บ้านที่มีความรักและความอบอุ่นคือจินตนาการของคนไทยยามนี้ !
Group Blog
 
<<
เมษายน 2552
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
18 เมษายน 2552
 
All Blogs
 

Heart of Gold - Neil Young




Heart of Gold - Neil Young

"Heart Of Gold"

I want to live,
I want to give
I've been a miner
for a heart of gold.
It's these expressions
I never give
That keep me searching
for a heart of gold
And I'm getting old.
Keeps me searching
for a heart of gold
And I'm getting old.

I've been to Hollywood
I've been to Redwood
I crossed the ocean
for a heart of gold
I've been in my mind,
it's such a fine line
That keeps me searching
for a heart of gold
And I'm getting old.
Keeps me searching
for a heart of gold
And I'm getting old.

Keep me searching
for a heart of gold
You keep me searching
for a heart of gold
And I'm growing old.
I've been a miner
for a heart of gold.

.........................................





จากลิ้งค์นี้--->//www.we-za.com/2009/04/blog-post_10.html




ไม่ยอมหมดหวัง์ -



อย่าให้ความหวัง Love Fool - เฟย์ ฟาง แก้ว


ผู้ได้รับบาดเจ็บ - LinK CorNer

ตะโกนออกไป บอกใจให้ลืมเรื่องเหล่านั้น
เรื่องราวของคนที่เคยรักกัน จากนี้มันต้องไม่มีอีก

เมื่อคนจะไป เหนี่ยวรั้งเท่าไรก็เท่านั้น
เมื่อความรักมา กลับทำร้ายกัน จบกันวันนี้ซะดีกว่า

* แต่หากว่าความรักยังฝัง ลึกซึ้งในจิตใจ
อยากจะเลือนลบไป ก็ต้องย้ำเตือนหัวใจ


** ว่าอย่าให้รักมันบาดลึกไป เจ็บพอแล้วหัวใจ
ไม่ต้องคิด ไม่ใส่ใจ ให้ความรักผ่านพ้นไป
อาจจะยากเย็น ต้องแข็งใจ อีกนานซักเท่าไร
ก็ต้องคิด ให้ปวดใจ ว่าชีวิตยังต้องเดินต่อไป
แค่นี้ก็พอ อย่าปล่อยให้มันต้องเจ็บซ้ำ
บาดแผลที่ยังเก็บและฝังจำ สักวันจะหายและดีเอง

ซ้ำ *,**,*,**

แม้มันจะเจ็บ แม้มันจะผูกัน แต่วันนี้คงต้องยอม ต้องตัดใจ
สุดท้ายมันจะจบ สุดท้ายมันจะผ่านไป แต่ชีวิตยังต้องเดินต่อไป…

...................................................


หัวใจ - BiG Ass

เนื้อเพลง หัวใจ
Music : อภิชาติ พรมรักษา
Lyrics : ขจรเดช พรมรักษา
Arrangement : BIG ASS
น้ำตาเธอหลั่งริน เมื่อสูญสิ้นหมดทุกสิ่ง
เธอพ่ายแพ้ความจริง เหมือนคนไร้ค่า
พายุพัดพาชีวิต แหลกสลายลงในพริบตา เธอพร้อมที่จะลาหลับใหลชั่วนิรันดร์
เหมือนว่าเธอไม่เหลือที่พึ่งใด ๆ ทั้งที่เธอยังเหลือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ สิ่งที่มีความหมายมากมายกับเธอ
อย่างน้อยก็เหลือหัวใจ ที่มันยังคงเต้นอยู่ บอกให้รู้และเตือนว่าเธอยังไม่ตาย(หายใจ)
หกล้มก็ลุกขึ้นยืน เจ็บปวดก็ทนเอาไว้ แม้ว่าเธอไม่เหลืออะไร เหลือเพียงหัวใจดวงนี้ก็เพียงพอแล้ว
แขนไม่มีไขว่คว้า และขาไม่มีให้เดิน แต่เขาพร้อมเผชิญ ไม่ยอมแพ้พ่าย
ชีวิตเหลือเพียงเท่านี้ แต่ความหวังไม่เคยหายไป ความทุกข์ท้อใด ๆ ก็แพ้ใจของคน
แม้ว่าเธอไม่เหลือที่พึ่งใด ๆ เธอก็ยังคงเหลือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ สิ่งที่มีความหมายมากมายกับเธอ
เราไม่ได้เกิดมาเพื่อยอมจำนน คนทุกคนยังเหลือสิ่งที่ยิ่งใหญ่
วันนี้มันจะเป็นยังไงต้องไม่ยอมแพ้
เราไม่ได้เกิดมาเพื่อยอมจำนน ใจของคนดวงนี้นั้นแสนยิ่งใหญ่
พรุ่งนี้เราจะเดินไป ไม่ท้อไม่ยอมแพ้


เวลาไม่มีความหมายอีกต่อไป - NoLoGo

เนื้อเพลง: เวลาไม่มีความหมายอีกต่อไป
อัลบั้ม: Gravity
ดู เนื้อเพลง ทุกเพลงของ โนโลโก้
ขอบใจจริงๆ ที่ร่วมทางกันมา
อาจเป็นเวลาไม่เท่าไหร่
แต่เธอรู้ไหม ช่วงเวลาแค่นั้น
แต่มันลึกซึ้งและช่างยิ่งใหญ่ ให้ฉันจำจนตาย

ผ่านวันพรุ่งนี้และอีกนานแค่ไหน
ส่วนหนึ่งของฉันก็จะอยู่
อยู่ในวันวานวันที่เรามีกัน
อยู่ในความฝันในวันเก่า

ฉันขอจำจนตาย
เวลาไม่มีความหมายอีกต่อไป
ให้วันและคืนหมุนเวียนไปอย่างไร
ฉันเลือกจะหยุดหัวใจไว้ที่เธอเรื่อยไป
ไม่มีใครจะทำให้ฉันลืมเธอ

เก็บความทรงจำวันที่เคยมีกัน
ให้เป็นเหมือนแสง แสงสว่าง
ส่องใจของฉันในค่ำคืนยาวนาน
เมื่อใจเวิ้งว้างและมืดหมด
จะเก็บเธอไว้จำจนตาย

ฉันขอจำจนตาย
เวลาไม่มีความหมายอีกต่อไป
ให้วันและคืนหมุนเวียนไปอย่างไร
ฉันเลือกจะหยุดหัวใจไว้ที่เธอเรื่อยไป
ไม่มีใครจะทำให้ฉันลืมเธอ

เวลาไม่มีความหมายอีกต่อไป
ให้วันและคืนหมุนเวียนไปอย่างไร
ฉันเลือกจะหยุดหัวใจไว้ที่เธอเรื่อยไป
ไม่มีใครจะทำให้ฉันลืมเธอ ไม่มีวัน

"""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""







บล็อกที่แล้ว(เพลงของ elton john) คลิก-->//www.bloggang.com/mainblog.php?id=balanceofsociety&month=18-04-2009&group=14&gblog=29




 

Create Date : 18 เมษายน 2552
11 comments
Last Update : 20 พฤษภาคม 2552 23:56:54 น.
Counter : 979 Pageviews.

 

สงกรานต์ก็ไปราชบุรีมาค่ะ
ไปนอนรีสอร์ท..วังเวงน่าดุเลยละ

บรรยากาศต่างจังหวัดดูเงียบเหงาจังเลย
เพราะเศรษฐกิจแน่เลยเนอะ..
เลยทำให้สถานการณ์ที่ดูแย่จังเลย
รู้สึกไม่ครึกครี้นเลยค่ะ

แต่ได้บรรยากาศเงียบๆๆดีนะ

ปีนี้ยังไม่รู้ว่าชีวิตจะต้องดำเนินแบบไหน..
คงได้แต่ทำอะไรให้หมดไปวันๆๆนะ

ชีวิตน่าเบื่อจังเลยค่ะ
ช่วงนี้ไงไงก็มายรู้..
เหอออออออออออออออออ

เบื่ออออออออออออออออออออ

ขอให้มิตรคนดี..ที่รู้จักพานพบแต่ความสุข
หลุดจากพิษเศรษฐกิจที่แสนแย่นะค่ะ
สู้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

^ _ ~

 

โดย: cattleya..,มายได้ล็อกอินค่ะ IP: 58.9.71.3 19 เมษายน 2552 16:43:40 น.  

 

ดีจังเลยค่ะ มีเพลงให้เลือกฟังตั้งแยะเลย
หนี่ฯ แอบบ ชอบ ๆ นะคะ จุ๊บ ๆ



Ps หนี่ฯ ขอขอบคุณมาก ๆ
ที่เล่าเรื่องราวของช่วงสงกราต์
อ่านเรื่องราวพร้อมกับจิตนาการตาม
เหมือนได้อยู่ในเหตุการณ์เลยจริง ๆ นะคะ


หนี่ฯ ขออวยพรให้ฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ไปได้ด้วยดี
เลิฟ เลิฟ เสมอนะคะ จุ๊บ ๆ



 

โดย: หนี่หนีหนี้ (แพรวขวัญ ) 28 เมษายน 2552 12:33:08 น.  

 

จากกรุงเทพธุรกิจ


ธุรกิจ : BizWeek
วันที่ 30 เมษายน 2552 06:30
อย่าเปลี่ยนแค่ "กลยุทธ์ ! "

โดย : ธีรพล แซ่ตั้ง
ภาพประกอบข่าว

* ภาพข่าว ภาพประกอบข่าว

TOOLS

* ขนาดตัวอักษร
* พิมพ์ข่าวนี้
* ส่งต่อให้เพื่อน
* share

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

คอลัมน์อื่นๆ

*
Coporate Movement
o ไมเนอร์ซื้อกิจการธุรกิจอาหารแบรนด์นอก
o ซีพีเอฟชูหมูอนามัยแพ็คแบรนด์ซีพีปลอดโรค
o
*
HR Management
o ไบเทค พ่อรวยสอนลูก
o ตัวโน้ตจังหวะชีวิต ศุภพงศ์ กฤษณกาญจน์
o
*
Marketing
o คาร์ฟูร์ ผนึกยูนิลีเวอร์ดั๊มพ์ราคาดึงกำลังซื้อ
o เบอร์เกอร์คิงขยายสาขารอเศรษฐกิจฟื้น
o

ยุทธศาสตร์ที่เป็นเป้าหมายหลักขององค์กร เป็นเรื่องของการมองระยะยาว แต่กลยุทธ์ที่ใช้ในแต่ละช่วงเป็นเรื่องของระยะกลางและระยะสั้น

เพราะฉะนั้นไม่ว่า สถานการณ์จะเป็นอย่างไร ยุทธศาสตร์จะไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง แต่กลยุทธ์จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่กำลังเผชิญ นี่ก็คือ 1 ในปัจจัยหลักแห่งความสำเร็จขององค์กร

ธุรกิจที่ไม่เคยมีการปรับเปลี่ยนหรือพัฒนากลยุทธ์ จึงมักจะพบความสำเร็จในช่วงสั้นๆ ที่เหมาะสมกับสภาวการณ์ในขณะนั้น แต่จะตามมาด้วยความล้มเหลวจนถึงล่มสลายเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไปแต่ยังคงยึด ติดกับกลยุทธ์เดิมๆ ที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง-พัฒนา นี่ก็คือ 1 ในปัจจัยหลักแห่งความล้มเหลวของแต่ละองค์กร

ส่วนธุรกิจที่ “พยายามปรับเปลี่ยนกลยุทธ์อยู่ตลอดเวลา” แต่ยิ่งเปลี่ยน ยิ่งล้มเหลว ยิ่งปรับยิ่งเละเทะ..เป็นเพราะอะไร? มีหลายสาเหตุ แต่ 1 ในสาเหตุที่เปลี่ยนกลยุทธ์แล้วยังไม่ได้ผล ก็คือ “เปลี่ยนแต่กลยุทธ์ โดยไม่ได้ปรับเปลี่ยนโครงสร้างและองค์ประกอบที่จำเป็นให้เหมาะสม สอดคล้องกับกลยุทธ์” !

ตัวอย่างเช่น เปลี่ยนกลยุทธ์ในการเพิ่มช่องทางขาย แต่ไม่ได้ปรับเปลี่ยนโครงสร้างการขาย หรือพัฒนาทักษะการขายแบบใหม่ให้สอดคล้องกับช่องทางขายที่เพิ่มขึ้น หรือการเปลี่ยนกลยุทธ์ที่จะเน้นรักษาฐานลูกค้าเดิมให้อยู่กับบริษัทให้มาก ที่สุดในสภาวะวิกฤติที่หาลูกค้าใหม่ยาก แต่โครงสร้างการเข้าถึง - การรักษาลูกค้า - การตอบสนอง การแก้ปัญหาให้กับลูกค้า ไปจนถึงทักษะของพนักงานที่จะต้องรู้วิธีการรักษาลูกค้าอย่างมืออาชีพ กลับไม่ได้เรียนรู้ จากกลยุทธ์การรักษาลูกค้าที่ทำ ก็จะกลายเป็นกลยุทธ์การไล่ลูกค้าในที่สุด!

ความสำเร็จของกลยุทธ์…ไม่ใช่อยู่ที่ใครจะคิดกลยุทธ์แบบใหม่ได้ดีกว่า หรือเร็วกว่า แต่อยู่ที่ วิธีการใช้กลยุทธ์ให้เหมาะสมกับ “โครงสร้างใหม่ วิธีการใหม่ขององค์กร” ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในขณะนั้นได้อย่างไร

แต่ละบริษัท สามารถคิดกลยุทธ์ใหม่ หรือเปลี่ยนกลยุทธ์ได้ทุกวัน แต่จะต้องปรับเปลี่ยนองคาพยพในองค์กรอย่างไรเป็นเรื่องที่ไม่มีสูตรสำเร็จ เพราะโครงสร้างและปัจจัยหลักของแต่ละองค์กรแตกต่างกัน แต่ก็พอมีแนวทางให้นำไปปรับใช้ได้ ลองนำไปตั้งคำถาม และคิดต่อยอดดูนะครับ
1.กลยุทธ์ใหม่ที่จะใช้ ….จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายหลักและสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ระยะยาวขององค์กรหรือไม่?
2.กลยุทธ์ใหม่ที่จะใช้….เหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบันหรือไม่?
3.กลยุทธ์ใหม่ที่จะใช้….ทุกคนที่ต้องเกี่ยวข้องในองค์กร..รับรู้และเข้าใจตรงกันหรือไม่?
4.กลยุทธ์ใหม่ที่จะใช้….จะต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้าง ปรับเปลี่ยนขั้นตอนการปฏิบัติในเรื่องใดบ้าง?
5.กลยุทธ์ใหม่ที่จะใช้…..จะต้องสร้าง ทัศนคติใหม่ และทักษะใหม่ของทีมงานที่ต้องเกี่ยวข้องในเรื่องใดบ้าง?

ถ้าไม่สามารถตอบ 5 คำถามหลักนี้ได้ ก็ไม่ต้องแปลกใจที่การเปลี่ยนกลยุทธ์ในแต่ละครั้ง มีโอกาสที่จะล้มเหลวมากกว่าประสบความสำเร็จ….หรือถ้าโชคดีประสบความสำเร็จ ..ก็เป็นความสำเร็จแบบวูบวาบแต่อาจส่งผลเสียกับทิศทางและยุทธศาสตร์ของ องค์กรในระยะยาว

ลองนำแนวคิด “5 คำถามเกี่ยวกับกลยุทธ์” ไปปรับใช้ ถึงแม้ช่วงแรกอาจจะดูยุ่งยาก หรือใช้เวลาบ้าง แต่ก็คุ้มค่า

เพราะผลที่เกิดขึ้น ท่านจะไม่ใช่แค่เปลี่ยนกลยุทธ์แต่ท่านกำลังเปลี่ยน ปัจจัยหลักที่ทำให้กลยุทธ์ไปสู่ความสำเร็จ !

Tags : ธีรพล แซ่ตั้ง • การปรับตัว

 

โดย: คนเดินดินฯ IP: 124.121.150.167 1 พฤษภาคม 2552 8:14:41 น.  

 


จากฐานเศรษฐกิจ

หอไทยก๊อปพิมพ์เขียวมะกัน-ญี่ปุ่น จี้ปรับโครงสร้างศก.ลดพึ่งส่งออก


หอการค้าไทยกระตุ้นรัฐบาลปรับโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ จี้ลดพึ่งพาส่งออก เพิ่มบริโภคภายใน เร่งดันลงทุนอาเซียน ฟื้นท่องเที่ยว ระบุเศรษฐกิจไทยยังเสี่ยงสูงหลังช่วง 12 ปีที่ผ่านมาพึ่งการส่งออกเกือบ 70% ของจีดีพี ต้องเร่งวางแผนเพิ่มรายได้ภาคอื่นคานน้ำหนัก ด้านสภาอุตฯชี้ทำยาก พูดแทงใจดำ เอกชนไทยไม่เข้มแข็งเท่ามะกัน-ญี่ปุ่น





นายดุสิต นนทะนาคร ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ"ว่า ในการประชุมคณะกรรมการหอการค้าไทยช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีการหารือกันถึงแผนงานหลักที่หอการค้าไทยจะดำเนินการจากนี้ไปหลายประการ หนึ่งในแผนงานสำคัญคือที่ประชุมเห็นควรที่หอการค้าไทยจะเป็นองค์กรหลักภาคเอกชนในการนำเสนอแนวคิดหรือแนวนโยบายเศรษฐกิจของประเทศใหม่ เพื่อนำเสนอรัฐบาลนำไปกำหนดเป็นนโยบายเศรษฐกิจของประเทศที่ตรงกับความต้องการของภาคเอกชน ซึ่งเป็นผู้ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่แท้จริงของประเทศ ทั้งนี้จะได้มอบหมายให้มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยได้ทำการศึกษาวิจัยถึงทิศทางนโยบายดังกล่าวต่อไป


"ในสหรัฐอเมริกา หอการค้าอเมริกันจะเป็นคนผลักดันแนวนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล ส่วนในญี่ปุ่นหอการค้าญี่ปุ่น และสมาพันธ์ธุรกิจญี่ปุ่น หรือเคดันเรน จะเป็นคนผลักดันแนวนโยบาย พอรัฐบาลเข้ามาก็ต้องมาคุยกับองค์กรเหล่านี้ สำหรับแผนงานนโยบายเศรษฐกิจดังกล่าวจะผลักดันให้สำเร็จในช่วงที่ดำรงตำแหน่งอยู่"


นายดุสิต กล่าวว่าตนอยากจะเห็นคือมีการสร้างความสมดุลของแต่ละเซ็กเตอร์ซึ่งเป็นองค์ประกอบของจีดีพีมากขึ้น จากปัจจุบันไทยพึ่งพาภาคการส่งออกสัดส่วนเกือบ 70% ของจีดีพี จากช่วงปี 2540 ที่ไทยเกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง ภาคการส่งออกคิดเป็นสัดส่วน 40-50% ของจีดีพี ดังนั้นการพึ่งพาภาคการส่งออกมากเกินไปไทยจึงได้รับผลกระทบ และส่งผลต่อเศรษฐกิจของประเทศถดถอยตามไปด้วย ทั้งนี้หากเศรษฐกิจโลกเกิดวิกฤติขึ้นอีกในอนาคตเราก็ต้องเดือดร้อนกันอีก


สำหรับแนวนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลในอนาคต จะต้องหาทางลดสัดส่วนจีดีพีจากภาคการส่งออกลง โดยมูลค่าการส่งออกอาจเท่าเดิม หรือมากขึ้น แต่ขณะเดียวกันจะต้องไปขยายสัดส่วนจีดีพีจากภาคอื่นๆ มากขึ้น เช่น จากการสนับสนุนภาคเอกชนไปลงทุนในต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการไปลงทุนในกลุ่มประเทศอาเซียนที่ในปี 2553 ภาษีการนำเข้าสินค้าระหว่างกันโดยส่วนใหญ่จะลดลงเป็น 0% รวมถึงแผนงานการผลักดันการจัดตั้งประชาคมอาเซียนให้สำเร็จในปี 2558 จะทำให้อาเซียนกลายเป็นฐานการผลิตและตลาดเดียวกัน(ตลาด 570 ล้านคน)


ดังนั้นรัฐบาลและภาคเอกชนจะต้องเร่งช่วยกันวางยุทธศาสตร์ว่าจะสนับสนุนกลุ่มสินค้าที่มีศักยภาพใดของไทยไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน และทำให้มีโอกาสทางการตลาดมากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป(อียู) และญี่ปุ่นซึ่งเป็น 3 ตลาดส่งออกหลักของไทยลงได้ ส่วนภาคการท่องเที่ยว ภาคการลงทุน และการบริโภคภายในประเทศที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากเหตุการณ์ทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมาต้องเร่งฟื้นฟูความเชื่อมั่นให้กลับคืนมาโดยเร็ว


"ภาคเอกชนของเราไม่เข้มแข็ง พอรัฐบาลเปลี่ยนที นโยบายก็เปลี่ยนทำให้ขาดความต่อเนื่อง ซึ่งจากนี้ไปเราอยากจะเห็นแนวนโยบายที่มาจากภาคเอกชนโดยตรง และมีความต่อเนื่อง สิ่งเหล่านี้คือการเปลี่ยนแปลงของหอการค้าไทยที่จะต้องทำให้เกิดเป็นรูปธรรมให้ได้ ส่วนองค์กรเอกชนอื่นๆ เช่นสภาอุตสาหกรรมฯ หากเขาจะเสนอทิศทางนโยบายเศรษฐกิจเช่นเดียวกันก็สามารถทำได้ โดยเราอาจจะนำความเห็นของแต่ละองค์กรมารวมกันเพื่อเสนอต่อรัฐบาลในรูป กกร.(คณะกรรมการร่วมเอกชน 3 สถาบัน)ก็ได้"


ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า แผนการศึกษาวิจัยเรื่องแนวนโยบายการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจของหอการค้าไทยที่จะนำเสนอรัฐบาลถือเป็นแผนเชิงรุกซึ่งทางศูนย์มีความพร้อมที่จะดำเนินการ เพราะมีฐานข้อมูลด้านต่างๆ อยู่แล้ว หากได้รับมอบหมายอย่างเป็นทางการคาดจะใช้เวลาไม่นาน


ขณะที่ดร.เสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวถึงโครงสร้างจีดีพีหรือโครงสร้างเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันว่า สัดส่วนประมาณ70% มาจากภาคการส่งออก และจากการนำเข้า 50% ส่งออกลบนำเข้าเหลือส่งออกสุทธิสัดส่วนประมาณ 20% มาจากการบริโภคในประเทศ 54% (สัดส่วนจากส่งออกและจากการบริโภคภายในรวมกันคิดเป็นสัดส่วน 74% )สัดส่วนที่เหลือมาจากการลงทุนของเอกชนเกือบ 20% และจากการใช้จ่ายของภาครัฐ 8-9% ขณะที่ในการส่งออกของไทยสัดส่วนกว่า 30% ส่งออกไปยัง 3 ตลาดใหญ่ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา อียู และญี่ปุ่นดังนั้นเมื่อการส่งออกมีปัญหาจึงกระทบมากเพราะไทยขาดภูมิคุ้มกันจากภาคอื่นๆ ซึ่งเป็นองค์ประกอบของจีดีพี


ด้านนายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) กล่าวว่าที่ผ่านมาสภาอุตสาหกรรมฯ และกกร.เคยนำเสนอแนวนโยบายเศรษฐกิจต่อรัฐบาลมาหลายสมัยแล้ว ซึ่งรัฐบาลก็ได้นำไปใช้บ้างแต่ไม่ทั้งหมด แนวคิดของหอการค้าไทยที่อยากให้รัฐบาลทำเช่นเดียวกับภาคเอกชนของสหรัฐฯ ญี่ปุ่น คงเป็นเรื่องยาก เพราะส่วนหนึ่งศักยภาพเอกชนไทยเทียบกับภาคเอกชนของทั้งสองประเทศยังด้อยกว่ามาก


"ตัวอย่างเคดันเรนถือเป็นองค์กรภาคเอกชนของญี่ปุ่นที่ใหญ่มาก ศักยภาพสามารถเป็นรัฐบาลได้เลย และเขาเป็นประชาธิปไตยทุนนิยมแบบเต็มขั้น รัฐบาลเป็นตัวแทนของกลุ่มผลประโยชน์แต่ละสาขา ส่วนในสหรัฐฯกฎหมายเขาเอื้อให้ภาคเอกชนหรือกลุ่มผลประโยชน์สามารถให้การสนับสนุนรัฐบาลได้อย่างเปิดเผย ผิดกับของเราที่เอาประโยชน์ส่วนน้อยเป็นที่ตั้งและมีเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ดังนั้นแนวนโยบายที่มาจากภาคเอกชนจึงเป็นเรื่องที่ยาก"


ส่วนดร.สมภพ มานะรังสรรค์ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า เห็นด้วยที่ไทยจะลดการพึ่งพาภาคการส่งออกให้น้อยลง เพราะการพึ่งพาสัดส่วน 60-70% ของจีดีพีมีความเสี่ยง ขณะที่โดยศักยภาพของไทยยังมีจุดแข็งด้านอื่นๆ อีกมากที่สามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศ เช่น สาขาบริการทั้งการท่องเที่ยว บริการสุขภาพ โรงพยาบาล บริการการศึกษา สปา ฯลฯ ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาลควรเร่งทำคือทำให้การเมืองมีเสถียรภาพ และสนับสนุนให้ภาคธุรกิจเหล่านี้ขยายตัวซึ่งจะทำให้คนในสาขาต่างๆเหล่านี้มีอำนาจซื้อมากขึ้น ซึ่งก็จะทำให้สินค้าที่เคยผลิตเพื่อส่งออกเป็นหลักสามารถขายในประเทศได้เพิ่มขึ้นด้วย









 

โดย: คนเดินดินฯ IP: 124.121.150.219 2 พฤษภาคม 2552 7:33:37 น.  

 

จากกรุงเทพธุรกิจ


"วัฒนธรรมองค์กรนำทางสร้างความดี (ต่อลูกค้า)"

ทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์

ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท


การจัดการยุคใหม่ต้องใช้วัฒนธรรมองค์กร เป็นเครื่องมือในการสร้างคุณค่าและสิ่งดีงามให้กับลูกค้า หมดยุคหมดสมัยที่จะใช้กฎระเบียบต่างๆ ควบคุมพฤติกรรมของพนักงานในองค์กร เพราะการใช้กฎระเบียบเป็นการบังคับ เป็นการกำหนดจากภายนอก แต่การปลูกฝังวัฒนธรรมด้วยการให้พนักงานเรียนรู้รูปแบบในการทำงาน ลีลาในการทำงาน มีค่านิยมที่ดีงามเป็นหลักยึดในการทำงาน เป็นการกำหนดแนวทางการทำงานที่มาจากข้างในจิตใจของพนักงาน ด้วยความสมัครใจ



ผู้บริหารยุคใหม่จะต้องใส่ใจในการปลูกฝังค่านิยมที่ดีงามให้เป็นรากแก้วที่หยั่งลึกอยู่ในสำนึกของพนักงานทุกคน เมื่อค่านิยมนั้นหยั่งรากลึกก็จะเติบโตเป็นลำต้นออกมาเป็นพฤติกรรมที่ดีงามตามแนวทางของค่านิยม สิ่งนั้นก็จะกลายเป็นวัฒนธรรมที่แผ่กิ่งก้านสาขาออกมาให้เห็นเป็นความดีงาม ที่เป็นทั้งดีนอกและดีใน



ค่านิยมแรก การรอบรู้ รู้จริงในงานที่ทำ (Specific) ในการทำงาน หรือการทำสิ่งใดๆ ก็แล้วแต่ หากผู้ที่ทำมีความขยัน หมั่นเรียนรู้ ให้ตนเองมีความเชี่ยวชาญในสิ่งที่ตนเองทำ เช่น พนักงานขาย จำเป็นที่จะต้องรู้รายละเอียดของสินค้าและบริการ รวมถึงข้อมูลประกอบอื่นๆ ในการให้ข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วนกับลูกค้า





ค่านิยมที่สอง ที่ผู้บริหารจะต้องใส่ใจปลูกฝังให้กับพนักงานก็คือ “การทำงานด้วยความรัก” (Passion) รักงานที่ทำ รักอาชีพที่ใช้ในการดำรงชีวิต รักองค์กรที่ให้โอกาสในการทำหน้าที่ รักสินค้าที่ต้องภูมิใจนำเสนอ รักเพื่อนร่วมงานที่จะต้องร่วมมือกันทำงาน รักเจ้านายที่จะต้องร่วมมือให้การงานขององค์กรบรรลุพันธกิจ รักลูกน้องที่จะต้องสั่งสอน ฝึกฝน แนะนำให้พวกเขาเป็นคนเก่ง คนดี ที่มีความสุขในการทำงาน และที่สำคัญที่สุดรักลูกค้าผู้มีพระคุณทำให้ธุรกิจขององค์กรดำรงอยู่ได้



ค่านิยมที่สาม คือ “การให้ความสำคัญแก่ลูกค้า” (Customer Focus) มองลูกค้าเป็นบุคคลที่มีค่า เป็นดั่งสินทรัพย์อันประเสริฐสุดขององค์กรที่จะต้องรักษาไว้ตลอดกาล ดังนั้นการให้เกียรติลูกค้า หวังดีต่อลูกค้า รับใช้ลูกค้า ให้ความช่วยเหลือ ตอบสนองความต้องการ ช่วยแก้ไขปัญหาให้ลูกค้าด้วยความรวดเร็วและเต็มใจ ทำงานให้กับลูกค้าด้วยความมุ่งมั่น เพื่อให้ลูกค้าได้รับสิ่งที่มีคุณค่าคุ้มกับต้นทุนของเขา ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนเงิน ต้นทุนเวลา ต้นทุนความพยายาม ซึ่งการจะทำเช่นนี้ได้ พนักงานทุกคนจะต้องทุ่มเทสติปัญญา ความเพียรพยายามที่จะเรียนรู้ความต้องการ ปัญหา ข้อเรียกร้องของลูกค้า และจะต้องใช้ความพยายามอย่างเต็มศักยภาพที่มีอยู่ในการบริหารจัดการข้อเรียกร้องของลูกค้า คิดอยู่เสมอว่า “ลูกค้าต้องมาก่อน” เพราะลูกค้าคือคนสำคัญที่มีบุญคุณต่อบริษัท พนักงานทุกคนจะต้องซาบซึ้งบุญคุณของลูกค้าตลอดเวลาและตลอดไป



ค่านิยมที่สี่ ก็คือ “การรู้จักคิดในสิ่งที่ดีที่ชอบ” (Think it right) ไม่คิดในสิ่งที่ไม่ถูกไม่ควร ไม่ว่าจะทำอะไร จะพูดอะไรต้องคิดก่อน ว่าสิ่งที่จะพูด สิ่งที่จะทำนั้น เป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่ องค์กรใดที่มีพนักงานคิดเป็น มีวิจารณญาณ แยกแยะผิดชอบชั่วดีได้ ผู้บริหารย่อมวางใจได้ว่าสิ่งที่พนักงานจะประพฤติ จะปฏิบัตินั้น จะมีแต่สิ่งที่ดี โดยที่ผู้บริหารไม่ต้องมาคอยกำกับดูแล พนักงานจะเป็นคนมีวินัยในการทำงาน กระตุ้นตัวเองให้ทำงาน ใช้ความคิดในการทำงาน ที่สำคัญจะต้องคิดให้ได้ว่า “ผลลัพธ์” จากการพูด การทำของตนเองจะเป็นเช่นไร คนเราหากจะทำอะไรแล้วไม่คิดถึงผลลัพธ์ที่จะตามมา อาจจะทำสิ่งที่ผิดพลาดได้ การที่คนเราจะคิดดีได้ จะต้องเป็นคนมีความรู้มากพอ มีข้อมูลมากพอ และใช้ข้อมูลที่มีอยู่เป็นพื้นฐานในการตัดสินใจได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าเรื่องอะไรจะต้องพยายามหาข้อมูลให้ครบถ้วน ถูกต้อง ก่อนตัดสินใจ



ค่านิยมที่ห้า ผู้บริหารต้องพยายามปลูกฝังให้เป็นแนวทางในการทำงานของพนักงานก็คือ “มุ่งมั่นปฏิบัติงานให้สำเร็จ หรือการเป็นนักปฏิบัติ” (Execute) เมื่อมีแผนงานเกิดขึ้นแล้ว พนักงานทุกคนจะต้องรู้พันธกิจที่ปรากฏอยู่ในแผน มีวิสัยทัศน์ที่มองเห็นผลลัพธ์ของการทำตามแผนงานที่จะเกิดขึ้นในอนาคต รับรู้นโยบายที่เป็นแนวทางในการทำงาน จากนั้นก็จะมุ่งมั่นทำงานให้เป็นไปตามแผนด้วยความตั้งใจ ทุ่มเททุกอย่างที่มีอย่างเต็มศักยภาพ ไม่เกี่ยงงาน ไม่คิดถึง “เงินก่อนงาน” แต่จะคิดถึง “งานก่อนเงิน” เพื่อให้ได้ทั้งงานและเงิน คนที่คิดถึง “เงินก่อนงาน” มักจะมีผลงานน้อย เพราะทำงานไม่เต็มที่ หากองค์กรใดมีพนักงานที่เป็นเช่นนั้น ก็จะมีผลิตภาพที่ไม่สูงนัก ดังนั้นการปลูกฝังให้พนักงานทำงานให้เต็มศักยภาพ เมื่อได้รับมอบหมายให้ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับยุคที่การแข่งขันมีความเข้มข้นขนาดนี้



ค่านิยมที่หก คือการปลูกฝังให้พนักงานมี “ความมุ่งมั่นที่จะสร้างเพื่อผลงานที่เป็นเลิศ” (Deliver Excellence) ไม่สักแต่ทำงานให้เสร็จไปโดยไม่คำนึงถึงคุณภาพ การจะได้ผลงานที่คุณภาพ ผู้ทำจะต้องมีความรู้ที่จำเป็นสำหรับงานนั้นอย่างครบถ้วน ถ้าหากมีไม่พอต้องขวนขวาย ต้องมีทักษะที่เชี่ยวชาญหากไม่พอก็ต้องฝึกฝน ต้องมีทัศนคติต่อการทำงานที่เป็นบวก เพื่อจะได้ทำงานด้วยความทุ่มเทและมีความสุข มีความมุ่งมั่นที่จะสร้างผลงานที่มีคุณภาพ มุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศ มีความทะเยอทะยานที่จะทำผลงานที่ดี อยู่ในระดับแนวหน้า ต้องให้พนักงานทุกคนตระหนักว่าการทำงานเพียงให้ “เสร็จ” และ “พอผ่านได้” นั้น ไม่ใช่ค่านิยมที่ถูกต้องในการจะสร้างความมีประสิทธิภาพให้กับการดำเนินงานขององค์กร



เมื่อพนักงานทุกคนเรียนรู้ค่านิยมทั้งหมดนี้ แล้วนำไปเป็นแนวทางในการทำงานทั่วทั้งองค์กร ไม่ว่าพนักงานคนใดจะมีหน้าที่อันใด แต่เมื่อมีค่านิยมเดียวกัน เป็นดาวนำทางในการทำงาน ก็จะทำให้ทุกคนทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างดี ได้ผลงานที่เป็นเลิศ พนักงานจะมีความสุขเพราะทำงานด้วยความรัก ลูกค้าจะมีความสุขเพราะพนักงานให้ความสำคัญแก่ลูกค้า พนักงานจะทำแต่สิ่งที่ดีงาม เพราะมีความรู้ดีและคิดดี การทำงานร่วมกันเป็นหมู่คณะจะเป็นไปด้วยดี เพราะทุกคนทำงานด้วยความทุ่มเทเต็มศักยภาพ และสิ่งที่ลูกค้าได้รับก็จะเป็นสิ่งที่ดีในระดับที่เป็นเลิศ เพราะพนักงานทุกคนทำงานด้วยความมั่งมั่นสู่ความเป็นเลิศ



ทุกอย่างที่เกิดขึ้นนี้เกิดขึ้นโดยที่ผู้บริหารไม่ต้องกำกับ ควบคุม หรือสั่งการ แต่พนักงานจะมีค่านิยมที่ฝังลึกอยู่ในใจ ฝังรากลึกอยู่ในสำนึก เป็นจักรกลที่ควบคุมพฤติกรรมในการทำงานอยู่ตลอดเวลา


 

โดย: คนเดินดินฯ IP: 124.121.150.76 6 พฤษภาคม 2552 7:23:41 น.  

 

จากประชาชาติธุรกิจ

วันที่ 07 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 4103

แนะแนว คนตกงาน เริ่มต้นอย่างไรในตลาดนัด



ปัญหาของการตกงานของคนจำนวนมากเริ่ม กลับมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ต่างจากเมื่อสิบปีที่ผ่านมาตรงที่เรามีเครื่องมือของภาครัฐมากมายเข้ามาโอบอุ้ม ไม่ว่าจะเป็นการคุกเข่าขอร้องให้ไปอบรม และจ่ายค่าอบรมเป็นรายเดือน เพื่อสับเปลี่ยนแรงงานที่มีความชำนาญในด้านหนึ่งไปสู่ภาคที่แรงงานขาดแคลน อีกด้านหนึ่ง การอบรมเพื่อไปเป็นนายตัวเอง และอีกหลากหลายที่เกิดขึ้นในช่วงปีนี้ ธุรกิจประเภทเปิดท้ายขายของอาจจะไม่แปลกหรือน่าตื่นเต้นเหมือนเมื่อก่อน แต่ที่น่าแปลกก็คือถึงตอนนี้ก็ยังมีคนตั้งคำถามว่า หากตกงานจะขายอะไรดี และจะเริ่มต้นอย่างไร

ขายข้าว อาหาร ได้หรือไม่ ขายกิฟต์ช็อป จะขายให้ใคร

แม่ค้าเท่านั้นที่จะเข้าใจเรื่องนี้ได้อย่างดี

ปรับเปลี่ยนตามเศรษฐกิจ

คนที่เปิดแผงจิวเวลรี่มานานอย่างคุณนิล แนะนำว่า เธอหมุนเวียนตามตลาดนัดอาทิตย์ละ 3 แห่ง เริ่มทำมาตั้งแต่เมื่อปี 2540 จนกระทั่งตอนนี้และล่าสุดคือ ขายที่ตลาดกลางวัน ตึกซันทาวเวอร์

เธอว่าการเริ่มต้นของคนที่ไม่ประสาเรื่องการขายของ สิ่งสำคัญก็คือการปรับตัวอยู่เสมอ มองหาสินค้าใหม่ๆ ที่เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจในตอนนั้น

คุณนิลเล่าว่า ตอนแรกเมื่อสิบปีที่ผ่านมา เริ่มต้นที่สินค้าประเภทเปิดท้ายนำของเก่ามาขาย แต่พอทำไปสักพักก็ต้องเปลี่ยน เพราะคนสนใจน้อยลงและเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวพอดี จึงลองปรับเปลี่ยนสินค้าที่แตกต่างไปจากเดิม

"ต้องมาตั้งหลักดูว่า เราพอจะขายได้หรือไม่และควรจะเริ่มขายแบบไหน"

ตั้งต้นที่จิวเวลรี่ เธอว่า ตอนที่จับจิวเวลรี่นั้น คนเริ่มมองสินค้าที่มีมูลค่า จึงมองหาจิวเวลรี่เป็นชุดขายให้กับตลาดของภาคราชการและภาคเอกชน

แต่พอในระยะนี้ ตนเริ่มมองหาสินค้าราคาต่ำลง เพื่อให้สินค้าออกตัวได้ง่ายขึ้น

ตอนที่ตัดสินใจขายจิวเวลรี่ พอดีกับที่บริษัทผู้ผลิตจิวเวลรี่ ส่งออกก็มองหาช่องทางระบายสต๊อกในเมืองไทยพอดี จึงได้ ตัดสินใจนำมาเปิดแผงขาย

"เมื่อก่อนอาจจะขายได้ราคาชุดหนึ่ง ได้กำไรมากว่า 100-300 บาท แต่พอปีสองปีมานี้ ดูจากพฤติกรรมคนซื้อที่มาจับแต่ไม่ซื้อ ถามๆ แล้วก็ไปบอกว่า สวย แต่ก็ไม่ซื้อ แสดงว่าเขาอยากได้ แต่ไม่มีเงิน จึงค่อยๆ ปรับตัว มองหาสินค้าที่ลูกค้า ตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น"

อย่างสินค้าจิวเวลรี่ที่ขายในตอนนี้ ราคาที่อื่นอาจจะขายที่ 199 บาท แต่เธอว่าขายที่ 79 บาท และ 99 บาท และถ้าซื้อสองคู่ก็จะลดราคาให้อีก ทำให้ลูกค้าตัดสินใจง่ายขึ้น ตรงนี้ คนขายต้องหัดสังเกตและปรับตัวอยู่เสมอๆ

นอกจากนี้ลูกค้าประจำจะต้องดูแลอย่างดี มีการบริการหลังการขาย ลูกค้าสามารถเอามาเปลี่ยนได้

ตรงนี้ต้องมีแผงที่ประจำ เช่นถ้าจะขายตามตลาดนัด อาคารสำนักงานก็จะต้องมีที่ประจำ ไปใช่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ อาทิตย์หนึ่งอาจจะมี 3 ที่เพื่อให้ลูกค้าจำได้และมั่นใจที่จะซื้อมากขึ้น

ในเรื่องการจัดสรรเงิน สำหรับผู้ประกอบการรายย่อยไม่ควรนำมาปนเปกัน ควรจะแบ่งส่วนที่จะเก็บและใช้ออก จากกัน เช่นถ้ามีเงินในส่วนของการลงทุน จะต้องกันไว้และแยกส่วนจากที่กำไร ใช้จ่ายเท่าที่มีกำไร ห้ามนำเอารายได้ส่วนที่เก็บมาใช้แล้ว เมื่อเราทำไปนานเข้า การลงทุนจะน้อยลง เพราะซื้อแค่ของเติมเข้ามา กำไรส่วนต่างจะมากขึ้น ที่สำคัญห้ามนำเงินที่กันไว้เป็นค่าใช้จ่ายส่วนอื่นมาใช้เด็ดขาด

สินค้า...ต่างได้แต่อย่ามาก

ด้านคุณศิริพร แม่ค้า ฝั่งการบินไทย รายนี้แนะนำว่าตอนนี้บรรยากาศหลังการบินไทยส่วนใหญ่จะเป็นการเซ้งต่อๆ กัน ซึ่งก็ทำให้คนที่จะเข้าไปเซ้งร้านหรือหาทำเลดีๆ ค่อนข้างยาก และทำกำไรก็ยากด้วยเช่นกัน ส่วนกำลังซื้อส่วนใหญ่มาจากที่อื่นๆ แต่คนการบินไทยเองไม่ค่อยได้มาจับจ่าย โดยเฉพาะแอร์จากบินไทย เพราะเป็นคนที่นำสินค้าเข้ามาเองหรือซื้อจากต่างประเทศมาแล้ว

ส่วนสินค้าที่จะนำมาขายสำหรับตลาดลุงเพิ่มการบินไทย ลูกค้าค่อนข้างมีเงินและเป็นตลาดที่ติดแล้ว สินค้าส่วนใหญ่ที่จำหน่ายที่นี่อยู่ในหมวดของเสื้อผ้ารองเท้ากระเป๋าเท่านั้น นอกจากนี้คนที่มาเดินแตกต่างตรงที่เป็น คนหน้าเดิมๆ มาทุกวัน ถ้าไม่มีสินค้าใหม่ เขาก็จะเบื่อและหายไป

ส่วนคนที่มองหาสินค้าที่แตกต่างไปเลยเธอว่าขายยาก เพราะที่นี่คนที่มาคาดหวังจะมาดูเสื้อผ้า รองเท้ากระเป๋า โดยส่วนใหญ่ ถ้าสินค้าที่แตกต่างเกินไปก็จะอยู่ไม่ได้

เจ้าของพื้นที่แนะ ขายอย่างมีสติ

สำหรับเจ้าของพื้นที่อย่างซันทาวเวอร์ รายเก๋าเปิดมานับสิบปี วัลลภ วีระพล ผู้จัดการ ทั่วไป แนะนำว่า ผู้เช่าต้องระมัดระวังเรื่องสินค้าที่ขายและระวังเรื่องมิจฉาชีพ

สิ่งที่เกิดขึ้นคือทรัพย์สินหาย ส่วนหนึ่งมาจากมิจฉาชีพ คนเหล่านี้ทำงานเป็นทีม ผู้ประกอบการต้องระมัดระวัง เพราะบางครั้งเอาไปไว้ใต้โต๊ะก็ยังหาย เนื่องจากมิจฉาชีพมักจะทำกันเป็นทีม มีผู้ใหญ่ซื้อด้านบน ส่วนเด็กจะมุดเข้าไปด้านล่าง อีกสองคนคอยกัน ผู้ประกอบการจะต้องระวังทรัพย์สินของตัวเองอีกด้วย แต่อย่างไรก็ดี ในส่วนของซันทาวเวอร์เองก็จะมีมาตรการ ที่ให้เจ้าหน้าที่ของตึกและตำรวจนอกเครื่องแบบ แฝงตัวมาคอยดูแลไปพร้อมกันเป็นการป้องกันในอีกทางหนึ่ง

ในส่วนของการคัดสรรสินค้านายวัลลภแนะว่า ผู้ประกอบการจะต้องคอยระวังสินค้าที่ไม่ควรนำมาจำหน่าย เช่น สินค้าผิดกฎหมายทุกประเภท สินค้าอันตราย พุ ไฟ ประทัด โดยเฉพาะช่วงใกล้เทศกาลรวมไปถึงปืนลมประเภทต่างๆ และของละเมิดลิขสิทธิ์อีกด้วย

บางทีผู้ประกอบการไปซื้อสินค้าที่โบ๊เบ๊ ก็ไม่รู้ว่าเป็นสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ รับเสื้อโดเรมอนมาจำหน่าย โดยไม่รู้ว่า โดเรมอนมีลิขสิทธิ์ หรือสินค้าประเภทกระเป๋า รองเท้า ของก๊อบปี้แบรนด์ดัง ควรระวังต้องเรียนรู้ว่าอะไรขายได้หรือไม่ได้

แน่นอนว่าตอนนี้มีคนตกงานจำนวนมาก และตลาดนัดก็เป็นอีกช่องทางทำเอาคนตกงานตกม้าตายมาแล้วจำนวนไม่น้อย

 

โดย: คนเดินดินฯ IP: 124.121.153.86 8 พฤษภาคม 2552 9:05:36 น.  

 

จากประชาชาติธุรกิจ

วันที่ 07 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 4103

ปล่อยวางแล้วจะสำเร็จได้อย่างไร ?

คอลัมน์ HR Corner

โดย คม สุวรรณพิมล Komsuwanpimon@yahoo.com

"คนจะสำเร็จได้ต้องมีเป้าหมายและความมุ่งมั่นที่ชัดเจน เข้มแข็ง"

คนทั่วไปก็คงรับรู้ถึงความจริงในข้อนี้ดี แต่ทางพุทธศาสนากลับบอกให้เราปล่อยวาง อย่ายึดติดสิ่งใดๆ ดังนั้นเราก็ไม่อาจมีความฝันและความมุ่งมั่นได้ ถ้าอย่างนั้นเมื่อเราปล่อยวางเมื่อใด เราก็ไม่สามารถเป็นคนที่ประสบความสำเร็จได้เลยซิ ?

คำถามนี้คงจะดังก้องอยู่ในหัวใครบางคนว่าเราควรทำตัวอย่างไรดี

สำหรับคนที่มีความมุ่งมั่นที่จะประสบความสำเร็จ ก็คงบอกกับตัวเองว่า "ไร้สาระ การปล่อยวางมันจะเป็นตัวฉุดเราเสียมากกว่า" คนเราต้องมองไปข้างหน้ามองสิ่งที่ท้าทาย ใหญ่ขึ้น แล้วหลักการปล่อยวางก็ไม่น่าจะใช้ได้ในชีวิตจริง

แต่กับบางคนที่ล้มเหลว หรือไม่ประสบความสำเร็จ ก็คงบอกว่า "ใช่ๆ เราต้องปล่อยวาง อย่าไปยึดติดกับอะไรทั้งนั้น" เราจะได้สบายใจไม่เครียดกับชีวิตตนเอง

แล้วใครถูกกันล่ะ ?

ดูเหมือนความหมายของคำว่า "ปล่อยวาง" จะถูกตีความตามประเพณีปฏิบัติตามหลักของกฎหมายไทยทุกวันนี้ คือ ตีความ "เข้าข้างตนเอง" ไว้ก่อน แต่ความหมายที่แท้จริงของมันคืออะไรกันแน่ ?

สรุปแล้วการปล่อยวางมันเหมาะกับใครกันแน่ ? แล้วเราจะประสบความสำเร็จได้ไหม ถ้าเราปล่อยวาง ?

การปล่อยวางจะทำให้ความฝัน อันยิ่งใหญ่ของเราสูญสลายไป

หรือไม่ ? หรือการปล่อยวางเหมาะสำหรับใครบางคนที่ไม่มีอะไรจะทำ คนแก่ คนล้มเหลว เท่านั้นหรือ และเอามาเป็นหลัก ยึด ถือมิให้จิตใจมันห่อเหี่ยวไปมากกว่าที่เป็นอยู่

ถ้าจะให้ตีความหมายที่แท้จริงของการปล่อยวางก็คือ การ "ไม่ยึดติด" แต่ไม่ใช่การละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต ดังนั้นทุกคนก็สามารถใช้ชีวิตแบบปล่อยวางได้ ไม่ว่าคุณกำลังอยู่ในช่วง "ขาขึ้น" หรือ "ขาลง" ก็ตาม

ถ้าคุณมีความฝันที่ยิ่งใหญ่ มีงานทำที่มั่นคง แต่คุณไม่ปล่อยวางจะเกิดอะไรขึ้น ?

ชีวิตของคุณก็คงเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง คุณคงไม่กล้ามอบหมายงานที่สำคัญและไม่สำคัญให้ใคร เพราะคุณคิดว่า "คุณคือคนที่เก่งที่สุด" ยึดติดกับความเก่งของตัวเอง หรือบางครั้งคุณทำทุกอย่างด้วยความใจร้อน เพราะคิดว่าโลกนี้มันจะเดินไม่ได้ถ้าไม่มีคุณ หรือแม้กระทั่งเมื่อมีการผิดพลาดเกิดขึ้น คุณคงจะทำใจที่จะยอมรับว่าตนเองผิดได้ยาก และพยายามโทษคนอื่นซึ่งทำให้สัมพันธภาพระหว่างคุณกับคนอื่นเริ่มเสื่อมสลายลง

แต่สำหรับคนที่ล้มเหลว ถ้าคุณตีความว่าการปล่อยวางคือการไม่ทำอะไร ทำใจรับสภาพเท่านั้น แสดงว่าคุณก็ตีความหมายผิดในลักษณะเกินไป เพราะการปล่อยวางคือการปล่อยให้ใจไม่ยึดติดกับความสำเร็จหรือความรุ่งโรจน์ในอดีต แต่ให้คิดถึงว่าปัจจุบันคุณ "เป็นอย่างที่เป็น" แต่ไม่ได้ให้ละทิ้ง "ไฟ" ของการต่อสู้ หรือละทิ้ง "ความหวัง"

"ตราบใดที่คุณสิ้นหวัง ก็อย่าหวังว่าจะสิ้นทุกข์

แต่เมื่อใดที่คุณมีความหวัง ความทุกข์ที่เกิดขึ้นก็เป็นเพียงแค่อดีตเท่านั้น"

การปล่อยวางก็ไม่ต่างกับการปล่อยใจของคุณล่องลอยไปกับกระแสลมของความจริง ความจริงที่คุณมิอาจต้านทานและปฏิเสธได้ ทั้งวัฏจักรของชีวิต การเกิด แก่ ดับสูญ การขึ้นและการลง แต่เมื่อใดที่คุณฝืนกระแสลมแห่งความจริง ซึ่งคุณไม่มีทางที่จะต้านทานธรรมชาตินี้ได้ ชีวิตของคุณก็จะมิอาจอยู่ได้อย่างมีความสุข และที่สำคัญคุณก็มิอาจประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนและถาวรได้

ถ้าคุณอยากประสบความสำเร็จ ง่ายนิดเดียวแค่เพียงคุณ

"ปล่อยใจให้สบายกับชีวิต แต่จดจ่อทุกการกระทำของตนเอง"

 

โดย: คนเดินดินฯ IP: 124.121.153.86 8 พฤษภาคม 2552 9:09:21 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ยามเย็น..ที่ดูบรรยายกาศเหงาๆๆนะค่ะท่าน
วันนี้เป็นวันเริ่มงานของบางคน..แต่บางคนยังคงคือวันหยุด

แม้เวลาของการทำงานยังต่างกัน..
แล้วเราจะเอาแน่อะไรกับเวลาของชีวิตค่ะนิ




ขอบคุณมากค่ะที่ยังแวะหาสหายเช่นเรา..
ในโลกบางโลกสำหรับเราบางเวลาช่างว่างเปล่าดีจัง
เราชอบแบบเงียบสงบค่ะ..ใส่ใจไม่..ไม่ค่ะ
บางครั้งเจ้าทิฐิ..ก็ช่างเป็นตัวร้ายจังเลยสำหรับเรา

เสาร์ที่ผ่านมา..เราได้ไปเที่ยวงานบุญที่ไม่เคยไป
เป็นงานแบบต่างจังหวัด..สำหรับเรายอมรับแปลกนะ
แต่ด้วยสายเลือดคนที่มีถิ่นกำเนิดในภูธรมัง
เลยทำให้เราซึมซับบรรยากาศที่ดูแสนวิเศษจังเลยค่ะ

ได้ค้างหนึ่งคืน..ชอบมากเลย..แต่ยอมรับไม่ชินเลยดูแปลกๆๆ
กับสถานที่ที่ได้ไปคนเดียวอย่างไม่คาดคิด
ด้วยความดื้อรั้น

แปลกๆๆ..มากเลยละ

แต่ทุกคนดีกับเรามากเลย..เรามีความสุข
สำหรับคนเดียวที่แปลกหน้า..ในถิ่นไม่คุ้นเคย
แต่ทุกคนให้ความอบอุ่นและการต้อนรับดีมากเลย


ในทุกที่..บางครั้งมิตรภาพก็ไม่ต้องลงทุนเลยค่ะ
เหมือนมิตรภาพที่เรามีต่อท่านและท่านมอบให้มิตรรู้หมด
ขอบคุณทุกความรู้สึกและกำลังใจที่แสนดีค่ะ


ชีวิตต้องดำเนินต่อไปด้วยความสุขุมและรอบครอบค่ะ
เป็นข้องความที่ประทับใจจัง
แต่บางอารมณ์เรานิใจร้อน..
แต่บางอารมณ์นิ่งเฉยจนน่ากลัว..เหมือนปล่อยวางไปเลย
จิตมนุษย์ช่างยากแท้หยั่งถึงจริงๆๆค่ะ

ขอให้ฟันฝ่าอุปสรรคเศรษฐกิจร่วมกันไปได้ด้วยดีนะค่ะ
เรามักชอบรอจังหวะและโอกาสเสมอ..
แต่เราไม่เคยหวังโชคชะตาเลยค่ะ

เพราะเราไม่ได้เกิดมากับดวงชะตาค่ะ
เราเกิดมาเพื่อสู้โดยตัวตนเองอย่างแท้จริงค่ะ


ขอให้สมหวังในสิ่งคิดเสมอนะค่ะ
พร้อมนำบุญที่ได้ไปทำมา..นำมาฝากมิตรเช่นคุณ
ขอให้มีความสุขความเจริญนะค่ะ

สาธุ


 

โดย: catt.&.cattleya.. 11 พฤษภาคม 2552 19:51:11 น.  

 




แรม 1 ค่ำเดือน 6..ตรงวันพระ
ในทุกวันเวลาแต่สำหรับเราทุกสิ่งทุกอย่าง

** ยิ่งไม่รู้ยิ่งสบายใจนะค่ะ **

คนที่อยากรู้คือคนที่มีความกลัวในใจมากกว่าค่ะ
สำหรับความคิดของเรานะ



สพุเพ ตสนุติ ทณุฑสุส สัตว์ทั้งหมดกลัวโทษทัณฑ์
สพุเพ พายนุติ มจุจุโน สัตว์ทั้งหมดกลัวความตาย
อตุตานิ อุปมัง กตุวา เปรียบตัวเองกับผู้อื่นอย่างนี้แล้ว
น หเนยุย น ฆาตเย ก็ไม่ควรฆ่าเอง ไม่ควรสั่งให้คนอื่นฆ่า

สุขกามานิ ภูตานิ
โย ทณุเฑน วิหึสติ สัตว์ทั้งหลายปราถนาความสุขทั้งนั้น

เมื่อใครสักคนหนึ่งทำผิด
ท่านอย่าเพิ่งตำหนิหรือต่อว่าเขา
เพราะถ้าท่านเป็นเขา
และตกอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นเดียวกับเขา
ท่านอาจตัดสินใจทำเช่นเดียวกับเขาก็ได้

**อับราฮัม ลินคอน **

ผู้ใดเอื้อเฟื้อเกื้อหนุน จะแทนคุณจนกว่าจะอาสัญ
แม้นไม่มีสิ่งใดจะให้ปัน ก็จะหมั่นสรรเสริญเจริญคุณ

*************
ชอบเสมอค่ะคำคมที่อ่านเจอ
วันนี้วันพระค่ะ
อนุโมทนาค่ะ..กัลยาณมิตรทุกๆๆคน
ที่แวะเข้าหาด้วยความรู้สึกที่ดี

 

โดย: catt.&.cattleya.. 16 พฤษภาคม 2552 21:44:33 น.  

 

อูยยยยยย จุไม่ได้เข้ามาทักทายพี่ซะนาน บล็อกมันเปลี่ยนไปนะคะเนี่ย ใหญ่โตมากมาย โหลดยากเลยนะคะเนี่ย

พี่สะบายดีนะคะ

ขอบคุณที่แวะไปเยี่ยมจุค่ะ จุก็สะบายดี เริ่มกลับมาอัพบล็อก เที่ยว จำปาสักตอน 2 แล้ว และจะรีบ ทำให้จบทริป เพราะเท่าที่ผ่านมา ทำอะไรค้างคาไว้เยอะ ปีที่แล้ว ไปหลวงพระบาง ก้ยังไม่อัพเลยค่ะ อันนี้ เพื่อนที่ไปด้วย ก้เลย ขอให้อัพ เพราะไปหลวงพระบาง ไม่อัพ ทิ้งไว้แค่วังเวียง แล้วจบซะงั้น



ส่วนสถานการณ์บ้านเมือง จุเคารพการตัดสินใจของทุกคนนะคะ แต่ไม่ชอบความรุนแรงค่ะ เพราะ ความรุนแรงที่เกิดขึ้นไม่ส่งผลดีกับใครเลยนะคะ หรือพี่ว่างัย

 

โดย: กระจ้อน 21 พฤษภาคม 2552 10:31:17 น.  

 

จากประชาชาติธุรกิจ

วันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 33 ฉบับที่ 4109

ดร.ฉัตรทิพย์ นาถสุภา ถามหาสังคมใหม่และพิมพ์เขียว



เมื่อไม่นานมานี้ ในงานสัมมนาเศรษฐศาสตร์การเมืองประจำปี 2552 เรื่อง "ทิศทางประเทศไทยในพัฒนาการเศรษฐกิจสังคมโลก" ดร.ฉัตรทิพย์ นาถสุภา ศาสตราจารย์กิตติคุณ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ผลักดันความคิดเศรษฐกิจชุมชน ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษซึ่งมีเนื้อหาน่าสนใจ ดังนี้

หลังจากที่ประเทศไทยพยายามเดิน เส้นทางการเป็นสมัยใหม่แบบยุโรปตะวันตก (modernization) มายาวนาน นับแต่หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองมาสู่ระบอบประชาธิปไตย ปี 2475 โดยชนชั้นนำใน ยุคนั้น เราพบว่าความเจริญทางเทคโนโลยี และทางเศรษฐกิจแบบตะวันตกที่รับเข้ามา และการพยายามแปลงตัวเองเป็นตะวันตกของชนชั้นนำส่วนหนึ่งนั้น และยังพยายามผลักดันลากจูงทุกส่วนของสังคมไปในวิถีทางนั้นด้วย

โดยเฉพาะพยายามให้ กลายเป็นนายทุนและคิดแบบปัจเจกชนนิยมสุดโต่ง การแข่งขันถูกนำเข้ามาแทนการช่วยเหลือซึ่งกันและกันและความมีน้ำใจที่เป็นวัฒนธรรมไทยมาแต่ดั้งเดิม ซึ่งไม่ใช่เส้นทางที่สอดคล้องกับวัฒนธรรมของประเทศไทย

จนมีข้อเสนอแนวคิดอีกทางเลือกหนึ่งคือ "วัฒนธรรมชุมชน" เป็นเส้นทางการเป็นสมัยใหม่ของประเทศไทยในปัจจุบัน เพราะพื้นฐานของสังคมไทยมีความเป็นครอบครัวและชุมชนสูงมากในการทำมาหากิน ชาวบ้านมีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน สถาบันชุมชนได้ถูกส่งทอดและเก็บรักษาไว้อย่างดีตั้งแต่สมัยสังคมศักดินา แม้จะมีการร่วมสมัยของระบบทุนนิยมเข้ามา การดำรงอยู่ของชุมชนก็ยังต่อเนื่อง โดยครอบครัวและเครือข่ายครอบครัวยังเป็นหน่วยการผลิตหลักและรวมตัวอยู่ในสถาบันหมู่บ้านระบบหัตถกรรมส่วนใหญ่ยังคงเป็นกิจกรรมครัวเรือน หรือโรงงานขนาดเล็ก นับได้ว่า สังคมแบบชุมชนเป็นเอกลักษณ์ลักษณะพิเศษ

นอกจากนี้ ในสังคมยังมีการปรับตัวของระบบครอบครัวและชุมชน มีการรวมตัวกันเป็นกลุ่มใช้แรงงานในครอบครัวและในชุมชน เช่น กลุ่มแม่บ้าน กลุ่มหัตถกรรม ผู้ผลิต สมุนไพร เครื่องปั้นดินเผา โรงงานชุมชน โรงสี และโรงงานยางแผ่น ฯลฯ ขณะที่กลุ่มและสหกรณ์ออมทรัพย์เครือข่ายชุมชนที่มีอยู่เดิมทั้งภายในหมู่บ้านและระหว่างหมู่บ้านก็ยังดำรงอยู่ดีและมีบทบาท ซึ่งเมื่อคิดในแง่จำนวนชีวิตของสมาชิกจะพบว่าระบบสังคมเศรษฐกิจชุมชนอันประกอบด้วยผู้ผลิตเล็กอิสระเป็นระบบสังคมเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยคือ "ใหญ่กว่าระบบทุน" โดยระบบผู้ผลิตเล็กอิสระมีการดำรงอยู่อย่างหนาแน่นทั้งในชนบทและในเมือง

ดร.ฉัตรทิพย์ได้เสนอว่า ทิศทางการพัฒนาประเทศชาติที่จะเป็นจริงและตรงกับความปรารถนาของผู้คนคือการพัฒนาที่ระบบที่ใหญ่ที่สุดในแง่ผู้คนนี้คือ "ระบบชุมชน" ซึ่งจะเป็นตัวของตัวเอง เป็นการพึ่งตนเอง มีศักดิ์ศรี ไม่ปฏิเสธตัวเอง และจะสามารถนำพาและระดมพลังคนส่วนใหญ่ได้ ดังนั้นในทางเศรษฐกิจควรจะสนับสนุนระบบเศรษฐกิจชุมชนและเครือข่ายชุมชนให้มากที่สุดและให้สามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากจะมีชุมชนขนาดใหญ่เพื่อทำกิจกรรมบางประการควรจะเป็นชุมชนที่เกิดจากเครือข่าย ในภาคเมือง ส่งเสริมสหกรณ์ผู้ผลิตหัตถกรรม และการเป็นแกนกลางวัฒนธรรมแห่งชาติเพื่อเชื่อมต่อระบบเศรษฐกิจชุมชนและระบบเศรษฐกิจทุน

ซึ่งในด้านรัฐนั้น รัฐในท้องถิ่นอยู่ใกล้ชิดชุมชนมากที่สุด ควรมีหน้าที่มากขึ้น ส่วนรัฐส่วนกลาง เป็นตัวแทนหรือเป็นเครื่องมือของชุมชน โดยเป็นไปตามความสมัครใจของชุมชน หรืออีกนัยหนึ่งคือให้ชุมชนกำหนดรัฐ ไม่ใช่รัฐกำหนดชุมชนอย่างในอดีต เพราะสถาบันรัฐที่แท้จริงแล้วคือตัวแทนของชุมชนเพื่อทำบริการสาธารณะ แต่ที่ผ่านมาสถาบันรัฐไทยแปลกแยกจากชุมชนตลอดมา คงแบบลักษณะ รัฐราชการศักดินา แม้เศรษฐกิจจะพัฒนาเข้าสู่ระบบทุนก็ตาม

"เราจะต้องพยายามประกอบรัฐใหม่ให้เป็นตัวแทนของชุมชน วิธีการ คือกระจายหน้าที่จากรัฐส่วนกลางให้ไปเป็นหน้าที่ หรือบริการสาธารณะที่รัฐท้องจะจัดทำให้มากที่สุดเท่าที่จะมีประสิทธิภาพและจะดียิ่งขึ้น ถ้าองค์กรชุมชนในด้านต่างๆ จะเข้ามารับทำบริการสาธารณะที่เดิม ทำโดยรัฐ พยายามให้รัฐไม่ว่าส่วนกลางหรือท้องถิ่นปกครองให้น้อยที่สุด แต่ใช้การโยงหน่วยต่างๆ ในสังคมด้วยวัฒนธรรมแทน"

การเป็นสมัยใหม่นั้น จริงๆ มีได้หลายรูปแบบ และไทยเราควรก้าวข้ามการเป็นสมัยใหม่แบบตะวันตก โดยการประกอบสังคมสมัยใหม่แบบที่เหมาะสมกับตัวเราเองและเราชอบของเราเอง นั่นคือการเป็นไทยเราเองแบบชุมชน ซึ่งจะเป็นการสลัดหลุดจากการครอบงำทางความคิดที่สำคัญ และก้าวสู่สังคมแบบชุมชนที่เป็นสมัยใหม่ โดยเอาระบบชุมชนเป็นตัวตั้ง แล้วเลือกองค์ประกอบที่เราปรารถนาและเป็นจริงได้ในสังคมของเรา อาจเอาองค์ประกอบ บางส่วนมาจากตะวันตกสมัยใหม่ เช่น เทคโนโลยี หรือองค์ประกอบจากระบบอื่นมาผสมผสานในสัดส่วนที่เข้ากันได้และเป็นไปในแบบที่เราต้องการ ซึ่งจะทำให้สังคมแบบชุมชนสมัยใหม่จะเป็นความทันสมัยที่เป็นตามแบบฉบับของไทยเอง และทุนนิยมกลายเป็นสถาบันหนึ่งในระบบชุมชน

แต่สิ่งที่สำคัญคือไทยเราจะกล้าค้นหาและเดินเส้นทางไปสู่สังคมสมัยใหม่ในจินตนาการนั้นหรือไม่ และจะวางราย ละเอียดออกมาเป็นพิมพ์เขียวอย่างไร


 

โดย: คนเดินดินฯ 29 พฤษภาคม 2552 8:37:08 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


คนเดินดินฯ
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]








ปณิธาน

การเดินทางของชีวิตของทุกผู้คน
ทุกคนต่างต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต
แต่จะมีสักกี่คนที่จะก้าวไปถึง
เมื่อเราก้าวถึงจุดนั้น
ขออย่าลืมการแบ่งปันและเจือจาน
แก่ผู้ด้อยโอกาสในสังคม

เราจะเติบโตและก้าวไปข้างหน้าพร้อม ๆ กัน
เพื่อสร้างสรรค์สังคมใหม่ที่ดีงาม

เพื่อให้อนุชนคนรุ่นหลัง
ได้ใช้ชีวิตของเขา
ตามศักยภาพและความตั้งใจของเขา
ตราบเท่าที่เขาต้องการ







เดินไปสู่ความใฝ่ฝัน


ชีวิตหนึ่งร่วงหล่นไปตามกาลเวลา
คลื่นลูกใหม่ไล่หลังคลื่นลูกเก่า
นั่นคือวัฏจักรของชีวิตที่ดำเนินไป

เยาว์เธอรู้บ้างไหม
ว่าประชาราษฎรนั้นทุกข์ยากเพียงใด
เสี้ยวหนึ่งของชีวิตที่เหลืออยู่
เธอเคยมีความใฝ่ฝันที่แสนงามบ้างไหม

สักวันฉันหวังว่าเธอจะเดินไปตามทางสายนี้
ที่อาจดูเงียบเหงาและโดดเดี่ยว
แต่ภายใต้ฟ้าเดียวกัน
ฉันก็ยังมีความหวัง
ว่าผู้คนในประเทศนี้
จะตื่นขึ้นมา
เพื่อทวงสิทธิ์ของพวกเขา
ที่ถูกย่ำยีมาช้านาน
และฉันหวังว่าเธอจะเดินเคียงคู่ไปกับพวกเขา

เพื่อสานความใฝ่ฝันนั้นให้เป็นความจริง
สัญญาได้ไหม
สัญญาได้ไหม
เยาว์ที่รักของฉัน


***********



ขอมีเพียงเธอเป็นกำลังใจ




ทอดสายตามองออกไปยังทิวทัศน์ข้างหน้า
แลเห็นต้นหญ้าโบกไสว
เห็นดอกซากุระบานอยู่เต็มดอย
ความงามที่อยู่ข้างหน้า
เป็นสิ่งที่ฉันจะเก็บมันไว้
ยามที่จิตใจอ่อนล้า...

ชีวิตยามนี้แม้ผ่านมาหลายโมงยาม
แต่จิตใจข้างในยังคงดูหงอยเหงา
หลายครั้งอยากมีเพื่อนคุย
หลายครั้งอยากมีคนปรับทุกข์
และหลายครั้งต้องนั่งร้องไห้คนเดียว

รางวัลสำหรับชีวิตที่ผ่านมา
มันคืออะไรเคยถามตัวเองบ่อย ๆ
ความสำเร็จ...เงินตรา...เกียรติยศชื่อเสียง
มันใช่สิ่งที่เราต้องการหรือเปล่า
ถึงจุดหนึ่งชีวิตต้องการอะไรอีกมากไปกว่านี้

หลายชีวิตยังคงดิ้นรนต่อสู้
เพื่อปากท้องและครอบครัว
มันเป็นความจริงของชีวิตมนุษย์
ที่ต้องดำรงชีพเพื่อความอยู่รอด
มีทั้งพ่ายแพ้ มีทั้งชนะ
แต่ชีวิตต่างต้องดำเนินไป
ตามวิถีทางของแต่ละคน

ลืมความทุกข์ ลืมความหลังที่เจ็บปวด
มองออกไปข้างหน้า
ค้นให้พบตัวตนของตนเองอีกครั้ง
แล้วกลับไปสู้ใหม่
การเริ่มต้นของชีวิตจะต้องดำเนินต่อไป
จะต้องดำเนินต่อไป

ตราบจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต....




@@@@@@@@@@@




การเดินทางของความรัก

...ฉันเดินไปด้วยหัวใจที่ว่างเปล่า
สมองได้คิดใคร่ครวญ
ความรักในหลายครั้งที่ผ่านมา
ทำไมจึงจบลงอย่างรวดเร็ว

ฉันเดินไปด้วยสมองอันปลอดโปร่ง
ความรักทำให้ฉันเข้าใจโลก
และมนุษย์มากขึ้น
และรู้ว่าความแตกต่าง
ระหว่างความรักกับความหลงเป็นอย่างไร?

ฉันเดินไปด้วยดวงตาที่มุ่งมั่น
บทเรียนของรักในครั้งที่ผ่าน ๆ มา
มันย้ำเตือนอยู่เสมอว่า
อย่ารีบร้อนที่จะรัก
แต่จงปล่อยให้ความสัมพันธ์
ค่อย ๆ พัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป
เรียนรู้และทำเข้าใจกันให้มากที่สุด

ก่อนที่จะเริ่มบทต่อไปของความรัก...




*******************



จุดไฟแห่งศรัทธาและความมุ่งมั่น

เข้มแข็งกับอ่อนแอ
สับสนหรือมุ่งมั่น
จะยอมแพ้หรือลุกขึ้นท้าทาย
กับชีวตที่เหลืออยู่
ทุกสิ่งล้วนอยู่ที่ใจเราจะกำหนด

ไม่ใช่เพราะอิสระเสรี
ที่เราต้องการหรอกหรือ?
ที่มันจะนำทางชีวิต
ในห้วงเวลาต่อไป
ให้เราก้าวทะยานไป
สู่วันพรุ่งที่สดใส

มีแต่เพียงคนที่รู้จักตนเองอย่างดีพอเท่านั้น
จะสามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้
เมื่อผ่านการสรุปบทเรียน
จากปัญหาต่าง ๆ ที่ประสบ
เราก็จะมีความจัดเจนกับชีวิตมากขึ้น
และการเผชิญกับอุปสรรคต่าง ๆ
ในอนาคตก็จะเป็นเพียงปัญหาที่เล็กน้อยสำหรับเรา
ในการที่จะก้าวผ่านไป



ด้วยศรัทธาและความมุ่งมั่นที่มีอยู่ในใจ
ที่จะต้องย้ำเตือนตัวเองอยู่เสมอ
หนทางในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ
ย่อมอยู่ไม่ไกลห่างอย่างแน่นอน

*********************



ก้าวย่างที่มั่นคง

บนทางเดินแคบ ๆ ที่เหลืออยู่
หากขาดความมั่นใจที่จะก้าวเดินต่อไป
ชีวิตก็คงหยุดนิ่งและรอวันตาย
แม้ทางข้างหน้าจะดูพร่ามัว
และไม่รู้ซึ่งอนาคต
แต่สิ่งที่ดีที่สุดในปัจจุบัน
คือก้าวย่างไปอย่างมั่นคง
และมองไปข้างหน้าอย่าเหลียวหลัง
เก็บรับบทเรียนในอดีต
เพื่อจะได้ระมัดระวังไม่ให้ผิดพลาดอีกในอนาคต

"""""""""""""""""""""""""""""""""



ใช้สามัญสำนึกทำงาน

ไม่มีแผนงานที่สวยหรู
ไม่มีปฏิบัติการใดที่สมบูรณ์แบบ
ในยามนี้มีเพียงการทำงานด้วยการทุ่มเท
ลงลึกในรายละเอียดเท่านั้น
จึงจะสามารถคลี่คลายปัญหาของงานลงได้
บางครั้งโจทย์ที่เจออาจยากและซับซ้อน
แต่เมื่อลงไปคลุกคลีอย่างแท้จริง
โจทย์เหล่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

""""""""""""""""""""""""""""""""



เรียบ ๆ ง่าย ๆ


อย่ามองสิ่งต่าง ๆ ด้วยแว่นสีที่ซับซ้อน
เพราะในโลกนี้มีเพียงสิ่งสามัญที่เรียบง่าย
สำหรับคนที่สงบนิ่งเพียงพอเท่านั้น
จึงจะแก้โจทย์และปัญหาต่าง ๆ
ด้วยกลวิธีที่เรียบ ๆ ง่าย ๆ
ไม่ซับซ้อนและตรงจุดได้อย่างเพียงพอ

""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""

ใจถึงใจ

บนหนทางไปสู่ความสำเร็จ
บนหนทางของการสร้างสรรค์สิ่งใหม่
มีเพียงคนที่เข้าใจในสภาพจิตใจของคนทำงานเท่านั้น
จึงจะสามารถนำทีมงานไปสู่เป้าหมายได้
อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน








Friends' blogs
[Add คนเดินดินฯ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.