บ้านที่มีความรักและความอบอุ่นคือจินตนาการของคนไทยยามนี้ !
Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2552
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
 
5 กุมภาพันธ์ 2552
 
All Blogs
 
จด ๆ จ้อง ๆหรือตัดสินใจเด็ดเดี่ยว






ณ เวลานี้การตัดสินใจเดินหน้าทำอะไรคงต้องคิดให้หนัก ๆ หน่อย
แต่ไม่ได้หมายความว่ามัวแต่จด ๆ จ้อง ๆ ไม่ยอมทำอะไร?
หากงานเดิมยังพอมีฐานอยู่บ้างและพอทำกำไรได้ในระดับหนึ่ง
ก็คงต้องรีบตัดสินใจก่อนที่สภาพคล่องทางการเงินจะหนักหน่วงมากกว่านี้

ไม่มีใครรู้หรอกว่าวิกฤตที่อเมริกาจะลากยาวไปอีกกี่ปี
แต่ประเทศไทยธุรกิจที่ได้รับผลกระทบตรง ๆ คือโรงงานที่เป็นการลงทุนจากต่างชาติโดยเฉพาะเกี่ยวกับอุตสาหกรรมอิเล็คโทรนิกส์และรถยนต์
ซึ่งโดนไปก่อนเป็นด่านแรกเนื่องจากความจำเป็นในการเปลี่ยนคอมพิวเตอร์หรือรถยนต์อาจเลื่อนการซื้อไปก่อนได้

สำหรับธุรกิจรายย่อยที่เป็นตลาดภายในที่เป็นการค้าขายกันเองในหมู่คนไทยไม่มีอะไรต้องกังวล
ตราบใดที่คนต้องกินต้องใช้
ธุรกิจเกี่ยวกับปัจจัยสี่และเกี่ยวกับสุขภาพ,ความสะดวกสบายต่าง ๆ รวมทั้งเอนเตอร์เทนน่าจะยังไปได้ดี
คงไม่มองโลกในแง่ดีเกินไป

ปัญหาอยู่ตรงที่ทุนที่ใส่ไปในกิจการยังเหลืออยู่เท่าไร
และยังพอมีทุนใหม่ใส่ลงไปได้อีกนานแค่ไหน
คงเป็นเรื่องการวางแผนทางการเงิน
ที่ต้องคำนึงเรื่องสายป่านมากอยู่เหมือนกัน

ยังไงก็อย่าเพิ่งท้อและถอยไปก่อน
งานนี้ถ้าหลังชนฝาก็ต้องสู้ไม่ถอยสถานเดียวเท่านั้น

เมื่อตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวแล้ว
มาดูกันว่าใครจะแพ้ก่อนกัน
ระหว่างอุปสรรคกับคนที่ยังมีจิตใจที่ต่อสู้กับปัญหา?

....................................................




""""""""""""""""""""""""""""""""






Album: My Music
Genre: Jazz
Language: English
Artist: Dave Koz
Tags: The Way We Were
Lyrics:


Mem'ries,
Light the corners of my mind
Misty water-colored memories
Of the way we were
Scattered pictures,
Of the smiles we left behind
Smiles we gave to one another
For the way we were
Can it be that it was all so simple then?
Or has time re-written every line?
If we had the chance to do it all again
Tell me, would we? Could we?
Mem'ries, may be beautiful and yet
What's too painful to remember
We simply choose to forget
So it's the laughter
We will remember
Whenever we remember...
The way we were...
The way we were...

ลิ้งเพลงนี้--->//www.ijigg.com/songs/V2C7BDDPD
//www.ijigg.com/songs/V2C7BDDPD



............................................

บล็อกที่แล้ว--->//www.bloggang.com/mainblog.php?id=balanceofsociety&month=26-01-2009&group=14&gblog=28
//www.bloggang.com/mainblog.php?id=balanceofsociety&month=26-01-2009&group=14&gblog=28


Create Date : 05 กุมภาพันธ์ 2552
Last Update : 30 สิงหาคม 2552 6:34:18 น. 4 comments
Counter : 1375 Pageviews.

 
ค่าย มิตซูบิชิ หั่นกำลังผลิตรถในไทย50%

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์


"มิตซูบิชิ มอเตอร์ส" ประกาศลดการผลิตรถยนต์ในไทย 50% ในครึ่งแรกของปีนี้ นำร่องลดผลิต-จ่ายชดเชยเลิกจ้างซับคอนแทรคท์ 1 พันคน

" มิตซูบิชิ มอเตอร์ส" ประกาศลดการผลิตรถยนต์ในไทย 50% ในครึ่งแรกของปีนี้ รับพิษเศรษฐกิจโลกตกต่ำ ออเดอร์หดชี้ตลาดยุโรปมีปัญหา นำร่องลดผลิต-จ่ายชดเชยเลิกจ้างซับคอนแทรคท์ 1 พันคน ขณะที่มิตซูบิชิญี่ปุ่นแจงปีนี้ขาดทุน 6 หมื่นล้านเยน เช่นเดียวกับมาสด้าขาดทุนกว่า 1.3 หมื่นล้านเยน

นายทาเคโอะ ซากูไร ผู้จัดการบริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวเอเอฟพี วานนี้ (5 ก.พ.) ว่า มิตซูบิชิ มอเตอร์ส จะลดการผลิตรถยนต์ที่โรงงานในไทยลง 50% ภายในครึ่งแรกของปีนี้ เพราะได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจโลก นอกจากลดการผลิตลงครึ่งหนึ่งจากปี 2551 แล้ว ยังได้ลดคนงานชั่วคราว 1,100 คนเมื่อเดือน ม.ค. และลดชั่วโมงการทำงานสำหรับคนงานประจำ 3,700 คนด้วย

"ความต้องการในตลาดส่งออกหลักๆ ของเราแทบทุกตลาด ลดลงเกือบ 19% เมื่อปีที่แล้ว เป็นการยากที่จะคาดการณ์ หรือทำนายสถานการณ์เศรษฐกิจโลก เราต้องเห็นหรือทราบว่ามีความต้องการมากน้อยเท่าไร และตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อไป"

นายซากูไร กล่าวด้วยว่า เมื่อปี 2551 ที่ผ่านมา บริษัทผลิตรถยนต์และรถกระบะรวม 2 แสนคัน ที่โรงงาน 2 แห่งในจังหวัดชลบุรี โดย 90% ของผลผลิต มุ่งส่งออกไปยุโรป ตะวันออกกลาง ละตินอเมริกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ก่อนหน้านี้ เมื่อเดือน พ.ย.ปี 2551 บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส ในไทยก็กล่าวว่าจะระงับการประกอบรถสำหรับเดือน ธ.ค. และส่วนใหญ่ของเดือน ม.ค. รวมถึงลดงาน 250 ตำแหน่ง สืบเนื่องจากความต้องการซบเซา

ชี้เหตุตลาดยุโรปมีปัญหา
นายสุวิช เบญจาทิกุล ผู้จัดการทั่วไป สำนักการผลิต บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ดูแลการผลิตในโรงงานแหลมฉบัง เปิดเผยว่า มิตซูบิชิเตรียมจะปรับลดกำลังการผลิตในเดือน ก.พ.นี้ เนื่องจากความต้องการและคำสั่งซื้อต่างประเทศที่หดตัวลง เนื่องจากที่ผ่านมา บริษัทพึ่งพาตลาดส่งออกมากถึง 80% ขณะที่การผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศมีเพียง 20% เท่านั้น

ทั้งนี้ กำลังการผลิตที่จะปรับลดลง เป็นการปรับลดเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพตลาดโดยรวมของไตรมาส 1 ที่หดตัวลง 30-40% แต่อย่างไรก็ตาม ตัวเลขดังกล่าวถือว่าไม่ลดลงรุนแรงเหมือนที่ประเมินไว้ในช่วงก่อนหน้านี้

นายสุวิช กล่าวว่า สำหรับตลาดที่มีปัญหา ก็คือ ยุโรป ซึ่งเป็นตลาดหลักที่มิตซูบิชิส่งออกรถไปจำหน่าย และนับตั้งแต่เกิดวิกฤติการเงินในสหรัฐ ภูมิภาคยุโรป เป็นภูมิภาคแรกที่รับผลกระทบต่อเนื่องจากสหรัฐ

เล็งจ่ายชดเชยเลิกจ้างพันคน
สำหรับแนวทางการจัดการ ปัญหาเพื่อรองรับการปรับลดการผลิตของโรงงาน มิตซูบิชิไม่ต่อสัญญากับพนักงานกลุ่มซับคอนแทรคท์ ที่ครบกำหนดระยะสัญญาว่าจ้างจำนวนประมาณ 800-1,000 คน โดยจะจ่ายเงินชดเชยให้ตามกฎหมายแรงงาน

ทั้งนี้ ทางออกของมิตซูบิชิ คือ บริษัทแม่อยู่ระหว่างการหาตลาดใหม่ ซึ่งก็ดำเนินอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เนื่องจากปัจจุบันมิตซูบิชิ ประเทศไทย ก็ส่งออกไปยังตลาดสำคัญครบหมดแล้วกว่า 140 ประเทศทั่วโลกอยู่แล้ว
ส่วนตัวเลขการผลิตในปี 2551 นั้น มิตซูบิชินั้นจะปิดรอบบัญชีในเดือน มี.ค. ส่วนปี 2550 นั้น มียอดการผลิตรวมกว่า 1.6 แสนคัน

สำหรับภาพรวมอุตสาหกรรมรถยนต์ของไทยนั้น ตลาดส่งออกนับว่ามีบทบาทสำคัญอย่างมาก นับตั้งแต่ผู้ผลิตเริ่มปรับตัวหาตลาดต่างประเทศลดความเสี่ยงตั้งแต่เกิด วิกฤติเศรษฐกิจช่วงปี 2539-2540 และขยายตัวอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด จนล่าสุดปี 2551 ไทยมีตลาดส่งออกคิดเป็นสัดส่วน 70% ของกำลังการผลิตทั้งหมดเกือบ 1.4 ล้านคัน

อย่างไรก็ตาม วิกฤติเศรษฐกิจครั้งนี้ลุกลามไปทั่วโลก ส่งผลให้ตลาดเป้าหมายต่างๆ ได้รับผลกระทบตามไปด้วย ทำให้คำสั่งซื้อรถยนต์จากไทยลดลง ทั้งนี้ ตลาดหลักการส่งออกของไทย คือ เอเชีย ออสเตรเลีย และตะวันออกกลาง มีสัดส่วนแห่งละประมาณ 30% ที่เหลือเป็นตลาดอื่นๆ อาทิเช่น แอฟริกา และอเมริกากลาง และอเมริกาใต้

ตลาดเอเชียเริ่มส่งสัญญาณติดลบตั้งแต่กลางปี 2551 ขณะที่ตลาดออสเตรเลีย เริ่มเห็นผลในเดือน ธ.ค. 2551 เหลือตลาดตะวันออกกลางที่เป็นความหวัง เนื่องจากมีคำสั่งซื้อที่เติบโตมาโดยตลอดในปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ถึงเดือน ม.ค. 2552 ปรากฏว่าคำสั่งซื้อลดลง ทำให้ผู้ส่งออกของไทยวิตกกังวลกับตลาดส่งออกมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม หากมองในแง่บวก ก็เชื่อว่าไทยยังมีโอกาส เนื่องจากปัจจุบันไทยเป็นฐานการผลิตใหญ่รถปิกอัพ 1 ตันของโลก ดังนั้น ถ้าประเทศใดต้องการใช้งานรถนี้ ก็จะต้องสั่งซื้อจากไทย ความกดดันด้านการแข่งขันจึงไม่มี รอเพียงแค่กำลังซื้อของลูกค้าต่างประเทศฟื้นตัวกลับคืนมาเท่านั้น

มิตซูฯ-มาสด้าฯญี่ปุ่นขาดทุนหนัก
ในทิศทางเดียวกัน เมื่อวันพุธ (4 ก.พ.) บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ในญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับ 4 ของประเทศ คาดการณ์ว่าจะขาดทุนสุทธิ 6 หมื่นล้านเยนสำหรับปีที่สิ้นสุดเดือน มี.ค. 2552 นี้ เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้านี้ ซึ่งมีกำไรกว่า 3.47 หมื่นล้านเยน นอกจากนั้น มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ยังกล่าวว่าจะถอนตัวจากการแข่งขันแรลลี่ดาการ์ ทั้งที่ชนะมาถึง 12 ครั้ง

"ในจุดนี้ ผมไม่สามารถตัดสินได้ว่า สิ่งต่างๆ จะถึงจุดต่ำสุดในปีงบประมาณ 2552 เรากำลังเตรียมตัวรับมือสภาพแวดล้อมในการดำเนินงานที่ยากลำบากสุดๆ ในปีงบประมาณ 2552" นายโอซามุ มาซูโกะ ประธานมิตซูบิชิ มอเตอร์สกล่าว

ส่วนมาสด้า มอเตอร์ ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับ 5 ของญี่ปุ่น คาดการณ์ในทำนองเดียวกันว่าจะขาดทุน อันเนื่องมาจากยอดขายที่ซบเซาในสหรัฐอเมริกา และจำเป็นต้องลดงาน 500 ตำแหน่งในญี่ปุ่น

"เราอยู่ในสถานการณ์ที่ร้ายแรงมาก ขนาดที่เราไม่ทราบว่ายืนอยู่ที่ไหน" นายทาเคชิ ยามานูชิ ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหารมาสด้ากล่าว

ทั้งนี้ มาสด้าซึ่งมีบริษัทฟอร์ดในสหรัฐ เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด คาดว่าจะขาดทุนสุทธิ 1.3 หมื่นล้านเยน ซึ่งนับว่าแตกต่างอย่างมาก จากยอดที่เคยมีกำไรสุทธิมากเป็นประวัติการณ์กว่า 9.18 หมื่นล้านเยน เมื่อปี 2551 ที่ผ่านมา
อย่าง ไรก็ตาม ผู้บริหารมาสด้าญี่ปุ่น ยืนยันว่า ยังมียอดขายเติบโต 38% ในจีนในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ แต่ยอดขายในญี่ปุ่นและสหรัฐนั้นลดลง

มาสด้ายันเดินหน้าเปิดรง.ในไทย
ถึงกระนั้น ผู้บริหารมาสด้า เผยว่ามีแผนจะเปิดโรงงานรถยนต์นั่งส่วนบุคคลในไทย ตามกำหนดภายในสัปดาห์นี้ โดยจะดำเนินงานร่วมกับฟอร์ด

"เราจะเดินหน้าและผลิตรถยนต์ แต่จะประเมินผลผลิตด้วยการจับตามองความต้องการอย่างใกล้ชิด" นายยามานูชิกล่าว

ทางด้านฟูจิ เฮฟวี อินดัสตรีส์ ซึ่งผลิตรถยี่ห้อซูบารุ กล่าวว่า ขาดทุน 165 ล้านดอลลาร์ ในช่วง 9 เดือนนับถึงเดือน ธ.ค. สำหรับซูซูกิ มอเตอร์ส ก็รายงานกำไรสุทธิลดลง 68% ในช่วง 9 เดือนนับถึงเดือน ธ.ค. เหลือ 21,630 ล้านเยน


โดย: คนเดินดินฯ IP: 124.121.241.128 วันที่: 6 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:9:43:25 น.  

 
จากไทยรัฐ

อุ้มคนในบ้านสำคัญกว่า [6 ก.พ. 52 - 15:54]

ดร. โอฬาร ไชยประวัติ อดีตรองนายกฯฝ่ายเศรษฐกิจรัฐบาลที่แล้ว ออกมาให้ตัวเลขเศรษฐกิจไทยในช่วงนี้ว่า จีดีพีประเทศ ไทยปีนี้จะตกต่ำมากที่สุดในโลก จะติดลบประมาณ 4.05 เปอร์เซ็นต์ ถ้าหากไม่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ประสบผลสำเร็จ ทำให้คนฟังแล้วตกอกตกใจไปตามๆกัน



ดร.โอฬารให้ความสำคัญกับตัวเลขส่งออกที่ลดลงไปมาก ธันวาคมยอดส่ง ออกลดลงร้อยละ 20 มกราคมปีนี้คาดว่าจะลดลงไปอีกไม่น้อยกว่าร้อยละ 25



ยอดส่งออกที่ลดไปนี้ ดร.โอฬาร บอกว่ามาจาก 3 กลุ่มหลัก คือ อุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และ การท่องเที่ยว คิดเป็น สัดส่วนสูงร้อยละ 60 ของยอดส่งออกทั้งหมด และเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือ ด้วยการปล่อยสินเชื่อผ่านธนาคารรัฐในอัตราดอกเบี้ยต่ำ เพื่อให้ผู้ประกอบการอยู่ได้ มิฉะนั้น จะมีการเลิกจ้างงาน 1-1.5 ล้านคน



เรื่องนี้ผมคิดว่า ควรแยก 2 อุตสาหกรรม คือ ยานยนต์ กับ อิเล็กทรอนิกส์ ออกไปจาก การท่องเที่ยว เสียก่อน จึงจะมองภาพชัด โดยเฉพาะเรื่อง คนว่างงาน ถ้าเอาการท่องเที่ยวเข้าไปปนด้วย จะทำให้ภาพการว่างงานบิดเบือนไป



ในข้อเท็จจริง อุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์จ้างคนไม่มาก เพราะเป็นอุตสาหกรรมกึ่งสำเร็จรูป นำชิ้นส่วนจากต่างประเทศเข้ามาประกอบเป็นสินค้าเพื่อส่งออกใหม่เท่านั้น การประกอบสินค้าก็ ใช้เครื่องจักรอัตโนมัติเป็นหลัก เช่น บริษัทรถยนต์โตโยต้า ที่ครองตลาดในประเทศและตลาดส่งออกเกือบร้อยละ 50 มูลค่ากว่าแสนล้านบาท มีการจ้างงานไม่ถึงสองหมื่นคนด้วยซ้ำ



การ อุ้มอุตสาหกรรมส่งออกเหล่านี้ ผมอยากให้รัฐบาลคิดให้รอบคอบ เอาเงินภาษีของคนไทยทั้งประเทศไป อุ้มบริษัทข้ามชาติแล้วคนไทยจะได้อะไร ถ้าได้แค่ “ค่าแรงงาน” อย่าง เดียวอย่างที่เป็นอยู่ ก็ไม่คุ้ม และ ไม่ควรอุ้ม เอาเงินภาษีของคนไทยมาอุ้มคนไทยด้วยกันเองดีกว่า ผลประโยชน์จะตกอยู่กับคนไทยและประเทศไทยเต็มๆ



อย่า เอาอย่างสหรัฐฯและยุโรป ที่เอาเงินก้อนโตไปอุ้มบริษัทรถยนต์ของเขา เพราะบริษัทเหล่านั้นคือ อุตสาหกรรมหลักของประเทศสหรัฐฯและยุโรป เป็นอุตสาหกรรมที่นำรายได้เข้าประเทศมหาศาล ไม่ใช่เป็นแค่ “โรงงานรับจ้างผลิต” อย่างประเทศไทย



เรื่องมูลค่าการส่งออกที่สูงถึงร้อยละ 60 ของจีดีพีประเทศไทย ถ้าไม่ ช่วยแล้วจีดีพีไทยปีนี้จะติดลบ ผมคันไม้คันมืออยากเขียนเรื่องนี้มานานแล้ว



ทุก วันนี้ จีดีพีประเทศไทยเอียงกระเท่เร่ ไม่สมดุลมานานหลายปีแล้ว นับตั้งแต่ รัฐบาลทุนนิยมสุดโต่ง ปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจประเทศไทย เปลี่ยนไร่นาเป็นโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อ “รับจ้างต่างชาติผลิตสินค้า” จนหลายปีมานี้ รายได้จากสัดส่วนการส่งออกสูงถึงร้อยละ 70 ของจีดีพี ซึ่งน่าห่วงเป็นอย่างยิ่ง



เวลาก็ได้พิสูจน์แล้วว่า มูลค่าการส่งออกที่ลดลงแค่ร้อยละ 20-25 ก็ส่งผลกระทบต่อจีดีพีของไทยถึงขั้นติดลบ แต่คนไทยทั่วไปอาจไม่รู้สึก เพราะรายได้ส่วนนี้คนไทยไม่เคยได้จับต้อง นอกจากตัวเลขที่ลงบัญชีว่าส่งออกไปจากประเทศไทย เพราะเป็นรายได้ของบริษัทต่างชาติ คนไทยได้แค่ “ค่าแรง” รับจ้างผลิตเท่านั้นเอง



ในช่วงวิกฤติอย่างนี้ ผมคิดว่า เป็นช่วงโอกาสที่เหมาะที่สุด ที่ นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะใช้โอกาสนี้ “ปรับสมดุลจีดีพีเศรษฐกิจ ไทย” ให้ ภาคการส่งออก กับ เศรษฐกิจในประเทศ เกิดความสมดุลกันในอัตราส่วน ร้อยละ 50 ต่อ 50 ซึ่งปลอดภัยที่สุด แทนที่จะเป็น 70-30 อย่างทุกวันนี้



การให้ความสำคัญต่อเศรษฐกิจในประเทศมากขึ้น จะทำคนไทย 64 ล้านคนได้ประโยชน์มากขึ้น ลดสัดส่วนการส่งออกลงมาให้สมดุลกัน แต่เพิ่มมูลค่าให้มากขึ้น



วันนี้รัฐบาลของ นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้มาถึง “จุดเปลี่ยน” ที่ สำคัญอีกจุดหนึ่งแล้ว เป็นจุดที่ นายกฯอภิสิทธิ์ จะต้องเลือกว่า จะให้น้ำหนักอุ้มเศรษฐกิจด้านไหน ระหว่าง การส่งออก กับ คนไทยในประเทศ 64 ล้านคน.



“ลม เปลี่ยนทิศ


โดย: คนเดินดินฯ IP: 124.121.241.128 วันที่: 6 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:9:49:33 น.  

 
จากไทยรัฐ

ม.หอการค้าสำทับจีดีพีติดลบ [6 ก.พ. 52 - 04:53]

นาย ธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์ เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ศูนย์ฯได้ปรับประมาณการภาวะเศรษฐกิจไทยปี 2552 โดยแบ่งสมมุติฐานออกเป็น 3 กรณี ได้แก่ กรณีแรก (มีโอกาสเกิดขึ้นมากสุด 60%) ภายใต้ปัจจัยเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงอย่างมากในครึ่งปีแรก และกลับมาฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง ประกอบกับการเมืองไทยมีเสถียรภาพมากขึ้นและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล เริ่มมีผลในช่วงครึ่งปีหลัง จะทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ขยายตัวติดลบ 1.0% เป็นการขยายตัวต่ำสุดในรอบ 10 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2542 เป็นต้นมา

ทั้งนี้ เป็นผลจากการส่งออกติดลบ 5.8% มูลค่า 165,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพราะภาคส่งออกไทยมีสัดส่วน 65% ของจีดีพีประเทศ โดยสินค้าส่งออก 10 อันดับแรกของไทย มีถึงสัดส่วน 40% เช่น กลุ่มยาน-ยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และอัญมณี เป็นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยที่คาดว่ายอดส่งออกจะลดลง 10-30% ทำให้มีอัตราการว่างงาน 900,000 คน ถึง 1.2 ล้านคน หรือคิดเป็นอัตราว่างงาน 2.3-3.1% เพิ่มขึ้นจากปี 2551 ที่มีการว่างงาน 500,000 คน หรือ 1.5% ขณะที่เงินเฟ้อติดลบ 0.1-1% ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกไทยจะต้องเผชิญกับภาวะเงินฝืด โดยอัตราเงินเฟ้อจะขยายตัวติดลบจนถึงเดือน ส.ค. ก่อนฟื้นกลับมาในช่วงครึ่งปีหลัง และเศรษฐกิจไทยจะเผชิญกับจุดต่ำสุดในช่วงไตรมาส 2 และฟื้นตัวกลับมาในไตรมาส 3 ทำให้คาดว่าครึ่งปีแรกเศรษฐกิจไทยจะติดลบ 3-5%

“แม้หลายประเทศจะมีการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ภาพของสถาบันการเงินที่ยังมีปัญหา บ่งชี้ว่าการบริโภคทั่วโลกทรุดตัวอยู่ ดังนั้น การส่งออกที่ติดลบ 5% จะทำให้มูลค่าหายไป 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 350,000 ล้านบาท เมื่อรวมกับภาคการท่องเที่ยวปีนี้ที่คาดว่าจะลดลง 5-10% หรือรายได้หายไป 70,000-100,000 ล้านบาท มีผลต่อจีดีพีประเทศลดลง 3-4% เพราะรายได้ที่หายไป 100,000 ล้านบาท จะทำให้จีดีพีลดลง 1%”

สำหรับกรณี 2 (มีโอกาสเกิดขึ้น 15%) ซึ่งเป็นกรณีเลวร้ายสุด คือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศต่างๆยังไม่ได้ผล และทำเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวปลายปี ประกอบกับการเมืองไทยขาดเสถียรภาพ จะทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวติดลบ 2.8% เป็นผลจากการส่งออกติดลบ 10% มูลค่า 157,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เงินเฟ้อติดลบ 1.3-2.3% และมีการว่างงาน 1.3-1.5 ล้านคน หรือ 3.4-3.9% และกรณี 3 (มีโอกาสเกิดขึ้น 25%) ถือเป็นสถานการณ์ดีที่สุด คือ เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงในช่วงครึ่งปีแรก และฟื้นตัวช่วงกลางปี ประกอบกับการเมืองไทยมีเสถียรภาพ จะทำให้จีดีพีขยายตัวได้ 0.8% การส่งออกขยายตัว 0% มูลค่า 175,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ อัตราเงินเฟ้ออยู่ระดับ 0.0-1.0% และอัตราการว่างงาน 700,000-900,000 คน หรือ 1.9-2.3%

นายธนวรรธน์กล่าวว่า เศรษฐกิจขณะนี้มีโอกาสติดลบมากที่สุด แต่ยังมีโอกาสเป็นบวก หากรัฐบาลอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการกู้ยืมเงินเข้ามาอัดฉีดระบบเศรษฐกิจมากขึ้น เพราะมองว่างบประมาณกลางปีเพิ่มเติม 120,000 ล้านบาท และงบดูแลสินค้าเกษตรอีก 100,000 ล้านบาท ยังไม่เพียงพอ หากอยากให้เศรษฐกิจไทยเป็นบวก รัฐบาลควรเร่งอัดเม็ดเงินเข้าไปทดแทนรายได้จากภาคส่งออกและท่องเที่ยวที่หาย ไปถึง 400,000 ล้านบาท และจะต้องเร่งรัดให้เม็ดเงินทั้งหมดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจภายใน เม.ย. โดยอาจเน้นไปในด้านการลดภาษีให้ภาคธุรกิจประมาณ 100,000 ล้านบาท และช่วยเสริมด้านสภาพคล่องให้สถาบันการเงินปล่อยกู้อีก 50,000-100,000 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้จีดีพีพลิกกลับมาขยายตัว 1%

ส่วนอัตราดอกเบี้ยปีนี้ คาดว่าจะยังปรับตัวลดลงอีก ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยควรใช้อัตราดอกเบี้ยเชิงนโยบายเป็นเครื่องมือรักษา เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ อาจจะทยอยลดลงอีก 1% หรือลดครั้งละ 0.5-0.75% ก็ได้

ด้านนายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลังระบุว่า มีความเป็นไปได้ถึง 80% ที่จีดีพีของไทยในปีนี้จะขยายตัวได้ในอัตรา 2% เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจในด้านต่างๆ อยู่ในระดับที่เอื้อต่อการเติบโตในระดับดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่อาจจะติดลบได้ หากแผนการใช้จ่ายเงินงบ ประมาณหรือมาตรการที่รัฐบาลได้ประกาศออกไปไม่เป็นไปตามที่ตั้งใจไว้ และเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะไม่ติดลบ 4.05% อย่างที่นายโอฬาร ไชยประวัติ อดีตรองนายกรัฐมนตรีระบุ.


โดย: คนเดินดินฯ IP: 124.121.241.128 วันที่: 6 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:9:52:01 น.  

 
จากกรุงเทพธุรกิจ

ข้าวกล้องงอก..เป็นเงิน

โดย : จุฑารัตน์ ทิพย์นำภา



ข้าวกล้อง
ภาพประกอบข่าว


นัก วิจัยพบข้าวกล้องงอกมีสาร "กาบา" เสริมระบบประสาทส่วนกลาง ช่วยให้หลับดี กันแก่ก่อนวัย เอกชนสนกระแสสุขภาพ เร่งทำตลาดใน-ต่างประเทศ

มัน เกิดอะไรขึ้น หันไปทางไหนก็ได้ยินแต่คนพูดถึง ข้าวกล้องงอก ข้าวกล้องงอก...ลองรึยัง ของเขาดีนะ ไม่เฉพาะแต่เอสแอนด์พีที่เปิดเมนูข้าวกล้องงอก มาบุญครองก็งอกข้าวกล้องเหมือนกัน หรือนี่คือพลังของ Viral Marketing

บอก ตามตรง ต่อให้รักสุขภาพแค่ไหน ถ้าใจไม่แข็งจริง มือใหม่หัดกินข้าวกล้องมักทนรสชาติฝืดกระเดือกลงคอลำบากได้ไม่นาน ถ้าไม่เซย์กู๊ดบายไปเลยก็ยึดแนวเกษตรผสมผสาน คือหุงข้าวหอมมะลิหนึ่งส่วน ข้าวกล้องหนึ่งส่วนผสมกันให้พอยืดอกบอกกับพวกคลั่งรักสุขภาพได้อยู่ว่า "ฉันกินข้าวกล้องนะ"

จะว่าไป นับตั้งแต่มีหม้อหุงข้าวไฟฟ้าใช้ คนไทยน่าจะมีสุขภาพดีขึ้นโดยไม่รู้ตัว สมัยก่อนหุงข้าวเตาแก๊ส หรือเตาถ่าน ต้องนั่งเฝ้าอยู่หน้าเตาคอยคนข้าว และใช้ศิลปะขั้นสูงเพื่อดู 'ข้าวบาน' พอบานได้ที่แล้วเอาฝามาปิด และอุปกรณ์ที่มีทุกบ้าน คือ ไม้ขัดฝาหม้อสำหรับเทน้ำข้าว มีใครเคยซดน้ำข้าวโรยเกลือป่นบ้างไหม พ.ศ.นี้

ริน น้ำข้าวใส่จานเสร็จแล้ว คีบถ่านออกจากเตาราไฟ หรือหรี่แก๊สก็ตามที ค่อยยกหม้อข้าวมาตั้งเตาใหม่ แม่เรียกว่า 'ดง' ไล่ไอน้ำบางส่วนออกไปตะแคงซ้ายตะแคงขวา พร้อมตั้งโต๊ะ

พอมีหม้อหุงข้าว ไม่ต้องเทน้ำข้าวทิ้งให้หมาซด มันก็ปนอยู่ในข้าวนั่นแหละเราก็เลยได้วิตามินจากน้ำข้าวไม่รู้ตัว

ดู เหมือนแค่นั้นยังไม่พอ เพราะข้าวขาวที่รับประทานกันอยู่ทุกวี่วันมันถูกสีจนขาวจั๊วน่าเจี๊ยะ แต่เสียดายวิตามินและสารอาหารพลอยถูกขัดสีฉวีวรรณออกไปด้วย คนยุคใหม่เลยหันกลับไปหาข้าวกล้อง หรือซ้อมมือ (แปลกดี ทั้งที่ใช้เท้าเหยียบครกกระเดื่องน่าจะเรียกข้าวซ้อมตีนมากกว่า) เพราะยังคงสารอาหาร และสารพัดวิตามินกินแล้วสมบูรณ์แทน
ข้าวกล้อง มีประโยชน์ไม่มีใครเถียง แต่ต้องขอขัดคอ (ตามความหมายตรงตัวเป๊ะ) เสียหน่อยว่า 'มันฝืด' กินอร่อยสู้ข้าวหอมมะลิไม่ได้ แต่เพื่อสุขภาพต้องยอมทนกินไปบ่นไปจนหมดจาน

แต่ใครก็ไม่รู้หัวใส เอาข้าวกล้องไปแช่น้ำให้มันนุ่มก่อนเอาไปหุง แล้วเห็นมีอะไรบางอย่างงอกออกมา ส่วนที่งอกโผล่ออกมาจากปลายข้าวนักวิทยาศาสตร์เรียกมันว่า 'สารกาบา' ที่พูดกันปากต่อปากว่าช่วยป้องกันโรคต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง เบาหวาน และที่โดนมากสำหรับผู้หญิงคือ การควบคุมนํ้าหนักตัวได้ด้วย

พัชรี ตั้งตระกูล อาจารย์จากสถาบันค้นคว้าและพัฒนา ผลิตภัณฑ์อาหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บอกว่า ข้าวกล้องงอกถูกพัฒนาขึ้นเพื่อลบจุดอ่อนของข้าวกล้องในรูปแบบเดิมๆ ซึ่งไม่เหมาะต่อการบริโภคเพราะเนื้อแข็ง กินไม่อร่อย

จุดอ่อนของ ข้าวกล้องธรรมดาอีกอย่างคือ หลังกะเทาะเปลือกแล้วจะเก็บรักษาไว้ได้ไม่นาน เนื่องจากกรดไขมันในข้าวกล้องเสื่อมสภาพทำให้เกิดกลิ่นเหม็นหืน และก่ออนุมูลอิสระ กินแล้วแทนที่ร่างกายจะแข็งแรงอาจป่วยไม่สบายได้

ต่าง จาก ข้าวกล้องงอก หรือ Germinated Brown Rice หรือ GABA-rice ซึ่ง เป็นข้าวกล้องที่ผ่านกระบวนการงอกตามปกติ ง่ายมากแค่เอาไปแช่น้ำเท่านั้น ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม แต่กลับได้สารอาหารเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ใยอาหาร กรดไฟติก วิตามินซี วิตามินอี และ สารกาบา คุยว่าป้องกันได้หลายโรค ข้าวกล้องงอกที่หุงสุกยังมีเนื้อสัมผัสที่อ่อนนุ่ม รับประทานได้ง่ายกว่าข้าวกล้องธรรมดา จึงง่ายแก่การหุงรับประทาน

กำเนิดที่ญี่ปุ่น

งาน วิจัยข้าวกล้องงอกเริ่มต้นที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งได้วิจัยและพัฒนาคุณประโยชน์ของข้าวกล้อง จนกระทั่งนำมาผลิตในระดับอุตสาหกรรม ในประเทศไทยก็มีการศึกษาเช่นเดียวกัน โดยนักวิจัยไทยจากสถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่คิดค้นข้าวกล้องงอกกาบาไรท์ โดยมีผลงานวิจัยรองรับ

ตลาดข้าวกล้องงอก ถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเพิ่มมูลค่าข้าวให้กับตลาดประเทศญี่ปุ่น โดยมีบริษัทผู้ผลิตผลิตภัณฑ์อาหารเสริมรายใหญ่ของญี่ปุ่นเป็นผู้ดำเนินการ ผลิตและจำหน่ายภายในประเทศและส่งออก รวมถึงพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตและตรวจสอบคุณภาพของข้าวกล้องงอกด้วย

ใน ส่วนของงานวิจัยที่ทำในประเทศไทย ทีมงานได้ทำการศึกษาหาพันธุ์ข้าวที่เหมาะสมและสภาพการผลิตข้าวกล้องงอกที่มี ประสิทธิภาพ โดยพบว่า ข้าวขาวดอกมะลิ 105 เมื่อนำมาเพาะเป็นข้าวกล้องงอกจะมีสาร GABA สูงกว่าข้าวกล้องปกติ เมื่อ นำข้าวกล้องไปหุงในหม้อ ควบคุมสภาวะที่เหมาะสม ปัจจุบันมีผู้ประกอบการเอกชนให้ความสนใจร่วมพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์ ข้าวกล้องงอกเพื่อทำการตลาดมากขึ้น

สถาบันค้นคว้าและพัฒนา ผลิตภัณฑ์อาหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้ร่วมกับสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) ถ่ายทอดงานวิจัยเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ข้าวในโครงการข้าวกล้องงอกเพื่อสุขภาพ ให้กับกลุ่มธุรกิจข้าวรายใหญ่ของประเทศจำนวน 3 บริษัท ได้แก่ บริษัท ปทุมไรซ์มิลล์ แอนด์ แกรนารี จำกัด บริษัท เจียเม้ง จำกัด และ บริษัท ธวัทชัย อินเตอร์ไรซ์ จำกัด ทั้ง ในส่วนของการพัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรมข้าวกล้องงอกสำหรับรับประทาน และการพัฒนาสายการผลิตต้นแบบสำหรับผลิตผลิตภัณฑ์ข้าวกล้องงอกด้วย

“ความ ร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยและบริษัทอินโนฟู้ด นำมาสู่ความสำเร็จในการพัฒนาข้าวกล้องงอกหอมมะลิเพื่อสุขภาพกล้องงอก Nutra GABA Rice ออกจำหน่ายภายใต้แบรนด์ มาบุญครอง พลัส 'นูทรา กาบาไรซ์' โดยเชื่อว่าจะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับข้าวไทย ให้มีคุณสมบัติและมีศักยภาพในการแข่งขันในตลาดโลกเพิ่มขึ้น” สมเกียรติ มรรคยาธร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อินโนฟู้ด (ไทยแลนด์) จำกัด หนึ่งใน 3 บริษัทเอกชนรายใหญ่ที่ลงทุนต่อยอดผลิตภัณฑ์ข้างกล้องงอก กล่าว

จุด เด่นของสารกาบา ในข้าวกล้องงอกหอมมะลิ เน้นใช้เป็นสารสื่อประสาทในระบบประสาทส่วนกลางช่วยให้ผ่อนคลาย ช่วยให้นอนหลับได้ดี รักษาสมดุลในสมอง ทำให้กล้ามเนื้อกระชับ ป้องกันการเกิดริ้วรอยก่อนวัย

สัดส่วนของการบริโภคข้าวกล้องงอก ให้ได้ประโยชน์สูงสุดนั้น ควรบริโภคอย่างต่อเนื่องติดต่อกัน 8 สัปดาห์ ในปริมาณวันละอย่างน้อย 150 กรัม สามารถรับประทานได้ตามปกติโดยไม่ต้องผสมกับข้าวขาว

“ด้วยคุณประโยชน์ ของข้าวกล้องงอก ปัจจุบันนักวิจัยได้ทดลองนำสารกาบา มาใช้ในวงการแพทย์เพื่อการรักษาโรคเกี่ยวกับระบบประสาท เช่น โรควิตกกังวล โรคนอนไม่หลับ โดยผลการวิจัยส่วนหนึ่งระบุว่าข้าวกล้องงอกมีส่วนช่วยลดความดันโลหิต ลดอาการอัลไซเมอร์ ลดน้ำหนัก ทำให้ผิวพรรณดี และใช้บำบัดโรคเกี่ยวกับระบบประสาทส่วนกลางได้ในระดับที่มีงานวิจัยรองรับ” นักวิจัยเสริม

ไม่เฉพาะมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ที่เดียว ถึงตอนนี้มีมหาวิทยาลัย และสถาบันวิจัยอื่นๆ สนใจศึกษาประโยชน์ของข้าวกล้องงอกมากขึ้น โดยเชื่อว่าในอนาคตจะมีผลิตภัณฑ์ต่อยอดจากข้าวกล้องงอก รวมถึงเกิดนวัตกรรมข้าวรูปแบบใหม่เพิ่มขึ้นในอนาคต

โอกาสของข้าวไทย

“ผลิตภัณฑ์ ข้าวกล้องงอกสามารถนำมาแปรรูปเป็นอาหารสุขภาพได้มากมาย เช่น อาหารว่าง ซุป และเครื่องดื่ม เนื่องจากผลิตภัณฑ์ข้าวกล้องงอกดังกล่าวมีคุณประโยชน์จากสารอาหารจํานวนมาก เช่น ใยอาหาร กรดไฟติก วิตามินบี วิตามินอี และสารกาบา ซึ่งช่วยป้องกันโรคต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง เบาหวาน ตลอดจน ช่วยในการควบคุมนํ้าหนักได้อีกด้วย” ชาญวิทย์ รัตนราศรี ผู้ประสานงานโครงการงานสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) ให้ข้อมูล

ไทย เป็นผู้ส่งออก 'ข้าว' เป็นอันดับหนึ่งของโลกติดต่อกันมากว่า 20 ปี แต่ชาวนายังจนเหมือนร้อยปีที่แล้ว ไม่รู้เป็นเพราะอะไร มูลค่าการส่งออกสินค้าข้าวและผลิตภัณฑ์แปรรูป ปี พ.ศ. 2548 มีมูลค่าสูงถึง 98,777 ล้านบาท จำนวนนี้เป็นการส่งออกผลิตภัณฑ์ในรูปของ 'ข้าวสาร' ที่ไม่ได้มีการแปรรูปถึงร้อยละ 95 หรือคิดเป็นมูลค่าสูงถึง 92,919 ล้านบาท ของมูลค่าการส่งออกของผลิตภัณฑ์ข้าวทั้งหมด

ขณะที่การส่งออกในรูปของ ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากข้าวที่มาจากอุตสาหกรรมข้าวไทยมี เพียง ร้อยละ 5 หรือคิดเป็นมูลค่า 5,858 ล้านบาท หากเพิ่มมูลค่าจากข้าวสารธรรมดาให้เป็นผลิตภัณฑ์เพิ่มโภชนาการจะช่วยให้ไทย ครองตำแหน่งผู้ส่งออกอันดับหนึ่งในตลาดโลกยาวนาน

“อุตสาหกรรมข้าว น่าจะขับเคลื่อนไปในอนาคตข้างหน้าคือ การแสวงหารูปแบบธุรกิจใหม่ ไม่ควรตามความต้องการของตลาดเพียงอย่างเดียว ต้องมีการนำเสนอผลิตภัณฑ์สามารถปรับเปลี่ยนตามสภาวะเงื่อนไขของลูกค้าได้ และต้องมีข้อมูลวิชาการรองรับ” ผู้ประสานงานโครงการนวัตกรรม เพิ่มเติม

สาม ปีที่ผ่านมาสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) ได้ผลักดันให้กลุ่มอุตสาหกรรมข้าวพัฒนานวัตกรรมข้าวไทยในรูปแบบต่างๆ มากกว่า 10 โครงการ ทั้งในระดับต้นแบบและลงทุนในเชิงพาณิชย์ เช่น โครงการข้าวกล้องงอก กาบาไรซ์ โครงการข้าวกล้องสด 'ไวทาไรซ์' โครงการข้าวกล้องเพื่อสุขภาพ 'โอไรซ์' โครงการข้าวหุงสุกเร็ว

ยัง มีผลิตภัณฑ์ข้าวเพิ่มมูลค่าอื่นๆ อีก เช่น โครงการเส้นอูด้งสดจากแป้งข้าวเจ้า โครงการผลิตภัณฑ์เสริมอาหารพอลิแซคคาไรด์เปปไทด์จากข้าว โครงการน้ำมันรำข้าวชนิดออริซานอลสูง โครงการแป้งฝุ่นจากแป้งข้าวเจ้า โครงการสารเพิ่มปริมาณเม็ดยาจากข้าว โครงการสุราหอม 'สีเวย' และการใช้จุลินทรีย์สังเคราะห์แสงในการเพิ่มศักยภาพการผลิตข้าวอินทรีย์

ชาญ วิทย์มั่นใจว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อในด้านการผลิตข้าวมาอย่างยาวนาน เมื่อข้าวสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้ด้วยการปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิตจาก ข้าวกล้องธรรมดามาเป็นข้าวกล้องสดและข้าวกล้องงอก ทำให้เก็บรักษาข้าวกล้องไว้ได้นาน แถมยังได้สารอาหารที่เป็นประโยชน์เพิ่มมากขึ้น

ช่วงนี้กำลังน้ำขึ้น เสียงเพรียกหาข้าวกาบา ข้าวกล้องงอกดังระงม แต่สภาพเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวยขอกินข้าวแกงจานละ 20 บาท 25 บาทก่อนแล้วกัน ส่วนข้าวกาบาที่ขายกิโลกรัมละ 200 บาท หนึ่งถังราคา 3,000 บาท เดือนหนึ่งกินสักครั้งคงพอแล้ว

* มาหุงข้าวกล้องงอกกันเถอะ

วิธีทำน้ำข้าวกล้องงอกอย่างง่ายๆ มีขั้นตอนดังนี้

เริ่ม จากเมล็ดข้าวกล้องใหม่ 100 กรัม หรือ 1 ขีด ซาวน้ำล้างเอากรวดทรายออกก่อนหนึ่งครั้ง แล้วนำไปแช่น้ำประมาณ 1 ลิตร ทิ้งไว้ประมาณ 5-6 ชม. พอให้สังเกตเห็นตุ่มงอกสีขาวที่ปลายเมล็ดข้าว จากนั้นผึ่งให้แห้ง แล้วนำไปต้มใช้ไฟปานกลางให้เดือด แต่อย่าให้เดือดมาก เพราะถ้าร้อนมากเกินไป สารกาบาจะถูกทำลายมาก หากเดือดพอดีให้เคี่ยวไปสัก 15-20 นาที สารกาบาจะยังอยู่ในข้าวถึง 70 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นปริมาณเพียงพอต่อร่างกาย เสร็จแล้วใช้ผ้าขาวบาง หรือกระชอน กรองน้ำออกมาดื่ม เพิ่มรสชาติโดยโรยเกลือป่นให้ออกเค็มเล็กน้อย พออร่อยลิ้น

ถ้าอยากได้ข้าวอ่อนละมุนลิ้นให้นำข้าวกล้องไปแช่น้ำ สัก 1 ชั่วโมง รอเมล็ดข้าวบานออกเล็กน้อยหุงได้ทันที จะ ทำให้เมล็ดข้าวนุ่ม น่ารับประทานมาก การหุงข้าว จะทำให้สารกาบาถูกทำลายไปประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ แต่กาบ้าที่เหลือก็เพียงพอต่อร่างกายที่จะต้องบริโภคทุกวันอยู่แล้ว


โดย: คนเดินดินฯ IP: 202.149.24.129 วันที่: 6 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:23:53:13 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

คนเดินดินฯ
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]








ปณิธาน

การเดินทางของชีวิตของทุกผู้คน
ทุกคนต่างต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต
แต่จะมีสักกี่คนที่จะก้าวไปถึง
เมื่อเราก้าวถึงจุดนั้น
ขออย่าลืมการแบ่งปันและเจือจาน
แก่ผู้ด้อยโอกาสในสังคม

เราจะเติบโตและก้าวไปข้างหน้าพร้อม ๆ กัน
เพื่อสร้างสรรค์สังคมใหม่ที่ดีงาม

เพื่อให้อนุชนคนรุ่นหลัง
ได้ใช้ชีวิตของเขา
ตามศักยภาพและความตั้งใจของเขา
ตราบเท่าที่เขาต้องการ







เดินไปสู่ความใฝ่ฝัน


ชีวิตหนึ่งร่วงหล่นไปตามกาลเวลา
คลื่นลูกใหม่ไล่หลังคลื่นลูกเก่า
นั่นคือวัฏจักรของชีวิตที่ดำเนินไป

เยาว์เธอรู้บ้างไหม
ว่าประชาราษฎรนั้นทุกข์ยากเพียงใด
เสี้ยวหนึ่งของชีวิตที่เหลืออยู่
เธอเคยมีความใฝ่ฝันที่แสนงามบ้างไหม

สักวันฉันหวังว่าเธอจะเดินไปตามทางสายนี้
ที่อาจดูเงียบเหงาและโดดเดี่ยว
แต่ภายใต้ฟ้าเดียวกัน
ฉันก็ยังมีความหวัง
ว่าผู้คนในประเทศนี้
จะตื่นขึ้นมา
เพื่อทวงสิทธิ์ของพวกเขา
ที่ถูกย่ำยีมาช้านาน
และฉันหวังว่าเธอจะเดินเคียงคู่ไปกับพวกเขา

เพื่อสานความใฝ่ฝันนั้นให้เป็นความจริง
สัญญาได้ไหม
สัญญาได้ไหม
เยาว์ที่รักของฉัน


***********



ขอมีเพียงเธอเป็นกำลังใจ




ทอดสายตามองออกไปยังทิวทัศน์ข้างหน้า
แลเห็นต้นหญ้าโบกไสว
เห็นดอกซากุระบานอยู่เต็มดอย
ความงามที่อยู่ข้างหน้า
เป็นสิ่งที่ฉันจะเก็บมันไว้
ยามที่จิตใจอ่อนล้า...

ชีวิตยามนี้แม้ผ่านมาหลายโมงยาม
แต่จิตใจข้างในยังคงดูหงอยเหงา
หลายครั้งอยากมีเพื่อนคุย
หลายครั้งอยากมีคนปรับทุกข์
และหลายครั้งต้องนั่งร้องไห้คนเดียว

รางวัลสำหรับชีวิตที่ผ่านมา
มันคืออะไรเคยถามตัวเองบ่อย ๆ
ความสำเร็จ...เงินตรา...เกียรติยศชื่อเสียง
มันใช่สิ่งที่เราต้องการหรือเปล่า
ถึงจุดหนึ่งชีวิตต้องการอะไรอีกมากไปกว่านี้

หลายชีวิตยังคงดิ้นรนต่อสู้
เพื่อปากท้องและครอบครัว
มันเป็นความจริงของชีวิตมนุษย์
ที่ต้องดำรงชีพเพื่อความอยู่รอด
มีทั้งพ่ายแพ้ มีทั้งชนะ
แต่ชีวิตต่างต้องดำเนินไป
ตามวิถีทางของแต่ละคน

ลืมความทุกข์ ลืมความหลังที่เจ็บปวด
มองออกไปข้างหน้า
ค้นให้พบตัวตนของตนเองอีกครั้ง
แล้วกลับไปสู้ใหม่
การเริ่มต้นของชีวิตจะต้องดำเนินต่อไป
จะต้องดำเนินต่อไป

ตราบจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต....




@@@@@@@@@@@




การเดินทางของความรัก

...ฉันเดินไปด้วยหัวใจที่ว่างเปล่า
สมองได้คิดใคร่ครวญ
ความรักในหลายครั้งที่ผ่านมา
ทำไมจึงจบลงอย่างรวดเร็ว

ฉันเดินไปด้วยสมองอันปลอดโปร่ง
ความรักทำให้ฉันเข้าใจโลก
และมนุษย์มากขึ้น
และรู้ว่าความแตกต่าง
ระหว่างความรักกับความหลงเป็นอย่างไร?

ฉันเดินไปด้วยดวงตาที่มุ่งมั่น
บทเรียนของรักในครั้งที่ผ่าน ๆ มา
มันย้ำเตือนอยู่เสมอว่า
อย่ารีบร้อนที่จะรัก
แต่จงปล่อยให้ความสัมพันธ์
ค่อย ๆ พัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป
เรียนรู้และทำเข้าใจกันให้มากที่สุด

ก่อนที่จะเริ่มบทต่อไปของความรัก...




*******************



จุดไฟแห่งศรัทธาและความมุ่งมั่น

เข้มแข็งกับอ่อนแอ
สับสนหรือมุ่งมั่น
จะยอมแพ้หรือลุกขึ้นท้าทาย
กับชีวตที่เหลืออยู่
ทุกสิ่งล้วนอยู่ที่ใจเราจะกำหนด

ไม่ใช่เพราะอิสระเสรี
ที่เราต้องการหรอกหรือ?
ที่มันจะนำทางชีวิต
ในห้วงเวลาต่อไป
ให้เราก้าวทะยานไป
สู่วันพรุ่งที่สดใส

มีแต่เพียงคนที่รู้จักตนเองอย่างดีพอเท่านั้น
จะสามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้
เมื่อผ่านการสรุปบทเรียน
จากปัญหาต่าง ๆ ที่ประสบ
เราก็จะมีความจัดเจนกับชีวิตมากขึ้น
และการเผชิญกับอุปสรรคต่าง ๆ
ในอนาคตก็จะเป็นเพียงปัญหาที่เล็กน้อยสำหรับเรา
ในการที่จะก้าวผ่านไป



ด้วยศรัทธาและความมุ่งมั่นที่มีอยู่ในใจ
ที่จะต้องย้ำเตือนตัวเองอยู่เสมอ
หนทางในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ
ย่อมอยู่ไม่ไกลห่างอย่างแน่นอน

*********************



ก้าวย่างที่มั่นคง

บนทางเดินแคบ ๆ ที่เหลืออยู่
หากขาดความมั่นใจที่จะก้าวเดินต่อไป
ชีวิตก็คงหยุดนิ่งและรอวันตาย
แม้ทางข้างหน้าจะดูพร่ามัว
และไม่รู้ซึ่งอนาคต
แต่สิ่งที่ดีที่สุดในปัจจุบัน
คือก้าวย่างไปอย่างมั่นคง
และมองไปข้างหน้าอย่าเหลียวหลัง
เก็บรับบทเรียนในอดีต
เพื่อจะได้ระมัดระวังไม่ให้ผิดพลาดอีกในอนาคต

"""""""""""""""""""""""""""""""""



ใช้สามัญสำนึกทำงาน

ไม่มีแผนงานที่สวยหรู
ไม่มีปฏิบัติการใดที่สมบูรณ์แบบ
ในยามนี้มีเพียงการทำงานด้วยการทุ่มเท
ลงลึกในรายละเอียดเท่านั้น
จึงจะสามารถคลี่คลายปัญหาของงานลงได้
บางครั้งโจทย์ที่เจออาจยากและซับซ้อน
แต่เมื่อลงไปคลุกคลีอย่างแท้จริง
โจทย์เหล่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

""""""""""""""""""""""""""""""""



เรียบ ๆ ง่าย ๆ


อย่ามองสิ่งต่าง ๆ ด้วยแว่นสีที่ซับซ้อน
เพราะในโลกนี้มีเพียงสิ่งสามัญที่เรียบง่าย
สำหรับคนที่สงบนิ่งเพียงพอเท่านั้น
จึงจะแก้โจทย์และปัญหาต่าง ๆ
ด้วยกลวิธีที่เรียบ ๆ ง่าย ๆ
ไม่ซับซ้อนและตรงจุดได้อย่างเพียงพอ

""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""

ใจถึงใจ

บนหนทางไปสู่ความสำเร็จ
บนหนทางของการสร้างสรรค์สิ่งใหม่
มีเพียงคนที่เข้าใจในสภาพจิตใจของคนทำงานเท่านั้น
จึงจะสามารถนำทีมงานไปสู่เป้าหมายได้
อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน








Friends' blogs
[Add คนเดินดินฯ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.