บ้านที่มีความรักและความอบอุ่นคือจินตนาการของคนไทยยามนี้ !
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2549
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
15 พฤษภาคม 2549
 
All Blogs
 
แรงกดดันทางการเมือง--ดร.ยศ สันตสมบัติ--จุดประกาย กรุงเทพธุรกิจ











แรงกดดันทางการเมือง

11 พฤษภาคม 2549 18:17 น.
๐ ยศ สันตสมบัติ



การที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยให้การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เมษายน ที่ผ่านมาไม่ชอบด้วยกฎหมาย นับเป็นการผ่าทางตันให้กับวิกฤตการณ์ทางการเมืองที่สังคมไทยกำลังเผชิญหน้าอยู่ในเวลานี้

ก้าวต่อไปของการคลี่คลายปัญหาตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย คือการจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปขึ้นเพื่อให้ประเทศไทยมีรัฐสภาเป็นเวทีทางการเมือง และกลไกในการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ เพื่อไม่ให้สภาวะสุญญากาศทางการเมืองดำรงอยู่ต่อเนื่องยาวนานจนส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจและการลงทุนย่ำแย่ลงไปอีก

วันนี้ สภาวะวิกฤติทางการเมืองเริ่มคลี่คลายลง หากแต่สงครามทิฐิระหว่างกลุ่มพันธมิตร พรรคไทยรักไทย และคณะกรรมการการเลือกตั้ง ยังคงทำให้แรงกดดันทางการเมืองดำรงอยู่ในระดับรุนแรง

คณะกรรมการการเลือกตั้งหรือ กกต.นั้นอยู่ในสภาวะง่อนแง่นเต็มทีเพราะข้อหาขาดความชอบธรรมในหลายประเด็นด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการอิงแอบแนบชิดเอียงเข้าข้างรัฐบาลเมื่อคราวกำหนดวันเลือกตั้ง 2 เมษายน ที่ผ่านมา ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าให้ประโยชน์แก่พรรครัฐบาล จนฝ่ายค้านบอยคอตการเลือกตั้ง ที่สำคัญคือคำวินิจฉัยของศาลที่ให้การเลือกตั้ง 2 เมษายน เป็นโมฆะเพราะไม่ชอบด้วยกฎหมาย เท่ากับเป็นการตำหนิ วิพากษ์วิจารณ์และลดความชอบธรรมของ กกต. ลงไปอีก



ทิฐิของ กกต.ที่ไม่ยอมรับความเห็นของหลายฝ่ายที่วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของตน รวมทั้งการยืนยันไม่ยอมลาออก ส่งผลให้แรงกดดันทางการเมืองยังอยู่ในระดับรุนแรง เพราะหลายคนไม่เชื่อในความสัตย์ซื่อยุติธรรมของ กกต. และมองว่า กกต.ชุดนี้ขาดความชอบธรรมที่จะอยู่ในตำแหน่งหน้าที่ต่อไปอีก

ทิฐิของพรรคไทยรักไทยที่ยังคงใช้กลไกของอำนาจรัฐกล่าวโทษแกนนำกลุ่มพันธมิตรในข้อหาหนักหลายข้อ เกี่ยวกับการชุมนุมประท้วงต่อต้านระบอบทักษิณในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา รวมทั้งทิฐิของพรรคไทยรักไทยที่ยังคงยืนยันให้คุณทักษิณเป็นส.ส.บัญชีรายชื่อลำดับที่หนึ่ง หรือว่าที่นายกรัฐมนตรีหากพรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งคราวหน้า ทั้งๆ ที่คุณทักษิณเองได้ประกาศเว้นวรรคทางการเมืองไปแล้ว

ท่าทีของลูกน้องคนสนิทในพรรคไทยรักไทยได้สร้างแรงกดดันและความไม่พอใจแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งหลายล้านคน ที่ออกไปแสดงพลังด้วยการประกาศ 'ไม่เลือกใคร' และประกาศเจตนารมณ์ว่าไม่ยอมรับพฤติกรรมและความชอบธรรมของผู้นำรัฐบาลอีกต่อไป การยืนยันว่าทักษิณจะกลับมา อาจเกิดจากความกังวลใจของแกนนำพรรคไทยรักไทยว่า หากปราศจากหัวหน้าพรรค โอกาสที่จะชนะการเลือกตั้งกลับเข้ามายึดกุมอำนาจบริหารประเทศชาติต่อไปย่อมลดลง และโอกาสที่พรรคจะแยกออกเป็นเสี่ยงๆ ก็เพิ่มขึ้น

แต่ในขณะเดียวกัน การยืนยันว่าทักษิณจะกลับมา เป็นอีกเงื่อนไขหนึ่งที่สร้างแรงกดดันทางการเมืองให้ยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไป และทำให้แกนนำกลุ่มพันธมิตรออกมาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ประกาศจุดยืนเรียกร้องให้คุณทักษิณออกจากเวทีการเมืองอย่างถาวร

ทิฐิของกลุ่มพันธมิตรที่ประกาศจุดยืนขับไล่นายกฯทักษิณตลอดกาล เป็นอีกเงื่อนไขหนึ่งที่ทำให้บรรยากาศทางการเมืองยังคงตึงเครียดต่อไป

จุดยืนดังกล่าวนับว่ามีข้อบกพร่องสำคัญอย่างน้อย 2 ประการด้วยกัน

ประการแรก จุดยืนขับไล่นายกฯทักษิณตลอดกาล ทำให้ท่าทีของกลุ่มพันธมิตรเป็นการต่อต้านตัวบุคคลจนเกินไป แทนที่จะเป็นการต่อต้านเผด็จการรัฐสภา และผลประโยชน์ทับซ้อนของนักการเมืองที่อาสาเข้ามาบริหารบ้านเมือง

เราไม่มีหลักประกันเลยว่าหากคุณทักษิณส่งทายาททางการเมืองมาดำรงตำแหน่งแทนแล้ว ผลประโยชน์ทับซ้อนจะหมดไป ในทางตรงกันข้าม ผลประโยชน์ทับซ้อนแอบแฝงอาจตรวจสอบได้ยากขึ้นและเป็นอันตรายต่อบ้านเมืองยิ่งกว่าเดิม

ประการที่สอง คุณทักษิณในฐานะประชาชนคนไทยคนหนึ่ง และในฐานะนักการเมืองที่มีประชาชนหลายล้านคนมอบความไว้วางใจและลงคะแนนเสียงให้เข้ามาบริหารประเทศ ย่อมมีสิทธิที่จะลงแข่งขันทางการเมือง ตราบใดที่สิทธินั้นยังไม่ถูกเพิกถอนโดยคำสั่งศาล ดังเช่น นักการเมืองหลายคนเคยถูกเพิกถอนสิทธิมาก่อน

การต่อต้านตัวบุคคลทำให้หลักการของการสร้างระบบตรวจสอบอำนาจรัฐ และการปฏิรูปทางการเมืองถูกลดทอนความสำคัญลงไป

ด้วยเหตุนี้เอง ทิฐิของกลุ่มพันธมิตรจึงเป็นอุปสรรคต่อการเดินหน้าพัฒนาระบบการเมืองไทย

นับเนื่องแต่กึ่งพุทธกาลเป็นต้นมา การเจริญเติบโตของระบอบประชาธิปไตยไทยไม่เคยเกิดขึ้นจากน้ำมือของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) หรือสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.)

พูดแบบฟันธงให้เข้าใจง่ายสำหรับนักการเมืองที่คิดซับซ้อนไม่เป็นก็คือ นักการเมืองในระบบ มีส่วนเกี่ยวข้องกับการพัฒนาระบบการเมืองไทยน้อยมาก พัฒนาการทางการเมืองครั้งสำคัญๆ ล้วนแล้วแต่เกิดจากการต่อสู้ของประชาชน ไม่ว่าจะในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และ 6 ตุลาคม 2519 ไปจนถึงพฤษภาคม 2535

ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเหล่านี้ ประชาชนคนไทยต่อสู้ขับเคี่ยวกับเผด็จการเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยมาอย่างยืดเยื้อยาวนาน พวกเขาเหล่านั้นโหยหาเสรีภาพทางการเมือง และฝันเห็นสังคมที่ดีขึ้น ความฝันเหล่านี้คืออาหารหล่อเลี้ยงดวงวิญญาณอันเหนื่อยล้าและบอบช้ำของวีรชนคนไทย ซึ่งพลีเลือดเนื้อสร้างระบอบประชาธิปไตยให้นักการเมืองมานั่งเถลิงอำนาจตีฝีปากด่าทอกันอยู่ในวันนี้



เราได้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่มาเมื่อ 9 ปีก่อน ก็ด้วยธงเขียวที่โบกไสวไปทั้งบ้านทั้งเมืองตลอด 9 ปีที่ผ่านมาเช่นเดียวกัน ขบวนการปฏิรูปการเมืองที่ดำเนินต่อเนื่องมาจากรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ก็ต้องผ่านมรสุมแห่งอุปสรรคขวากหนามและความลุ่มดอนมาโดยตลอด นักการเมืองพยายามกีดกันและแทรกแซงการจัดตั้งองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญด้วยการยื้อกฎหมาย ไปจนถึงความพยายามที่จะเอาพรรคพวกของตนเข้าไปอยู่ในองค์กรเหล่านั้น

ภาพปรากฏของประชาธิปไตยไทยในปัจจุบันจึงมีลักษณะของพัฒนาการที่คู่ขนานกัน

ด้านหนึ่งเป็นความพยายามของภาคประชาชน ที่จะพัฒนาระบอบการเมืองให้เจริญก้าวหน้าขึ้นภายในกรอบและเจตนารมณ์แห่งรัฐธรรมนูญ ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง นักการเมืองอาชีพ ไม่ว่าจะสังกัดพรรคใดก็ตาม ก็ยังคงความเป็น 'นักเลือกตั้ง' อย่างหนา แบบเดียวกับที่เป็นมาเมื่อ 20 ปีก่อน

นักการเมืองเหล่านี้ยังคงมองรัฐสภาเป็นเวทีการเมืองที่ชอบธรรมเพียงประการเดียว แต่กลับมองการเมืองภาคประชาชนด้วยสายตาหวาดระแวง

ประชาธิปไตย ตามความเข้าใจและการตีความของนักการเมืองเหล่านี้ จึงเป็นเพียงวิธีการอ้างความชอบธรรมจากการเลือกตั้งมาทำหน้าที่ผู้แทน อีกทั้งการอ้างคนหมู่มากมายึดอำนาจการปกครองไปจากประชาชน

สงครามทิฐิที่กำลังดำเนินไปในสังคมไทยเวลานี้ เกิดจากความต้องการเอาชนะ โดยแต่ละฝ่ายไม่เคยมองว่า ประเด็นพื้นฐานในขณะนี้อยู่ที่ว่า ทำอย่างไรเราจึงจะผลักดันให้การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในเวลาอันใกล้นี้มีความบริสุทธิ์ยุติธรรมมากขึ้นกว่าที่ผ่านมา มีกลุ่มและองค์กรอิสระต่างๆ เข้ามาทำหน้าที่ตรวจสอบการเลือกตั้งและคานอำนาจซึ่งกันและกัน เพื่อให้เราได้รัฐสภาชุดใหม่ และกระบวนการปฏิรูปทางการเมืองสามารถดำเนินต่อไป

ในเวลานี้ สงครามทิฐิเป็นอุปสรรคที่แท้จริงต่อความพยายามในการปฏิรูปการเมืองและสร้างกติกาทางการเมืองแบบใหม่ขึ้นในสังคมไทย



..........................................

วิจารณ์

การที่อาจารย์ยศใช้คำว่า "ทิฐิ" ก็มีส่วนถูกส่วนหนึ่งนะครับ แต่บทวิเคราะห์อันนี้อยากให้มองปัญหาให้ลึกไปกว่านั้นอีกว่า "ทำไมที่ผ่านมาการเมืองภาคประชาชนจึงไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร ปัญหามันอยู่ที่ตรงไหน และจะทำกันอย่างไรต่อไป" เพราะการเมืองในระบบยังไปไม่ถึงไหน การที่มีกกต.และระบบจัดการเลือกตั้งที่ดี ก็อาจจะเป็นหลักประกันอันหนึ่งที่จะทำให้การเลือกตั้งมีความบริสุทธิ์ยุติธรรม แต่ถ้าตราบใดที่คะแนนจัดตั้งในชนบทหรือการซื้อเสียงด้วยนโยบายที่พรรคการเมืองกระทำกันอยู่ก็คงไม่ทำให้การซื้อเสียงหมดไปโดยสิ้นเชิง

อะไรคือวิถีทางที่ควรจะเป็นไปในโลกของความเป็นจริงในการพัฒนาการเมืองไทยในโอกาสต่อไป ก็คงหนีไม่พ้นการทำให้การเมืองภาคประชาชนเข้มแข็ง นั่นคือสามารถตรวจสอบการทำงานของนักการเมืองในระบบได้อย่างต่อเนื่อง...








ลิ้งค์ บล็อกที่แล้ว คลิกที่นี่ครับ


เพื่อนท่านใดสนใจจะเข้าร่วมกิจกรรมกับเด็กชาวเขาเผ่ากระเหรี่ยงที่จังหวัดกาญจนบุรี ลองไปอ่านรายละเอียดทั้งหมดตามลิ้งนี้ครับ



ลิ้งค์ บล็อกคุณลำน้ำ C คลิก










Create Date : 15 พฤษภาคม 2549
Last Update : 15 พฤษภาคม 2549 14:55:55 น. 13 comments
Counter : 695 Pageviews.

 


โดย: โสมรัศมี วันที่: 15 พฤษภาคม 2549 เวลา:13:53:17 น.  

 
จะยังไง จะอะไรก็แล้วแต่..ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรง
หากเป็นการช่วยให้สถานการณ์วุ่นวาย หรือปัยหาของบ้านเมืองผ่านไปได้ไวไว
ใครช่วยได้ ก็ช่วยๆกันไปเถอะครับ อย่าทิฐิ กันเลย


โดย: กุมภีน วันที่: 15 พฤษภาคม 2549 เวลา:15:12:00 น.  

 
คุณคนเดินดินฯ เจ้าขา

ติดไว้ก่อนนะ ยังไม่ได้อ่าน ทำลิงค์ไว้นะถ้าจะเปลี่ยนหน้า
วันนี้ยุ่งมาก ยังไม่ได้กินข้าวกลางวันเลย
แง แง

ซื้อเสื้อหม้อฮ่อมได้ลดราคาหรือเปล่า มาคราวหน้า เรียกแม่หนิงไปช่วยต่อนะ เผลอ ๆ ได้กลับไปฟรีเลย

ไปก่อนนะ...แอบมา


โดย: run to me วันที่: 15 พฤษภาคม 2549 เวลา:17:57:21 น.  

 
เอามาเสริฟ์ครับ







ได้ข่าวว่าบางท่านเกิดความละอายเลยจะลาออก


โดย: ชายคา วันที่: 15 พฤษภาคม 2549 เวลา:19:35:15 น.  

 
คัดจากประชาชาติธุรกิจ

จาก "ป๋าเปรม" ถึง "ทักษิณ" หายนะสิ่งแวดล้อมโคตรเป็นพิษ

30 ปี การเมืองการปกครอง (2519-2549) ประเทศไทยผ่านการมีนายกรัฐมนตรีมาแล้ว 11 คน ผู้นำแต่ละคนก็มีจุดอ่อนและจุดแข็งแตกต่างกันไป "รศ.ดร.สมชาย ภคภาสวิวัฒน์" อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ได้วิเคราะห์ลักษณะผู้นำไทยโดยผ่านหลักรัฐศาสตร์ หลักเศรษฐศาสตร์ และหลักการตลาด จนผลคำตอบว่า เหตุใดประ เทศไทยจึงล้าหลังกว่าประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย และล่าสุดเราอาจต้องวิ่งไล่ตามเวียดนามในเร็ววัน

"รศ.ดร.สมชาย" มองย้อนกลับไปตั้งแต่ยุคป๋าเปรม (พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์) พบว่าความเป็นผู้นำของป๋าเปรมนั้นสะท้อนมาจากบุคลิกภาพโดยรวม การสวมใส่ผ้าไทยทำให้ดูสง่า เป็น low model ของผู้นำไทย คือ เป็นแบบอย่างที่คนไทยอยากจะทำตาม เป็นแบบอย่างที่สร้างความชอบธรรมให้กับคนที่เป็นผู้นำ เป็นผู้นำที่มีความซื่อสัตย์สุจริต ไม่มีนอก ไม่มีใน

ที่สำคัญแม้ว่าป๋าเปรมจะเป็นทหาร แต่ก็สามารถใช้ความเป็นผู้นำมาเผชิญกับโลกปัจจุบัน คือ มีการฟัง สังเกต แล้วนำความคิดที่หลากหลายเหล่านี้มาใช้ รู้จักคัดเลือกที่ปรึกษา เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกที่ให้ความสำคัญกับภาคเอกชน จัดให้มีการตั้งคณะกรรมการร่วมภาครัฐเอกชน (กรอ.)

นอกจากนั้น ป๋าเปรมยังเป็นผู้นำที่รู้จังหวะความเป็นผู้นำ sense of timing เพราะจริงๆ ห้วงเวลานั้นป๋าเปรมสามารถเป็นนายกรัฐมนตรีต่อได้ แต่ป๋าเปรมรู้ว่าการเป็นผู้นำที่ดีจะต้องรู้จังหวะในการก้าวลง

วันนี้ป๋าเปรมเป็นผู้นำแบบโมเดล ใครๆ ก็ต้องฟัง

ต่อมา "น้าชาติ" (พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ) ผู้นำคนนี้มีคุณสมบัติพิเศษในการดึงดูดใจคนจำนวนมาก (charismatic) ความน่ารักอยู่ รู้จักจังหวะ ในช่วง "ป๋าเปรม" ยังอยู่ "น้าชาติ" ไม่เคยแสดงตัวเป็นคู่แข่งเลย แต่เมื่อวันหนึ่ง "ป๋าเปรม" จะลงจึงค่อยเผยอตัวขึ้นมา เราเรียกตรงนี้ว่า sense of timing ผู้นำที่เก่งจะต้องรู้ว่าจังหวะไหนที่ควรจะขึ้น จังหวะนี้ควรจะอยู่ตรงนี้

ภาวะผู้นำอีกประการหนึ่งซึ่งสำคัญมาก "น้าชาติ" มีพันธมิตรเยอะมาก ต่างจาก "ป๋าเปรม" ที่ไม่มีพันธมิตรแต่อาศัยความเป็นคนซื่อสัตย์สุจริต ผู้คนเกรงใจ

จากนั้นเข้าสู่ยุค "นายอานันท์ ปันยารชุน" ผู้นำอีกคนหนึ่งที่เห็นได้ชัดว่ามีคุณสมบัติพิเศษในการดึงดูดใจคนจำนวนมาก ที่สำคัญเป็นนักเจรจาต่อรองทำให้ไม่ตกเป็นลูกไล่ของ รสช.ก่อนที่จะก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี สามารถต่อรองหลายๆ เรื่องได้สำเร็จแม้กระทั่งโครงการโทรศัพท์สามล้านเลขหมาย ที่ต่อรองจนเหลือเพียง 2 ล้านเลขหมาย

"นายอานันท์" สามารถใช้กลยุทธ์ในการเจรจาต่อรองและนำบุคลิกภาพที่ทุกคนเกรงมาสร้างความเป็นผู้นำให้กับตัวเอง นอกจากนั้น "นายอานันท์" ยังเป็นคนซื่อสัตย์ สุจริต รู้จักใช้คน เลือกบุคลากรที่ไม่มีโรคแทรกซ้อนเข้ามาทำงาน จะเห็นได้จากการจัดคณะรัฐมนตรี จัดตั้งที่ปรึกษา

และในช่วงรอยต่อที่ "นายอานันท์" ลาออกจากกระทรวงการต่างประเทศ ได้ไปสัมผัสอีกด้านหนึ่งของเหรียญ โดยเข้าไปเป็นผู้ใหญ่ในบริษัทเอกชน เข้ารับตำแหน่งรองประธานกรรมการบริหาร บริษัท สหยูเนี่ยน จำกัด และประธานกรรมการ บริษัท เท็กซ์ปอร์ต อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ประสบการณ์ที่ฟูมฟักตลอดระยะเวลาการทำงานทำให้นายอานันท์สามารถเข้ากับโลก 2 โลกได้เป็นอย่างดี โลกหนึ่งคือ การเมือง โลกหนึ่งคือ การทูต

"ชวน หลีกภัย" แม้ว่าจะไม่เชี่ยวชาญแต่เป็นผู้นำที่รับฟังคนอื่น มีลักษณะของการจัดคาบิเนต ดึง ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์ นายธารินทร์ นิมมานเหมินท์ คนนอกเข้ามาช่วยทำงาน ดึงเนื้อหาของคนเหล่านี้มาเป็นประโยชน์ในการทำงานสร้างเอกภาพ

และเหตุผลประการหนึ่งที่ทำให้ "ชวน" อยู่ยงคงกระพันในบทบาทของความเป็นผู้นำ คือ ความซื่อสัตย์ สุจริต อยู่กระทรวงไหนก็ไม่มีเรื่องอื้อฉาว ดูได้จากบทบาทของพรรคประชาธิปัตย์ในช่วงหลังๆ หายไป แต่บทบาทของผู้นำชวนยังอยู่

ต่อจากยุค "ชวน" เป็นยุคของ "นายบรรหาร ศิลปอาชา" ผู้นำที่เติบโตมาจากคอนเน็กชั่นหรือเครือข่าย รู้จักเงื่อนเวลาเป็นว่าดี ระยะแรกที่ตัวเองยังไม่แข็งแรงก็เล่นบทพระรอง พระรองภายใต้ "น้าชาติ" พระรองภายใต้ "พล.อ.ประมาณ อดิเรกสาร" พอเดินมาถึงจุดหนึ่งแล้วเห็นว่าเวลาของตัวเองมาถึงแล้วจึงแตกตัวจากพรรคชาติพัฒนา เรียกว่าท่านมี sense of timing ดีมาก ในช่วงแรกก็เข้ากับทักษิณ แต่พอมาถึงจุดนี้ก็มาเข้ากับฝ่ายค้าน

ฉะนั้นจะเห็นว่าสิ่งที่ "บรรหาร" มีเหมือนผู้นำคนอื่นคือ "คอนเน็กชั่น" และ "sense of timing" แต่ที่แตกต่างคือ บุคลิกของบรรหารสามารถเล่นได้ 2 บท ไม่ว่าใครจะขึ้นใครจะลงขอให้ได้ร่วมรัฐบาล มีวิธีการคิดที่ยืดหยุ่น แต่เป็นผู้นำที่อยู่ไม่ยั่งยืนเพราะขาดเนื้อหาที่สำคัญมาก คือมีปัญหาคล้ายๆ กับ "น้าชาติ" ถูกกล่าวหาเรื่องความมีเลศนัย เพราะนักการเมืองเหล่านี้เติบโตมาจากผลประโยชน์ทางธุรกิจ ซึ่งต่างจาก "ชวน" เมื่อสังคมนึกถึง "ชวน" จะนึกถึงการแก้ไขวิกฤต แต่เมื่อนึกถึง "บรรหาร" จะนึกถึงจุดเริ่มต้นของวิกฤต

ถัดมา "บิ๊กจิ๋ว" พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ความเป็นผู้นำของ "บิ๊กจิ๋ว" สั้น เพราะสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ ดูได้จากความตั้งใจในการตั้งพรรคในครั้งแรกต้องการให้เป็น "ความหวังใหม่" แต่ปรากฏว่าคนที่เข้ามาทำงานเป็นคนเก่าทั้งนั้น นั่นคือ "บิ๊กจิ๋ว" วางแผนดีแต่ปฏิบัติไม่ได้ และที่สำคัญ "บิ๊กจิ๋ว" เข้ามาในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังแตกเป็นเสี่ยงๆ ทำให้สถานการณ์ต่างๆ ยิ่งแย่ลงไป เมื่อขาดทั้งเนื้อหาและคนที่จะเข้ามาช่วย เมื่อเจอสิ่งแวดล้อมเป็นพิษจึงกลายเป็นระเบิดเวลา ประกอบกับ "บิ๊กจิ๋ว" เป็นคนพูดไว แต่เมื่อคนฟังฟังแล้วรู้สึกว่าสิ่งที่ท่านพูดออกมาแต่เวลาปฏิบัติไม่ได้เป็นอย่างนั้น ทำให้ความเป็นผู้นำของ "บิ๊กจิ๋ว" สั้นลงไป

ผู้นำคนล่าสุด "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" มีจุดแข็งคล้ายๆ กับผู้นำคนอื่น คือ มีคุณสมบัติพิเศษในการดึงดูดใจคนจำนวนมาก คนภายนอกเห็นก็อยากจะรัก มีความเป็นกันเอง และสามารถรวมพลังต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน ทำให้เป็นผู้นำที่พ็อปพูลาร์มาก ห้วงเวลาที่ "ทักษิณ" เข้ามาสังคมยังโหยหาผู้นำที่เข้มแข็งแบบจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ แล้ว "ทักษิณ" มาจากตำรวจ ที่สำคัญไปกว่านั้น "ทักษิณ" มีคอนเน็กชั่นสูงมาก เรียนตำรวจ แต่เข้ามาทำธุรกิจไอที และยังจบด็อกเตอร์จากต่างประ เทศ อ่านหนังสือภาษาอังกฤษได้ ทำให้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล เห็นโลกที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว

"ทักษิณ" เป็นผู้นำคนแรกที่พูดถึงเรื่องกลยุทธ์ การวางแผน มีบุคลิกที่เรียนรู้สูงเข้ากับคนได้ และจุดแข็งที่สำคัญคือมีความเป็นนักการตลาดอยู่ในตัว รู้ว่าเรื่องนี้จะต้องเข้าหาใคร โครงการนี้จะต้องทุ่มเทอย่างไร ปรับตัวได้เก่ง ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ช่วงแรกจะเรียกคะแนนเสียงได้อย่างท่วมท้น

"ทักษิณ" รู้ว่าความเป็นพรรคใหม่ถ้าอยากขึ้นเร็วจะต้องมีคนพันธุ์เก่าอยู่ด้วย จึงเอาพันธุ์เก่าผสมกับพันธุ์ใหม่ ทำให้สามารถสร้างคอนเน็กชั่นได้เยอะ คิดเร็ว ทำเร็ว รู้หลักการตลาด และเป็นนักวิชาการที่ไม่ได้ทำงานเปล่าๆ มีการวางแผน มีข้อมูล หมู่บ้านไหนต้องการอะไร นำมาผสมผสานกัน และนี่คือความสำเร็จอย่างมหาศาลของผู้นำคนนี้

แต่สิ่งที่ทำให้ "ทักษิณ" พัง จะมีลักษณะคล้ายๆ กับคนอื่น คือ ทำงานโดยเน้นเป้าหมายแต่ไม่สนใจวิธีการ ผลทางอ้อมที่ตามมาคือ คนส่วนหนึ่งเริ่มไม่พอใจ และที่สำคัญคนเป็นผู้นำจะต้องมีจริยธรรม

กลุ่มคนที่คิดลึกจะเริ่มไม่พอใจ "ทักษิณ" ยิ่งเห็นธุรกิจของครอบครัวชินวัตรที่แยกไม่ออกกับตัวนายกฯ สิ่งแวดล้อมก็เป็นพิษ ในช่วงแรกผู้คนอาจจะชอบผู้นำแบบนี้เพราะมีความรู้สึกว่าเศรษฐกิจมีเสถียรภาพ มีอัตราการเติบโตที่ดี แต่เมื่อมองลึกลงไปกลับขาดสิทธิเสรีภาพ ยิ่งนานวันยิ่งเห็นชัด นโยบายใหม่เมื่อผ่านไประยะเวลาหนึ่งคนเริ่มเคย ชินและเห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นดีเฉพาะกับคนบางกลุ่มเท่านั้น เมื่อกลุ่มพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตยนำข้อมูลต่างๆ มาเปิดเผยต่อสาธารณะ ความเป็นผู้นำของ "ทักษิณ" จึงถูกกระทบ สิ่งแวดล้อมรอบตัว "ทักษิณ" จึงอยู่ในภาวะ "โคตรเป็นพิษ"

อีกประการหนึ่งที่ทำให้ "ทักษิณ" ขาดความเป็นผู้นำคือ ท่านไม่รู้จักจังหวะในการลง


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 15 พฤษภาคม 2549 เวลา:22:53:39 น.  

 
จังหวะในการลง...

ก็ขี่หลังเสือแล้วนี่นะ มันลงยาก

อีกอย่างหนึ่งศักดิ์ศรีมันค้ำคอ บวกกับ อีโก้ในตัวเอง สุงซะจน มองไม่เห็นหัวประชาชน

อ่ะ แรงไปมั้ยเนี่ย


ปล. จุค่อยยังชั่วแล้วค่ะ


โดย: กระจ้อน วันที่: 16 พฤษภาคม 2549 เวลา:7:54:18 น.  

 




อรุณสวัสดิ์คะ
เย้ๆๆๆ




โดย: หนี่หนีหนี้ (แพรวขวัญ ) วันที่: 16 พฤษภาคม 2549 เวลา:8:12:42 น.  

 
เมื่อวาน หนูลุ้นทั้งวันค่ะ ....สรุป หรือยังคะนี่ ....

คิดถึงพี่
หายไปไหนมานี่


โดย: ประกายดาว วันที่: 16 พฤษภาคม 2549 เวลา:11:11:20 น.  

 
คัดจากมติชนรายวัน

2เดือนแห่งความ"ลังเล" "ปัจจัย"หนุนส.ส.ย้ายพรรค

การกำหนดวันเลือกตั้งใหม่เป็นวันที่ 22 ตุลาคม ซึ่งถือเป็นการปลดล็อค 90 วัน ของการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองนั้น

แม้ว่าจะเป็นการลงมติของพรรคการเมืองส่วนใหญ่ แต่ก็เป็นความเห็นชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้วยเช่นกัน

จึงอาจจะพูดได้ว่า งานนี้ กกต.ยอมถอย...?

ที่ว่าเป็นความเห็นชอบของ กกต.นั้น ก็จะดูได้จากคำพูดของ "ปริญญา นาคฉัตรีย์" หนึ่งใน กกต. ซึ่งกล่าวเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม ในการประชุมพรรคการเมือง เพื่อกำหนดวันเลือกตั้งที่เหมาะสม

ปริญญาพูดไว้ก่อนการประชุมว่า "เห็นด้วยที่จะให้พระราชพิธีเฉลิมฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปีผ่านพ้นไปก่อน และจะเปิดโอกาสให้ ส.ส.ได้ย้ายพรรคตามความต้องการของฝ่ายค้าน การเลือกตั้งถ้าจะมีขึ้นช่วงเดือนสิงหาคมหรือกันยายน ก็ไม่ถือว่านานเกินไป"

ผลก็เลยออกมาว่า เสียงส่วนใหญ่เลือกที่จะจัดเลือกตั้งในอีก 160 วัน คือวันที่ 22 ตุลาคม นับจากนี้ไป

ในทางการเมืองทุกอย่างถูก "ปลดล็อค" กล่าวคือ ส.ส.ที่อึดอัดใจกับพรรคตัวเอง และอยากออกไปโลดแล่นอยู่ในสังกัดพรรคอื่น ก็มีเวลาดีดลูกคิดว่าจะ "ย้าย" หรือ "ไม่ย้าย" พรรค ได้จนถึงวันที่ 24 กรกฎาคม

ระยะเวลา 2 เดือนเต็มๆ สถานการณ์ทางการเมืองคง "เปลี่ยนแปลง" ไปอย่างรวดเร็ว และมีพัฒนาการ

เงื่อนไขข้างต้นต้องบอกว่า "เข้าทาง" กลุ่ม-ก๊ก-ก๊วนต่างๆ ในพรรคไทยรักไทย ที่รอเวลาขยับขยาย

แต่ด้วยระยะเวลาที่นานกว่า 2 เดือน ทำให้กลุ่ม-ก๊ก-ก๊วนต่างต้อง "รอดูท่าที" สถานการณ์การเมืองก่อน

สถานการณ์ที่ต้องรอดูอย่างใกล้ชิดคือ การที่พรรคไทยรักไทยถูกสอบสวนในเรื่องการจ้างพรรคเล็กลงสมัคร

หากส่อเค้าว่า กกต.จะส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคไทยรักไทย ตามมาตรา 66 (1) แห่งพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ที่บัญญัติไว้ว่า พรรคอาจถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบได้ เมื่อพรรคการเมืองกระทำการเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองโดยวิธีการ ซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ

และมาตรา 66(3) ในกฎหมายฉบับเดียวกันนี้คือ กระทำการอันอาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐหรือขัดต่อกฎหมาย หรือความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน

เชื่อแน่ว่า ลูกพรรคไทยรักไทยหลายคนก็อาจจะกระโดดหนีออกมาก่อนพรรคล่ม เพื่อเป็นหลักประกันที่ดีกว่า ไม่ต้องไปวิ่งหาพรรคเข้าทีหลัง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 118 (9) ที่บัญญัติไว้ว่า หากศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรค หาก ส.ส.ไม่อาจเข้าเป็นสมาชิกพรรคการเมืองอื่นได้ภายใน 60 วันจะถือว่า สิ้นสุดสมาชิกภาพ ส.ส.

แต่ในเมื่อขณะนี้ เมื่อ กกต.ยังไม่มีทีท่าเป็นอื่น "พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ" ประธาน กกต. ยังจะให้สอบสวนเพิ่ม โดยอ้างว่ามีข้อสงสัยและหลักฐานเพิ่มเติม และเมื่อหันไปมองพรรคอื่นๆ แล้วก็ยังไม่มีแรงดึงดูดได้เท่าพรรคที่มี พ.ต.ท.ทักษิณเป็นหัวหน้าพรรค

จึงทำให้ขณะนี้ กลุ่ม-ก๊ก-ก๊วนต่างๆ ในพรรคไทยรักไทยยังไม่มีทีท่าว่าจะย้ายไปไหน และยัง "ลังเล" ว่าจะย้ายหรือไม่

มีการส่งสัญญาณนี้ออกมาจากหัวหน้ากลุ่มมุ้ง ด้วยการเช็คชื่อลูกมุ้งกันคึกคัก และบอกเล่ากันออกมาว่า สมาชิกยังอยู่ครบ

ภายในระยะเวลา 2 เดือนนี้ ก็ต้องรอลุ้นว่า คดีจ้างพรรคใหญ่จ้างพรรคเล็ก จะลงเอยอย่างไร...?


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 16 พฤษภาคม 2549 เวลา:12:38:09 น.  

 
คัดจากมติชนรายวัน

ทำไมเลือกตั้ง22ต.ค. "จารุภัทร"ออกแล้วอย่างไร

คอลัมน์ เคียงข่าว


มี 2 เหตุการณ์สำคัญทางการเมืองเกิดขึ้นในวันที่ 15 พฤษภาคม และจะส่งผลต่อสถานการณ์การเมืองในอนาคตอันใกล้ ดังนี้

1.ที่ประชุมพรรคการเมือง 20 พรรค และผู้แทน กกต.เห็นชอบให้พระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) เลือกตั้ง มีผลใช้บังคับวันที่ 24 สิงหาคม 2549 เปิดรับสมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ 29-31 สิงหาคม สมัครแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง 1-5 กันยายน จัดเลือกตั้งวันอาทิตย์ที่ 22 ตุลาคม 2549 รวมนับจากวันนี้ (16 พ.ค.) ไป 160 วัน

2.พล.อ.จารุภัทร เรืองสุวรรณ กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ลาออก

ทำไมต้องเลือกตั้ง 22 ตุลาคม ทำไมไม่เลือกเดือนกรกฎาคม ตามแผนเดิม เหตุผลน่าจะมาจาก

1.กกต. และรัฐบาลรักษาการ ยอมปลดล็อคสังกัดพรรค 90 วัน เปิดโอกาสให้ทุกคนเปลี่ยนสังกัดใหม่ได้นับแต่วันนี้ เพื่อลดปฏิกิริยาความไม่พอใจของสังคมลงให้ได้ระดับหนึ่ง

นับจากวันนี้ ไปถึง 24 สิงหาคมก็ 100 วัน นับจาก 24 สิงหาคม ไปถึงวันรับสมัคร 1 กันยายนก็ 9 วัน รวมเวลา 109 วัน ฉะนั้นใครที่คิดย้ายพรรคยังมีเวลา 18 วันในการตัดสินใจ และนับจาก 24 สิงหาคม ไปถึง 22 ตุลาคม มีเวลาอีก 60 วันในการหาเสียง

ใครจะมาตำหนิ กกต. และรัฐบาลรักษาการใจแคบ หรือรวบรัดได้อีก

2.เลื่อนการเลือกตั้งให้ห่างจากงานเฉลิมฉลองครองราชย์ 60 ปี และกิจกรรมบอลโลกไปให้ห่างมากขึ้น

3.ช่วยให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรีไปได้อีก 5 เดือนเศษ

เรื่องต่อมาคือ อะไรจะเกิดขึ้นหลัง พล.อ.จารุภัทรลาออก

1.นายสุชน ชาลีเครือ ประธานวุฒิสภา เริ่มกระบวนการสรรหา กกต.ใหม่แทนที่ว่าง 2 ตำแหน่งแล้ว และมีแนวโน้มที่จะส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่า กรณีองค์ประกอบคณะกรรมการสรรหา กกต.ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 138 (1) ไม่ครบ เพราะขาดผู้แทนพรรคที่มี ส.ส.ในสภา จะใช้มาตรา 138 (3) ให้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเสนอชื่อได้หรือไม่อย่างไร จะเสนอได้ 2 ชื่อ หรือต้องเสนอ 2 เท่า 4 ชื่อ ให้วุฒิสภาเลือก

ในกระบวนการสรรหา กกต.ไม่ว่าจะใช้ (1) หรือ (3) เพื่อทดแทน 2 กกต. หรือทดแทนทั้งหมดกรณีอีก 3 คนที่เหลือลาออก จะใช้เวลาไม่เกิน 60 วัน ซึ่งมีเวลามากพอก่อน พ.ร.ฎ.บังคับใช้

คิดเผื่อปัญหาเฉพาะหน้ากรณีประธาน 3 ศาล และอธิการบดีมหาวิทยาลัยหลัก ไม่ร่วมสรรหาคนไปทำงานกับ กกต.ชุดจัดเลือกตั้งมิชอบ ก็ยังมีเวลาแก้ไขเหลือเฟือ

2.การที่ พล.อ.จารุภัทรแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออก ถือเป็นการกดดันให้ กกต.อีก 3 คน ต้องไตร่ตรองให้จงหนัก

ถ้าทั้งสามลาออกก็เพียงรอผลตีความศาลรัฐธรรมนูญ หากได้ข้อยุติว่าสามารถนำมาตรา 138 (3) มาใช้เลือก กกต.ใหม่ได้ยกชุด ทุกอย่างจะคลี่คลายลงตัว เพราะทุกฝ่ายจะให้ความร่วมมือเต็มที่


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 16 พฤษภาคม 2549 เวลา:12:42:59 น.  

 
คัดจากมติชน

เหตุผลอยู่ที่"เงิน"

คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่12

สุชาติ ศรีสุวรรณ


ความพยายามไม่มีที่สิ้นสุดของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ที่นำโดย พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ คือดึงดันที่จะเป็นผู้จัดการเลือกตั้งให้ได้ แม้เสียงวิพากษ์วิจารณ์หนักหนาสาหัสในทางไม่ยอมรับด้วยเสื่อมศรัทธากับพฤติกรรมที่ผ่านมา

ล่าสุดกำหนดวันเลือกตั้งครั้งใหม่วันที่ 22 ตุลาคม ยาวไปอีก 5 เดือนกว่า คล้ายกับปลดล็อคต้องการสังกัดพรรค 90 วัน ให้ผู้สมัคร ส.ส.ย้ายพรรคได้ แถมเสนอที่จะขอให้ฝ่ายต่างๆ เข้ามาทำงานให้กับคณะกรรมการการเลือกตั้งในรูปของคณะกรรมการ เน้นเป็นพิเศษที่ผู้พิพากษา ซึ่งเท่าเป็นการหาพรรคพวกเข้าแก้ไขพลิกความน่าเชื่อถือของตัวเองกลับมา

ไม่ว่าใครจะบอกแล้วบอกอีกว่า "ไปเสียเถอะ" ปล่อยให้มีการสรรหา กกต.ชุดใหม่ขึ้นมาจัดการแทน ขอให้เอาประโยชน์ที่จะได้กับส่วนรวมเป็นเป้าหมาย อย่าเอาศักดิ์ศรี หรือสิ่งอื่นใดที่เป็นประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่ตั้งเลย ดูเหมือนว่า ไม่มีทางที่จะทำให้ กกต.ชุดนี้รับฟังได้

คล้ายกับว่าหากไม่ได้จัดการเลือกตั้งครั้งนี้แล้ว ชีวิตของ กกต.ทั้ง 4 คนจะเกิดมาสูญเปล่า เพื่อเติมบางสิ่งบางอย่างให้กับตัวเอง ประเทศชาติหลังจากนั้นจะเป็นอย่างไรก็ช่าง

ไม่ลาออกเสียอย่าง ใครจะทำอะไรได้ คงต้องปล่อยให้ กกต.ชุดนี้จัดการเลือกตั้งที่จะยื้อกันไปอีก 5 เดือนกว่าต่อไป

ที่น่าคิดคือ สาระสำคัญที่ยื้อกันอยู่นี้ เพื่อศักดิ์ศรีของ กกต.ชุดนี้แค่นั้นหรือ

ก่อนหน้านั้น คนไทยรักไทยเคยเล่าความคิดให้ฟังว่า การกำหนดวันเลือกตั้งควรจะเพียงพอให้ปลดล็อค 90 วัน เพื่อผู้สมัครย้ายพรรคได้ และควรจะทำให้การจัดการเลือกตั้งได้รับความเชื่อถือ

แต่เหตุผลที่ฟังจากคนไทยรักไทยเป็นอีกเรื่อง

โจทย์ทางการเมืองของไทยรักไทยไม่ได้อยู่ที่ ปลดล็อค 90 วันหรือไม่

การเลือกตั้งที่ที่ผลขึ้นอยู่กับฐานเสียงในท้องถิ่น และฐานเสียงนั้นจะอยู่หรือไปขึ้นอยู่กับเงินสนับสนุน คนไทยรักไทยเชื่อว่าความพร้อมในเรื่องทุนที่มีเหนือกว่าพรรคอื่น ไม่เพียงจะไม่มีผู้สมัครย้ายออกจนน่าตกใจเท่านั้น แต่จะมีผู้สมัครจากพรรคอื่นย้ายเข้ามาร่วมด้วยซ้ำ

หากไม่ย้ายมาด้วยวิธีการของไทยรักไทย ย่อมสามารถทำให้ย้ายมาได้ไม่ยาก

เหตุผลของคนไทยรักไทยอยู่ที่

หนึ่ง เลือกตั้งไปแล้วควรจะอยู่ยาว ไม่ใช่แค่ปีเดียวเพื่อมาแก้รัฐธรรมนูญปฏิรูปการเมืองแล้วยุบสภาเลือกตั้งกันใหม่

ข้อนี้ไม่ใช่เรื่องที่ว่าจะปฏิรูปการเมืองหรือไม่ หรือเลือกตั้งใหม่แล้วไทยรักไทยจะไม่ชนะ แต่เป็นเรื่องที่นายทุนพรรคไม่สบายใจนัก เพราะเลือกตั้งอีกก็ต้องจ่ายเงินอีก แต่ละครั้งน้อยเสียที่ไหน

นั่นเป็นเหตุผลจริง แต่เหตุผลที่เอามาอ้างกับประชาชนคือ การเลือกตั้งบ่อยทำให้ทำงานไม่ต่อเนื่อง ไม่เป็นผลดีต่อการบริหารประเทศ

สอง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะต้องเว้นวรรคต่อไปอีกนานแค่ไหน การที่รัฐบาลมีเวลาบริหารยาวๆ จะทำให้มีโอกาสที่สถานการณ์ของประเทศเรียกร้องผู้นำอย่างพ.ต.ท.ทักษิณมีสูง

หาก กกต.สนองตอบด้วยการปลดล็อค 90 วัน และหาทางตั้งคณะกรรมการให้การเลือกตั้งเป็นที่น่าเชื่อถือ ย่อมมีเหตุผลที่จะทำให้สภาอยู่ยาวได้

ระหว่าง กกต.ชุดนี้ กับ กกต.ชุดใหม่ ชุดไหนจะช่วยให้การปลดล็อค 90 วันเสียก่อนวันเลือกตั้งด้วยความเอาจริงเอาจังมากกว่า


โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 16 พฤษภาคม 2549 เวลา:12:50:11 น.  

 




สวัสดีตอนเช้าของ เนเธอร์แลนด์ นะจ้า


ความผูกพัน ความห่วงใย
ความเข้าใจ ความห่วงหา
ความคิดถึง และวันเวลา
นำพา** มิตรภาพ **..มั่นคงตลอดไป


** มีความสุขและสุขภาพแข็งแรงเสมอนะจ้า **



โดย: จอมแก่นแสนซน วันที่: 16 พฤษภาคม 2549 เวลา:13:46:41 น.  

 
อ่านแล้วมึน

สงสัยในหัวแม่หนิงมีภาคบันเทิงมากไป
พอมารับอะไรที่เป็นสาระมาก ๆ
ออกอากาศมึนค่ะ
อ่านวนไปวนมา

จึงกระโดดข้ามมาอ่านบันทัดสุดท้าย ส่วนกลาง ๆ เดาเอา 5555

วันนี้ก็เป็นวันแห่งความสุข มันจะแอบทุกข์มั้งก็ไล่มันไป ชิ้วๆๆๆ


โดย: run to me วันที่: 16 พฤษภาคม 2549 เวลา:16:18:08 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

คนเดินดินฯ
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]








ปณิธาน

การเดินทางของชีวิตของทุกผู้คน
ทุกคนต่างต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต
แต่จะมีสักกี่คนที่จะก้าวไปถึง
เมื่อเราก้าวถึงจุดนั้น
ขออย่าลืมการแบ่งปันและเจือจาน
แก่ผู้ด้อยโอกาสในสังคม

เราจะเติบโตและก้าวไปข้างหน้าพร้อม ๆ กัน
เพื่อสร้างสรรค์สังคมใหม่ที่ดีงาม

เพื่อให้อนุชนคนรุ่นหลัง
ได้ใช้ชีวิตของเขา
ตามศักยภาพและความตั้งใจของเขา
ตราบเท่าที่เขาต้องการ







เดินไปสู่ความใฝ่ฝัน


ชีวิตหนึ่งร่วงหล่นไปตามกาลเวลา
คลื่นลูกใหม่ไล่หลังคลื่นลูกเก่า
นั่นคือวัฏจักรของชีวิตที่ดำเนินไป

เยาว์เธอรู้บ้างไหม
ว่าประชาราษฎรนั้นทุกข์ยากเพียงใด
เสี้ยวหนึ่งของชีวิตที่เหลืออยู่
เธอเคยมีความใฝ่ฝันที่แสนงามบ้างไหม

สักวันฉันหวังว่าเธอจะเดินไปตามทางสายนี้
ที่อาจดูเงียบเหงาและโดดเดี่ยว
แต่ภายใต้ฟ้าเดียวกัน
ฉันก็ยังมีความหวัง
ว่าผู้คนในประเทศนี้
จะตื่นขึ้นมา
เพื่อทวงสิทธิ์ของพวกเขา
ที่ถูกย่ำยีมาช้านาน
และฉันหวังว่าเธอจะเดินเคียงคู่ไปกับพวกเขา

เพื่อสานความใฝ่ฝันนั้นให้เป็นความจริง
สัญญาได้ไหม
สัญญาได้ไหม
เยาว์ที่รักของฉัน


***********



ขอมีเพียงเธอเป็นกำลังใจ




ทอดสายตามองออกไปยังทิวทัศน์ข้างหน้า
แลเห็นต้นหญ้าโบกไสว
เห็นดอกซากุระบานอยู่เต็มดอย
ความงามที่อยู่ข้างหน้า
เป็นสิ่งที่ฉันจะเก็บมันไว้
ยามที่จิตใจอ่อนล้า...

ชีวิตยามนี้แม้ผ่านมาหลายโมงยาม
แต่จิตใจข้างในยังคงดูหงอยเหงา
หลายครั้งอยากมีเพื่อนคุย
หลายครั้งอยากมีคนปรับทุกข์
และหลายครั้งต้องนั่งร้องไห้คนเดียว

รางวัลสำหรับชีวิตที่ผ่านมา
มันคืออะไรเคยถามตัวเองบ่อย ๆ
ความสำเร็จ...เงินตรา...เกียรติยศชื่อเสียง
มันใช่สิ่งที่เราต้องการหรือเปล่า
ถึงจุดหนึ่งชีวิตต้องการอะไรอีกมากไปกว่านี้

หลายชีวิตยังคงดิ้นรนต่อสู้
เพื่อปากท้องและครอบครัว
มันเป็นความจริงของชีวิตมนุษย์
ที่ต้องดำรงชีพเพื่อความอยู่รอด
มีทั้งพ่ายแพ้ มีทั้งชนะ
แต่ชีวิตต่างต้องดำเนินไป
ตามวิถีทางของแต่ละคน

ลืมความทุกข์ ลืมความหลังที่เจ็บปวด
มองออกไปข้างหน้า
ค้นให้พบตัวตนของตนเองอีกครั้ง
แล้วกลับไปสู้ใหม่
การเริ่มต้นของชีวิตจะต้องดำเนินต่อไป
จะต้องดำเนินต่อไป

ตราบจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต....




@@@@@@@@@@@




การเดินทางของความรัก

...ฉันเดินไปด้วยหัวใจที่ว่างเปล่า
สมองได้คิดใคร่ครวญ
ความรักในหลายครั้งที่ผ่านมา
ทำไมจึงจบลงอย่างรวดเร็ว

ฉันเดินไปด้วยสมองอันปลอดโปร่ง
ความรักทำให้ฉันเข้าใจโลก
และมนุษย์มากขึ้น
และรู้ว่าความแตกต่าง
ระหว่างความรักกับความหลงเป็นอย่างไร?

ฉันเดินไปด้วยดวงตาที่มุ่งมั่น
บทเรียนของรักในครั้งที่ผ่าน ๆ มา
มันย้ำเตือนอยู่เสมอว่า
อย่ารีบร้อนที่จะรัก
แต่จงปล่อยให้ความสัมพันธ์
ค่อย ๆ พัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป
เรียนรู้และทำเข้าใจกันให้มากที่สุด

ก่อนที่จะเริ่มบทต่อไปของความรัก...




*******************



จุดไฟแห่งศรัทธาและความมุ่งมั่น

เข้มแข็งกับอ่อนแอ
สับสนหรือมุ่งมั่น
จะยอมแพ้หรือลุกขึ้นท้าทาย
กับชีวตที่เหลืออยู่
ทุกสิ่งล้วนอยู่ที่ใจเราจะกำหนด

ไม่ใช่เพราะอิสระเสรี
ที่เราต้องการหรอกหรือ?
ที่มันจะนำทางชีวิต
ในห้วงเวลาต่อไป
ให้เราก้าวทะยานไป
สู่วันพรุ่งที่สดใส

มีแต่เพียงคนที่รู้จักตนเองอย่างดีพอเท่านั้น
จะสามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้
เมื่อผ่านการสรุปบทเรียน
จากปัญหาต่าง ๆ ที่ประสบ
เราก็จะมีความจัดเจนกับชีวิตมากขึ้น
และการเผชิญกับอุปสรรคต่าง ๆ
ในอนาคตก็จะเป็นเพียงปัญหาที่เล็กน้อยสำหรับเรา
ในการที่จะก้าวผ่านไป



ด้วยศรัทธาและความมุ่งมั่นที่มีอยู่ในใจ
ที่จะต้องย้ำเตือนตัวเองอยู่เสมอ
หนทางในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ
ย่อมอยู่ไม่ไกลห่างอย่างแน่นอน

*********************



ก้าวย่างที่มั่นคง

บนทางเดินแคบ ๆ ที่เหลืออยู่
หากขาดความมั่นใจที่จะก้าวเดินต่อไป
ชีวิตก็คงหยุดนิ่งและรอวันตาย
แม้ทางข้างหน้าจะดูพร่ามัว
และไม่รู้ซึ่งอนาคต
แต่สิ่งที่ดีที่สุดในปัจจุบัน
คือก้าวย่างไปอย่างมั่นคง
และมองไปข้างหน้าอย่าเหลียวหลัง
เก็บรับบทเรียนในอดีต
เพื่อจะได้ระมัดระวังไม่ให้ผิดพลาดอีกในอนาคต

"""""""""""""""""""""""""""""""""



ใช้สามัญสำนึกทำงาน

ไม่มีแผนงานที่สวยหรู
ไม่มีปฏิบัติการใดที่สมบูรณ์แบบ
ในยามนี้มีเพียงการทำงานด้วยการทุ่มเท
ลงลึกในรายละเอียดเท่านั้น
จึงจะสามารถคลี่คลายปัญหาของงานลงได้
บางครั้งโจทย์ที่เจออาจยากและซับซ้อน
แต่เมื่อลงไปคลุกคลีอย่างแท้จริง
โจทย์เหล่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

""""""""""""""""""""""""""""""""



เรียบ ๆ ง่าย ๆ


อย่ามองสิ่งต่าง ๆ ด้วยแว่นสีที่ซับซ้อน
เพราะในโลกนี้มีเพียงสิ่งสามัญที่เรียบง่าย
สำหรับคนที่สงบนิ่งเพียงพอเท่านั้น
จึงจะแก้โจทย์และปัญหาต่าง ๆ
ด้วยกลวิธีที่เรียบ ๆ ง่าย ๆ
ไม่ซับซ้อนและตรงจุดได้อย่างเพียงพอ

""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""

ใจถึงใจ

บนหนทางไปสู่ความสำเร็จ
บนหนทางของการสร้างสรรค์สิ่งใหม่
มีเพียงคนที่เข้าใจในสภาพจิตใจของคนทำงานเท่านั้น
จึงจะสามารถนำทีมงานไปสู่เป้าหมายได้
อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน








Friends' blogs
[Add คนเดินดินฯ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.