|
หลังยุคทักษิโณมิกส์ ปฏิรูปการเมืองครั้งใหม่(2)--ยุค ศรีอารยะ
หลังยุคทักษิโณมิกส์ปฏิรูปการเมืองครั้งใหม่ (2) โดย ยุค ศรีอาริยะ 13 ธันวาคม 2548 18:02 น. ผมเคยเสนอว่า ในยุคโลกาภิวัตน์ ระบบโลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคทุนใหม่ ที่น่ากลัวอย่างยิ่ง และมีพลังอำนาจในการผนวกรวมความมั่งคั่ง โดยหากินอยู่กับการปั่นหุ้น ปั่นค่าเงิน (ฟองสบู่) ปั่นราคาน้ำมัน และปั่นอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มทุนใหม่นี้คือทุนที่ฝรั่งเรียกว่า ทุนกาสิโน หรือ ทุนฟองสบู่ ซึ่งถือว่าเป็นทุนกาฝาก ซึ่งมีพลังอำนาจในการทำลายตัวเองค่อนข้างสูง และสามารถนำหายนะมาสู่สังคมที่รุนแรง ปัจจุบัน กลุ่มทุนนี้ มีอำนาจเหนือระบบโลก ในกรณีของประเทศไทย ทุนกลุ่มนี้ก็กำลังแผ่อำนาจเหนือระบบการเมืองไทย ดังนั้นคำว่า ทักษิโณมิกส์ ในที่นี้คือส่วนหนึ่งของทุนกาสิโนที่มีลักษณะไร้พรมแดน ซึ่งก่อตัวขึ้นและได้มีอิทธิพลเหนือการเมืองไทย กลุ่มทุนนี้ เริ่มเข้ามามีอำนาจทางการเมืองผ่านระบบการเลือกตั้ง ที่ต้องใช้เงินมหาศาล เริ่มตั้งแต่ยุคพลเอกชาติชาย เนื่องจากว่ากลุ่มทุนใหม่นี้มีความสามารถระดมทุนได้จำนวนมหาศาลผ่านการปั่นหุ้น และปั่นที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ ผลที่ตามมา ระบบการเลือกตั้งจึงถูกลากมาเชื่อมกับกลุ่มทุนใหญ่ที่ครองอำนาจเหนือตลาดหุ้น และมีผลทำให้ระบบการเมือง และการเลือกตั้งพัฒนากลายพันธุ์เป็น ระบบธุรกิจการเมือง หรือ Money Politics ที่สมบูรณ์แบบ พูดอีกแบบหนึ่ง ใครมีเงินมากที่สุดก็สามารถซื้อประเทศ ซื้อ ส.ส. หรือซื้อนักการเมือง ที่ต้องการได้ ดังนั้น ส.ส. และนักการเมืองจึงแปรสภาพเป็นสินค้าประเภทหนึ่งเท่านั้น ตัวอย่างเช่น พรรคไทยรักไทยจะเลือกซื้อ ส.ส. คนไหน ก่อนอื่นเขาจะใช้วิธีสำรวจคะแนนความนิยมผู้ที่ต้องการจะสมัคร ด้วยการสำรวจโพลว่าใครมีคะแนนสูงสุดในเขตนั้นๆ และซื้อ ส.ส. คนนั้นเข้ามาในพรรค โดยไม่ต้องสนใจว่า ส.ส. คนนั้นจะมีแนวคิด หรืออุดมการณ์ทางการเมืองอย่างไร นอกจากนี้ ก็ใช้ระบบผู้ว่า CEO ให้การสนับสนุนโดยตรง และใช้อำนาจการเมืองท้องถิ่นสนับสนุนอีกต่อหนึ่ง นี่คือที่มาส่วนหนึ่งของชัยชนะ และแผนการครองเมือง ระบบ Money Politics แบบนี้ทำให้ กลุ่มคนที่มีเงิน มีอำนาจเด็ดขาดเหนือบรรดานักการเมือง ทำให้นักการเมืองเป็นเพียงลูกจ้างของบรรษัทการเมือง หรือพรรคการเมือง ส.ส. ทั้งหมดจะถูกเลี้ยงด้วยเงิน และต้องทำหน้าที่รับคำสั่งจากนาย หาก ส.ส. คนใดเริ่มไม่มีฐานการเมือง ก็จะถูกถีบออกไป ระบบนี้จะสร้างขึ้นได้ ก็ต้อง "จ่ายเงิน" มหาศาล แต่ระบบนี้จะถือว่าการจ่ายเงินก็คือการลงทุนแบบหนึ่งซึ่งหลังจากลงทุนไปแล้ว ก็ต้องถอนทุนคืน หลังเลือกตั้ง ทักษิโณมิกส์จึงกลายเป็นขบวนการในการถอนทุนคืน ผ่านการสร้างอภิมหาโครงการใหญ่ๆ อย่างเช่น กรณีสร้างสนามบินขนาดใหญ่ สร้างรถไฟฟ้าใต้ดิน และอภิโปรเจกต์ แบบเป็นแสนๆ ล้าน "ขบวนการการแสวงหาประโยชน์" หรือ "กินแบบใหม่" จึงเกิดขึ้น ไม่ใช่การกินในระดับประเทศ แต่เป็นการสมคบกันกินบ้านกินเมืองในระดับระหว่างประเทศ ระหว่างทุนใหญ่ (ทักษิโณมิกส์) ที่มีอำนาจเหนือการเมืองไทย กับบรรษัทยักษ์ใหญ่ข้ามชาติ ตัวอย่างเช่นกรณี CTX เป็นการคอร์รัปชันแบบข้ามชาติ ที่ยากจะตรวจสอบและควบคุม ในเวลาเดียวกัน การสร้างอภิมหาโปรเจกต์เหล่านี้ มีเจตนาเบื้องหลังคือ ขบวนการปั่น GNP และตามด้วยการปั่นตลาดหุ้น และตลาดเงิน ปั่นที่ดิน และตามด้วยการปั่นอสังหาริมทรัพย์ นี่คือเหตุผลส่วนหนึ่งที่ต้องผลักดัน หรือนำเอาบรรดารัฐวิสาหกิจทั้งหลายเข้าตลาดหุ้น ในขณะที่ประชาชนคนไทยตาดำๆ ก็พลอยถูกปั่นไปด้วย นั่นคือการปั่นให้คนไทยบริโภคนิยม รวมถึงการปั่นหนี้ คนชั้นกลางก็ถูกบีบให้เอาเงินออกมาใช้ ออกมาปั่น ด้วยนโยบายดอกเบี้ยต่ำแบบติดดิน เศรษฐกิจไทย จึงพัฒนากลายพันธุ์เป็นระบบทุนนิยมพิเศษ หรือทุนนิยมปั่นกำไร หรือที่เราเรียกว่าทุนนิยมฟองสบู่ โดยทั่วไป การปั่นเศรษฐกิจแบบนี้จะสร้างกำไร (งาม) มาก และจะทำให้บรรดาทักษิโณมิกส์มั่งคั่ง และร่ำรวยขึ้นเรื่อยๆ อย่างรวดเร็ว แต่ในเวลาเดียวกันทำให้ช่องว่างระหว่างคนรวย (นายทุนฟองสบู่) กับคนจนขยายตัวอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกัน ทักษิโณมิกส์ก็จะปิดตาประชาชน (จนๆ) ด้วยนโยบายประชานิยม โยนเงินให้คนจนไปใช้ เพื่อปั่นหนี้ และก็ขายฝันแก่คนจนว่า อีก 6 ปีข้างหน้า จะไม่มีคนจนเหลืออยู่ในประเทศไทย ที่ผ่านมา คนไทยยังไม่ตระหนักว่าประเทศไทยได้ก้าวสู่ยุคทุนนิยมฟองสบู่แล้ว และทุนนิยมแบบนี้คือ ทุนนิยมที่อันตรายอย่างยิ่ง และสามารถทำลายชาติได้ทั้งระบบ ตัวอย่างสำคัญอย่างยิ่งคือ การแตกของฟองสบู่ ปี 2540 ในช่วงนั้น คนไทยเข้าใจว่า สาเหตุที่พัง เพราะนายจอร์จ โซรอส เข้ามาตีค่า "เงิน" พูดอีกอย่างหนึ่ง เรายกความเลวทั้งหมดให้กับคนต่างชาติเท่านั้น เราลืมไปว่าทุน (ฟองสบู่) ของไทยเองก็มีส่วนโดยตรงในการสร้างหายนะครั้งนี้ โดยการกู้เงินมาจากต่างประเทศจำนวนมหาศาล เข้ามาปั่นหุ้นและปั่นอสังหาริมทรัพย์ จนทำให้เศรษฐกิจทั้งประเทศล่มจม
เพื่อนคนหนึ่งถือโอกาสเสริม และถามว่า "นี่ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่า โลกาภิวัตน์ทำให้ระบบเศรษฐกิจและการเมืองไทยเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง และอันตรายอย่างยิ่ง" อีกคนหนึ่งกล่าวว่า "ผมเริ่มรู้แล้วว่าทำไมทักษิโณมิกส์จึงคิดการใหญ่ หวังยึดครองอำนาจรัฐและยึดครองสื่อ เพราะถ้าไม่ยึดครองอำนาจทั้งหมดไว้ การปั่นเศรษฐกิจทั้งประเทศก็จะทำไม่ได้ผลตามที่ต้องการ" เพื่อนคนนี้จึงตั้งคำถามว่า "คุณยุคคิดว่า ความล้มเหลวของทักษิโณมิกส์ เป็นผลดีต่อประเทศไทยใช่ไหม" ผมตอบว่า "ใช่" และกล่าวต่อว่า "สมมติว่าไม่มีกรณีภาคใต้ ไม่มีสึนามิ ตลาดหุ้นวันนี้ อย่างน้อยก็ต้อง 1,500 ขึ้น ถ้าตามด้วยการปั่นอสังหาริมทรัพย์ ด้วยการสร้างรถไฟใต้ดินทั่วกรุงเทพฯ อีก 6 ถึง 7 สาย ราคาที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ก็จะถีบตัวขึ้น ในย่านกรุงเทพฯ ยิ่งมีการสร้างเมืองใหม่ที่เรียกว่าสุวรรณภูมิ การปั่นราคาอสังหาริมทรัพย์ครั้งประวัติศาสตร์ก็จะเกิดขึ้นตามมาอีก" ผมคงไม่ต้องบอกว่าการปั่นฟองสบู่ครั้งนี้ ใครจะรวย เพราะการปั่นทั้งหมด สามารถผูกขาดความรวยโดยกลุ่มทุนฟองสบู่ที่กุมอำนาจเหนือรัฐ และถ้าฟองสบู่แตก หรือเกิดสงครามค่าเงินอีก ก็ไม่ต้องกลัวจน เพราะผู้มีอำนาจเหนือรัฐก็จะรู้ว่า รัฐจะเปลี่ยนแปลงค่าเงินอย่างไร เมื่อไร นอกจากนี้ ทุนฟองสบู่ไทย ถือว่าเป็นทุนไร้พรมแดน ถ้าฟองสบู่จะแตกครั้งใหม่ ทุนใหญ่ก็ใช้วิธีผ่องถ่ายเงิน หรือขายเงินไทยทิ้ง และเปลี่ยนกำไรเป็นเงินต่างชาติ คนที่จะฉิบหายก็คือ "ทุนไทยขนาดกลาง" ที่เรียกว่า "พวกแมลงเม่า" และบรรดาคนไทยตาดำๆ ทั้งประเทศที่จะพลอยล่มจมเพราะการพังของเศรษฐกิจทั้งระบบ สำหรับผม ความล้มเหลวของทักษิโณมิกส์ครั้งนี้ จึงนับว่าเป็นความโชคดีของประเทศ ทำไมทักษิโณมิกส์ล้มเหลว ผมกล่าวนำเสียยืดยาว เพื่อให้เพื่อนๆ เข้าใจว่า อะไรคือทักษิโณมิกส์ แต่ผมยังไม่ได้กล่าวเลยว่า ทำไมทักษิโณมิกส์จึงล้มเหลว ผมขอย้อนกลับไปที่เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ ปี 2540 เหตุการณ์การพองและแตกของฟองสบู่ครั้งนี้ ทำให้ปัญญาชนไทยจำนวนมาก เริ่มตั้งคำถามกับระบบทุนนิยมที่เรียกว่าโลกาภิวัตน์ ว่าจะนำความก้าวหน้ามาสู่ระบบโลกและสังคมไทยดังที่กล่าวอ้างหรือไม่ ปัญญาชนจำนวนหนึ่งได้ก่อกระแสการมองโลกในด้านลบขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักวิชาการชั้นนำของประเทศไทยหลายท่าน ผมเองก็ตกเข้าสู่กระแสคิดเช่นนี้ นี่คือที่มาการจัดทำหนังสือวิถีทรรศน์ เพื่อตีแผ่อันตรายของโลกาภิวัตน์ และเศรษฐกิจฟองสบู่ คำว่า "ลบ" ในที่นี้ คือการคิดสวนกระแสโลกาภิวัตน์ที่อ้างนักอ้างหนาว่าจะนำความรุ่งเรืองมาสู่โลก และประเทศต่างๆ ในขณะเดียวกัน ก็มีชนชั้นนำหลายกลุ่ม เริ่มคิดสวนกระแสโลกาภิวัตน์ เช่นกัน ตัวอย่างที่สำคัญคือ การนำเสนอเรื่องเศรษฐกิจในเชิงชาตินิยม และแนวคิดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ภายหลังแนวคิดแบบสวนกระแสนี้ ได้พัฒนาสู่แนวคิดว่าด้วยการสร้างระบบเศรษฐกิจที่ยั่งยืน การสร้างชุมชนที่ยั่งยืน แนวคิดเรื่องภูมิปัญญาชาวบ้าน ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาตะวันออก และรวมไปถึงการหันไปหาแบบวัฒนธรรมทางเลือก เช่น การไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ การดำเนินชีวิตแบบธรรมชาติ รวมทั้งการแพทย์ทางเลือก อย่างเช่น การแพทย์แผนตะวันออก และแผนไทย แม้ว่า การแตกของฟองสบู่ในปี 2540 นี้ จะก่อผลกระทบในวงกว้าง แต่ก็มีกลุ่มทุนฟองสบู่ขนาดใหญ่บางกลุ่มได้รับประโยชน์อย่างยิ่ง ในช่วงนั้น มีกลุ่มทุนฟองสบู่ในประเทศไทยกลุ่มหนึ่งที่สามารถรู้ข้อมูลภายในเรื่องการเปลี่ยนค่าเงิน ซึ่งผมคงไม่ต้องบอกว่ากลุ่มไหน หมายความว่า "วิกฤตของประเทศทั้งประเทศ" กลายเป็นความร่ำรวยมหาศาลของคนเพียงหยิบมือ นี่คือที่มาของการเปลี่ยนโครงสร้างอำนาจการเมืองในเวลาต่อมา และนี่คือที่มาของ "ทักษิโณมิกส์" ที่ขึ้นมาคุมอำนาจเด็ดขาดเหนือระบบการเมืองไทยอย่างสมบูรณ์แบบ ดังนั้น กลุ่มทักษิโณมิกส์จึงมองโลกาภิวัตน์ และเศรษฐกิจฟองสบู่ในแง่บวกเป็นสำคัญ กล่าวแบบสรุปก็คือ การแตกของฟองสบู่ครั้งนี้ ทำให้เกิดการแตกแยกครั้งใหญ่ในกระบวนการคิดของปัญญาชนไทย และชนชั้นนำไทย โดยแบ่งได้เป็น 2 สาย สายหนึ่งถูกเรียกว่า พวกมองโลกในแง่ร้าย อีกสายหนึ่งคือ พวกมองโลกาภิวัตน์ด้วยความชื่นมื่น การเปิดศึกหรือสงครามทางความคิดจึงเริ่มก่อตัวขึ้นระหว่างฝ่ายที่ถูกเรียกว่า พวกนักวิชาการขาประจำกับคุณทักษิณ ฝ่ายทักษิโณมิกส์เอง ก็พยายามสร้างกระแสชื่นชมโลกาภิวัตน์ ด้วยการพิมพ์ และเผยแพร่ รวมทั้งแปลหนังสือต่างประเทศ จำนวนนับร้อยเล่มที่ท่านนายกฯหลงใหล ซึ่งงานส่วนใหญ่ผู้เขียนมักเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่หากำไร และร่ำรวยจากระบบเศรษฐกิจฟองสบู่ นี่คือ จุดเริ่มแห่งการต่อสู้ และการเผชิญหน้ากันระหว่างทักษิโณมิกส์ กับปัญญาชนไทย (ยังมีต่อ)
Create Date : 14 ธันวาคม 2548 |
Last Update : 15 ธันวาคม 2548 11:46:49 น. |
|
14 comments
|
Counter : 520 Pageviews. |
|
|
|
โดย: ขอบคุณที่รักกัน (blueberry_cpie ) วันที่: 14 ธันวาคม 2548 เวลา:7:05:26 น. |
|
|
|
โดย: rebel วันที่: 14 ธันวาคม 2548 เวลา:8:12:56 น. |
|
|
|
โดย: Black Tulip วันที่: 14 ธันวาคม 2548 เวลา:10:24:04 น. |
|
|
|
โดย: อินทรีทองคำ วันที่: 14 ธันวาคม 2548 เวลา:10:30:44 น. |
|
|
|
โดย: ประกายดาว วันที่: 14 ธันวาคม 2548 เวลา:11:54:33 น. |
|
|
|
โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 14 ธันวาคม 2548 เวลา:13:07:48 น. |
|
|
|
โดย: erol วันที่: 14 ธันวาคม 2548 เวลา:14:36:44 น. |
|
|
|
โดย: ju (กระจ้อน ) วันที่: 14 ธันวาคม 2548 เวลา:15:29:01 น. |
|
|
|
โดย: กุมภีน วันที่: 14 ธันวาคม 2548 เวลา:17:19:05 น. |
|
|
|
โดย: p_tham วันที่: 14 ธันวาคม 2548 เวลา:21:44:21 น. |
|
|
|
โดย: erol วันที่: 14 ธันวาคม 2548 เวลา:23:31:26 น. |
|
|
|
โดย: ป่ามืด วันที่: 15 ธันวาคม 2548 เวลา:2:21:11 น. |
|
|
|
|
|
|
|
อ่านแล้วแต่ไม่ขอออกความเห็นนะคะ
วันนี้บล็อคสีเขียวสดใสดีจังคะ ^^
...