บ้านที่มีความรักและความอบอุ่นคือจินตนาการของคนไทยยามนี้ !
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2549
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
27 พฤษภาคม 2549
 
All Blogs
 

@@กระตุ้นศักยภาพภายในออกมาใช้งาน ปลุกศักยภาพภายในตนให้ตื่นขึ้น@@






คัดจาก "พัฒนาตัวเองแบบเซน"

เหลี่ยวหันจวีซือ เขียน

สมจิตร ฟูสกุล แปล



ทุกคนล้วนมีพลังความสามารถอันไร้ขอบเขตจำกัดอยู่แล้ว


นี่ไม่ใช่เรื่องเหลือเชื่อเลยแม้แต่นิดเดียว ความสามารถของมนุษย์เรานั้นมีอยู่อย่างกว้างขวาง ไร้ขอบขีดจำกัด ถึงแม้จะดึงเอาความสามารถออกมาใช้จนหมดสิ้น ไม่เพียงแต่จะไม่เหือดแห้งหายไป กลับจะยิ่งพวยพุ่งขึ้นมาเหมือนน้ำพุร้อน

ฉะนั้นน่าเสียดายที่คนเราส่วนมากมักไม่คิดอย่างนี้ บ้างก็เชื่อว่าพลังความสามารถในตัวนั้นก็เหมือนกับทรัพยากรธรรมชาติ อย่างแก๊สหรือน้ำมันที่พอขุดออกมาใช้เรื่อย ๆ แล้วในที่สุดก็จะหมดไป จึงควรรักษาส่วนที่เหลือไว้อย่างระมัดระวัง คิดเหมาเอาเองว่าส่วนที่เหลือนั้นจะงอกเงยขึ้นมาได้

ความสามารถของคนเราไม่เหมือนกับทรัพยากรธรรมชาติ และไม่เหมือนกับพลังกายที่พอเราโหมแรงกายลงไปเต็มที่หรือเกินกว่าขีดที่ร่างกายจะทนทานได้แล้ว ร่างกายจะทรุดโทรม สิ้นแรง หามิได้ แม้เราจะใช้กำลังความสามารถเต็ม 100 ส่วน ความสามารถก็มิได้สูญหายไปเหมือนพลังงานทั่วไป กลับจะยิ่งแตกหน่ออ่อน ๆ อันเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตออกมาอีกมากมายด้วย

ว่ากันว่า ในการดำเนินชีวิตประจำวันของคนเรานั้น ใช้เซลล์สมองที่มีอยู่เพียง 1 ใน 10 ส่วนเท่านั้น ฉะนั้นเซลล์สมองส่วนที่เหลืออีกตั้ง 9 ส่วนนั้นก็เท่ากับไร้ค่า น่าเสียดายยิ่ง เปรียบได้กับการมีร้านค้าอันอุดมสมบูรณ์ด้วยสรรพสินค้านานาชนิด แต่ไม่ยอมเปิดบริการนั่นเอง

จะทำอย่างไรเพื่อปลุกให้เซลล์สมองส่วนที่มิได้ใช้ให้เป็นประโยชน์หรือเปรียบเหมือนกำลังหลับอยู่นี้ให้ฟื้นตื่นขึ้นมา น่าเสียดายที่คนฉลาด ๆ รู้จักใช้สมองทั่ว ๆ ไปนั้น แม้จะพยายามเพียงไร ก็สามารถกระตุ้นการใช้งานของเซลล์สมองได้เพิ่มขึ้นจากเดิมเป็น 2 ส่วน แค่นี้ผู้คนรอบข้างก็แทบจะเห็นเป็น "บุคคลอัจฉริยะ" ผู้มีผลงานโดดเด่นไปเสียแล้ว

นับประสาอะไรกับเซลล์สมองของคนเรา เรายังนำมันมาใช้ประโยชน์แก่เจ้าของไม่ได้เลย อย่างนี้จะพูดกันเรื่องความสามารถไม่จำกัดอย่างไรได้ บางคนบอกว่าตนนั้นมีความสามารถแต่ไม่มีโอกาสแสดงออก เลยดูเหมือนไร้ความสามารถ บ้างก็มีอยู่เต็มเปี่ยมแต่ไม่เชื่อมั่น มัวแต่คิดว่าตนนั้นไม่เอาไหน บ้างก็ขลาดเขลาที่จะนำความสามารถออกมาแสดงให้ชาวบ้านได้รับรู้ กลัวว่าทำตัวให้เด่นจะเป็นภัย อย่างนี้เองความสามารถที่ติดตัวมากับมนุษย์เรา นับวันมีแต่จะอับเฉาเหี่ยวแห้งโรยราไปในที่สุด

พวกเราได้รับมอบหมายงานที่มีความยากกว่างานที่ทำอยู่ในปัจจุบัน เราลังเล ไม่รู้จักตัวเอง ไม่เชื่อมั่นในความสามารถที่มีอยู่ หรือไม่กล้าแสดงออกจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่ ผลก็คือเราปฏิบัติงานที่ว่ายากนั้นไม่ได้ผล เพราะจิตใจที่ลังเล พะวักพะวน ขี้ขลาดเป็นต้นเหตุ มิใช่ว่าเรามีฝีมือไม่ถึงแต่อย่างใด ยิ่งเราหมกมุ่นครุ่นคิด กลัวทำไม่ได้ ก็ยิ่งทำให้งานที่ออกมาล้มเหลวมากขึ้นเท่านั้น สภาพจิตใจเยี่ยงนี้ก็คือสภาพจิตใจของผู้แพ้ตลอดกาล สภาพจิตใจของผู้ที่คอยเป็นฝ่ายถูกกระทำและผู้ที่หวังพึ่งจมูกคนอื่นหายใจ

ความคิดว่า "ตัวเราไม่ทำก็ต้องมีคนอื่นทำแทนอยู่แล้ว" ก็เหมือนกัน หากมีคนลักษณะที่ว่ามาอยู่ในองค์กร ไม่เพียงแต่องค์กรขาดความก้าวหน้า กลับจะถอยหลังเข้าคลอง เพราะคนเหล่านี้จะส่งอิทธิพลกระแสความเฉื่อยชา ลักษณะที่ชอบพึ่งพิ่งผู้อื่น ความคิดที่ท้อถอย หมดอาลัยตายอยาก ให้แผ่ซ่านไปทั่วโครงสร้างขององค์กร จนกระทั่งสามารถสั่นคลอนรากฐานให้พังทลายลงมาได้

เราทุกคนย่อมไม่หวังจะให้ตัวเองมีสภาพเยี่ยงปลาตายตัวหนึ่งแน่นอน เราทุกคนย่อมอยากเป็นเจ้าของความสามารถไร้ขีดจำกัด เราอยากมีความฮึกเหิม ห้าวหาญในการบุกตะลุยไปข้างหน้า แต่จะทำได้อย่างไรล่ะ

ก่อนอื่นต้องทำความเชื่อมั่นให้ลงลึกไปทั่วดวงจิตว่า เราสามารถสร้างและเป็นเจ้าของศักยภาพอันยิ่งใหญ่ได้ ความตระหนักในข้อนี้จะดึงดูดให้พลังความสามารถพวยพุ่งออกมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด จะต้องคิดอยู่เสมอว่าเรื่องที่ทำไม่ได้ต้องทำให้ได้ ด้วยท่าทีของจิตใจเช่นนี้ เราจึงจะอยู่รอดและอยู่อย่างสง่าผ่าเผยในสังคมได้ พูดให้สั้น ๆ ง่าย ๆ ก็คือเราต้องทำความรู้จักกับพลังวิเศษในตัวตนเสียก่อน@











 

Create Date : 27 พฤษภาคม 2549
8 comments
Last Update : 27 พฤษภาคม 2549 11:24:14 น.
Counter : 905 Pageviews.

 





สวัสดีตอนเช้าของ เนเธอร์แลนด์ นะจ้า


เวลาเปลี่ยน..... อะไรอะไรก็เปลี่ยน
เป็นกฎของการหมุนเวียนบนโลกใบนี้
แต่มีบางสิ่งที่ยังอยู่คงดี
ไม่เปลี่ยนแปลงตามเวลาที่หมุนเวียนไป
นั่นคือความคิดถึงจากฉัน
ที่ยังคงมั่นไม่ว่าจะนานแค่ไหน
ยิ่งนานก็ยิ่งรู้สึกถึงความห่วงใย
และจะเป็นอย่างนี้ตลอดไปฉันสัญญา



** ขอให้มีความสุขและสุขภาพแข็งแรงเสมอนะจ้า **

 

โดย: จอมแก่นแสนซน 27 พฤษภาคม 2549 12:14:59 น.  

 

เราต้องทำความรู้จักกับพลังวิเศษในตัวตนเสียก่อน

แม่หนิงต้องไปคินก่อน คิดว่านะจะมีอะไรอีกน้อยจากบ้าพลัง ทำงาน อย่างที่เป็นอยู่

เป็นข้อคิดที่ดีมากค่ะ อ่านแล้วก็พยักหน้าเห็นด้วย
แล้วรู้ใช่มัย ว่าแม่หนิงจะเอาไปดัดแปลงคุยเช่นเคย

วันนี้ทำดีมาก มาอัพก่อนเที่ยง แม่หนิงมีเวลาเตรียมรายการ ใน 10 คะแนนเต็ม

กทม.แม่หนิงไปไม่บ่อยครั้ง ไปก็ไปอยู่แถว ๆ ปากเกร็ด บ้านพ่อน้องนับอยู่ที่นั้น ...หลัง ๆ ไม่แม้แต่จะคิดไปเหยียบ 555 อยากไปเหมือนกันค่ะตรอกข้าวสาร แต่คิดว่าสภาพมันคงไม่ต่างจาก หน้ามอ ( มช.) หรือ ไนท์บาซ่าร์ ที่เชียงใหม่ ...ส่วนแปะก๊วย ชอบมากค่ะ ทั้งร้อนและเย็น....





 

โดย: run to me 27 พฤษภาคม 2549 12:23:34 น.  

 

อีกหน่อย...เมื่อกี้ตกไป

เที่ยวนี้ไม่ได้หอบกุหลาบขาวงาม ๆ กลับบ้านมาด้วย

ชอบเหมือนกัน ที่บ้านแม่หนิง แม่หนิงปลูกไว้หลายต้นเลย มีหลายสี วันดีคืนดีก็ตัดมาปักแจกันในห้องนอนค่ะ

เพราะไม่รู้จะตัดไปให้ใคร...อยากได้มัย แม่หนิงจะเอาทับในสมุดโทรศัพท์ไว้ ส่งไปให้ คิดดอกละ 100 บาท ( หารายได้พิเศษค่านมนับ )

 

โดย: run to me 27 พฤษภาคม 2549 12:31:41 น.  

 

คัดจากประชาชาติธุรกิจ

ข้อแนะนำพิเศษสำหรับการชมนิทรรศการ

- ในการแสดงมหานาฏกรรมเฉลิมพระเกียรติ พระมหาชนก 1 รอบสามารถจุผู้ชมได้ถึง 7,000 คน และไม่มีการเก็บค่าบัตรผ่านประตู

แต่หากใครไม่อยากรอคิวและแออัดเข้าไปเพื่อจะหาที่นั่ง ทางผู้จัดงานได้เปิดสำรองที่นั่งในแต่ละรอบ รอบละประมาณ 500 ที่ ในราคา 100 บาท พร้อมรับเข็มที่ระลึก 1 เข็ม (เหมือนซื้อเข็มที่ระลึกแถมการแสดง 1 รอบ)

- ผู้สูงอายุที่มาชมงานในช่วงเวลา 09.00-11.00 น. จะได้รับความสะดวกเป็นพิเศษ โดยมีช่องทางพิเศษสำหรับผู้สูงอายุ และสามารถขอลัดคิวได้

- สำหรับการเดินทาง แนะนำให้เดินทางด้วยแท็กซี่หรือรถขนส่งมวลชน มีบริการรถ ขสมก.จากสวนจตุจักรมาที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี ฟรีตลอดงาน (ขึ้นบีทีเอสหรือรถไฟฟ้ามหานครมาต่อรถที่สวนจตุจักรได้)

- จุดรับ-ส่งของรถบริการสาธารณะจะอยู่ใกล้ส่วนนิทรรศการมากที่สุด แต่ถ้านำรถมาเองขอย้ำว่าต้องเดินไกลมาก

- หากไม่ต้องการหอบหิ้วของที่ระลึกกลับบ้านแล้วอยากนำกลับก็มีจุดบริการไปรษณีย์ ถ้าส่งก่อน 14.00 น.ก็จะถึงมือคุณในวันเดียวกัน (กรณีอยู่ในกรุงเทพฯและปริมณฑล) ทำให้ไม่จำเป็นต้องเอารถส่วนตัวมาถ้ากลัวว่าจำเป็นจะต้องหิ้วของ

- ในนิทรรศการจะมีทางเลือกเสมอ สำหรับบางจุดที่ต้องรอคิวนาน เช่น โซนเกี่ยวกับป่า จะมีจุดชมวิวที่เป็นหน้าผา และฉายภาพยนตร์พานอราม่า ซึ่งมีพื้นที่จำกัดจะต้องแบ่งเป็นรอบๆ แต่ถ้าใครคิดว่าไม่อยากรอก็มีช่องทางให้หลบไปชมโซนอื่นๆ ได้

- งานนี้ไม่สงวนสิทธิ์ในการถ่ายภาพ ใครมีกล้องอย่าลืมพกไปด้วย เพราะจะมีมุมสวยๆ ให้คุณได้ถ่ายรูปทั่วทั้งงาน โดยเฉพาะโซนพระคู่พระบารมีที่อบอวลไปด้วยความรัก คลอเคล้าด้วยความโรแมนติกที่มีเปียโนบรรเลงสดเพลง sweet sixteen ที่พระคู่หมั้นบรรเลงถวายในวันที่ทรงหมั้นตลอดเวลา

 

โดย: คนเดินดินฯ 27 พฤษภาคม 2549 12:43:42 น.  

 

คัดจากประชาชาติธุรกิจ

วันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 3795 (2995)

เทิดไท้องค์ราชัน (2) มหานิทรรศการแห่งแผ่นดิน

คอลัมน์ ร้อยใจรักในหลวง

ในวันที่ 26 พฤษภาคม-4 มิถุนายน 2548 พื้นที่ 140,000 ตารางเมตร หรือประมาณ 40 สนาม ฟุตบอลของอิมแพ็ค เมืองทองธานี ที่นี่จะถูกเปลี่ยนให้เป็นพื้นที่การเรียนรู้ขนาดใหญ่ เป็นมหานิทรรศการใหญ่ที่จัดให้ประชาชนได้ซาบซึ้งเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ช่วงระยะ 60 ปีที่ผ่านมา และให้ทุกคนเกิดความรักและเทิดทูนยิ่งขึ้น

มีอะไรในนิทรรศการ

1.นิทรรศการพระราชประวัติ จัดแสดง ณ อาคารชาเลนเจอร์ จัดแสดงตั้งแต่การสืบราชสันตติวงศ์เมื่อครั้งทรงพระเยาว์ เรื่องราวเมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงพบกัน และเข้าสู่พระราชพิธีอภิเษกสมรส การจัดฉายวีดิทัศน์พระปฐมบรมราชโองการ ตลอดจนการที่ทรงเป็นอัครศาสนูป ถัมภก การเสด็จเยี่ยมราษฎร

และส่วนแสดงถึงพระอัจฉริยภาพในด้านต่างๆ ได้แก่ ภาพจิตรกรรมฝีพระหัตถ์ ประติมากรรมฝีพระหัตถ์ ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ บทเพลงพระราชนิพนธ์ พระอัจฉริยภาพทางด้านกีฬาและการช่าง รวมถึงหนังสือพระราชนิพนธ์

อีกทั้งยังมีกิจกรรมที่ให้ประชาชนได้ร่วมแสดงความจงรักภักดีในหลายรูปแบบ เช่น เขียนใบโพธิ์ถวายพระพร ในส่วนของใต้ต้นพระบรมโพธิสมภาร และชมภาพถ่ายที่ประชาชนทั่วประเทศส่งเข้ามาร่วมกิจกรรมบนกำแพงแห่งความจงรักภักดี

2.นิทรรศการพระราชกรณียกิจ จัดแสดง ณ ฮอล 1-8 เนื้อหาเกี่ยวกับโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ โดยเริ่มที่ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ที่แสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของภาพก่อนและหลังมีโครงการ การพัฒนาทรัพยากรป่า ปรัชญาการบริหารน้ำ เรื่องดิน เศรษฐกิจพอเพียง และเกษตรทฤษฎีใหม่ ผ่านสื่อผสมและมัลติมีเดีย

3.การแสดงมหานาฏกรรมเฉลิมพระเกียรติ พระมหาชนก ณ อิมแพ็ค อารีน่าฯ วันละ 2 รอบ รอบ 14.00 น. และ 19.00 น. โดยนำเอาพระราชนิพนธ์พระมหาชนกมาจัดแสดงในรูปแบบละครเพลง นำแสดงโดยอัษฎาวุธ เหลืองสุนทร และพิจิกา จิตตะปุตตะ กำกับการแสดงโดย ผศ.เก่งฉกาจ สุขี เพื่อให้ประชาชนได้เข้าใจในปรัชญาภายใต้พระราชนิพนธ์อย่างถ่องแท้

กว่าจะมาเป็นนิทรรศการช้าง

น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แม่งานในการจัดนิทรรศการครั้งนี้ กล่าวถึงความตั้งใจแรกเริ่มว่า

"เราต้องการให้คนเข้าใจลึกซึ้งตั้งแต่พระราชประวัติ พระอัจฉริยภาพ โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริอย่างลึกซึ้ง ปรัชญาในเศรษฐกิจพอเพียง การจะทำให้เข้าใจเรื่องเหล่านี้ได้มันจะต้องไม่ใช่นิทรรศการธรรมดาที่มีแต่บอร์ด แต่จะต้องเป็นนิทรรศการที่มีชีวิตเหมือนกับเดินเข้าไปในสมิท โซเนียน"

อย่างเช่น โครงการปลูกป่าในพระราชดำริ จะต้องเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในป่าจริงๆ หรือเรื่องฝนหลวง ไม่ใช่แค่อ่านคำบรรยายว่าฝนหลวงเกิดจากการใส่สารเคมีเข้าไปในเมฆแล้วทำให้เกิดฝนเท่านั้น แต่นิทรรศการครั้งนี้จะเห็นตั้งแต่เมฆเคลื่อนตัวจนกระทั่งมีการปล่อยสารเคมีเข้าไปในเมฆ เห็นเมฆหนาขึ้น ลอยต่ำลง และตกมาเป็นฝน

ดังนั้น จึงได้ระดมออร์แกไนเซอร์มือพระกาฬของเมืองไทยมาร่วมระดมความคิดเกี่ยวกับการจัดนิทรรศการครั้งนี้

"เราให้ออร์แกไนเซอร์แข่งกันอวดฝีมือ ผมบอกว่าผมเคยไปเห็นที่ยูนิเวอร์แซลสตูดิโอในฉากของหนังเรื่องอีที ผมเข้าไปรู้สึกเหมือนเข้าไปในป่า มืดๆ มีต้นไม้ใหญ่ มีหมอกบางๆ ผมอยากได้อย่างนั้น"

หลังจากมองจุดเด่นของออร์แกไนเซอร์แต่ละเจ้า ในที่สุดก็แบ่งออกเป็น "ซีเอ็ม ออร์แกไนเซอร์" ดูแลส่วนพระราชประวัติ "อินเด็กซ์ อีเวนท์" รับผิดชอบส่วนของพระราชกรณียกิจ และ "เจ เอส แอล" จัดมหานาฏกรรมเฉลิมพระเกียรติ พระมหาชนก

ทราบมาว่าทั้ง 3 ออร์แกไนเซอร์ต่างมุ่งทำโดยไม่หวังกำไรสูง ภายใต้งบประมาณไม่เกิน 446 ล้านบาท แต่ผลงานที่ได้เห็นออกมานั้นเกินงบฯ นับว่าเป็นมหานิทรรศการที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน เรียกว่าเป็นงานที่ไม่หวังเงินแต่หวังที่จะมีส่วนร่วมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยความเต็มใจ

นอกจากนี้ ได้มีการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้อย่างเต็มที่ เช่น น้ำตกภาพแปรอักษร ที่เมื่อก่อนเราอาจจะเคยเห็นม่านน้ำตกแล้วฉายโปรเจ็กเตอร์เข้าไป แต่ในงานนี้เป็นม่านน้ำตกแล้วตกมาเป็นตัวโน้ตดนตรี เป็นตัวอักษรทรงพระเจริญ เป็นต้น

อีกทั้งผู้ชมยังจะได้ซื้อสินค้าโครงการหลวงกว่า 10 โครงการ และเป็นเจ้าของสินค้าที่เกี่ยวข้องกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อาทิ หนังสือพระราชนิพนธ์ และของที่ระลึกที่เกี่ยวเนื่องในปีมหามงคลนี้อีกมากมาย

ที่สำคัญในงานยังมีจำหน่าย "เข็มที่ระลึกงานนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติฯ" ในราคา 100 บาท ซึ่งเป็นเข็มกลัดประดับอกเสื้อ ลักษณะเป็นรูปใบโพธิ์ทอง หมายความว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นดั่งร่มโพธิ์ทองปกเกล้าปกกระหม่อมปวงพสกนิกรทุกหมู่เหล่า ผู้ออกแบบคือนายพินิจ สุวรรณบุณย์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาประยุกต์ศิลป์ ปี พ.ศ.2536

ลักษณะเข็มด้านหน้ามีอักษรพระปรมาภิไธย "ภ.ป.ร." ลงยาสีขาวขอบทอง มีเลข 9 ประดิษฐานเหนือพระที่นั่งภัทรบิฐ ภายใต้พระนพปฎลมหาเศวตฉัตร เบื้องหลังเป็นดวงอาทิตย์เปล่งรัศมีรุ่งโรจน์ มีเปลวรัศมี 22 แฉก ได้แก่ ทศพิธราชธรรม 10 ประการ และจักรวรรดิวัตร 12 ประการ ด้านล่างจารึกอักษรสีเงิน ว่า "ฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี" ด้านหลังของเข็มจารึกวันที่ 9 มิถุนายน 2549

 

โดย: คนเดินดินฯ 27 พฤษภาคม 2549 13:03:18 น.  

 

คัดจากประชาชาติธุรกิจ

สัญจรทั่วไทยบอกเล่า อันตรายระบอบทักษิณ

สัมภาษณ์

"นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ" เป็นหนึ่งในกลุ่มวุฒิสมาชิกน้ำดี แม้จะหมดวาระไปแล้วแต่เขายังทำงานร่วมกับภาคประชาชนต่ออย่างขยันขันแข็ง วันนี้หมอนิรันดร์คนดีเมืองอุดรฯ ได้แปรวิกฤตให้เป็นโอกาส จับมือกับเครือข่ายปฏิรูปสังคมและการเมืองตระเวนให้ความรู้กับสังคม โดยเขามีความเชื่อว่า กว่าที่การเมืองของนักการเมืองจะลงตัว การเมืองภาคประชาชนก็เข้มแข็งพอที่จะคานกับอำนาจรัฐและอำนาจของนักการเมืองได้

"ประชาชาติธุรกิจ" สัมภาษณ์หมอนิรันดร์ถึงภารกิจที่ไม่เคยจบสิ้นหลังถอดหัวโขนในสภาสูงออกไปแล้ว

มุ่งสู่เวทีสาธารณะสัญจร

น.พ.นิรันดร์กล่าวว่า หลังจากหมดวาระ ส.ว.ได้มีโอกาสเข้าไปทำงานกับภาคประชาชน เป็นการปฏิรูปสังคมและการเมือง มีเครือข่ายเดินสายเปิดเวทีทั่วประเทศ ซึ่งจะทำเป็นภาคๆ โดยก่อนหน้านี้ได้จัดสัมมนาในเขตพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ แล้วมาต่อที่ภาคกลางอีก 2 ครั้ง หลังจากนั้นจะเดินสายไปภาคอีสาน ทำเวทีสาธารณะแนวทางการปฏิรูปสังคมและการเมือง ซึ่งเห็นว่าควรจะกำหนดจากทิศทางของภาคประชาชนมากกว่าที่จะถูกกำหนดทิศทางโดยนักการเมืองเหมือนเช่นที่ผ่านมา

"การปฏิรูปการเมืองที่ผ่านมาจึงเป็นการปฏิรูปที่ได้ประโยชน์เฉพาะนักการเมืองอย่างเดียว แต่ภาคประชาชนถูกครอบงำหรือถูกคุกคามโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเมืองภาคพลเมือง สิ่งที่พบในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา จากอันตรายของระบอบทักษิณ ทำให้ต้องกลับมานั่งคิดว่าแนวคิดในการปฏิรูปสังคมและการเมืองจะต้องเน้นการเมืองของภาคพลเมืองที่จะทำให้ภาคพลเมืองในทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วม เพราะฉะนั้นในทางปฏิบัติกระบวนการต่างๆ จะต้องเน้นในพื้นที่ เช่น พื้นที่ในเชิงทรัพยากร พื้นที่ในเรื่องของสื่อ พื้นที่ในเรื่องของเครือข่ายที่ดิน พื้นที่ลุ่มน้ำ ป่า เขา หรือแม้กระทั่งเรื่องของเอฟทีเอ ในเรื่องของการจัดการ ในเรื่องของระบบเศรษฐกิจ การศึกษา สุขภาพ ประเด็นต่างๆ เหล่านี้ให้เกิดรูปธรรม และการเมืองของภาคพลเมืองนั้นควรจะเป็นอย่างไร"

น.พ.นิรันดร์กล่าวว่า จะใช้เวลาที่นักการเมืองกำลังวุ่นวายอยู่กับการเลือกตั้ง 5-6 เดือน ให้เป็นประโยชน์ เพื่อให้ภาคประชาชนสามารถที่จะตั้งหลักได้ ตั้งหลักในแง่ที่เกิดเวทีสาธารณะแล้วพูดคุยกัน แต่ว่าการปฏิรูปสังคมและการเมืองจะต้องทำอย่างต่อเนื่อง ก็พอได้แนวทางในการทำงานแล้ว นั่นหมายความว่าทุกพื้นที่ ทุกจังหวัดจะต้องมีการเคลื่อนไหวของการเมืองภาคพลเมือง ในการเข้ามามีส่วนร่วมในการทำงานแต่ละอย่างที่เกิดขึ้น เช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ การที่จะทำให้เกิดการปฏิรูปด้านสังคมการเมืองในพื้นที่ต่างๆ นี่คือการที่จะทำต่อเนื่อง เพราะฉะนั้นการปฏิรูปการเมืองและสังคมไม่ใช่เป็นเรื่องที่จะทำเสร็จในระยะสั้นแต่เป็นเรื่องที่ต้องทำในช่วงที่นักการเมืองกำลังดิ้นรนจัดตั้งพรรคการเมืองกันอยู่ แล้วก็ออกจากคุมขัง ถือเป็นช่วงโอกาสอันดีของประชาชนในการที่จะเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส ทำให้การเมืองของภาคพลเมืองเข้มแข็งขึ้น

ปลุกพลังประชาชนถ่วงดุลนักการเมือง

น.พ.นิรันดร์กล่าวต่อไปว่า ในพื้นที่ทั้งหมดของภาคประชาชนจะต้องทำให้เกิดองค์กรเป็นสมัชชาของภาคประชาชนในการปฏิรูปสังคมและการเมือง ไม่ว่าจะเป็นระดับพื้นที่อำเภอ ตำบล หรือระดับจังหวัด แล้วพัฒนาเป็นสมัชชาประชาชนระดับภูมิภาค ระดับชาติขึ้น ตรงนี้จะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดโครงสร้างการปฏิรูปสังคมและการเมืองของภาคประชาชน ไปตรวจสอบถ่วงดุลกับโครงสร้างของนักการเมือง หรืออำนาจรัฐที่กำลังจะเกิดขึ้น ทำให้เกิดความเสมอภาคและความเท่าเทียมกัน แล้วสะท้อนให้เห็นถึงประโยชน์ของสาธารณะอย่างแท้จริง เราไม่ควรจะไปหลงกล หรือไปยึดติดกับโครงสร้างของนักการเมืองหรือรัฐบาลเพียงอย่างเดียว แต่ควรจะเป็นโครงสร้างที่เกิดจากภาคประชาชน และเชื่อว่าสามารถดำเนินการไปได้เลย ไม่ต้องรอให้รัฐบาลมาบอกว่าจะมีรูปแบบใด เพราะนี่คือการจัดการโดยภาคประชาชน

ประการที่ 2 คือ จะต้องผลักดันให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 313 เพราะตรงนั้นคือประตูเปิดไปสู่การปฏิรูปการเมือง ว่ากฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 313 กระบวนการของศาลรัฐธรรมนูญนั้นจะต้องประกอบไปด้วยบริบท องค์ประกอบของภาคประชาชนอย่างไรบ้าง ในการที่จะนำเสนอการแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญ และรูปแบบของโครงสร้างของกรรมการในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเกิดขึ้นใหม่ควรจะเป็นอย่างไร ที่ไม่ทอดทิ้งหรือตัดทอนในเรื่องสัดส่วนของภาคประชาชน

ในส่วนของมาตรา 313 ในกฎหมายรัฐธรรมนูญส่วนของนักการเมืองที่เราเองได้รู้ว่า เรามีปัญหาเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ 90 วัน หรือบทบัญญัติว่าด้วยวุฒิสภา ไม่ว่าจะเป็นเรื่ององค์กรอิสระต่างๆ ที่มีปัญหา ทั้งหมดมั่นใจว่าเรามีงานวิจัย ข้อมูลต่างๆ ไว้หมดเรียบร้อยแล้ว ตรงนี้สามารถทำให้เกิดการแก้ไขที่จะลดการผูกขาดอำนาจได้ ขณะเดียวกันมาตราต่างๆ ในกฎหมายรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการเมืองภาคพลเมืองตรงนั้นจะต้องถูกหยิบยกขึ้น

สรุปคือจะต้องทำในสิ่งที่ไปลดการผูกขาดอำนาจของการเมืองของนักการเมืองลง เพราะตรงนั้นเป็นต้นตอของระบอบทักษิณ ขณะเดียวกันจะต้องทำให้การเมืองภาคพลเมืองในมาตราต่างๆ ในกฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนขึ้น

เกาะติดปมทุจริตหุ้นชินคอร์ป

ส่วนเรื่องของการติดตามการทุจริตต่างๆ ที่เกิดขึ้น เพราะมีประสบการณ์จากการทำงานในกรรมาธิการทุจริตฯ เราก็มีผลสอบสวนในเรื่องของข้อมูลต่างๆ เกิดขึ้น ฉะนั้นกรณีการทุจริตต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหุ้นชินคอร์ป ซีทีเอ็กซ์ หรือทุจริตคอมพิวเตอร์กระทรวงสาธารณสุข หรือแม้กระทั่งการทุจริตในการเลือกตั้งครั้งนี้ก็มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะให้เกิดกระบวนการในการฟ้องร้อง และให้ศาลซึ่งเป็นองค์กรที่เราเชื่อถือขณะนี้วินิจฉัยชี้ขาด สั่งลงโทษผู้กระทำความผิด เพื่อไม่ให้สังคมต้องสูญเสียโอกาส แล้วเกิดเป็นเยี่ยงอย่างของการใช้อำนาจที่ไม่ชอบธรรม

"แม้ไม่ได้เป็นวุฒิสมาชิก แต่ผมก็ยังทำงานเชิงตรวจสอบ ร่วมกับบรรดานักวิชาการ นักกฎหมาย เอ็นจีโอ และนักธุรกิจ เพราะนี่คือกระบวนการของภาคประชาชน เราไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่งก็ทำงานได้ เพียงแต่ว่าเราต้องมีหลักว่าเราจะทำไปเพื่ออะไร" น.พ.นิรันดร์ทิ้งท้าย

 

โดย: คนเดินดินฯ 27 พฤษภาคม 2549 13:08:11 น.  

 

หวัดดีตอนดึกๆค่ะ แวะมาบอกว่าหลับฝันดีนะค่ะ

 

โดย: asariss 27 พฤษภาคม 2549 23:43:03 น.  

 

เข้ามาอ่านสิ่งดีๆครับ

 

โดย: นายเบียร์ 28 พฤษภาคม 2549 0:47:21 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


คนเดินดินฯ
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]








ปณิธาน

การเดินทางของชีวิตของทุกผู้คน
ทุกคนต่างต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต
แต่จะมีสักกี่คนที่จะก้าวไปถึง
เมื่อเราก้าวถึงจุดนั้น
ขออย่าลืมการแบ่งปันและเจือจาน
แก่ผู้ด้อยโอกาสในสังคม

เราจะเติบโตและก้าวไปข้างหน้าพร้อม ๆ กัน
เพื่อสร้างสรรค์สังคมใหม่ที่ดีงาม

เพื่อให้อนุชนคนรุ่นหลัง
ได้ใช้ชีวิตของเขา
ตามศักยภาพและความตั้งใจของเขา
ตราบเท่าที่เขาต้องการ







เดินไปสู่ความใฝ่ฝัน


ชีวิตหนึ่งร่วงหล่นไปตามกาลเวลา
คลื่นลูกใหม่ไล่หลังคลื่นลูกเก่า
นั่นคือวัฏจักรของชีวิตที่ดำเนินไป

เยาว์เธอรู้บ้างไหม
ว่าประชาราษฎรนั้นทุกข์ยากเพียงใด
เสี้ยวหนึ่งของชีวิตที่เหลืออยู่
เธอเคยมีความใฝ่ฝันที่แสนงามบ้างไหม

สักวันฉันหวังว่าเธอจะเดินไปตามทางสายนี้
ที่อาจดูเงียบเหงาและโดดเดี่ยว
แต่ภายใต้ฟ้าเดียวกัน
ฉันก็ยังมีความหวัง
ว่าผู้คนในประเทศนี้
จะตื่นขึ้นมา
เพื่อทวงสิทธิ์ของพวกเขา
ที่ถูกย่ำยีมาช้านาน
และฉันหวังว่าเธอจะเดินเคียงคู่ไปกับพวกเขา

เพื่อสานความใฝ่ฝันนั้นให้เป็นความจริง
สัญญาได้ไหม
สัญญาได้ไหม
เยาว์ที่รักของฉัน


***********



ขอมีเพียงเธอเป็นกำลังใจ




ทอดสายตามองออกไปยังทิวทัศน์ข้างหน้า
แลเห็นต้นหญ้าโบกไสว
เห็นดอกซากุระบานอยู่เต็มดอย
ความงามที่อยู่ข้างหน้า
เป็นสิ่งที่ฉันจะเก็บมันไว้
ยามที่จิตใจอ่อนล้า...

ชีวิตยามนี้แม้ผ่านมาหลายโมงยาม
แต่จิตใจข้างในยังคงดูหงอยเหงา
หลายครั้งอยากมีเพื่อนคุย
หลายครั้งอยากมีคนปรับทุกข์
และหลายครั้งต้องนั่งร้องไห้คนเดียว

รางวัลสำหรับชีวิตที่ผ่านมา
มันคืออะไรเคยถามตัวเองบ่อย ๆ
ความสำเร็จ...เงินตรา...เกียรติยศชื่อเสียง
มันใช่สิ่งที่เราต้องการหรือเปล่า
ถึงจุดหนึ่งชีวิตต้องการอะไรอีกมากไปกว่านี้

หลายชีวิตยังคงดิ้นรนต่อสู้
เพื่อปากท้องและครอบครัว
มันเป็นความจริงของชีวิตมนุษย์
ที่ต้องดำรงชีพเพื่อความอยู่รอด
มีทั้งพ่ายแพ้ มีทั้งชนะ
แต่ชีวิตต่างต้องดำเนินไป
ตามวิถีทางของแต่ละคน

ลืมความทุกข์ ลืมความหลังที่เจ็บปวด
มองออกไปข้างหน้า
ค้นให้พบตัวตนของตนเองอีกครั้ง
แล้วกลับไปสู้ใหม่
การเริ่มต้นของชีวิตจะต้องดำเนินต่อไป
จะต้องดำเนินต่อไป

ตราบจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต....




@@@@@@@@@@@




การเดินทางของความรัก

...ฉันเดินไปด้วยหัวใจที่ว่างเปล่า
สมองได้คิดใคร่ครวญ
ความรักในหลายครั้งที่ผ่านมา
ทำไมจึงจบลงอย่างรวดเร็ว

ฉันเดินไปด้วยสมองอันปลอดโปร่ง
ความรักทำให้ฉันเข้าใจโลก
และมนุษย์มากขึ้น
และรู้ว่าความแตกต่าง
ระหว่างความรักกับความหลงเป็นอย่างไร?

ฉันเดินไปด้วยดวงตาที่มุ่งมั่น
บทเรียนของรักในครั้งที่ผ่าน ๆ มา
มันย้ำเตือนอยู่เสมอว่า
อย่ารีบร้อนที่จะรัก
แต่จงปล่อยให้ความสัมพันธ์
ค่อย ๆ พัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป
เรียนรู้และทำเข้าใจกันให้มากที่สุด

ก่อนที่จะเริ่มบทต่อไปของความรัก...




*******************



จุดไฟแห่งศรัทธาและความมุ่งมั่น

เข้มแข็งกับอ่อนแอ
สับสนหรือมุ่งมั่น
จะยอมแพ้หรือลุกขึ้นท้าทาย
กับชีวตที่เหลืออยู่
ทุกสิ่งล้วนอยู่ที่ใจเราจะกำหนด

ไม่ใช่เพราะอิสระเสรี
ที่เราต้องการหรอกหรือ?
ที่มันจะนำทางชีวิต
ในห้วงเวลาต่อไป
ให้เราก้าวทะยานไป
สู่วันพรุ่งที่สดใส

มีแต่เพียงคนที่รู้จักตนเองอย่างดีพอเท่านั้น
จะสามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้
เมื่อผ่านการสรุปบทเรียน
จากปัญหาต่าง ๆ ที่ประสบ
เราก็จะมีความจัดเจนกับชีวิตมากขึ้น
และการเผชิญกับอุปสรรคต่าง ๆ
ในอนาคตก็จะเป็นเพียงปัญหาที่เล็กน้อยสำหรับเรา
ในการที่จะก้าวผ่านไป



ด้วยศรัทธาและความมุ่งมั่นที่มีอยู่ในใจ
ที่จะต้องย้ำเตือนตัวเองอยู่เสมอ
หนทางในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ
ย่อมอยู่ไม่ไกลห่างอย่างแน่นอน

*********************



ก้าวย่างที่มั่นคง

บนทางเดินแคบ ๆ ที่เหลืออยู่
หากขาดความมั่นใจที่จะก้าวเดินต่อไป
ชีวิตก็คงหยุดนิ่งและรอวันตาย
แม้ทางข้างหน้าจะดูพร่ามัว
และไม่รู้ซึ่งอนาคต
แต่สิ่งที่ดีที่สุดในปัจจุบัน
คือก้าวย่างไปอย่างมั่นคง
และมองไปข้างหน้าอย่าเหลียวหลัง
เก็บรับบทเรียนในอดีต
เพื่อจะได้ระมัดระวังไม่ให้ผิดพลาดอีกในอนาคต

"""""""""""""""""""""""""""""""""



ใช้สามัญสำนึกทำงาน

ไม่มีแผนงานที่สวยหรู
ไม่มีปฏิบัติการใดที่สมบูรณ์แบบ
ในยามนี้มีเพียงการทำงานด้วยการทุ่มเท
ลงลึกในรายละเอียดเท่านั้น
จึงจะสามารถคลี่คลายปัญหาของงานลงได้
บางครั้งโจทย์ที่เจออาจยากและซับซ้อน
แต่เมื่อลงไปคลุกคลีอย่างแท้จริง
โจทย์เหล่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

""""""""""""""""""""""""""""""""



เรียบ ๆ ง่าย ๆ


อย่ามองสิ่งต่าง ๆ ด้วยแว่นสีที่ซับซ้อน
เพราะในโลกนี้มีเพียงสิ่งสามัญที่เรียบง่าย
สำหรับคนที่สงบนิ่งเพียงพอเท่านั้น
จึงจะแก้โจทย์และปัญหาต่าง ๆ
ด้วยกลวิธีที่เรียบ ๆ ง่าย ๆ
ไม่ซับซ้อนและตรงจุดได้อย่างเพียงพอ

""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""

ใจถึงใจ

บนหนทางไปสู่ความสำเร็จ
บนหนทางของการสร้างสรรค์สิ่งใหม่
มีเพียงคนที่เข้าใจในสภาพจิตใจของคนทำงานเท่านั้น
จึงจะสามารถนำทีมงานไปสู่เป้าหมายได้
อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน








Friends' blogs
[Add คนเดินดินฯ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.