ ตอนกลับมาก็มองเห็นตัวเองนอนอยู่ ....

และตอนท้าย หลวงพ่อกล่าวว่า จิตไม่สงบ --> ไม่เป็นสมาธิ --> เกิดพลังจิตไม่ได้
การทำสมาธินั้นก็เพื่อผลิตพลังจิต --> พลังจิตนั้นเพื่อควบคุมจิตใจ ลดความขัดแย้ง ฯ
และได้ย้ำภาษิต 2 ข้อคือ “นิมิตตัง สาธานูปานัง กตัญญูกตเวทิตา” และ “ขันตี ตะโป ปะปัตติโน” “ขันตี ธีระ สะรังกาโล” แปลว่าขันตีเป็นเครื่องประดับของนักปราชญ์

จากนั้นก็ได้นำพวกเรานั่งสมาธิ … สวดลักขีต่อ จนได้เวลาทำพิธีดับเทียนชัยเมื่อเวลา 06.09 น. พร้อมทั้งทำพิธีลาสิกขา (ออกจากศีล 8)


ที่มาของภาพ: //www.dhammamongkol.com/content.php?id=20



หมายเหตุ วันจันทร์ที่ 9 มกราคม สวดไปได้รวม 54 จบ
สรุป ตลอดทั้งงานตั้งแต่วันศุกร์ที่ 6 เป็นต้นมาสวดรวมได้ทั้งหมด 582 จบ
และภาพสวยๆ ในวันงานสวดลักขี สามารถชมเพิ่มเติมได้ที่เวปไซค์ของวัดธรรมมงคล //www.dhammamongkol.com ค่ะ

สุดท้ายนี้ ด้วยอานุภาพแห่งคุณพระรัตนตรัย ขอให้เพื่อนๆ ทุกคนมีความสุข สวัสดีค่ะ



บันทึกจากภาพและสมุดบันทึกความทรงจำ
อัพเดท: พุธ 22 กุมภาพันธ์ 2555





Create Date : 28 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 28 กุมภาพันธ์ 2555 6:46:44 น. 0 comments
Counter : 4203 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 

มามะ.. เมี่ยงเองค่ะ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




[Add มามะ.. เมี่ยงเองค่ะ's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com