โรคผิวหนังอักเสบเหตุภูมิแพ้ (Atopic Dermatitis)
โรคผิวหนังอักเสบเหตุภูมิแพ้ (atopic dermatitis) โรคผิวหนังอักเสบเหตุภูมิแพ้ (AtopicDermatitis ; AD) เป็นการอักเสบของผิวหนังอย่างเรื้อรังซึ่งมักจะสัมพันธ์กับอาการแพ้ทางระบบทางเดินหายใจ ร้อยละ 50 ของผู้ป่วยโรค AD มักเกิดโรคหืดเกิดตามมาในภายหลัง ในขณะที่ร้อยละ 75ของผู้ป่วยโรคนี้จะเกิดเยื่อบุจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ตามมาเช่นกัน สาเหตุ และกลไกการเกิดโรค สาเหตุและกลไกการเกิดโรคค่อนข้างซับซ้อน ยังไม่ชัดเจนซึ่งน่าจะเกี่ยวข้องกับปัจจัยหลายๆอย่างร่วมกัน ดังนี้ 1.พันธุกรรม ยังเป็นหัวข้อที่ทำการศึกษาวิจัยกันอยู่ในปัจจุบันเนื่องจากมียีนผิดปกติซึ่งเกี่ยวข้องกับหน้าที่ของผิวหนังที่คอยป้องกันไม่ให้เกิดโรค(skin barrier) และระบบภูมิคุ้มกันหรือระบบป้องกันตัวเองของผู้ป่วย(immune response or host defense genes) ที่คอยต่อต้านการเกิดโรคนี้ 2.ความผิดปกติของผิวหนัง(skin barrier defect) ผิวหนังทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันหรือเป็นภูมิคุ้มกันที่มีมาแต่กำเนิด(innate immunity) ชนิดหนึ่งที่ป้องกันสิ่งแปลกปลอมจากภายนอกเข้าสู่ร่างกายทำหน้าที่คอยอุ้มน้ำและป้องกันการสูญเสียน้ำทางผิวหนังทำให้ผิวชุ่มชื้นไม่แห้งง่าย นอกจากนี้ยังมีโปรตีนที่สำคัญที่เรียก “filaggrin”มีผลต่อความแข็งแรง และหน้าที่ในการเป็นเกราะป้องกันของผิวหนัง ดังนั้นถ้าไม่สามารถสร้างโปรตีนชนิดนี้หรือสร้างได้แต่ไม่ทำงาน จะส่งผลต่อความแข็งแรงของชั้นผิวหนังซึ่งส่งผลสำคัญต่อการอักเสบของผิวหนังดังที่พบในโรค AD 3.ความผิดปกติของภูมิคุ้มกันของผู้ป่วย(immune response defect) สิ่งที่กระตุ้น(trigger) ในโรค AD 1.ความเครียดกลไกที่แท้จริงที่ความเครียดทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของระบบภูมิคุ้มกันยังไม่ชัดเจน 2.สารก่อภูมิแพ้(allergen) ร้อยละ 80 ของผู้ป่วยโรค AD มี IgE ต่อสารก่อภูมิแพ้จากอาหารหรือชนิดที่อยู่ในอากาศสูงกว่าปกติ ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ 2 วิธีคือ การทดสอบผิวหนังแบบสะกิด(skinprick test)และการเจาะเลือดเพื่อหา specific IgE 3.เชื้อจุลชีพ(microorganism) ดังที่กล่าวแล้วผู้ป่วยกลุ่มนี้มีความผิดปกติทั้งระบบภูมิคุ้มกันแบบพึ่งเซลล์และสารต้านจุลชีพที่ผลิตจากเซลล์ผิวหนังเองทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียโดยเฉพาะเชื้อ S.aureus ,เชื้อรา,เชื้อไวรัส บริเวณผิวหนังได้ง่าย 4.สารกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันที่สร้างในร่างกายมนุษย์บางชนิด(autoantigen)มีรายงานพบว่า การเกา หรือการทำลายผิวหนังจากการติดเชื้อสามารถกระตุ้นการหลั่งของสารดังกล่าว สารเหล่านี้เป็นสาเหตุของโรคเช่นกัน 5.สิ่งระคายเคือง(irritant factor) เสื้อผ้าที่หยาบหรือเป็นขน, สารเคมีจากสบู่, เหงื่อ, หรือแม้แต่อากาศที่แห้งเกินไปอาจทำให้เกิดการระคายเคือง, คัน และการเกาผิวหนัง สิ่งเหล่านี้อาจทำให้อาการของผู้ป่วยโรค AD กำเริบรุนแรงได้ การเกิดโรคภูมิแพ้อื่นๆในโรค AD(Atopic Diathesis) พบว่าผู้ป่วยโรค AD ตั้งแต่อายุน้อยๆมักมีความเสี่ยงสูงในการเกิดโรคภูมิแพ้ทางระบบทางเดินหายใจเช่นโรคหืดจากภูมิแพ้พบอุบัติการณ์สูงสุดในเด็กอายุน้อยกว่า 3 เดือนที่แสดงอาการทางผิวหนังแบบ AD อย่างรุนแรงและมีประวัติครอบครัวเป็นโรคหืด นอกจากนั้นพบถึงร้อยละ 50 ในเด็กที่แสดงอาการ AD ตั้งแต่อายุก่อน 3 เดือน และมีสมาชิกในครอบครัวตั้งแต่ 2คนขึ้นไปป่วยด้วยโรคภูมิแพ้ จะมีอาการภูมิแพ้ในทางเดินหายใจ อาการ และการวินิจฉัยโรค อาการที่สำคัญของโรคนี้คือ อาการคัน มักจะคันตลอดเวลาโดยเฉพาะช่วงกลางคืน ผื่นเกิดแบบเรื้อรัง และเป็นๆหายๆ มีตำแหน่งเฉพาะของผื่น อย่างไรก็ตามในปัจจุบันยังไม่มีลักษณะของผื่นที่เฉพาะเจาะจงหรือการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่จำเพาะในการวินิจฉัยโรคนี้ การรักษา 1.ต้องให้ความรู้แก่ผู้ป่วย และคนในครอบครัวเพื่อควบคุมอาการให้อยู่ในช่วงสงบให้นานที่สุด ผู้ป่วย และครอบครัวต้องมีส่วนร่วมในการรักษาโรคนี้ 2.การประเมินความรุนแรงของโรคควรประเมินความรุนแรงของโรคเพื่อใช้ในการวางแผนการรักษา และการให้ยา ซึ่งอายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกันคลินิกจะเป็นผู้ประเมินโดยอาศัยปัจจัยหลายปัจจัยเข้ามาคำนวน 3.การหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ และตัวกระตุ้น
4.เลี่ยงการใส่เสื้อผ้าเนื้อหยาบที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองได้เช่นผ้าขนสัตว์ หรือผ้าใยสังเคราะห์ ผ้าที่เหมาะสมที่สุดคือ ผ้าฝ้าย 5.เลี่ยงการเกา การอาบน้ำไม่ควรใช้เวลานานเกินไปโดยอุณหภูมิของน้ำต้องไม่ร้อน หรือเย็นจัดจนเกินไป นอกจากนี้หลังอาบน้ำให้ซับตัวหมาดๆแล้วทาสารเพิ่มความชุ่มชื้นผิวหนังภายใน 3 นาทีเพื่อเก็บความชุ่มชื้นของผิวหนังมากที่สุด สารเพิ่มความชุ่มชื้นไม่ควรมีส่วนประกอบของน้ำหอม หรือสารกับบูด 6.ในกรณีที่มีผื่นให้ผู้ป่วยทายารักษาก่อนแล้วค่อยทาสารเพิ่มความชุ่มชื้น เลี่ยงครีมหรือน้ำยาทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของสารฆ่าเชื้อแบคทีเรียเพราะอาจระคายเคืองต่อผิวหนัง 7.ในรายที่มีอาการรุนแรงควรหลีกเลี่ยงอาหารที่สงสัยว่าอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ผื่นกำเริบได้ ที่พบบ่อยเช่นไข่ นมวัว ข้าวสาลี อาหารทะเล 8.ยังไม่มีการศึกษาใดๆที่ยืนยันประสิทธิภาพของน้ำมันปลา, borage oil, evening primrose oil, วิตามินหรืออาหารเสริมต่างๆต่อการรักษาโรคผิวหนังอักเสบชนิด AD นี้ 9.ยาที่ใช้ในการรักษามีทั้งยาทาและยารับประทานขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค การป้องกัน 1.มีข้อมูลว่าการให้นมแม่อย่างเดียว 4เดือนแรกของทารก สามารถลดอุบัติการณ์ของโรค AD ได้ โดยเฉพาะในกลุ่มที่ครอบครัวมีประวัติภูมิแพ้ 2.ในกรณีที่รับประทานนมแม่ไม่ได้ ควรรับคำปรึกษาจากกุมารแพทย์โรคภูมิแพ้ 3.ในกรณีที่ป่วยด้วยโรคAD แล้วให้หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้และตัวกระตุ้นที่ทำให้โรคกำเริบจะเป็นการป้องกันไม่ให้ผื่นรุนแรงมากขึ้นหรือลุกลาม ผื่นชนิดนี้หายหรือไม่ ในอดีตมีรายงานพบว่าถ้ามีอาการตั้งแต่เด็กพอเข้าสู่วัยผู้ใหญ่อาการต่างๆจะดีขึ้น หรือหายไป ระยะหลังๆมีข้อมูลออกมาแย้งพบว่ายังพบผู้ป่วยมีอาการต่อเนื่องจนวัยผู้ใหญ่ในปี 2547 มีการศึกษาที่สำคัญอีกฉบับจากประเทศเยอรมันโดยติดตามเด็กตั้งแต่แรกเกิดที่มีปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคภูมิแพ้เช่นมีสมาชิกในครอบครัวอย่างน้อย 2 คนขึ้นไปเป็นโรคภูมิแพ้ และ/หรือเจาะเลือดจากสายสะดือ(cord blood)แล้วพบว่ามีการเพิ่มขึ้นของ IgE มากกว่าหรือเท่ากับ 0.9 kU/L จนถึงอายุ7 ปี พบว่าเด็กที่เริ่มมีอาการก่อนอายุ 2 ปี ร้อยละ 43.2 ผื่นสามารถหายได้เองภายในอายุ 3 ปี ร้อยละ 38.3 ยังคงมีอาการเป็นๆหายๆ
นพ.ภก.สุรสฤษดิ์ ขาวละออ อายุรแพทย์ทั่วไป อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคภูมิแพ้ และภูมิคุ้มกันคลินิก ศูนย์โรคภูมิแพ้ โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท www.twitter.com @surasarit
Create Date : 21 เมษายน 2556 |
Last Update : 21 เมษายน 2556 10:25:39 น. |
|
1 comments
|
Counter : 3565 Pageviews. |
|
|