การเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการที่ดีขึ้น(4)
เคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับการพัฒนาที่ยั่งยืน ที่เขียนโดย "พระธรรมปิฎก" บ้างไหม? เป็นหนังสือที่จะพูดถึงการพัฒนาของประเทศมหาอำนาจ ที่ใช้การพัฒนาที่ไปทำลายธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นการพัฒนาที่ระยะยาวก็อาจนำไปสู่การสิ้นชาติและทำลายตัวเอง ปัจจุบันปัญหาภาวะโลกร้อนคือตัวชี้วัดอันหนึ่ง
กลับมาถึงเรื่องการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการที่ดีขึ้นของคนเรา ที่มองว่าควรเริ่มต้นจากการรู้จักตนเองและเข้าใจตนเองอย่างดีพอ
ก่อนที่จะก้าวไปสู่การสร้างตัวที่ประสบความสำเร็จ และมีความสุขในชีวิตอย่างยั่งยืน
ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องยากที่สุดเรื่องหนึ่งของคนเรา
เราเกิดในสังคมไทยที่เป็นสังคมชาวพุทธ และมีองค์ความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาทางด้านจิตใจ และจิตวิญญาณอยู่มากมาย แต่เราก็ยังไม่ได้เอาจุดแข็งเหล่านี้มาใช้อย่างจริงจัง
เคยได้ยินมาว่าเจ้าของธุรกิจบางแห่งสนับสนุนให้พนักงาน เข้าวัดเมื่อปฏิบัติธรรมและทำสมาธิแบบวิปัสสนากรรมฐาน และก็ทำให้องค์กรนั้นประสบความสำเร็จมากขึ้น
ในโลกความเป็นจริงสังคมไทยอยู่ในภาวะที่ทำสิ่งเหล่านี้ได้มากน้อยเพียงใด? เพราะปัญหาต่าง ๆ ที่เข้ามารุมเร้าจะยิ่งทำให้ชีวิตดูหนักมากขึ้น และดูเหมือนปัญหาต่าง ๆ ยังวนเวียนอยู่ในจุดเดิม ๆ
เหมือนชีวิตของคนเราถ้าเรายังไม่หาจุดเปลี่ยนให้กับตัวเองอย่างจริงจัง ชีวิตของเราก็จะวนเวียนอยู่ในจุดเดิม ๆอยู่นั้นเอง แล้วก็โดนเข้ากับตัวเองเข้าจนได้
ถามตัวเองอย่างจริงจังสักครั้งเถิดว่า
เรากล้าที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองหรือไม่? เรายังมีความกลัวอะไรหลงเหลืออยู่อีก?
| | |
|
โดย วรนุช แสงนิ่มนวล
เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาทางเศรษฐกิจที่เน้นความพอดี บางคนเรียกว่าปรัชญาเศรษฐกิจแบบมัชฌิมา คือ ยึดทางสายกลาง
การดำรงชีวิตโดยใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงกำกับให้จำอย่างง่ายๆ 3 ประการ คือ
ทุนชีวิต
ยั้งคิด
สมดุล
ทุนชีวิต
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใช้คำภาษาอังกฤษสำหรับหลักเศรษฐกิจพอเพียงของพระองค์ว่า Sufficiency Economy ซึ่งคำว่า Sufficiency แปลว่า "พอ, พอเพียง"
ดังนั้น การดำเนินการตามหลักทฤษฎีเบื้องต้น คือ ต้องทำให้การดำรงชีวิตมีความพอเพียงเสียก่อน หรือมีทุนชีวิตที่มั่นคงนั่นเอง การมีทุนชีวิตที่พอเพียงสามารถมองได้เป็น 2 แง่ คือ แง่ส่วนตัว และแง่ส่วนรัฐ
การสร้างทุนชีวิตให้พอเพียงในแง่ส่วนตัว คือ การรู้จักขวนขวาย ขยัน ประหยัด จนสามารถพึ่งพาตนเองได้ตามสภาพ อาชีพของตน
ในกรณีของชาวไร่ชาวนา หรือที่เรียกกันว่ารากแก้วรากหญ้าของประเทศ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานหลักเกษตรทฤษฎีใหม่ให้เป็นหลักเบื้องต้นในการสร้างทุนชีวิต นั่นคือ ให้เกษตรกรแบ่งที่ดินเป็น 4 ส่วน ส่วนหนึ่งเป็นแหล่งน้ำ ส่วนหนึ่งปลูกข้าวไว้บริโภค ส่วนหนึ่งทำเกษตรผสมผสาน คือปลูกพืชเลี้ยงสัตว์ และอีกส่วนหนึ่งเป็นที่อยู่อาศัย เพื่อให้เกษตรกรสามารถพึ่งพาตนเองได้
เหตุที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเน้นความช่วยเหลือไปที่ชาวไร่ชาวนาก่อน เพราะคนกลุ่มนี้เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ และยังมีทุนชีวิตที่ไม่ค่อยพอเพียง ส่วนข้าราชการ พ่อค้า นักธุรกิจ ก็ต้องหาทางสร้างทุนชีวิตอย่างขยันขันแข็ง จนสามารถพึ่งพาตนเองได้เช่นเดียวกัน เพราะถ้าไม่มีทุนชีวิตก็ยากที่จะพัฒนาให้เกิดความมั่นคงไปจนถึงร่ำรวยมั่งมีได้
ในส่วนของรัฐ รัฐก็ต้องสนับสนุนให้ประชาชนมีทุนชีวิตที่ดี โดยการบริการด้านการศึกษา การสาธารณูปโภค นับตั้งแต่เส้นทางและยานพาหนะในการคมนาคม การชลประทาน การไฟฟ้า การประปาอย่างพอเพียง ตลอดจนการให้ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินอย่างเต็มที่อีกด้วย
ยั้งคิด
ความยั้งคิด ถือเป็นหลักเตือนใจพิเศษของผู้ยึดแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานแนวคิดว่า ต้องมีความพอประมาณ ความมีเหตุผล และการมีภูมิคุ้มกัน และยังตรัสอีกว่า ผู้ใช้หลักเศรษฐกิจนี้รวยได้ หมายความว่า เมื่อเรามีทุนชีวิตที่มั่นคงช่วยตัวเองได้อย่างพอเพียงแล้ว เมื่อจะต่อยอดทุนเพื่อให้เกิดความร่ำรวยก็สามารถทำได้ แต่ให้ทำด้วยความฉลาดรอบคอบ มีคุณธรรม จริยธรรม มีสติ ไม่โลภ มีเหตุผล ไม่เสี่ยงจนเกินไป เมื่อรวยมากก็ให้รู้จักพอ หรือคืนให้แก่สังคมบ้าง
สำหรับการต่อยอดทุนชีวิตเพื่อให้เกิดกำไรนี้ มีผู้ถกเถียงว่ากู้เงินได้หรือไม่
ความจริงแล้วเราสามารถกู้เงินได้ เพียงแต่ให้รู้จักประมาณความสามารถของตนในการบริหารทุน และความสามารถในการใช้คืน ให้อยู่ในความพอดี และไม่เสี่ยงเกินไป
สำหรับคนที่รวยแล้วก็ควรใช้เงินตามฐานะ เพราะเงินเป็นสิ่งที่ต้องหมุนไปตามหลักเศรษฐศาสตร์ ถ้าทุกคนพากันออมไว้หมดไม่ใช้ไม่ลงทุนเงินก็จะไม่หมุนไปถึงผู้อื่น
การอดออมเหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นสร้างทุนชีวิต แต่ถ้าคนรวยมากๆ แล้วไม่ฟุ้งเฟ้อก็มีผลดีในแง่ที่เป็นตัวอย่างแก่ผู้ที่ด้อยโอกาสกว่า เพราะฉะนั้น ผู้ที่มีเงินมากแล้วอยากใช้เงินให้คุ้มค่ากับที่เหน็ดเหนื่อยในการหามา ก็ควรใช้อย่างเงียบๆ อย่าไปสร้างค่านิยมโอเวอร์ ซึ่งไปกระตุ้นกิเลสของคนอื่นที่เขาไม่มีโอกาสเท่า ทำให้มีการใช้เงินเกินตัว การใช้เงินอย่างเงียบๆ ของคนรวยนี้ ก็ถือว่าเป็นความเสียสละอย่างหนึ่งเช่นกัน
การเสียสละของคนรวย สามารถทำได้หลายอย่าง ตัวอย่างเช่น คุณเล็ก วิริยะพันธุ์ ได้นำเงินส่วนใหญ่ไปสนับสนุนงานศิลปะโดยการสร้าเงมืองโบราณ ปราสาทสัจธรรม และพิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ ไว้ให้ลูกหลานไทยได้ชมเพื่อให้เกิดความภาคภูมิใจในชาติ เป็นต้น
หรืออย่าง บิล เกตส์ มหาเศรษฐกิจอันดับ 1 ของโลก ก็ก่อตั้งมูลนิธิของตนเองเพื่อช่วยเหลือชาวโลก โดยเกษียณจากการทำงานในบริษัทไมโครซอฟท์ของตนเอง แล้วมุ่งทำงานของมูลนิธิเพียงอย่างเดียว เขาเดินทางไปแสดงปาฐกถาในประเทศต่างๆ เพื่อหาทางช่วยเหลือคนยากจน และสนับสนุนคนด้อยโอกาสโดยไม่เลือกประเทศและสีผิวของประชาชน มูลนิธิของเขาบริจาคเงินเพื่อโครงการดังกล่าวปีละนับหมื่นล้านบาทเป็นประจำทุกปี
สมดุล
คือความพอดี หลักเศรษฐกิจพอเพียงจะประเมินความพอดีโดยใช้เหตุผลเป็นตัวชี้วัด ไม่ใช้อารมณ์หรือความรู้สึกเป็นตัวชี้วัด เช่น มีคนเคยถามว่า ถ้าราษฎรที่มีนิสัยขี้เกียจทำมาหากิน และเขาอ้างว่าเขามีความพอเพียงแล้ว เราจะสร้างความเข้าใจความหมายของคำว่าพอเพียงให้แก่เขาได้อย่างไร ในข้อนี้ต้องดูว่าบุคคลดังกล่าวมีคุณภาพชีวิตที่ดีแล้วหรือยัง มีที่อยู่อาศัยที่มั่นคงไหม มีความเป็นอยู่ถูกสุขอนามัยหรือไม่ มีเงินออมไว้ใช้ยามเจ็บป่วย แก่ชราไหม และได้ให้การศึกษาแก่ลูกหลานอย่างพอเพียงที่เขาจะนำไปใช้ดำรงชีวิตในอนาคตหรือไม่
หลักเศรษฐกิจพอเพียงไม่ปฏิเสธทุนนิยม โดยปกติหลักเศรษฐกิจแบบทุนนิยมจะมุ่งเน้นการลงทุนเพื่อผลกำไรเป็นเงิน แต่หลักเศรษฐกิจแบบพอเพียงจะเน้นผลกำไรเป็นความสุข
ตามที่อาจารย์เกษียร เตชะพีระ ได้เขียนบทความเรื่อง "อีคาวโนมิคส์" ลงในมติชน ฉบับวันศุกร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2550 มีการกล่าวถึงโมเดลเศรษฐกิจแบบทุนนิยมว่า "คุณมีวัว 2 ตัว คุณขายตัวหนึ่งแล้วเอาเงินไปซื้อกระทิงพ่อพันธุ์ ฝูงวัวของคุณเพิ่มทวีขึ้นและเศรษฐกิจก็เติบโต คุณขายฝูงวัวทิ้งแล้วเลิกทำมาหากิน อาศัยเงินที่ขายวัวได้นั่งกินนอนกินได้สบายใจเฉิบ"
สำหรับหลักเศรษฐกิจพอเพียงก็อาจเปรียบเทียบได้ว่า เมื่อคุณมีวัว 2 ตัว คุณต้องเลี้ยงวัว 2 ตัวให้ดี คุณจะได้ดื่มนมวัวของคุณเอง เมื่อวัวโตเต็มที่ ก็จะผสมพันธุ์กันได้ลูกวัว ซึ่งถ้าคุณเลี้ยงวัวดีอ้วนท้วน ไม่มีโรค วัวก็จะให้ลูกมาก อาจไม่มากเท่ากระทิงของทุนนิยม แต่เจ้าของวัวก็มีความสุขที่ไม่ต้องลงทุนเลี้ยงกระทิงดุ ซึ่งมีความเสี่ยง เพื่อรอคอยผล คือความสุขเมื่อขายฝูงวัวไปแล้ว
หลักเศรษฐกิจพอเพียงจะให้ความสุขตั้งแต่เลี้ยงวัวธรรมดาๆ ให้ดี และมีความสุขตั้งแต่ยังไม่ต้องขายฝูงวัว เป็นความสุขที่ได้เลี้ยงวัวด้วยความรัก ไม่ต้องกังวลในการหมุนเงินมาใช้หนี้ค่าตัววัวกระทิงที่ไปซื้อมาจากต่างประเทศ เจ้าของวัวก็ไม่เสี่ยงต่อการขาดทุน
ดังนั้น หลักเศรษฐกิจพอเพียง จึงมีความแข็งแกร่ง ไม่สุดโต่ง ทั้งยังเป็นรากฐานที่มั่นคงของการพัฒนาแบบยั่งยืน ซึ่งชาวโลกทั้งหลายกำลังมองหาอยู่ในปัจจุบันนี้
..............................................................
เป็นบทความที่ขยายแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น ซึ่งหลักทฤษฎีใหม่นี้เป็นสิ่งที่ทำให้เห็นเป็นรูปธรรมในภาคเกษตร ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์กระแสหลักอาจจะครอบคลุมเกี่ยวกับเรื่องของทุน แรงงาน ตลาด รัฐ ซึ่งดูซับซ้อน แต่ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงดูเหมือนจะทวนกระแสทุนนิยมซึ่งเน้นการบริโภคนิยมที่สุดโต่ง และทำให้การประยุกต์หลักเศรษฐศาสตร์เชิงพุทธมีความเป็นไปได้มากขึ้นในสังคมไทย(ซึ่งถูกขยายความโดยพระธรรมปิฎก มีพิมพ์เป็นหนังสือแล้ว) และแนวคิดของชูเมกเกอร์(ผู้เขียนหนังสือ "จิ๋วแต่แจ๋ว-Small is beautiful)ที่เน้นการทำธุรกิจที่มีขนาดเล็กแต่มีความสุขในการทำงาน ให้ความสำคัญของเทคโนโลยี่ที่เหมาะสมสอดคล้องกับสภาพทางสังคมที่เราดำรงชีวิตอยู่