ย้อนรอยการโค่นเผด็จการมาร์กอส(1)--สุทธิชัย หยุ่น
ย้อนรอยการโค่นเผด็จการมาร์กอส(1)--กาแฟดำ
21 กุมภาพันธ์ 2549 19:44 น. เดือนนี้เมื่อ 20 ปีก่อน,พลังประชาชน ขับไล่เผด็จการจอมโกงกิน...ออกไป!
กุมภาพันธ์ เป็นเดือนครบ 20 ปีแห่งการรวมตัวเป็นเรือนล้านของคนฟิลิปปินส์ เพื่อขับไล่ประธานาธิบดีที่ชื่อเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส
มาร์กอสอ้างว่า ประชาชนเลือกเขามาอย่างท่วมท้น แต่ก็โกงกินบ้านเมืองอย่างไร้ยางอายเพราะมีอำนาจล้นฟ้า สร้างเครือข่ายรอบตัวอย่างน่ากลัว ครอบครัวของตัวเองมีบารมีคับบ้านคับเมือง, ภรรยาชื่ออีเมลดา สามารถสั่งงานด้านการเมืองแทนสามีได้อย่างน่าหวาดหวั่น, คนรอบข้างคอยบอกมาร์กอสว่า "ท่านเก่งที่สุดแล้ว, ไม่มีใครมาแทนท่านได้"
การชุมนุมของประชาชนคนฟิลิปปินส์เรือนหมื่นขยายเป็นแสนและเป็นล้านในที่สุด ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่าเป็น People Power หรือ the Philippine Revolution of 1986 เป็นการรวมตัวของประชาชนผู้มองไม่เห็นหนทางว่าจะยับยั้งไม่ให้ผู้นำเผด็จการที่อ้างเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน มากินบ้านโกงเมืองได้อย่างไร, จึงต้องใช้วิธีรวมตัวกันอย่างอหิงสาเพื่อขับไล่ผู้นำอันไม่พึงประสงค์
การชุมนุมที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า EDSA (ชื่อถนนสายหลักกลางกรุงมะนิลาที่เป็นที่ชุมนุมของประชาชนผู้อึดอัดและงุ่นง่าน) Revolution ยืดเยื้อถึง 4 วัน
ด้านหนึ่ง ประชาชนตะโกนพร้อม ๆ กันให้ "มาร์กอส...ออกไป"
อีกด้านหนึ่งคนใกล้ชิดมาร์กอส ระดมประชาชนอีกส่วนหนึ่ง ตะโกน "มาร์กอส, มาร์กอสสู้ๆ" ขณะที่ผู้นำเผด็จการโกงการเลือกตั้งครั้งล่าสุด พยายามจะทำพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งอีกสมัยหนึ่ง
ผู้นำศาสนาและผู้นำทหารเข้าร่วมกับนักศึกษา อาจารย์มหาวิทยาลัย นักธุรกิจและชนชั้นกลางเข้าร่วมต่อต้าน และเรียกร้องให้มาร์กอสลงจากตำแหน่ง
มาร์กอสประกาศแข็งกร้าว ยืนยันว่าประชาชนส่วนใหญ่อยู่ข้างหลังเขา เมินเสียเถิดที่เขาจะลาออก เพราะเขาสั่งทหารได้ สั่งตำรวจได้ สั่งส.ส.ในสภาได้ สั่งได้แม้กระทั่งอัยการและผู้พิพากษา...
แต่เสียงประชาชนดังก้องกังวานไปทั่วประเทศแล้ว มาร์กอสไม่ฟังใครที่แนะนำให้เขาก้าวลงด้วยความสมัครใจ
เมื่อเขาไม่เชื่อคนฟิลิปปินส์เอง, มาร์กอสโทรศัพท์ไปหาวุฒิสมาชิกมะกันที่เคยเป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่งที่วอชิงตันชื่อพอล ลาซัลท์ ซึ่งแนะนำเขาผ่านทางโทรศัพท์ด้วยประโยคที่ยังจารึกในประวัติศาสตร์ว่า
"Cut and cut cleanly..."
หากแปลเป็นภาษาไทยก็ต้องบอกว่า "ตัด...ตัด...ให้ขาดเถิด" หรืออีกนัยหนึ่งก็คือให้กระโดดลงจากตำแหน่งโดยปราศจากเงื่อนไข
มาร์กอสอึ้งไปพักใหญ่ บ่ายวันเดียวกันนั้น มาร์กอสคุยกับรัฐมนตรีกลาโหม ฮวน เอนริเล ขอให้ทางทหารช่วยให้เขาและครอบครัวออกนอกประเทศอย่างปลอดภัย
เวลา 3 ทุ่มของวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 1986 มาร์กอสกับเมียและลูกๆ ขึ้นเฮลิคอปเตอร์มะกัน 4 ลำบินไปสู่สนามบินคลาก ก่อนที่จะมุ่งสู่เกาะกวม และท้ายสุดไปลงที่เกาะฮาวายเพื่อลี้ภัยทางการเมือง
กระบวนการยึดทรัพย์ที่มาร์กอสและครอบครัวปล้นไปจากประเทศชาติด้วยวิธีแยบยลแบบศรีธนญชัย ก็เริ่มขึ้นอย่างกะทันหัน เพราะประชาชนต้อง "คิดบัญชี" กับเผด็จการผู้ทำร้ายประเทศชาติอย่างไม่มีข้อให้อภัยได้
ผมยังจำประโยคของคนนำเสนอข่าวชื่อ Bob Simon ทางสถานีโทรทัศน์ CBS เย็นวันนั้นได้อย่างดี
พออ่านข่าวเรื่องมาร์กอสหนีออกนอกประเทศจบ คนข่าวมะกันคนนี้หันมามองคนดูทั่วประเทศและบอกว่า
"พวกเราคนอเมริกันมักจะคิดว่าเราสอนคนฟิลิปปินส์ให้รู้จักเนื้อแท้แห่งประชาธิปไตย แต่คืนนี้คนฟิลิปปินส์พิสูจน์แล้วว่าพวกเขากำลังสอนชาวโลกทั้งมวลว่าประชาธิปไตยคืออะไรในภาคปฏิบัติกันแน่...."
คืนนั้น ไม่มีคนฟิลิปปินส์คนอื่นอยู่บ้าน ต่างออกมาเต็มท้องถนน ต่างจับไม้จับมือ สวมกอดกันทั้งน้ำตา...เป็นน้ำตาของผู้ร่วมทุกข์ร่วมสุขผ่านร้อนผ่านหนาว, ผ่านการถูกอำนาจรัฐคุกคาม, กลั่นแกล้ง, ปล้นสะดมมาด้วยกันอย่างมุ่งมั่นและเสียสละ
เป็นน้ำตาของเพื่อนร่วมชาติที่เสี่ยงภัยเสี่ยงชีวิต เพื่อร่วมกันขับไล่เผด็จการผู้ปล้นสมบัติของชาติอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
...........................................................
ย้อนรอยโค่นเผด็จการมาร์กอส (2) --กาแฟดำ
22 กุมภาพันธ์ 2549 17:26 น.
เมื่อทหารประชาชนตัดสินใจไม่ปกป้องผู้นำปล้นชาติ
ครบรอบ 20 ปีของการโค่นล้มจอมเผด็จการ เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส ของฟิลิปปินส์ อันเกิดจากการชุมนุมใหญ่อย่างอหิงสาของประชาชนนับล้านคน ที่เรียกว่า People Power นั้น มีเหตุจะต้องย้อนไปดูเพื่อประกอบการพิจารณาสถานการณ์บ้านเมืองไทยวันนี้ในหลายประการ
เพราะเหตุปัจจัยที่ละม้ายคล้ายกันหลายประเด็นเมื่อ 20 ปีก่อนกับวันนี้
ผู้นำมาจากการเลือกตั้ง อ้างว่าประชาชนส่วนใหญ่ต้องการเขา
ผู้นำถูกกล่าวหาว่าไร้จริยธรรม, และมีผลประโยชน์ทับซ้อนมหาศาล
ประชาชนทนภาวะการโกงกินบ้านเมืองอย่างกว้างขวางไม่ได้ ทนเห็นการไร้จริยธรรมในผู้นำไม่ไหวอีกต่อไป
ผู้นำดูถูกสติปัญญาชาวบ้าน, แก้ตัวไปวันๆ, ไม่ยอมตอบคำถามเกี่ยวกับผลประโยชน์ทับซ้อนอันรุนแรงของตัวเอง
มาร์กอส ประกาศเลือกตั้งใหม่ เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 1986 ฝ่ายค้านส่ง คอราซอน อคิโน เข้าแข่ง เธอคือภรรยาของผู้นำฝ่ายค้าน เบนิกโน อคิโน ซึ่งถูกลอบสังหารที่สนามบินมะนิลา เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 1983 อันเป็นวันที่กลับจากการลี้ภัยการเมืองที่อเมริกา 3 ปี เพราะอำนาจมืดของมาร์กอส
การเลือกตั้งครั้งนั้นโกงกินกันมหาศาล เพราะมาร์กอส กุมกลไกรัฐ คณะกรรมการเลือกตั้ง (COMELEC) ก็กลายเป็นเครื่องมือของรัฐ ประกาศให้มาร์กอส ชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนนเฉียดฉิว...10,807,197 ต่อ 9,291,761 แต่องค์กรกลางที่เฝ้าติดตามผลการเลือกตั้งประกาศว่ามาร์กอส ชนะอคิโน เพียงแค่ 7,835,070 ต่อ 7,053,068 หรือแค่เจ็ดแสนกว่าเสียงเท่านั้น
คณะผู้นำศาสนาออกแถลงการณ์ประณามการโกงคะแนนเลือกตั้งและวุฒิสภาสหรัฐ ก็ลงมติให้ไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งเช่นกัน
การปฏิวัติประชาชนเพื่อโค่นเผด็จการผู้มีอำนาจเกือบเบ็ดเสร็จในประเทศ เริ่มด้วยการรวมตัวของประชาชนผู้สิ้นหวังใน "ระบอบมาร์กอส" ที่ปล่อยให้วงศ์วานว่านเครือใช้อำนาจรัฐเข้าไปทำมาหากินอย่างโจ๋งครึ่ม เป็นผู้นำไร้จริยธรรม
แม้ว่ารัฐธรรมนูญฟิลิปปินส์ ตอนนั้นจะกำหนดให้ผู้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีได้ไม่เกิน 2 สมัยๆ ละ 4 ปี แต่มาร์กอสก็หาทางแก้กฎหมายจนตัวเองสามารถดำรงตำแหน่งผู้นำสูงสุดของประเทศได้ยาวนานถึง 20 ปี (ด้วยการประกาศภาวะฉุกเฉิน, ระงับการใช้รัฐธรรมนูญเก่า, ให้เนติบริกรของตัวเองเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ ให้สอดคล้องกับความต้องการของท่านผู้นำ) ก่อนที่ประชาชนจะรวมตัวกันเป็น People Power เพื่อขับไล่ออกจากตำแหน่งและให้กับลี้ภัยต่างประเทศจนไม่มีแผ่นดินอยู่
มาร์กอส กุมอำนาจการเมืองเบ็ดเสร็จด้วยการใช้เงินทุ่มซื้อเสียงในการเลือกตั้งอย่างมหาศาล
มาร์กอส มีความสามารถเป็นพิเศษในการ "ปั่น" ความเห็นชาวบ้าน,สร้างภาพด้วยการเอาเงินภาษีประชาชนแจกเงินไม่อั้น,เป็นยอดนักบริหารให้เกิดการโกงกินอย่างไร้เทียมทาน, ใช้กลเม็ดแยบยลทั้งด้านกฎหมายและช่องว่างของระเบียบ เพื่อสร้างความมั่งคั่งให้กับตัวเองและครอบครัวของตน
มาร์กอส บริหารประเทศเหมือนสโมสรส่วนตัว สามารถควบคุมกองทัพ, สภา, ศาล, ข้าราชการประจำ, สื่อมวลชน และธุรกิจผูกขาดยักษ์ๆ ของประเทศทั้งหมด
มาร์กอสและ "พรรคพวก" สร้างความร่ำรวยให้กับกลุ่มของตัวเองอย่างมหาศาล ขณะที่ประเทศชาติและคนนอกสังกัดของมาร์กอส ยากจนลง
หลังการเลือกตั้งวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 1986 อคิโนเสนอ "แผนต่อต้านแบบอหิงสาเจ็ดข้อ" เพื่อเชิญชวนประชาชนมาประท้วงเผด็จการ
แผนต่อสู้เผด็จการโกงกินนี้รวมถึงการหยุดงานอาทิตย์ละหนึ่งวัน และคว่ำบาตรไม่ใช้บริการของธนาคาร, ร้านรวงและหนังสือพิมพ์ของมาร์กอส และคนรอบข้างมาร์กอสทั้งหลายทั้งปวง
เธอประกาศให้ชาวบ้านที่มาชุมนุมว่า "หากยักษ์ใหญ่โกลีเอี๊ยดไม่ยอมลงจากตำแหน่ง, เราก็จะใช้ความอดทนมุ่งมั่นและสามัคคีของประชาชน เพื่อกระตุ้นให้การต่อสู้อย่างสงบของเราดำเนินไปอย่างไม่หยุดยั้ง...ไม่ชนะ, เราไม่เลิก..." นั่นคือจุดเริ่มต้นของขบวนการสู้กับเผด็จการมาร์กอสแล้ว
เมื่อประชาชนมารวมตัวกันเป็นจำนวนมาก เพื่อแสดงความไม่พอใจกับเผด็จการ, คอร์รัปชันและการขาดจริยธรรมอย่างรุนแรง กองทัพก็เริ่มพิจารณาจุดยืนของตัวเองที่จะต้องเข้าข้างประชาชน ไม่ใช่เป็นเครื่องมือของนักการเมืองคลั่งอำนาจและทุจริต
จุดผันเปลี่ยนอันสำคัญของขบวนการประชาชนเพื่อประชาธิปไตยคราวนั้น คือการตัดสินใจของนายทหารสองคนที่เดินข้ามไปหาประชาชนผู้ประท้วงพร้อมกับประกาศว่า "กองทัพอยู่ข้างประชาชนผู้เรียกร้องความโปร่งใสและความสุจริต..."
คนแรกคือ รัฐมนตรีกลาโหมฮวน พอนซ์ เอ็นริเล่ และคนที่สองคือ รองเสนาธิการทหารในตอนนั้น นามว่า ฟิเดล รามอส (ซึ่งต่อมาเป็นประธานาธิบดีจากการเลือกตั้งและยังมีบทบาทสำคัญในการเมืองระดับชาติของฟิลิปปินส์ในวันนี้)
นายทหารผู้รักชาติกลุ่มนี้ตัดสินใจประกาศจุดยืนไม่ยอมปกป้องผู้นำที่สร้างความร่ำรวยจากการปล้นทรัพย์สมบัติของชาติและโกงกินภาษีประชาชน เพราะพวกเขาถือตนเป็น "ทหารของประชาชน"
พรุ่งนี้จะเล่าต่อว่าเมื่อ "ทหารของประชาชน" ตัดสินใจไม่ยอมปกป้องผู้นำการเมืองที่ไร้จริยธรรมและโกงบ้านโกงเมืองแล้วก็กลายเป็นส่วนสำคัญของ People Power เพื่อล้มล้างระบอบมาร์กอส อันฟอนเฟะได้อย่างไร
....................................................
รับฟังข่าวสารบ้านเมืองจากคลื่นประชาธิปไตย--FM 92.25 MHz
Create Date : 22 กุมภาพันธ์ 2549 |
Last Update : 23 กุมภาพันธ์ 2549 9:38:54 น. |
|
12 comments
|
Counter : 1948 Pageviews. |
|
|
|
ความคิดเห็นผู้อ่านบทความ