มงคลชีวิตที่ ๑๕ การให้ทาน (ทานัญจะ)
การให้ทานย่อมเป็นมงคลอันประเสริฐ ถามว่าเหตุไรบุคคลจึงคิดให้ทาน แก้ว่าเพราะสาเหตุ ๒ ประการคือ ๑. มีปัญญาสัมมาทิฏฐิความเห็นชอบ ๒. มีความไม่โลภ คำว่ามีปัญญาสัมมาทิฏฐิ หมายถึงมีปัญญาพิจารณาเห็นบาปบุญคุณโทษ ประโยชน์และไม่ใช่ประโยชน์ในเบื้องหน้าเห็นว่าการรักษาศีลภาวนาย่อมได้บุญกุศลนำมาซึ่งความสุข เห็นว่าการละเมิดศีลเป็นบาปนำมาซึ่งความทุกข์ ดังนี้ชื่อว่ามีปัญญาสัมมาทิฏฐิเมื่อบุคคลอาศัยปัญญาสัมมาทิฏฐิและความไม่โลภคิดจะบริจาคทาน ทานนั้นย่อมจะมีผลมากนั้นต้องประกอบด้วยสิ่งไรบ้างก็ตอบว่าสำหรับผู้บริจาคทานต้องประกอบด้วย เจตนาสัมปทาหมายถึง ผู้บริจาคทานมีจิตศรัทธา เลื่อมใสในการให้ทานไม่เสียดายวัตถุข้าวของใน ๓ กาลคือ ๑. บุพพเจตนา คือก่อนให้ทานก็มีความศรัทธาเลื่อมใสเตรียมพร้อมเตรียมตัวเตรียมการให้ทานด้วยความเบิกบานหรรษา ๒. มุญจนเจตนา คือขณะให้ก็ร่าเริงปิติศรัทธาไม่เสียดายสิ่งของสยิ้วนิ่วหน้า ๓. อปราปรเจตนา ครั้นเมื่อให้ทานผ่านไปแล้วเมื่อย้อนนึกถึงการให้ทานครั้งนั้นเมื่อใดก็เกิดปิติชื่นชมโสมนัสไม่รู้สึกเสียดาย เมื่อเจตนาพร้อมทั้ง ๓ กาล ท่านเรียกว่า เจตนาสัมปทา คือถึงพร้อมด้วยเจตนา สำหรับวัตถุที่นำมาบริจาคต้องเป็นวัตถุที่ได้มาโดยบริสุทธิ์ ไม่ผิดศีลผิดธรรมได้มา ชื่อว่า วัตถุสัมปทา ย่อมทำให้ทานมีผลมากมีอานิสงฆ์มาก ยิ่งถ้าผู้รับเป็นพระอรหันต์เพิ่งออกจาคสมาบัติย่อมจะมีผลทันตาเห็นภายในเจ็ดวันหรือภายในชาตินี้ สำหรับการให้ทานถ้าแบ่งตามผู้รับแบ่งได้เป็น ๒ แบบ ๑. ปาฏิปุคคลิกทาน คือการให้ทานที่เจาะจงตัวผู้รับตามความชอบใจของผู้ให้ทาน ๒. สังฆทาน คือการถวายทานแก่หมู่สงฆ์ไม่เจาะจงผู้รับ ในทานทั้ง ๒ นั้น สังฆทาน ย่อมมีผลอานิสงฆ์ยิ่งใหญ่มากกว่า ปาฏิปุคคลิกทาน สำหหรับปาฏิปุคคลิกทานนั้นถ้าจะมีผลมาก ผู้ให้จะต้องถึงพร้อมด้วยเจตนาสัมปทา ทั้ง ๓ กาล ส่วนผู้รับก็ต้องประกอบด้วยองค์ ๓ คือ ๑. ปราศจากราคะ หรือกำลังปฏิบัติเพื่อละราคะ ๒. ปราศจากโทสะ หรือกำลังปฏิบัติเพื่อละโทสะ ๓. ปราศจากโมหะ หรือกำลังปฏิบัติเพื่อละโมหะ สำหรับการถวายสังฆทานให้มีผลสมบูรณ์นั้น ให้บุคคลผู้ให้ทานตั้งจิตอุทิศทานว่าเราถวายทานบูชาแต่พระอริยเจ้า อย่าคิดว่าเราถวายทานแต่ ภิกษุปุถุชน การถวายสังฆทานในปัจจุบันสมัยนี้มี ๒ แบบคือ ๑.ถวายแก่ภิกษุสงฆ์ คืออาราธนานิมนต์พระภิกษุสงฆ์มารับทานตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป ตั้งใจถวายเป็นสังฆทาน ๒.ไปบอกขอนิมนต์พระภิกษุ ๑ รูป ๒ รูปหรือ ๓ รูปจากคณะสงฆ์ในอาวาสใดอาวาสหนึ่งโดยไม่จำเพาะเจาะจงว่าเป็นพระภิกษุรูปใดทางคณะสงฆ์ก็จะจัดพระภิกษุตามคิวที่จัดกันไว้ในอาวาสมาให้เรา ทานอาจแบ่งเป็น ๒ อย่างคือ อามิสทานและธรรมทาน อามิสทาน คือการให้วัตถุข้าวของ ส่วนธรรมทาน คือการให้ธรรมะ ทานอาจแบ่งเป็น ๓ อย่างคือ ทาสทาน สหายทาน และสามีทาน ทาสทาน หมายถึง การให้ของที่เลวกว่าของที่เราใช้สอย สหายทาน หมายถึง การให้ของที่เสมอกับของที่เราใช้สอย สามีทาน หมายถึง การให้ของที่ประณีตกว่าของที่เราใช้สอย
Create Date : 06 สิงหาคม 2553 |
Last Update : 6 สิงหาคม 2553 0:21:45 น. |
|
23 comments
|
Counter : 1425 Pageviews. |
|
|
ความยินดีในธรรมย่อมชนะความยินดีทั้งปวง
มีความสุขอยู่กับธรรม ตลอดไป..นะคะ
" ทาน " เป็นเรื่องของใจล้วน ๆ เลย..นะคะ
ปอป้า มีเรื่องรบกวนที่หลังไมค์หน่อย..นะคะ