บ้านที่มีความรักและความอบอุ่นคือจินตนาการของคนไทยยามนี้ !
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2549
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
19 พฤษภาคม 2549
 
All Blogs
 
บทเรียนการสร้างความมั่งคั่ง ของเกาหลีใต้สำหรับประเทศไทย...ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์








บทเรียนการสร้างความมั่งคั่ง ของเกาหลีใต้สำหรับประเทศไทย

*หมายเหตุ*-บทความชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของการวิจัย เรื่อง "จุดเปลี่ยนประเทศไทย : เศรษฐกิจพอเพียงในกระแสโลกาภิวัตน์" ของ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ ซึ่งเป็นการวิจัยเพื่อประยุกต์ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในระดับมหภาค เพื่อทำความเข้าใจพลวัตการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ ซึ่งส่งผลต่อการปรับเปลี่ยนตำแหน่งเชิงยุทธศาสตร์ของประเทศไทยในเวทีโลก



หากย้อนประวัติศาสตร์กลับไปเมื่อ 30-40 ปีที่ผ่านมา เกาหลีใต้แย่กว่าประเทศไทยเพราะต้องเจอสงครามเกาหลี แต่ ณ วันนี้ ระหว่างที่เราย่ำอยู่กับที่ สิงคโปร์ เกาหลีขึ้นไปแล้วถึงจุดที่อยู่ในโลกที่หนึ่งแล้ว

ประเด็นที่น่าสนใจคือ ถ้ามามองดูโดยปรับผลผลิตมวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ของประเทศไทยเป็นฐานเท่ากับ 1 ย้อนหลังไปสัก 25 ปีที่แล้ว ขณะที่เราเป็นเท่ากับ 1.0 เกาหลีตกอยู่ที่ประมาณ 2.0 ณ วันที่เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงิน จีดีพีของเกาหลีตกลงมาอยู่ที่ 3.1 กว่าๆ ตอนนี้เกาหลีขึ้นไปอยู่ที่ 4.8 เมื่อเทียบกับ 1.0 ของไทย

ในแง่ของ GDP Per Capita เกาหลีจาก 2.4 เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ปีนี้ 6.4 เท่า ขึ้นมา 3 เท่า ขณะที่เมื่อก่อนมีรัฐบาลที่ปกครองแบบเผด็จการเหมือนกัน ล้มลุกคลุกคลานมาด้วยกัน แต่เศรษฐกิจเขาพัฒนาและเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเกิดวิกฤต เกาหลีเสียหายหนักกว่าไทยมาก แต่ด้วยพื้นฐานที่แข็งแกร่งและความมุ่งมั่นร่วมกันในการต่อสู้กับวิกฤตการณ์ เกาหลีใช้เวลา 18 เดือนก็ฟื้นตัวจากวิกฤต

เดี๋ยวนี้เกาหลีใต้เขาไม่เทียบกับเราแล้ว เขาไปเทียบกับญี่ปุ่น ขีดความสามารถในการแข่งขันไม่ว่าจะทางด้านภาครัฐหรือเอกชน เกาหลีใต้เหนือญี่ปุ่นแล้ว โดยในปี 2005 ที่ผ่านมานั้น ประสิทธิภาพการบริหารจัดการในภาคธุรกิจเอกชนของเกาหลีใต้อยู่เป็นอันดับ 30 ของโลกแล้ว ส่วนญี่ปุ่นอยู่อันดับที่ 35 ขณะที่ประสิทธิภาพในการบริหารภาครัฐของเกาหลีใต้อยู่ในอันดับที่ 31 ส่วนญี่ปุ่นตกอยู่ในอันดับที่ 40



**จาก Vision Korea สู่ Dynamic Korea

ก่อนหน้าที่จะเกิดวิกฤตการเงินในเอเชีย ตอนนั้นผมทำงานอยู่ที่บริษัทที่ปรึกษา Booze Allen & Hamilton และกำลังทำโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพของกรมสรรพากรอยู่ ผมมีโอกาสได้เข้าร่วมในบางส่วนของโครงการ "Vision Korea" โดยรัฐบาลเกาหลีเป็นผู้จ้าง

Booze Allen แนะนำ 5 ยุทธศาสตร์หลักให้กับเกาหลีใต้เพื่อรับมือกับกระแสโลกาภิวัตน์ ประกอบด้วย 1) Market-led Economy, 2) Knowledge-Based Society, 3) The Entrepreneurial Spirit, 4) Regionally Integrated, และ 5) Globally Connected

หลังจาก "Vision Korea" ถูกผลักดันไปช่วงหนึ่ง เกาหลีก็ผลักดัน "Dynamic Korea" เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านไปสู่การเป็นประเทศผู้นำในศตวรรษที่ 21 อย่างไรก็ดี หลังจากผ่านพ้นช่วงวิกฤต เกาหลีใต้ยังต้องเผชิญกับสิ่งท้าทายอย่างน้อย 5 ประการด้วยกันคือ 1) การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว 2) การเพิ่มขึ้นของ Social Tension 3) กระแสโลกาภิวัตน์ที่เชี่ยวกรากขึ้นทุกขณะ 4) การทะยานขึ้นของมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างจีน และ 5) ความตึงเครียดกับเกาหลีเหนือ

เกาหลีใช้คำว่า Dynamic นำหน้า Korea เพื่อให้รู้สึกว่า "Active" ให้รู้สึกว่า "Strong" และ "Forward Looking" คนเกาหลีใต้คิดอยู่ตลอดว่าจะทำอย่างไรให้ Dynamic Korea สะท้อนการเป็น Open Dynamic Society & Culture เป็นประเทศที่พลังตั้งอยู่บนฐานของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และฐานขององค์ความรู้ ซึ่งเขาไม่ได้ฝันอย่างเดียว จาก Inspiration ก็นำไปสู่ Vision คือแปลงโจทย์ Dynamic Korea ออกมาว่าจะนำพาประเทศเกาหลีไปสู่ศตวรรษที่ 21 จะต้องผลักดันอะไรอย่างเป็นรูปธรรม โดยเน้นใน 2 Strategic Thrusts คือ "Innovation" และ "Integration"

Innovation เป็นคำถามใหญ่ เกาหลีใต้จะสร้างนวัตกรรมอะไรเพื่อไปสู้ญี่ปุ่น อินเดีย จีน อเมริกา เพื่อให้มั่นใจว่าเกาหลีจะสามารถเป็นหนึ่งในประเทศผู้นำทางเศรษฐกิจและสังคมในศตวรรษที่ 21 นี้ จุดเน้นสำคัญจึงอยู่ที่การยกระดับเทคโนโลยี การพัฒนาคุณภาพและการจัดสรรกำลังคน อยู่ที่การผลักดันให้เกาหลีเป็น Northeast Asian Economic Hub อยู่ที่การปฏิรูปโครงสร้างและกลไกตลาดในประเทศให้มีความพร้อมในการรับมือกับพลวัตการเปลี่ยนแปลงจากภายนอก

ขณะเดียวกัน Integration ก็เป็นเรื่องที่ท้าทาย โจทย์คือจะบูรณาการเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมระหว่างเกาหลีใต้กับเกาหลีเหนือ ระหว่าง Chaebols ซึ่งเป็นบรรษัทขนาดยักษ์กับ SMEs ยังมีอยู่ได้อย่างไร

เกาหลีได้เน้น 3 เรื่องหลักคือ การเสริมสร้าง Social Well-Being การพัฒนาที่เน้น Balanced National Development ให้กระจายตามภูมิภาคต่างๆ และเน้นการสร้างแรงงานสัมพันธ์ที่มีความมั่นคง

นี่คือเขาเอาโจทย์ง่ายๆ Inspiration ตีโจทย์ออกมาเป็น Vision ผลักดันให้เกิดรูปธรรมด้วย 7 Strategic Initiatives นี้แล้วสนับสนุนด้วย Short-Term Initiatives โดยมีความเชื่อว่า ถ้าเกาหลีใต้สามารถขับเคลื่อน Innovation และ Integration มันจะเสริมกันเอง พลังที่เกิดขึ้นจะทำลายความหวาดกลัวที่เกาหลีใต้กำลังเผชิญอยู่อย่างน้อย 5 ประการด้วยกัน

1.ความกลัวจากภัยคุกคามจากเกาหลีเหนือจะหายไป

2.กระแสโลกาภิวัตน์จะกลับกลายเป็นโอกาสสำหรับเกาหลีไม่ใช่ภัยคุกคามอีกต่อไป

3.ความตึงเครียดจากความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมจะลดลง

4.การชะลอตัวทางเศรษฐกิจก็จะน้อยลง เพราะว่ามีการสร้างงานขึ้นอีกมากมาย โดยเฉพาะงานที่มาจาก Content Industries และ Cultural Industries

5.ความกลัวเกี่ยวกับการขึ้นมาเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของจีนจะลดลง

ด้วยการเดินหมากจาก Vision ไปสู่ Action เกาหลีใต้ลงรายละเอียดทันที เขาอยากเป็น Northeast Asian Hub แต่ตอนนั้นที่เกาหลีคิด ผมยังบอกว่า เกาหลีใต้จะเป็น Northeast Asian Hub ได้อย่างไร ในเมื่อยังต้องเผชิญกับญี่ปุ่น จีน แต่เขากล้าคิดแล้วและก็คิดว่าต้องทำเอฟทีเอเพื่อต่อเชื่อมกับประเทศอื่นเพื่อให้ตัวเองมีพลังเป็นแม่เหล็กในการดึงดูดสิ่งต่างๆ

ในเรื่องของ Regional States นั้น จีนมีแนวคิดของตัวเองแล้ว อิตาลีก็พัฒนามานานแล้ว เกาหลีใต้ก็กำลังผลักดันออกมา จริงๆ เราเองก็มีแนวความคิดเรื่อง Provincial Cluster โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัดปรับเปลี่ยนบทบาทของตนเองจากนักปกครองเป็นซีอีโอ แต่ก็ถูกวิจารณ์ว่า ซีอีโอเป็นแนวคิดของภาคเอกชน จะเอาไปประยุกต์ใช้ในการบริหารจังหวัดและกลุ่มจังหวัดไม่ได้ ความจริงแล้วซีอีโอเป็นแนวคิดสากล ดังนั้นแทนที่จะมาเสียเวลานั่งถกเถียงกันเรื่องนี้ เกาหลีใต้ได้เปลี่ยนแปลง Vision ไปสู่ Action จาก Action เตรียมความพร้อมทางด้านขีดความสามารถที่จะบรรลุ Vision ลงรายละเอียดขนาดนี้แล้ว



**บทเรียนที่ประเทศไทยจะได้จากเกาหลี

บทเรียนที่ประเทศไทยน่าจะได้จากเกาหลีใต้ก็คือ การมี "ห่วงโซ่นโยบาย" (Policy Chain) ที่ต้องร้อยรัดให้เชื่อมต่อกันอย่างสนิท ตั้งแต่ต้นน้ำคือความฝัน (Inspiration) เชื่อมต่อกลางน้ำคือ วิสัยทัศน์ (Vision) จนถึงปลายน้ำคือการผลักดันให้นโยบายเกิดผลสัมฤทธิ์ในทางปฏิบัติ (Action)

สิ่งที่ประเทศไทยมีเหมือนเกาหลี คือ ปัญหาหมักหมม เรามีความฝันเหมือนเกาหลี แต่สิ่งที่เราไม่มีคือความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า

เกาหลีคิดแบบเราแต่เขาเอาจริง และร่วมกันทำจริง จากที่ล้มเหมือนเราในช่วงที่เกิดวิกฤต เกาหลีลุกเหมือนเราแต่ลุกก่อนเรา แต่ที่แตกต่างในขณะนี้คือ จากล้มสู่ลุก ตอนนี้เกาหลีใต้จากลุกสู่ทะยานแล้ว ในขณะที่ไทยยังเผชิญกับความท้าทายใหม่ เป็นวิกฤตเชิงการเมือง ซึ่งหากบริหารจัดการไม่ดี อาจจะล้มต่อได้ แต่ถ้าบริหารจัดการดี มีความเข้าใจในรากเหง้าของปัญหา มีความจริงใจในการบริหารประเทศ มีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าแล้วละก็ ประเทศไทยจะสามารถเปลี่ยนวิกฤตครั้งที่สองนี้เป็นโอกาส ในการปรับตัวเองให้ยืนขึ้นได้อย่างมั่นคงเพื่อเตรียมพร้อมที่จะทะยานต่อไปเมื่อโอกาสมาถึง









ลิ้งค์ บล็อกที่แล้ว คลิกที่นี่ครับ





Create Date : 19 พฤษภาคม 2549
Last Update : 20 พฤษภาคม 2549 12:37:30 น. 8 comments
Counter : 879 Pageviews.

 
สาธุค่ะ


โดย: Ta Pling วันที่: 19 พฤษภาคม 2549 เวลา:14:11:26 น.  

 




สวัสดีตอนเช้าของ เนเธอร์แลนด์ นะจ้า


เก็บเกี่ยวดอกไม้ที่ปลายรุ้ง
หมายมุ่งส่งไปที่ปลายฟ้า
จุดหมายถึงเธอคนไกลตา
ยํ้าเตือนว่า...คิดถึง ห่วงใย..เธอ



** ขอให้มีความสุขกับวันสุดท้ายของการทำงานนะจ้า **


หายป่วยแล้วนะจ้าคุณ คนเดินดิน ..
ช่วงนี้อากาสเปลี่ยนแปลงงัยก้ ดูแลสุขภาพด้วยนะจ้า

เรื่องที่นักศึกษาประท้วงไล่ กกต เนี่ย คุณ คนเดินดิน คิดว่างัยอะจ้า..
ช่วงนี้นัททำงานเลยไม่ค่อยได้ติดตามข่าวอะจ้า เลยอยากฟังความคิดเห้น
สักหน่อย อะจ้า

วันนี้ทางนี้ฝนตกปรอยๆๆ คาดว่าจะเป็นแบบนี้ทั้งวันอะจ้า..


โดย: จอมแก่นแสนซน วันที่: 19 พฤษภาคม 2549 เวลา:14:49:59 น.  

 
BLOG เมื่อวาน แม่หนิงเอาไปประกอบการจัดรายการวันนี้ ขอบคุณนะคะ
ส่วน BLOG วันนี้ เช่นเคยค่ะ อ่านไปมึนไป 55

แม่หนิงมีข่าวดีมาบอกตามไปให้กำลังใจที่ BLOG นะคะ
แม่หนิงบอกเฉพาะเพื่อน BLOG ที่แม่หนิงสนิทและไว้ใจ 5555

คุณคนเดินดินฯ รวมอยู่ด้วย น๊ะ


โดย: run to me วันที่: 19 พฤษภาคม 2549 เวลา:16:37:55 น.  

 
ค่ะ ททท.5 ค่ะ
ข่าวภูมิภาคค่ะ

เพี้ยง...ขอให้ได้เหมือนกัน
จะได้เห็นหน้ากันทางทีวี อิอิ...

แต่ไม่ได้ก็ช่างมันเน๊อะ...
แม่หนิงยิ้มสู้เสมอ


โดย: run to me วันที่: 19 พฤษภาคม 2549 เวลา:16:50:46 น.  

 
มารับความรู้ค่ะ


โดย: rebel วันที่: 19 พฤษภาคม 2549 เวลา:18:47:02 น.  

 
บอกตรง ๆ เลยค่ะ ว่าอ่านจบแล้วมินเลย
เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ปนซับซ้อนซ่อนเงื่อน
ในทางทฤษฎีก็สวนทางกับการปฎิบัติ การปฏิบัติสวนทางกับทฤษฎีประจำ
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คงจะเป็นทุกคน ทุกระดับ ในประเทศ
ที่ร่วมมือร่วมใจ นำพาประเทศของตัวเองให้เข้มแข็งและแข็งเกร่ง


โดย: Xenosaga วันที่: 20 พฤษภาคม 2549 เวลา:8:38:21 น.  

 
อันเนื่องมาจาก"ระบอบทักษิณ"

คอลัมน์ เดินหน้าชน

โดย จุฬาลักษณ์ ภู่เกิด


ภาวะไม่ปกติของสถานการณ์การเมืองที่เริ่มปะทุมาตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้ว จนถึงปัจจุบันพอประมวลได้ว่า ไม่ว่าจะมีการประสานแผนกันมาอย่างเป็นระบบ หรือ "แยกกันเดิน รวมกันตี" ก็ตาม ดูเหมือนเป้าหมายร่วมจะอยู่ที่การสกัดกั้นและทำลาย "ระบอบทักษิณ" ที่หมายรวมถึงทั้งกรอบคิด แนวทางนโยบาย ยุทธศาสตร์ และยุทธวิธีของพรรคไทยรักไทย และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในฐานะผู้นำ

ส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์ทางการเมืองใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน สะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลที่ไม่ธรรมดาของระบอบทักษิณที่ไม่เกี่ยวกับการประเมินคุณค่าว่าถูก ผิด ดี หรือเลว

ปรากฏการณ์ใหม่ที่ว่า นับตั้งแต่การที่ผู้มีแนวคิดขวาและซ้ายสุดโต่ง สามารถมาร่วมจับมือกันไล่ "ทักษิณ...ออกไป" ได้ ภายใต้ข้อเรียกร้องให้ใช้มาตรา 7 และขอนายกฯพระราชทาน

หรือการที่ 3 พรรคฝ่ายค้านประกาศจับมือกันบอยคอตไม่ลงเลือกตั้ง นำไปสู่ความพิกลพิการในการเลือกตั้งที่มีเพียงพรรคเดียวลงสนาม นำไปสู่ข้อกล่าวหาจ้างพรรคเล็กลงแข่ง นำไปสู่เกม "นกต่อ" และกำลังจะลงเอยด้วยการเอาผิดพรรคใหญ่ที่เกี่ยวข้องถึงขั้นต้องยุบพรรค

หรือการที่แม้มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งถึง 64.77% เมื่อวันที่ 2 เมษายน แล้วพรรคไทยรักไทยได้คะแนนปาร์ตี้ลิสต์ 16 ล้านเสียง ท่ามกลางผู้ไม่ประสงค์ลงคะแนนถึงเกือบ 10 ล้านเสียง แต่หัวหน้าพรรคต้องประกาศ "เว้นวรรค" ไม่เป็นนายกฯ ด้วยเหตุผลเพื่อให้เกิดความสงบปรองดองในชาติ

กระนั้นในที่สุดการเลือกตั้งดังกล่าวก็ถูกที่ประชุม 3 ศาลหลักของประเทศลงมติว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย ต้องยกเลิก

นำไปสู่การกดดันให้ กกต.ลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบฐานเดินหน้าจัดเลือกตั้งซึ่งแม้ทำตามหน้าที่ แต่ "ไม่มีความชอบธรรม"

ในที่สุดก็นำไปสู่การเผชิญหน้าท้าทายกันอย่างตึงเครียดด้วยข้อกฎหมายระหว่าง 3 ศาลกับ กกต.อย่างชนิดที่ไม่เคยมีมาก่อน และถนนทุกสายก็มุ่งสู่ศาลเพื่อแจ้งข้อหาเอาผิด กกต.ในทุกทาง ทั้งคดีอาญา คดีแพ่ง คดีปกครอง เพราะในท่ามกลางคำเรียกร้องให้ กกต.พิจารณาตัวเองเสียสละลาออกเพื่อชาติบ้านเมือง ยังไม่อาจใช้ข้อกฎหมายที่ชัดๆ มามัดให้ดิ้นไม่หลุดได้

ผลของการเลือกตั้งที่เป็นโมฆะ เพราะไม่ชอบด้วยกฎหมายนำไปสู่การกำหนดวันเลือกตั้งใหม่ที่เกิดทางให้กับการปลดล็อค 90 วัน แนวโน้มที่จะตามมาคือการจัดกลุ่มก้อนใหม่ในทางการเมือง และมีพรรคการเมืองหน้าใหม่ (แต่ไส้เก่า) เกิดขึ้นมากหน้าหลายตา ในภาวะที่ขณะนี้การต่อสู้ทางการเมืองได้แปรเปลี่ยนไปสู่มิติของการแข่งขันในเชิงนโยบายแล้วในระดับที่แน่นอน โดยที่ "เงิน" มิใช่ปัจจัยชี้ขาดแต่เพียงประการเดียวเช่นที่ผ่านมา

อาจกล่าวได้ว่า นับตั้งแต่ พ.ต.ท.ทักษิณนำพรรคไทยรักไทยก้าวเข้าสู่มิติการแข่งขันทางการเมือง ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาได้ส่งผลสะเทือนสั่นคลอนภาวะที่เป็นอยู่เดิมอย่างเห็นได้ชัด เสมือนเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาทางสังคมให้เกิดการแตกตัว-รวมตัวจัดขั้วใหม่ในทางการเมืองและทลายกรอบคิดเดิมมากขึ้นและรวดเร็วขึ้น

ภาวะการต่อสู้เผชิญหน้าระหว่างการเมืองที่เป็นตัวแทนกลุ่มทุนเก่าและใหม่ที่ดุเดือดแหลมคม ทำให้หลายกลุ่มฝ่ายค่อยๆ แสดงตัวตนที่ชัดเจนขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน จนน่าอัศจรรย์ใจว่าอะไรที่ไม่เคยเห็นเคยเจอ ก็ได้เจอ

ทั้งหลายทั้งปวงทำให้ทั้งสังคมเกิดกระบวนการเรียนรู้ครั้งยิ่งใหญ่ เป็นโรงเรียนการเมืองที่ทำให้ประชาชนได้เก็บรับประสบการณ์ หูตาสว่าง และมีแนวโน้มที่จะกล้าตั้งคำถามและให้คุณค่าต่อสิ่งต่างๆ แตกต่างไปจากเดิม

และที่สำคัญทำให้เห็นชัดว่า "อำนาจ" นั้น ไม่เข้าใครออกใคร หากใครหลงยึดติดหรือใช้เกินความพอเหมาะพอดี ไม่มีความชอบธรรม ก็มีแนวโน้มจะเป็นไปในทาง "เสื่อม"

นี่นับเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญในสังคมไทยอันเกิดจากอิทธิพลอันไม่ธรรมดาของระบอบทักษิณ

แม้ดูเหมือนหลายเรื่องจะต้องถอยหลังเริ่มกลับไปนับหนึ่งใหม่ แต่ทิศทางของสังคมไทยจากนี้ก็ไม่อาจถอยหลังกลับไปเหมือนเดิมอีกแล้ว

ไม่ว่า พ.ต.ท.ทักษิณและพรรคไทยรักไทยจะยังคงอยู่ในเวทีการเมืองหรือไม่ก็ตาม


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 20 พฤษภาคม 2549 เวลา:12:55:30 น.  

 
อ่านบทความนี้ แล้วนึกถึงข้อความบางตอนของหนังสือ The Strategy-Focus Organization ของ Robert S. Kaplan & David P. Norton ... ที่มีข้อความบางตอนกล่าวไว้ว่า

ความสามารถในการดำเนินการให้ได้ตามแผนกลยุทธ์ จากการสำรวจผู้จัดการด้านการลงทุนจำนวน 275 ราย ชี้ให้เห็นว่า ความสามารถในการดำเนินการให้ได้ตามแผนกลยุทธ์นั้น มีความสำคัญยิ่งกว่าคุณภาพของตัวแผนกลยุทธ์เอง ผู้จัดการเหล่านี้มีความเห็นว่า การแปลงกลยุทธ์ไปสู่การปฏิบัติเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการกำหนดค่าของการบริหารจัดการและค่าของบริษัท

ข้อค้นพบดังกล่าวก่อให้เกิดความประหลาดใจ เนื่องจากตลอด 2 ทศวรรษที่ผ่านมา ทั้งนักวิชาการด้านการบริหารจัดการ บริษัทที่ปรึกษาและสื่อด้านธุรกิจต่างเน้นความสำคัญไปที่วิธีการวางกลยุทธ เพื่อให้ได้ผลการดำเนินงานในระดับยอดเยี่ยม จนราวกับว่าการวางแผนกลยุทธ์นั้นไม่เคยได้รับความสำคัญมากเท่านี้มาก่อน

อย่างไรก็ตาม ผู้สังเกตุการณ์คนอื่น ๆ ต่างก็เห็นด้วยกับความเห็นข้างต้นที่ว่า การดำเนินการให้ได้ตามแผนกลยุทธ์สำคัญมากกว่าตัวแผนกลยุทธ์เองเช่นกัน

เมื่อต้นทศวรรษ 1980 ผลการสำรวจซึ่งดำเนินการโดยบริษัทที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการชี้ให้เห็นว่า มีกลยุทธ์ที่ได้รับการกำหนดขึ้นเป็นอย่างดีจำนวนไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ ที่ถูกนำไปถือปฏิบัติอย่างได้ผล

หลังจากนั้นในปี 1999 มีบทความที่สำคัญเรื่องหนึ่งของนิตยสารฟอร์จูนที่กล่าวถึงความล้มเหลวของ CEO ทั้งหลาย โดยสรุปว่า การให้ความสำคัญกับกลยุทธ์และวิสัยทัศน์อาจทำให้เกิดความเชื่อผิด ๆ ที่ว่า กลยุทธ์ที่เหมาะสมนั้นเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ต้องการ อันสามารถนำไปสู่ความสำเร็จได้

ผู้เขียนบทความนั้นได้กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า "ในหลาย ๆ กรณีส่วนใหญ่ ... ประมาณว่าสัก 70 เปอร์เซ็นต์ ... ปัญหาที่แท้จริงมิได้มีสาเหตุจากกลยุทธที่ไม่ได้ความ ... แต่เป็นวิธีการนำไปปฏิบัติที่แย่ต่างหากที่เป็นตัวปัญหาที่แท้จริง"

จากอัตราส่วนของความล้มเหลวดังกล่าว ซึ่งมีมากถึง 70 - 90 เปอร์เซ็นต์ ทำให้เราเข้าใจได้ว่า เพราะเหตุใดผู้จัดการด้านการลงทุนจึงเห็นว่าการนำกลยุทธ์ไปถือปฏิบัตินั้น สำคัญมากกว่าการมีเพียงวิสัยทัศน์ที่ดี


โดย: King Hades IP: 203.156.73.34 วันที่: 21 พฤษภาคม 2549 เวลา:8:41:19 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

คนเดินดินฯ
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]








ปณิธาน

การเดินทางของชีวิตของทุกผู้คน
ทุกคนต่างต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต
แต่จะมีสักกี่คนที่จะก้าวไปถึง
เมื่อเราก้าวถึงจุดนั้น
ขออย่าลืมการแบ่งปันและเจือจาน
แก่ผู้ด้อยโอกาสในสังคม

เราจะเติบโตและก้าวไปข้างหน้าพร้อม ๆ กัน
เพื่อสร้างสรรค์สังคมใหม่ที่ดีงาม

เพื่อให้อนุชนคนรุ่นหลัง
ได้ใช้ชีวิตของเขา
ตามศักยภาพและความตั้งใจของเขา
ตราบเท่าที่เขาต้องการ







เดินไปสู่ความใฝ่ฝัน


ชีวิตหนึ่งร่วงหล่นไปตามกาลเวลา
คลื่นลูกใหม่ไล่หลังคลื่นลูกเก่า
นั่นคือวัฏจักรของชีวิตที่ดำเนินไป

เยาว์เธอรู้บ้างไหม
ว่าประชาราษฎรนั้นทุกข์ยากเพียงใด
เสี้ยวหนึ่งของชีวิตที่เหลืออยู่
เธอเคยมีความใฝ่ฝันที่แสนงามบ้างไหม

สักวันฉันหวังว่าเธอจะเดินไปตามทางสายนี้
ที่อาจดูเงียบเหงาและโดดเดี่ยว
แต่ภายใต้ฟ้าเดียวกัน
ฉันก็ยังมีความหวัง
ว่าผู้คนในประเทศนี้
จะตื่นขึ้นมา
เพื่อทวงสิทธิ์ของพวกเขา
ที่ถูกย่ำยีมาช้านาน
และฉันหวังว่าเธอจะเดินเคียงคู่ไปกับพวกเขา

เพื่อสานความใฝ่ฝันนั้นให้เป็นความจริง
สัญญาได้ไหม
สัญญาได้ไหม
เยาว์ที่รักของฉัน


***********



ขอมีเพียงเธอเป็นกำลังใจ




ทอดสายตามองออกไปยังทิวทัศน์ข้างหน้า
แลเห็นต้นหญ้าโบกไสว
เห็นดอกซากุระบานอยู่เต็มดอย
ความงามที่อยู่ข้างหน้า
เป็นสิ่งที่ฉันจะเก็บมันไว้
ยามที่จิตใจอ่อนล้า...

ชีวิตยามนี้แม้ผ่านมาหลายโมงยาม
แต่จิตใจข้างในยังคงดูหงอยเหงา
หลายครั้งอยากมีเพื่อนคุย
หลายครั้งอยากมีคนปรับทุกข์
และหลายครั้งต้องนั่งร้องไห้คนเดียว

รางวัลสำหรับชีวิตที่ผ่านมา
มันคืออะไรเคยถามตัวเองบ่อย ๆ
ความสำเร็จ...เงินตรา...เกียรติยศชื่อเสียง
มันใช่สิ่งที่เราต้องการหรือเปล่า
ถึงจุดหนึ่งชีวิตต้องการอะไรอีกมากไปกว่านี้

หลายชีวิตยังคงดิ้นรนต่อสู้
เพื่อปากท้องและครอบครัว
มันเป็นความจริงของชีวิตมนุษย์
ที่ต้องดำรงชีพเพื่อความอยู่รอด
มีทั้งพ่ายแพ้ มีทั้งชนะ
แต่ชีวิตต่างต้องดำเนินไป
ตามวิถีทางของแต่ละคน

ลืมความทุกข์ ลืมความหลังที่เจ็บปวด
มองออกไปข้างหน้า
ค้นให้พบตัวตนของตนเองอีกครั้ง
แล้วกลับไปสู้ใหม่
การเริ่มต้นของชีวิตจะต้องดำเนินต่อไป
จะต้องดำเนินต่อไป

ตราบจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต....




@@@@@@@@@@@




การเดินทางของความรัก

...ฉันเดินไปด้วยหัวใจที่ว่างเปล่า
สมองได้คิดใคร่ครวญ
ความรักในหลายครั้งที่ผ่านมา
ทำไมจึงจบลงอย่างรวดเร็ว

ฉันเดินไปด้วยสมองอันปลอดโปร่ง
ความรักทำให้ฉันเข้าใจโลก
และมนุษย์มากขึ้น
และรู้ว่าความแตกต่าง
ระหว่างความรักกับความหลงเป็นอย่างไร?

ฉันเดินไปด้วยดวงตาที่มุ่งมั่น
บทเรียนของรักในครั้งที่ผ่าน ๆ มา
มันย้ำเตือนอยู่เสมอว่า
อย่ารีบร้อนที่จะรัก
แต่จงปล่อยให้ความสัมพันธ์
ค่อย ๆ พัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป
เรียนรู้และทำเข้าใจกันให้มากที่สุด

ก่อนที่จะเริ่มบทต่อไปของความรัก...




*******************



จุดไฟแห่งศรัทธาและความมุ่งมั่น

เข้มแข็งกับอ่อนแอ
สับสนหรือมุ่งมั่น
จะยอมแพ้หรือลุกขึ้นท้าทาย
กับชีวตที่เหลืออยู่
ทุกสิ่งล้วนอยู่ที่ใจเราจะกำหนด

ไม่ใช่เพราะอิสระเสรี
ที่เราต้องการหรอกหรือ?
ที่มันจะนำทางชีวิต
ในห้วงเวลาต่อไป
ให้เราก้าวทะยานไป
สู่วันพรุ่งที่สดใส

มีแต่เพียงคนที่รู้จักตนเองอย่างดีพอเท่านั้น
จะสามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้
เมื่อผ่านการสรุปบทเรียน
จากปัญหาต่าง ๆ ที่ประสบ
เราก็จะมีความจัดเจนกับชีวิตมากขึ้น
และการเผชิญกับอุปสรรคต่าง ๆ
ในอนาคตก็จะเป็นเพียงปัญหาที่เล็กน้อยสำหรับเรา
ในการที่จะก้าวผ่านไป



ด้วยศรัทธาและความมุ่งมั่นที่มีอยู่ในใจ
ที่จะต้องย้ำเตือนตัวเองอยู่เสมอ
หนทางในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ
ย่อมอยู่ไม่ไกลห่างอย่างแน่นอน

*********************



ก้าวย่างที่มั่นคง

บนทางเดินแคบ ๆ ที่เหลืออยู่
หากขาดความมั่นใจที่จะก้าวเดินต่อไป
ชีวิตก็คงหยุดนิ่งและรอวันตาย
แม้ทางข้างหน้าจะดูพร่ามัว
และไม่รู้ซึ่งอนาคต
แต่สิ่งที่ดีที่สุดในปัจจุบัน
คือก้าวย่างไปอย่างมั่นคง
และมองไปข้างหน้าอย่าเหลียวหลัง
เก็บรับบทเรียนในอดีต
เพื่อจะได้ระมัดระวังไม่ให้ผิดพลาดอีกในอนาคต

"""""""""""""""""""""""""""""""""



ใช้สามัญสำนึกทำงาน

ไม่มีแผนงานที่สวยหรู
ไม่มีปฏิบัติการใดที่สมบูรณ์แบบ
ในยามนี้มีเพียงการทำงานด้วยการทุ่มเท
ลงลึกในรายละเอียดเท่านั้น
จึงจะสามารถคลี่คลายปัญหาของงานลงได้
บางครั้งโจทย์ที่เจออาจยากและซับซ้อน
แต่เมื่อลงไปคลุกคลีอย่างแท้จริง
โจทย์เหล่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

""""""""""""""""""""""""""""""""



เรียบ ๆ ง่าย ๆ


อย่ามองสิ่งต่าง ๆ ด้วยแว่นสีที่ซับซ้อน
เพราะในโลกนี้มีเพียงสิ่งสามัญที่เรียบง่าย
สำหรับคนที่สงบนิ่งเพียงพอเท่านั้น
จึงจะแก้โจทย์และปัญหาต่าง ๆ
ด้วยกลวิธีที่เรียบ ๆ ง่าย ๆ
ไม่ซับซ้อนและตรงจุดได้อย่างเพียงพอ

""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""

ใจถึงใจ

บนหนทางไปสู่ความสำเร็จ
บนหนทางของการสร้างสรรค์สิ่งใหม่
มีเพียงคนที่เข้าใจในสภาพจิตใจของคนทำงานเท่านั้น
จึงจะสามารถนำทีมงานไปสู่เป้าหมายได้
อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน








Friends' blogs
[Add คนเดินดินฯ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.