Bloggang.com : คนเดินดินฯ : กลับมาใหม่แต่สดใสกว่าเดิม...

กลับมาใหม่แต่สดใสกว่าเดิม...

1

ขึ้นหัวข้อบล็อกราวกับว่า จขบ. จะดูสดใสขึ้นนะครับ
แต่ช่วงที่ผ่านมาก็ไม่ค่อยได้เข้ามาเล่นเน็ต แต่ไปคลุกอยู่กับงาน
และบางครั้งก็ได้มีโอกาสไปเที่ยวบ้าง
ไปมาสองสามที่คือที่ศูนย์ศิลปาชีพ โรงเกลือ แล้วก็ที่เมืองทองธานี
ที่เหลือเวลาอีกเพียงสองวันเท่านั้น...

กลับมาคราวนี้ก็ได้ข่าวเพื่อนบล็อกคนหนึ่งคือคุณชายคาโดนยึดล็อกอิน ก็รู้สึกว่าเพื่อนหายไปอีกหนึ่งคน และรู้สึกอึดอัดนิด ๆ ในการโพสต์ในช่วงเวลาต่อไป แต่ก็จะไม่พยายามเข้าไปที่ราชดำเนินเพราะเบื่อ ๆ และรู้สึกเสียเวลามาก ๆ
เดี๋ยวไว้ดึก ๆ มาเขียนต่อนะครับ มีอันต้องออกไปข้างนอกอีกแล้ว

2

เมื่อคืนหลับยาวไปเลยครับ
มาคุยกันต่อดีกว่านะครับ เทศกาลบอลโลกกำลังจะเริ่มต้นในช่วง 9 มิ.ย.-9 ก.ค. นี้ ซึ่งคงดูกันตาแฉะ ช่วงหลังค่อนข้างห่างจากการดูกีฬามาก ๆ เลย แต่ก็ชอบดูนะครับ แต่ไม่ถึงกับคลั่งไคล้ เคยไปดูริมสนามที่สนามศุภมาแล้วรู้สึกว่าของจริงมันกว่าในจอครับ รู้สึกว่านักกีฬาฟุตบอลนี่เหนื่อยจริงนะครับไหนทั้งต้องวิ่งเร็วและต้องมีแรงปะทะสูงด้วยแล้วก็รู้สึกว่าอาชีพนี้เงินดีจริงแต่ก็เลี่ยงที่จะบาดเจ็บและพิการสูงมากเช่นกันครับ

พูดถึงงานอาชีพปีนี้ไม่รู้จะเป็นการเผาหลอกหรือเปล่านะครับ ดูอะไร ๆมันชะลอไปหมดก็ระมัดระวังกันหน่อยนะครับ วันนี้อ่านบทความในกรุงเทพธุรกิจพูดถึงทุนนิยมเทียมในสังคมไทยที่อิงกับอำนาจรัฐเช่นธุรกิจที่เกี่ยวกับสัมปทานต่าง ๆ ในขณะที่เศรษฐกิจจริงในสังคมไทยยังต้องปรับตัวอย่างมากมายกับปัญหาพลังงาน และการพัฒนาด้านการศึกษายังไปไม่ถึงไหน

Create Date : 02 มิถุนายน 2549

Last Update : 4 มิถุนายน 2549 10:20:20 น.

4 comments

Counter : 438 Pageviews.

อ้าว....ยังงัยกันละเนี่ย

เหมือนแวะมาทักๆๆ แล้วหนีหายไปซะงั้น

โดย: กระจ้อน

วันที่: 2 มิถุนายน 2549 เวลา:17:42:07 น.

ยังไงก้อขอให้อยู่ต่อไปอย่างสดใสนะค่ะ

โดย: asariss

วันที่: 2 มิถุนายน 2549 เวลา:18:51:37 น.

ไม่ไปในที่อโคจรอะไรๆก็คงดีเองครับ เหอๆ

โดย: นายเบียร์

วันที่: 3 มิถุนายน 2549 เวลา:5:02:20 น.

คัดจากไทยรัฐ

ขาดตัวเลือกใหม่ ค่ายเก่าเลี้ยงอิ่ม

ชัดเจน ตรงไปตรงมา

ที่ประชุมใหญ่คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาได้มีมติด้วยด้วยเสียงข้างมาก 72 ต่อ 4 เสียง

เห็นสมควรไม่พิจารณาสรรหาผู้สมควรเป็นกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่ว่างลง 2 ตำแหน่ง แทนที่นายจรัล บูรณพันธุ์ศรี และ พล.อ.จารุภัทร เรืองสุวรรณ

ตามที่นายสุชน ชาลีเครือ รักษาการประธานวุฒิสภา ได้ทำหนังสือขอให้ศาลฎีกาสรรหาบุคคลผู้สมควรเป็นกรรมการ กกต.แทนตำแหน่งที่ว่าง

ทั้งนี้ในที่ประชุมมีผู้พิพากษาระดับหัวหน้าคณะใน ศาลฎีกาหลายคนได้อภิปรายในทำนองเดียวกันว่า

เป็นที่ทราบทั่วไปว่า ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง มีคำวินิจฉัยแล้วว่า การดำเนินการของคณะกรรมการ กกต. ที่ผ่านมาไม่ชอบ

ฉะนั้น กกต.จึงไม่มีความชอบธรรม

ผู้พิพากษาส่วนใหญ่จึงมีความเห็นว่าไม่ต้องส่งผู้พิพากษาเข้าร่วมเป็น กกต.กับคณะกรรมการ กกต.ชุดนี้

ปฏิเสธแนวทางของนายสุชน

ไม่ส่งคนเข้าร่วมสังฆกรรมกับ กกต.ชุดนี้

จากปรากฏการณ์ที่ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา มีมติไม่พิจารณาสรรหาบุคคลผู้สมควรเป็นกรรมการ กกต.เพื่อส่งให้ที่ประชุมวุฒิสภาคัดเลือกเข้าไปแทนตำแหน่งที่ว่าง

ถือเป็นการตอกย้ำเจตนารมณ์ของ 3 ศาล ศาลฎีกา ศาลปกครอง และศาลรัฐธรรมนูญ ที่เสนอแนวทางแก้ไขวิกฤติการเมืองของประเทศ

โดยให้ กกต.ลาออก เปิดทางให้มีการสรรหา กกต. ใหม่ทั้งชุด เพื่อเข้ามาทำหน้าที่จัดการเลือกตั้ง ส.ส.ให้เป็นไปด้วยความสุจริตและเที่ยงธรรม

เป็นที่ยอมรับของประชาชนทั้งประเทศ

ป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาการประท้วงจากเหตุไม่พอใจผลการเลือกตั้งที่ไม่เป็นธรรม ทำให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวายในบ้านเมือง

จนกลายเป็นวิกฤติซ้อนวิกฤติของประเทศ

นอกจากนี้ มติของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาที่ปฏิเสธการสรรหา บุคคลผู้เหมาะสมไปให้วุฒิสภาคัดเลือกเป็น กกต.แทนตำแหน่งที่ว่าง

ยังเป็นการหักล้างกระแสข่าวปล่อยที่ออกมาจากนัก การเมืองระดับบิ๊กบางคนว่า ในการแก้ไขวิกฤติการเมืองครั้งนี้

ศาลทำเกินสั่ง ในเรื่องการเสนอแนะให้กรรมการ กกต.ลาออก

แถมอ้างว่า แนวทางที่ถูกควรจะต้องมีการสรรหา กกต. เพิ่ม 2 คน เพื่อให้ กกต.เดินหน้าจัดการเลือกตั้งโดยเร็ว

แต่สุดท้ายทุกอย่างก็กระจ่างแจ้ง

เมื่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกามีมติชัด ไม่ดำเนินการสรรหาคนเข้าไปเป็น กกต.ตามที่รักษาการประธานวุฒิสภาร้องขอ

เหนืออื่นใด หนังสือแจ้งมติของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาที่ส่งถึงรักษาการประธานวุฒิสภา ที่นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ ประธานศาลฎีกา เป็นผู้ลงนาม ได้ระบุชัดว่า

การที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า คณะกรรมการ กกต.ดำเนินการจัดหรือจัดให้มีการเลือกตั้งที่ไม่เที่ยงธรรม ไม่ตั้งตรงในความเป็นธรรม

ซึ่งหมายความอยู่ในตัวว่า กกต. ไม่มีความเป็นกลางทางการเมือง ย่อมขาดคุณสมบัติที่จะเป็น กกต. ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 136 ซึ่งจะต้องมีความเป็นกลางทางการเมือง และมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์

หาก กกต.ที่เหลืออีก 3 คน ยังคงใช้อำนาจหน้าที่ของ กกต. ต่อไป การดำเนินการและการกระทำต่างๆก็จะมีปัญหาความชอบด้วยกฎหมายอย่างไม่สิ้นสุด

การที่ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาจะเสนอชื่อผู้สมควรเป็น กกต. กระทั่งที่สุดมีการแต่งตั้ง กกต.เพิ่มอีก 2 คน

ย่อมไม่สามารถเยียวยาปัญหาความชอบด้วยกฎหมายดังกล่าวได้

นอกจากนี้ การที่ กกต.จัดการเลือกตั้งไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญถึงขนาดทำให้การ เลือกตั้งถูกเพิกถอนไปโดยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญและศาลปกครองกลาง

เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศอย่างร้ายแรง

จนถูกฟ้องเป็นคดีอาญาหลายคดี ซึ่งขณะนี้บางศาลได้ไต่สวนมูลฟ้องแล้ว และมีคำสั่งว่าคดีมีมูล ประทับรับฟ้องไว้พิจารณา จึงเห็นได้ว่า

กกต.ที่เหลืออยู่ 3 คนนี้ มิได้อยู่ในฐานะที่สมควรจะได้รับความไว้วางใจที่จะให้ทำหน้าที่ต่อไป ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาจึงไม่อยู่ในฐานะที่จะให้ การสนับสนุนการดำเนินการของบุคคลทั้ง 3 นี้ได้

ความหมายชัดเจน ไม่ต้องแปล

และจากมติที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาที่ออกมาครั้งนี้

“ทีมข่าวการเมืองไทยรัฐ” ชี้ได้เลยว่า กกต.ที่เหลืออยู่ 3 คน ได้แก่ พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ นายปริญญา นาคฉัตรีย์ และนายวีระชัย แนวบุญเนียร

จะอยู่ทำงานต่อจนถึงจัดการเลือกตั้งรอบใหม่ ไม่ได้แน่นอน

ที่สุดแล้วจะต้องมีคณะกรรมการ กกต. ชุดใหม่เข้ามาทำหน้าที่แทน

ส่วน กกต.ที่เหลือ 3 คน จะมีชะตากรรมอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของแต่ละคน

ถ้ายังดื้อหัวชนฝา ก็อาจต้องเจอคำพิพากษา

กระเด็นจากเก้าอี้

อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้ง ส.ส. รอบใหม่จะต้องเกิดขึ้นแน่นอน และคงไม่ล่าช้าเกินไป

เพราะ กกต. ชุดนี้ได้หารือร่วมกับพรรคการเมืองต่างๆและเสนอให้รัฐบาล ออกพระราชกฤษฎีกากำหนดวันเลือกตั้งรอบใหม่วันที่ 15 ตุลาคม

ฉะนั้น ถึงแม้จะมีการเปลี่ยนแปลง กกต.ชุดใหม่ และมีการเปลี่ยนแปลงวันเลือกตั้ง ก็คงเลื่อนออกไปไม่ห่างจากเดิมมากนัก

ทั้งนี้ เมื่อหันกลับมาดูการเลือกตั้งรอบใหม่ที่จะมีขึ้น

ล่าสุด คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบการออกพระราชกฤษฎีกากำหนดให้วันที่ 15 ตุลาคม เป็นวันเลือกตั้ง ส.ส.

ในขณะที่ กกต.ได้กำหนดกรอบเวลาในการเปิดรับสมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ ในวันที่ 5�7 กันยายน และเปิดรับสมัคร ส.ส.ระบบเขต ในวันที่ 8�12 กันยายน ปลดล็อกเงื่อนไข 90 วัน โดยอัตโนมัติ

เปิดช่องให้อดีต ส.ส.มีเวลาย้ายไปสังกัดพรรคใหม่ได้ ภายในวันที่ 8 มิถุนายนนี้

เข้าคอกใหม่ได้ทัน 90 วันก่อนสมัครรับเลือกตั้ง

แต่ก็น่าแปลก มาถึงวันนี้ บรรดาอดีต ส.ส.โดยเฉพาะในพรรคไทยรักไทย ที่เคยออกมาโวยวาย อยู่ในพรรคเหมือนติดคุก เรียกร้องปลดล็อก 90 วัน กลับนิ่ง

ไม่มีการขยับเขยื้อน ไม่มีการย้ายพรรค

สิ่งที่ผู้คนคิดกันว่าถ้ามีการปลดล็อก 90 วัน อดีต ส.ส.ไทยรักไทยที่อึดอัดกับการบริหารแบบเบ็ดเสร็จ จะย้ายพรรคเหมือนผึ้งแตกรัง

เอาเข้าจริง กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

แกนนำกลุ่มก๊วนต่างๆยังยืนยันหนักแน่น ไม่มีใครคิดย้ายพรรค

จากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เกิดคำถามตามมาว่า เมื่อมีการปลดล็อก 90 วันแล้ว เหตุใด ส.ส.จึงไม่มีการขยับย้ายพรรค

“ทีมข่าวการเมืองไทยรัฐ” ขอบอกว่า โดยธรรมชาติของนักการเมืองต้องการความได้เปรียบในการเลือกตั้ง

เมื่อพรรคไทยรักไทยยังเป็นรัฐบาลรักษาการ มีอำนาจรัฐอยู่ในมือ มีเงินทุนจำนวนมหาศาล เป็นแหล่งผลประโยชน์ที่อุดมสมบูรณ์

ประกอบกับนโยบายประชานิยม ลด แลก แจก แถม ก็ยังเป็นที่ถูกใจของชาวบ้านระดับรากหญ้า

โอกาสกลับเข้ามาเป็นรัฐบาลมองเห็นอยู่แค่เอื้อม

สิ่งเหล่านี้ คือ แรงดึงดูดที่ตรึงอดีต ส.ส.ทุกกลุ่มก๊วนเอาไว้

ขณะเดียวกัน เมื่ออดีต ส.ส.ไทยรักไทยกวาดตาไปมองพรรคการเมืองอื่นๆ ก็ยังมองไม่เห็นพรรคไหนที่จะเป็นทางเลือกใหม่

พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ก็ยังดูละอ่อน ไม่ค่อยสัมผัสเข้าถึงนักการเมืองต่างค่าย มีกรอบจำกัดเฉพาะตัวมาตลอด

แม้เป็นพรรคการเมืองขั้วใหญ่ ที่อยู่ตรงข้ามกับพรรคไทยรักไทย แต่ก็ยังไม่มีอะไรโดดเด่นเป็นที่ดึงดูด

พรรคชาติไทย แม้นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรค ถือเป็นระดับปรมาจารย์ทางการเมือง

แต่ระบบการบริหารพรรคก็ยังไม่มีอะไรใหม่ ยังอยู่ในบรรยากาศเดิมๆ

ทั้งนี้ดูจากสภาพการทรงตัว ไม่ว่าหลังการเลือกตั้งขั้วไหนจะชนะ พรรคชาติไทยก็มีสิทธิได้รับรางวัล มีโอกาสได้ร่วมรัฐบาล

แต่เมื่อพิจารณาจากภาพลักษณ์โดยรวม ก็ยังไม่มีแรงจูงใจพอที่จะทำให้อดีต ส.ส.ย้ายพรรคเข้ามาแบบเป็นกอบเป็นกำ

ส่วนพรรคมหาชน ของ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ และพรรคประชาราช ของนายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้ากลุ่มวังน้ำเย็น

นาทีนี้ต้องยอมรับว่า เป็นเพียงพรรคเล็กที่เป็นแค่ ตัวประกอบ แทบจะไม่มีแรงดึงดูดให้เห็น

เพราะไม่มีจุดขายอะไรที่จะเป็นที่พึ่งของการเมืองยุคใหม่ สิ่งเหล่านี้ ทำให้อดีต ส.ส.ทุกกลุ่มก๊วนในพรรคไทยรักไทย ไม่มีการขยับย้ายสังกัด

เหนืออื่นใด ในสถานการณ์ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคไทยรักไทย กำลังเผชิญปัญหา

เจอแรงเสียดทานอย่างหนักจากสังคมในเวลานี้

แน่นอนว่า เขาต้องใช้ทุนที่มีจำนวนมหาศาลส่งต่อท่อน้ำเลี้ยงไปยังกลุ่มก๊วนต่างๆแบบไม่อั้น

เพื่อดึงดูดลูกพรรคเอาไว้

ขณะเดียวกัน อำนาจเบ็ดเสร็จที่เคยมีอยู่ในมือก็ลดลง ส่งผลให้แกนนำกลุ่มก๊วนมีอำนาจต่อรองมากขึ้น

สบายตัวที่จะอยู่ใต้ชายคาพรรคไทยรักไทยต่อไป

จากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น สะท้อนให้เห็นว่า การเมืองไทยยังตกอยู่ในวังวนของผลประโยชน์ และ “เงินนิยม”

ซึ่งในที่สุดก็จะหนีไม่พ้นวงจรอุบาทว์

ซื้อสิทธิ ซื้อเสียง ถอนทุน

ถ้าทุกฝ่ายยังปล่อยให้การเมืองตกอยู่ภายใต้วงจรเก่าๆ

ไม่ว่าจะปฏิรูปการเมืองกันอย่างไร ก็คงหนีวิกฤติไม่พ้น.

“ทีมข่าวการเมือง”

โดย: คนเดินดินฯ

วันที่: 4 มิถุนายน 2549 เวลา:10:08:35 น.