|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
Before Sunset...หนังจบที่ไม่จบ
วันนี้เป็นวันที่ฉันปวดหัวเนื่องจาก 1. การนอนมากเกินไป 2. เป็นวันที่ไม่ได้ดื่มกาแฟเย็นระหว่างวัน 3. ภาระงานที่เอามาจัดการที่บ้านยากกว่าที่คิด 4. โมโหแมวที่ทำให้ใบพัดพัดลมหัก แต่ฉันก็มี 2 สิ่งที่ทำให้มีความสุข คือ การได้รู้จากแบบทดสอบว่าฉันเป็นพวก Linguistic Thinker และการได้ดูหนังเรื่อง Before Sunset
จำได้ว่าตอนเด็กๆ ซึ่งเป็นช่วงที่ตัวเองเข้าไปท่องในโลกของหนังสือได้มากกว่านี้ ฉันประทับใจเรื่องคุณพ่อขายาวมาก เพราะรู้สึกผูกพันกับเจอรูชา แอ๊บบอท ตัวเอกของเรื่อง เรื่องของเธอไม่ใช่แค่สนุกเท่านั้น แต่การที่เธอเจอเรื่องร้ายๆ แล้วค่อยๆ เจอสิ่งที่ดีขึ้นมันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนว่าตัวเองถูกฉุดให้พ้นจากเรื่องหนักใจในขณะนั้นไปด้วย จนพอถึงหน้าสุดท้ายที่ฉันต้องปิดหนังสือ ฉันรู้สึกใจหายและรู้สึกเหมือนถูกทิ้ง มันเหมือนฉันได้ดูชีวิตของเจอรูชา แอ๊บบอทผ่านกรอบเล็กๆ ที่ตามติดเธอไปเรื่อยๆ แต่สุดท้ายกรอบที่ว่าก็หยุด แต่เจอรูชา แอ๊บบอทยังดำเนินชีวิตต่อไปโดยไม่อนุญาตให้ฉันได้รู้เห็น น้อยใจมาก-ความคิดในวัยเด็กตอนนั้น
ผ่านมาจนถึง พ.ศ. 2538 (ค.ศ. 1995) ฉันได้ดูหนังเรื่อง Before Sunrise เป็นหนังที่ประทับใจมากๆ แม้ปกติจะเป็นคนไม่ชอบเรื่องความสัมพันธ์เพียงชั่วข้ามคืน หนังเรื่องนี้เป็นหนังเรียบๆ แต่มีผลต่อความรู้สึก ตอนที่ดูในช่วงแรกๆ ฉันรู้สึกแค่ว่าภาพสวย ตัวเอกของเรื่องน่ารัก แต่สิ่งที่ไม่รู้คือรู้สึกผูกพันกับตัวเอกลึกๆ ไปแล้ว จนถึงตอนท้ายของหนังนั้นแหละที่ฉายให้เห็นสถานที่ต่างๆ ที่ตัวเอกของเรื่องเคยอยู่ด้วยกัน แต่ตอนนี้ไม่มีแม้แต่เงาของคนทั้งสอง จำได้ว่าดูแล้วรู้สึกเหงาจนน้ำตาซึม พร้อมกับคำถามในใจ...ทั้งสองคนจะกลับมาพบกันอีก 6 เดือนข้างหน้าอย่างที่สัญญากันไว้ไหม
เวลาผ่านไป 9 ปี Before Sunset (2004) มาสานต่อเรื่องราวที่ค้างไว้ Jesse กลับมาที่ยุโรปอีกครั้งเพื่อโปรโมทหนังสือที่เขียนเกี่ยวกับคืนนั้น พลันสายตาก็ไปสะดุดกับหญิงสาวที่ยืนแอบอยู่ด้านหนึ่ง Celine นั่นเอง แล้วทั้ง 2 ก็ไปดื่มกาแฟกันโดยมีเงื่อนไขว่าต้องกลับมาก่อนที่ Jesse จะขึ้นเครื่อง นั้นคือก่อนค่ำวันนั้น เรื่องดำเนินไปเรื่อยๆ เรียบๆ เช่นเดิม ทั้งสองเดินคุยกันโดยมีคำถามของ Celine เปิดขึ้นก่อน "คุณได้ไปเวียนนาตามคำสัญญาที่เราให้ไว้กันไหม" "ไม่"...Jesse ตอบ "แล้วคุณหละ" "ไม่ได้ไป เหมือนกัน พอดียายฉันเสีย" Celine ตอบ แต่ต่อมาก็ได้รู้ว่า Jesse ได้ไปตามสัญญา ซึ่งทำให้อีกฝ่ายรู้สึกผิด หลังจากนั้นเรื่องราวที่คุยกันก็ดำเนินไปเรื่อยๆ
"เร็วจังเนอะ ผ่านไป 9 ปี แต่ผมรู้สึกเหมือนเพิ่งผ่านไปแค่ 2 เดือนเอง" Jesse พูด ฉันอึ้ง-ไม่ใช่เพราะมีคำซาบซึ้งอะไร แต่เพราะมันตรงกับความรู้สึกฉันมาก ฉันรู้สึกว่าฉันเพิ่งได้ดู Before Sunrise เมื่อไม่นานนี่เอง เวลาผ่านช่างไปเร็วจริงๆ "ฉันเปลี่ยนไปไหม" Celine ถามขึ้น "ผอมลง" คือคำตอบ "อะไรนะ คุณว่าแต่ก่อนฉันอ้วนเหรอ คุณเขียนถึงหญิงฝรั่งเศสอ้วนๆ เหรอ" ฉันขำประโยคนี้ของ Celine มาก และสงสารผู้ชายก็ตรงเรื่องนี้แหละ เรื่องที่ผู้หญิงมักหลงประเด็นไปตีเป็นปมด้อยของตัวเอง ผอมลงไม่ได้แปลว่าแต่ก่อนอ้วนซักหน่อย แต่สำหรับฉัน ฉันว่า Celine ดูกร้านขึ้น ฉันขำเรื่องในร้านกาแฟที่ Celine เล่าเกี่ยวกับความปลอดภัยในแผ่นดินอเมริกามากๆ
ลุกจากร้านกาแฟแสนสวย ทั้ง 2 ก็เดินเล่น Celine พูดถึงงานเกี่ยวกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม Jesse ก็ให้ความเห็นว่าปัญหาที่ว่าค่อยๆ ลดลงแล้วนะ Celine เถียงกลับ.."คุณเห็นมันน้อยลง เพราะเค้าย้ายฐานการผลิตไปที่ประเทศที่ 3 หนะซิ ประเทศที่ค่าแรงแสนถูก และไม่มีกฎหมายสิ่งแวดล้อมด้วย" (ประเทศไทยด้วยไหมหนอ-เอาไป 1 แต้ม) จากนั้น Jesse ก็ชวน Celine ลงเรือ
เรื่องราวในเรือเปิดเผยให้รู้ถึงความรู้สึกของทั้ง 2 คน Celine ลืม Jesse ไม่ได้แม้จะมีแฟนมาแล้วหลายคน "ตอนนั้นฉันเด็กและโง่ที่ไม่ได้ให้ที่อยู่หรือเบอร์ติดต่อกับคุณ เพราะฉันยังนึกว่าฉันยังมีเวลาที่จะได้เจอคนอีกมากมายที่ใช่ แต่เวลามันผ่านไปเร็ว แค่ผ่านไปเร็ว แต่ฉันไม่พบใครเลย" (เอาไป 1 แต้ม โดนใจ) ส่วน Jesse ชีวิตที่แต่งงานแล้วก็ใช่ว่ามีความสุข แต่งเพราะจำยอม และความรู้สึกที่ดีที่สุดที่มีให้ภรรยาคือนับถือในตัวเธอ แล้วก็วกกลับมาเรื่องคำสัญญาที่เวียนนา "ทำไมคุณไม่ไปเวียนนา ถ้าเพียงแต่ยายของคุณเสียก่อนนั้นหรือหลังนั้น บางทีชีวิตเราอาจเปลี่ยนแปลงไปกว่านี้"
ทั้งสองขึ้นจากเรือ นั่งรถกลับบ้านของ Celine ระหว่างทาง Celine ได้ระบายความรู้สึกของเธอกับการตามหาคนที่ใช่ มันเศร้ามากสำหรับฉันที่ได้เห็นภาพผู้หญิงที่วันนั้นเหมือนมีสิ่งที่ดีรออยู่มากมาย ชีวิตคือโลกกว้างที่รอให้เดินออกไป แต่วันนี้ผู้หญิงคนนั้นเดินจนเหนื่อย เหลือแต่สังขารที่เริ่มจะโรยราแต่กลับไม่เจออะไรเลย คงเริ่มคิด...ถ้าแค่วันนั้นฉันไปเวียนนา...
หลังจากนั้นทั้งสองก็ไปบนห้องของ Celine เจ้าของห้องเล่นเพลงที่แต่งให้ Jesse ฟัง เป็นเพลงที่เพราะ เสียงร้องก็เพราะ แค่ฟังเพลงนี้และถ้าฉันเป็นผู้ชายสักคน ฉันก็คงหลงรักผู้หญิงคนนี้ได้เลย ด้วยความเคลิ้มจากเพลงเพราะๆ อยู่ๆ หน้าจอก็มืด-จบแค่นี้
เรื่องนี้คงทิ้งให้เราคิดว่าเรื่องจะดำเนินต่อไปอย่างไร ทั้งสองจะตัดสินใจกับชีวิตที่ดำเนินต่อไปอย่างไร ทั้งสองจะกลับมาคบกัน หรือต่างใช้ชีวิตของใครของมันต่อไป แต่จุดที่สะดุดใจฉันมากที่สุดของเรื่องคือการไปตามสัญญาที่เวียนนาที่ให้ไว้ มันทำให้ฉันคิดถึงหนังเรื่อง Sliding Doors (1998) การตัดสินใจอะไรสักอย่างมันอาจจะเปลี่ยนแปลงชีวิตเรา ถ้าไม่มีเรื่องนี้ คำว่า "แค่" คงถูกใช้น้อยกว่านี้กว่าครึ่ง..."แค่ฉันเลือกเธอตอนนั้น" "แค่ฉันเลือกเรียนคณะ..." ฯลฯ แต่บางครั้งโชคชะตาก็เล่นตลกกับเรา และที่สำคัญบางครั้งเราไม่รู้หรอกว่าจุดตรงนั้นจะเปลี่ยนชีวิตเรา และถ้าเปลี่ยนจะเปลี่ยนแบบไหน และผลจากการเลือกแต่ละทางหละ เหมือนอย่างที่ Celine พูดไว้ "บางทีถ้าเราทำตามสัญญา วันนี้เราอาจจะเกลียดกันก็ได้"
Create Date : 16 พฤษภาคม 2548 |
|
8 comments |
Last Update : 23 พฤษภาคม 2548 1:38:45 น. |
Counter : 3615 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: yadegari 16 พฤษภาคม 2548 4:37:03 น. |
|
|
|
| |
โดย: grappa 16 พฤษภาคม 2548 7:12:56 น. |
|
|
|
| |
โดย: พ่อไอ้แพท IP: 58.9.160.173 17 พฤษภาคม 2548 19:45:23 น. |
|
|
|
| |
โดย: Pascal IP: 202.129.46.206 20 พฤษภาคม 2548 19:13:29 น. |
|
|
|
| |
โดย: I_Love@home:-) IP: 203.121.184.254 24 พฤษภาคม 2548 13:07:01 น. |
|
|
|
| |
โดย: Judy IP: 202.176.124.81 25 พฤษภาคม 2548 13:12:09 น. |
|
|
|
|
|
|
|
ความเห็นของผมกับเรื่องนี้ แบ่งกันอ่านครับ
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=02-2005&date=08&group=2&blog=1