Group Blog
ธันวาคม 2554

 
 
 
 
1
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
17
18
19
23
27
28
30
31
 
All Blog
ชีวิตในต่างแดนมนุษย์ทุกคน



Create Date : 15 ธันวาคม 2554
Last Update : 15 ธันวาคม 2554 1:29:02 น.
Counter : 633 Pageviews.

8 comments
  
ใครก็ได้ ช่วยไขข้อข้องใจให้ข้าพเจ้าหน่อยเถอะคะว่า " สวรรค์"และ"นรก" ของชาวพุทธ ชาวคริสต์หรือชาวมุสลิม คือที่"แห่งเดียวกัน"หรือไม่ เพราะ"ถ้าคำตอบคือ"ไม่ใช่" ก็คงจะเป็น"ปัญหาโลกแตก" และกลายเป็น"ความเชื่อที่งมงาย" หาข้อพิสูจน์ไม่ได้ เพราะ ตอนนี้โลกได้เชื่อมโยงต่อกันแล้ว มันทำให้ เรามองว่า"ศาสนาเป็นเพียงแค่"กุศโลบาย" ของแต่ละภูมิประเทศ ที่ใช้ครอบงำประชาชนให้อยู่ภายใต้การปกครอง โดยใช้"ความเชื่อและขนบธรรมเนียม"ของแต่ละประเทศเป็นตัวกำหนดทิศทาง ตัวข้าพเจ้าและครอบครัว"เป็นพุทธ" แต่ตอนนี้ข้าพเจ้า ใช้ชีวิตอยู่ที่อเมริกา ได้ไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ ตามแบบชาวคริสเตียน ครอบครัวของสามีข้าพเจ้า"เป็นมุสลิม" ข้าพเจ้าจึงรู้สึก"สับสน"และไม่รู้ว่า"ที่ถูกต้อง" ข้าพเจ้า ควร "มองโลก" ในแง่มุมใด ? มีหนังสือหรือตำราใด?บ้างที่กล่าวถึง"ภาพรวม"หรือ"ข้อสรุป"ของศาสนา ว่าอย่างไร? มนุษย์เราอยู่"บนโลกเดียวใบเดียวกัน" แต่"ตายแล้ว"ไยไปอยู่"คนละสวรค์" หรือ"ตกคนละนรก"ละ ผีไทยกับผีฝรั่งกับผีแขกก็ต่างกัน ข้าพเจ้าควร"จะจัดการกับความคิดของตัวข้าพเจ้าเองอย่างไร?
โดย: ผู้สับสนในชีวิตและศาสนา IP: 71.203.19.77 วันที่: 15 ธันวาคม 2554 เวลา:4:42:00 น.
  
ความเป็นไปได้ที่มากที่สุดคือ...ตายแล้วจบกันครับไม่น่าจะไปที่ไหน
คนพุทธทำดีตลอดชีวิตแต่ไม่เชื่อGod ตายแล้วคง Burn in He'll ?

สำคัญคือต้องเป็นคนดี คิดดี ทำดีตามcommon sense ของเรา
ตายแล้วจะไปไหนช่างมัน...
โดย: เชื่อแบบนี้ IP: 192.148.117.104 วันที่: 15 ธันวาคม 2554 เวลา:5:04:08 น.
  
มีความสุขในแต่ละวันค่ะ
โดย: ปล่อยวาง IP: 82.233.157.112 วันที่: 15 ธันวาคม 2554 เวลา:17:41:48 น.
  
ศาสนาทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี นี่คือ theme ของทุกศาสนา ดังนั้นไม่ว่าใครจะนับถือศาสนาไหน ก็คงไม่มีไรต่างกัน
โดย: คนในต่างแดนเช่นกัน IP: 213.93.59.182 วันที่: 15 ธันวาคม 2554 เวลา:18:59:38 น.
  
เรียน ท่านผู้สับสนในชีวิตและศาสนา

ท่านกำลังสับสนในสิ่งที่ท่านยังไม่เห็นมัน นั่นคือว่า “นรก สวรรค์ มีจริงหรือไม่”
อย่าสับสนเลยครับ

ขอสรุปคำถามที่ท่านสงสัย เป็น 3 ประเด็นดังนี้
1. นรก สวรรค์ มีจริงหรือไม่
2. ศาสนาเป็นเพียงกุศโลบายหรือไม่
3. ควรจัดการชีวิตอย่างไร

ผมขออนุญาตสรุปประเด็นและความเห็น ดังนี้

1. “นรก สวรรค์ มีจริงหรือไม่”
เรากำลังพูดถึงสิ่งที่เรามองไม่เห็น หรือยังไม่เคยเห็น ยังไม่เคยไป หรือไปมาแล้ว จำไม่ได้

ขอยกตัวอย่าง ดังนี้
ตัวอย่างที่ 1 คนตาบอด ซึ่งไม่เคยเห็นพระอาทิตย์ พระจันทร์ ได้ยินคนตาดี มาบอกว่า พระอาทิตย์ พระจันทร์ มีอยู่
ถามว่า คนตาดี จะอธิบายอย่างไร คนตาบอดจึงจะเชื่อ หรือแม้เชื่อ แต่ไม่มีดวงตาเห็นเอง จะเข้าใจได้ถูกต้องไหม
ว่า พระอาทิตย์ พระจันทร์ มันมีรูปร่างอย่างไรจริง ๆ หากได้ยินแต่คำบอกเล่า
ตัวอย่างที่ 2 คนไม่เคยชิมรสทุเรียน มีคนบอกว่า ทุเรียนรสหวาน หอม อร่อย ถามว่า เขาจะเข้าใจจริง ๆ ได้ไหมว่า
รสชาติจริง ๆ ของทุเรียน มันเป็นอย่างไรแน่ จนกว่าเขาได้ลิ้มลองมันด้วยตนเอง
ตัวอย่างที่ 3 มีคนพูดว่า ภูกระดึง ช่างสวยสดงดงาม ถามว่า คนไม่เคยไป จะเข้าใจได้ไหมว่าสวยอย่างไร

สรุปว่า นรก สวรรค์ ที่เราจะต้องไปหลังจากตายแล้ว จะมีจริงหรือไม่ คงต้องรอตายก่อน แล้วพิสูจน์ด้วยตนเองเท่านั้น
เหมือนเราอยากรู้ว่า ภูกระดึง มีจริงหรือไม่ แต่ตอนนี้ ยังลางานไปเที่ยวไม่ได้ ต้องรอปีหน้า
เพราะฉะนั้น ระหว่างที่รออยู่นี้ จึงไม่อาจทราบได้อย่างแท้จริง

ปัญหาก็คือ ระหว่างที่รอ ดูว่า นรก สวรรค์ มีจริงหรือไม่ เราควรใช้ชีวิตอย่างไร
เกี่ยวกับเรื่องนี้ มีกฎง่าย ๆ ว่า ถ้าอยากไปสวรรค์ เมื่อตายแล้ว ให้ทำความดี ถ้าอยากไปนรก ก็ให้ทำความชั่ว
เหมือนว่า อยากไปภูกระดึง เจ้านายจะให้ไป เมื่อทำงานเต็มที่ มีผลงานที่ดี

หากเราไม่เชื่อว่า นรก สวรรค์ มีจริง ตายแล้วจบกัน ก็ยังมีทางเลือกว่า แม้ตายแล้ว จบกัน จะทำดี หรือทำชั่วกันดี
ตรงนี้ แต่ละคน คงต้องตัดสินใจเองแล้วว่า จะเป็นคนเห็นแก่ตัว เอาแต่ประโยชน์ส่วนตัว โกงได้เป็นโกง
เพื่อให้ตัวเองร่ำรวย ทำได้ทุกอย่าง แม้ไร้มนุษยธรรม ซึ่งถ้านรกไม่มีจริง ตายแล้วจบกัน ก็โชคดีไป แต่ถ้ามี ก็…
(คงไม่ต้องบอกว่าจะเป็นอย่างไร)
หรือจะทำแต่ความดี เพราะทำแล้ว มันมีความรู้สึกที่ดี ไม่ว่า นรก สวรรค์ หลังความตายจะมีหรือไม่ ก็ไม่สน
และหากมีจริง ๆ ก็จะได้ไปสวรรค์ ไม่ต้องไปนรก
ผมยังไม่ตอบคำถามตรงนี้ ขอข้ามไปประเด็นที่ 2 ก่อน

2. “ศาสนาเป็นเพียงกุศโลบาย ให้คนเชื่อ จะได้ควบคุมประชาชน”

ผมไม่เชื่อว่า ศาสนามีความจำเป็นเพียงเพื่อเป็นกุศโลบายให้คนทำดี
เพราะปัจจุบัน คนที่ประกาศว่า ไม่มีศาสนา ก็เพิ่มมากขึ้นอยู่แล้ว
คนไทยที่นับถือศาสนาพุทธตามทะเบียนบ้าน แต่ไม่รักษาศีล ก็มีเยอะ
(ความจริง เมื่อประกาศตนว่า เป็นพุทธมามกะ รับเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง
ก็ต้องรักษาศีล 5 เป็นอย่างน้อย แต่ความเป็นจริง จะเห็นคนดื่มสุรา พูดโกหก พูดคำไม่จริง
เพียงเพราะว่า สิ่งนี้ ไม่ผิดกฎหมาย ไม่มีใครจับเข้าคุก หากไม่ใช่ไปฉ้อโกงใครให้เสียหาย ไม่ขับรถตอนเมาสุรา
นั่นแสดงว่า การควบคุมความประพฤติของคน มีเครื่องมือคือ กฎหมาย และบทลงโทษอยู่แล้ว

ท่านอาจารย์พุทธทาส กล่าวว่า ความจริงแล้ว พุทธศาสนา เป็นระเบียบวิธีปฏิบัติ เพื่อไปสู่ทางพ้นทุกข์
ควรเรียกว่า เป็น “พุทธธรรม” มากกว่า จะเรียกว่า เป็นศาสนา
เพราะฉะนั้น ธรรมะของพระพุทธเจ้า คนที่นับถือศาสนาอื่น ก็ยังสามารถศึกษา และนำเอาไปปฏิบัติได้
โดยไม่ต้องเปลี่ยนศาสนา เช่น การทำสมาธิตามแบบพุทธนี้ ชาวต่างชาติก็เริ่มให้ความสนใจมากขึ้น
เพราะเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ตามหลักวิทยาศาสตร์

3. “ควรจัดการชีวิตอย่างไร”

ขอให้พิจารณาคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งสรุปได้เป็น ความจริง 4 ประการ (อริยสัจ 4)
ได้แก่ ทุกข์สมุทัย นิโรธ มรรค

ถ้าเราพิจารณาดูชีวิตของเรา จะพบว่า เมื่อมีชีวิต ก็ต้องประสบกับความทุกข์ คือความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ
ซึ่งเป็นปัญหาของมนุษย์ทุกคน อันไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อันได้แก่ “ชรา (ความแก่) พยาธิ (ความเจ็บ) มรณะ (ความตาย)
โสกะ (ความเศร้า) ปริเทวะ (ความคร่ำครวญ) ทุกข์ (ไม่สบายกาย) โทมนัส (ไม่สบายใจ) อุปายาส (ความคับแค้น)
ความประสบกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รัก ความพลัดพรากจากของรัก ความปรารถนาสิ่งใด ไม่ได้สิ่งนั้น”
เหล่านี้คือสิ่งที่ทุกคนต้องเผชิญ แต่โดยสรุปแล้ว พระพุทธเจ้ากล่าวว่า “อุปาทานในขันธ์ทั้งห้า” นั่นแหละคือตัวทุกข์

เมื่อพิจารณาว่า เราทั้งหลายล้วนมีความทุกข์อยู่จริง ต้องเผชิญอยู่ทุกวัน
เราจะสามารถมองเห็นสิ่งที่เรียกว่าเป็น “นรกในใจ” ได้ เมื่อยามที่เราพบกับปัญหาที่แก้ไม่ตก
โดยไม่ต้องรอให้พบกับ “นรกหลังตายแล้ว” เลย
และเมื่อยามที่เราทำดี เราก็มีความฉ่ำชื่นหัวใจ นี่ก็เป็น “สวรรค์ในอก” อย่างที่คนโบราณท่านสอนมา
ท่านพุทธทาสเรียกว่า “เป็นสวรรค์ หรือนรก ที่นี่ เดี๋ยวนี้” เลย ไม่ต้องรอตายแล้ว

(อ่านเรื่องนรก สวรรค์ ของท่านพุทธทาส ที่นี่ //www.buddhadasa.com/FAQ/FAQ_17.html )

พระพุทธเจ้า ได้ตรัสรู้สิ่งที่เรียกว่า อริยสัจ 4 นั้น ท่านไม่ได้มองเห็นเพียงแต่ความทุกข์เท่านั้น
แต่ท่านยังมองเห็นถึง เหตุแห่งทุกข์ (สมุทัย) ความดับแห่งทุกข์ (นิโรธ) และ ทางดับทุกข์ (มรรค)

เมื่อพิจารณาได้ว่า ทุกข์ที่อยู่ตรงหน้ามีอยู่จริง (ไม่ต้องรอพิสูจน์ หลังตายแล้ว)
และไม่จำเป็นต้องเห็นแล้วว่า มีสวรรค์ หรือนรกจริง (รอให้เห็นหลังตายแล้ว อาจไม่ทันการณ์)
เราอยากมีชีวิตอยู่อย่างไร ระหว่าง มีชีวิตอยู่ โดยลอยอยู่ “เหนือปัญหา” คือความทุกข์ทั้งปวง
หรือจะมีชีวิตอยู่ อย่างที่ “จมอยู่ในปัญหา” คือจมอยู่ในกองทุกข์ทั้งปวง

มันจึงไม่สำคัญว่า นรก สวรรค์ หลังความตาย มีอยู่หรือไม่
ต่างศาสนากัน เป็นนรก กับสวรรค์ อันเดียวกัน หรือไม่ (ตายแล้ว ค่อยไปพิสูจน์กัน)
แต่มันสำคัญที่ว่า หากเราดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง ตามหนทางอันประเสริฐที่เรียกว่า “อริยมรรคมีองค์แปด”
แล้วละก็ ชีวิตเราจะมีความสุข เป็นความสุขที่เกิดขึ้น ทันทีทันใด “ที่นี่” และ “เดี๋ยวนี้”

ขอให้ท่านผู้สับสนในชีวิต ได้พิจารณาความจริงข้อนี้เถิด

สำหรับวิธีปฏิบัติ สามารถศึกษาและทดลองเองได้ ตามคำแนะนำง่าย ๆ ตาม link นี้
//www.supawangreen.in.th/book_chapter_detail.php?id=238&type=59

สุดท้ายนี้ ขอแนะนำให้อ่านข้อความที่อาจารย์ศุภวรรณ กรีน ได้เขียนตอบโต้ ศาสตราจารย์สตีเฟน ฮอว์กิ้ง นักฟิสิกส์คนสำคัญของโลก
ที่บอกว่า “There is no heaven or afterlife for broken down computers; that is a fairy story for people afraid of the dark”
ที่ link นี้ ครับ //www.supawangreen.in.th/news_detail.php?id=274
หวังว่า ข้อความเหล่านี้ จะทำให้คุณหายสับสนลงได้บ้างนะครับ
โดย: แน่ใจ ไม่สับสน IP: 42.241.32.20 วันที่: 29 ธันวาคม 2554 เวลา:9:59:36 น.
  
ฝากไว้นิดหนึ่งว่า

โลกนี้ จะมีคำถาม มากกว่า คำตอบ เสมอ

ไม่จำเป็นว่า เราจะต้องตอบทุกคำถามที่สงสัยได้ก่อน จึงเริ่มลงมือทำ

พระพุทธเจ้า ท่านจัดคำถามเหล่านี้ ไว้ใน "อจิณไตย"
เรื่อง ไม่ควรคิด ใครคิด พึงมีส่วนแห่งความบ้า

หมายถึง คิดเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้มาก ๆ เข้า สติอาจฟั่นเฟือนได้ อันตรายครับ
โดย: ไม่สับสน IP: 42.241.32.20 วันที่: 29 ธันวาคม 2554 เวลา:10:21:58 น.
  
เรียน ท่านผู้อ่านทุกท่าน

ผมได้เข้ามาอ่าน blog นี้โดยบังเอิญ
เห็นว่า คำถามของคุณ "ผู้สับสนในชีวิตและศาสนา" เป็นคำถามที่น่าสนใจ และเห็นใจผู้ถามเป็นอย่างมาก หากไม่ได้คำตอบที่ชัดเจน

ผมจึงได้นำคำถามนี้ เรียนถาม อาจารย์ศุภวรรณ พิพัฒพรรณวงศ์ กรีน

ท่านได้กรุณาตอบคำถามนี้ โดยละเอียด

//www.supawangreen.in.th/forum/viewtopic.php?t=1311&sid=02eae1b8796d3037c68aa29573c63586

จึงขออนุญาต นำมาลงไว้ในที่นี้ด้วย ดังนี้

(ข้อความต่อไปนี้ เป็นคำตอบของอ.ศุภวรรณ กรีน)

เรื่องนรกสวรรค์นั้น เป็นเรื่องที่ “ต้องเชื่อ” เท่านั้น เพราะไม่สามารถพิสูจน์ให้เห็นกันแบบ “จะจะ” ตามวิธีการทางวิทยาศาสตร์เหมือนที่ทำกับปรากฏการณ์อื่นๆที่สามารถสัมผัสได้ด้วย ตา หู จมูก ลิ้น ผิวหนัง ของมนุษย์

แม้มีคนที่ “อ้าง” ว่าได้เคยไปเที่ยว “นรก-สวรรค์” มาแล้ว แต่นั่นก็เป็น “ประสบการณ์ส่วนตัว” ที่ไม่สามารถ “ตอกย้ำ” ให้คนทั่วโลกรู้เห็นได้ด้วยขั้นตอนทางวิทยาศาสตร์

คือ ไม่สามารถทำให้คนทั้งโลกสัมผัสได้ด้วยตา หู จมูก ลิ้น ผิวหนัง อย่างทั่วถึงกันทั้งโลก
หากทำได้ ก็คงไม่ได้เป็นปัญหาที่ยืดเยื้อของมนุษยชาติในทุกยุค ทุกสมัย

เรื่องนรก-สวรรค์จึงยังคงเป็นปัญหาโลกแตกของคนยุคนี้

เราควรสรุปอย่างฟันธงตรงนี้ก่อนว่า ไม่มีทางพิสูจน์เรื่องนรก-สวรรค์อย่างเป็นวิทยาศาสตร์โดยใช้ตา หู จมูก ลิ้น ผิวหนัง ของมนุษย์ได้

"มีสองทางเลือกเท่านั้น"

เมื่อมาพูดเรื่องความเชื่อว่า ”นรก-สวรรค์” มีอยู่จริงหรือไม่ มันก็มีเพียงสองทางเลือกเท่านั้น คือ เชื่อกับไม่เชื่อ
แต่ก็เป็นสองทางเลือกที่ยากมากที่สุดสำหรับคนไม่น้อยเช่นกัน
ฉะนั้น “เหตุผล” จะเป็นปัจจัยสำคัญ และเป็นสิ่งเดียวที่เหลืออยู่ที่จะช่วยการตัดสินใจว่า ควรเชื่อหรือไม่เชื่อเรื่องนรก-สวรรค์

"ปุ่มปัญญา"

ปัญญาชนที่ใช้เหตุผลเป็นทุกคนจะมี “ปุ่มปัญญา” ที่ธรรมชาติให้มา
เมื่ออ่านหนังสือ หรือฟังคำสอน โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับศาสนาและการดำรงชีวิต แม้เป็นความรู้ที่ไม่ใช่ของตนเอง แต่เมื่ออ่านหรือฟังแล้ว ปุ่มปัญญานี้จะสามารถบอกเพียงว่า “ใช่หรือไม่ใช่”
นั่นคือ ถ้าใครสามารถใช้เหตุผลที่ฟัง “เข้าท่าและลงตัว” ตามกลไกของเหตุผลและตรรกะแล้ว คนอ่านหรือคนฟังก็จะสามารถ “เข้าถึง(ตัว)ใจ” หรือ พูดสั้นๆว่า “เข้าใจ”
เหตุผลนั้นๆ ก็จะสามารถช่วยให้คนอ่านหรือคนฟังมีคำตอบให้ตนเองว่าควร “เชื่อหรือไม่เชื่อ” ในเรื่องนั้นๆ

ฉะนั้น เราลองมาไล่เหตุผลกันดูก่อน อันเป็นขั้นตอนที่ดิฉันจะช่วยให้คนที่อยากมีคำตอบเรื่องนรก-สวรรค์ สามารถตอบตนเองได้อย่างมั่นใจ จะได้หมดปัญหากับตนเองเสียที

"ค่ายวิทยาศาสตร์กับศาสนา"

ความเชื่อเรื่องชีวิตหลังตายสามารถแยกออกเป็นสองค่ายใหญ่ๆ คือ ค่ายวิทยาศาสตร์กับค่ายศาสนา
คนที่ฝักใฝ่วิทยาศาสตร์ก็มีแนวโน้มที่จะไม่เชื่อว่านรกสวรรค์มีจริงเพราะพิสูจน์ไม่ได้
เหมือนที่คุณสตีเฟน ฮอว์คิง พูดว่า สมองของมนุษย์ก็เหมือนเครื่องคอมพิวเตอร์ ความตายก็เหมือนการปิดเครื่องคอมพิวเตอร์
ชีวิตหลังตายอันมีสวรรค์นรกเป็นเรื่องของคนที่ยังกลัวความมืดและกลัวความตายเท่านั้น

ความเห็นของคุณสตีเฟน ฮอว์คิงส์ ซึ่งเป็นอัจฉริยะทางด้านฟิสิกส์ย่อมมีผลกระทบต่อคนทั่วโลกไม่น้อย

ดิฉันจึงอยากให้ความคิดของคุณฮอว์คิงเป็นตัวแทนกลุ่มคนในค่ายวิทยาศาสตร์ที่ไม่เชื่อนรก-สวรรค์ เพราะมีความเชื่อในสิ่งที่สัมผัสได้ด้วย ตา หู จมูก ลิ้น ผิวหนัง อย่างแม่นมั่นเท่านั้น

แต่ไม่ได้หมายความว่า นักวิทยาศาสตร์ทุกคนจะมีความเชื่อเช่นคุณฮอว์คิง
มีนักวิทยาศาสตร์ชาวตะวันตกมากมายที่ไม่เห็นด้วยกับคุณสตีเฟน ฮอว์คิงที่เอาเรื่องสมองของมนุษย์ไปเปรียบเทียบกับเครื่องคอมพิวเตอร์
และนักวิทยาศาสตร์เหล่านี้ก็เชื่อเรื่องนรก-สวรรค์อย่างปักใจ หากเขาเป็นชาวคริสต์ ก็เป็นชาวคริสต์ที่เชื่อเรื่องพระเจ้า และนรก-สวรรค์อย่างที่ชาวคริสต์เชื่อๆกัน
รวมทั้งนักวิทยาศาสตร์ที่เป็นชาวพุทธไทย ก็เชื่อเรื่องนรก-สวรรค์ตามความเชื่อของชาวพุทธเช่นกัน

ส่วนค่ายที่เชื่อเรื่องนรก-สวรรค์ แน่นอน ย่อมเป็นค่ายของศาสนาโดยมีพระศาสดาเป็นผู้ออกมาประกาศว่านรก-สวรรค์มีอยู่จริง
คนทำดีจะได้ไปสวรรค์ คนทำชั่วจะต้องไปนรก

คนในโลกนี้ที่เชื่อว่านรกสวรรค์มีจริงนั้น ต้องบอกว่า 99.99% เชื่อตามศาสดาของตนเองทั้งสิ้น
อาจจะมีเพียง 0.01% เท่านั้นหรือน้อยกว่านั้น ที่เชื่อว่านรกสวรรค์มีจริง เพราะตนเองมีประสบการณ์ เคยไปท่องเที่ยวนรกสวรรค์มาแล้ว จึงปักใจเชื่อ
นอกจากนั้น ล้วนต้อง “เชื่อตาม” พระศาสดาของตนทั้งสิ้น

คำถามต่อไปคือ ระหว่างการเลือกเชื่อนักวิทยาศาสตร์เช่นคุณสตีเฟน ฮอว์คิง กับเชื่อพระศาสดาของศาสนาซึ่งล้วนเป็น “นักบุญ” (คนที่ทำแต่ความดีหรือบุญ) ซึ่งก็มีเพียงไม่กี่ท่านเท่านั้น ที่เด่นๆ ก็มีพระพุทธเจ้า พระเยซู คริสต์ และพระนบี โมหมัด ทุกท่านล้วนมี ”ความกล้าหาญ” ที่พิเศษจากมนุษย์ธรรมดาทั่วไป

เช่น พระพุทธเจ้ากล้าประกาศว่า “ในจำนวนสัตว์สองเท้าทั้งหลาย พระตถาคตเป็นผู้เลิศและประเสริฐที่สุด”
เพราะท่านเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่สามารถตรัสรู้ด้วยตนเอง คือ รู้แจ้งซึ่งสัจธรรมด้วยตนเองโดยไม่ต้องมีใครสอน

พระเยซู คริสต์ ก็มีความกล้าหาญถึงขนาดประกาศว่า ท่านเป็น “บุตรของพระเจ้า” ใครที่จะเข้าถึงพระเจ้า ต้องผ่านท่าน

"เลือกเชื่อใครดี"

ฉะนั้น จึงนำมาสู่บทสรุปว่า ถ้าให้เลือกเชื่อระหว่างนักวิทยาศาสตร์กับนักบุญ ควรเลือกเชื่อใครดี

ต้องอย่าลืมข้อเท็จจริงที่ว่า นรกสวรรค์เป็นเรื่องที่พิสูจน์อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ไม่ได้
ทั้งคนที่เชื่อและไม่เชื่ออย่างสตีเฟน ฮอว์คิง ก็ไม่เคยมีประสบการณ์ของนรกสวรรค์มาก่อน
เขาก็เป็นคนหนึ่งใน 99.99% ของประชากรโลกที่ไม่รู้แน่ชัดว่า นรกสวรรค์มีจริงหรือไม่
สิ่งที่เขาพูดเปรียบสมองมนุษย์เหมือนคอมพิวเตอร์นั้น ก็เป็นเพียงความเชื่อแบบ “ยืนกระต่ายขาเดียว” เท่านั้น
ไม่ใช่เป็นบทสรุปทางวิทยาศาสตร์เพราะมีการวิจัยแต่อย่างใด ซึ่งหมายความว่า สตีเฟน ฮอว์คิง อาจจะถูกหรืออาจจะผิดอย่างร้อยเปอร์เซ็นต์
ฉะนั้น จึงต้องสรุปก่อนว่า ค่ายวิทยาศาสตร์ที่นำโดยคุณฮอว์คิงก็ไม่ได้ “รู้จริง” ในเรื่องนรกสวรรค์แต่อย่างใดเลย
เพียงแต่ว่า เขาเก่งทางด้านฟิสิกส์และดาราศาสตร์ เขียนหนังสือขายทีได้ ๒๐ ล้านเล่ม คนเชื่อเขา เพียงเพราะเขามีชื่อเสียง
แต่ไม่ได้หมายความว่า เขาเป็นคนคิดดี พูดดี ทำดีเสมอไป และเป็น “ผู้รู้จริง” ในความรู้เรื่องนรกสวรรค์
ตรงนี้ไม่มีใครรู้ข้อเท็จจริงแม้แต่คุณฮอว์คิง จนกว่าตายไปแล้ว หากวิญญาณยังมีเหลืออยู่จริง ค่อยไปหาข้อมูลอย่างเป็นวิทยาศาสตร์เอาเอง คือไปสัมผัสเองด้วยจิตวิญญาณของตน

การเลือกเชื่อนักบุญเช่น พระพุทธเจ้า และพระคริสต์ที่บอกว่านรกสวรรค์มีอยู่จริงนั้น
เราต้องคิดอย่างมีเหตุผลง่ายๆว่า พระศาสดาทั้งหลายมีชื่อเสียงโด่งดังมานานนับพันปีเช่นนี้ ก็เพราะความเป็นนักบุญที่เสียสละอย่างยิ่งยวดของท่าน
คุณสมบัติเด่นอันหนึ่งของความเป็นนักบุญคือ "ต้องไม่พูดคำเท็จ" หรือโกหกไม่เป็นมากกว่า
ทุกคำพูดที่ออกจากปากของศาสดานอกจากเป็นคำสัตย์สุจริตแล้วยังเป็นสัจธรรมที่ค้านได้ยากยิ่ง

ฉะนั้น การที่พระพุทธเจ้าบอกว่า “การกระทำมีผล ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว นรกสวรรค์มีจริง พ่อแม่มีบุญคุณ พระอรหันต์มีจริง”
ที่จริง คำพูดเหล่านี้ ก็เป็นคำพูดตรงๆที่แม้ไม่ต้องแปลไทยเป็นไทย ก็สามารถเข้าใจตามได้ง่ายๆ

ดิฉันไม่คิดว่า คำสอนเรื่องกฎแห่งกรรมอันเป็นสาเหตุใหญ่ที่ก่อให้เกิดนรกสวรรค์ ซึ่งพระพุทธเจ้าเรียกสังสารวัฏหรือวัฏสงสารหรือคุกชีวิตนั้น เป็นเพียงกุศโลบายที่จะให้คนทำความดี

ที่จริงแล้ว ท่านพูดตรงๆในฐานะที่เป็นข้อเท็จจริง (fact) มากกว่า

เหตุผลที่สนับสนุนคือ

ในคืนที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้นั้น ท่านมีความรู้สามอย่างเกิดกับท่านโดยไม่มีใครสอนคือ

1. ญาณ (ความรู้) ที่สามารถระลึกชาติของตนเองได้ เรียกว่า ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ทำให้รู้อดีตชาติย้อนหลังของพระองค์อย่างนับชาติไม่ถ้วน
2. ญาณที่สามารถล่วงรู้บุพกรรม (กรรมเก่า) ของมนุษย์ทั้งหลายเรียก จุตูปปาตญาณ
3. ญาณที่ทำให้พ้นจากความทุกข์ทั้งปวง เรียก อาสวักขยญาณ ที่ทำให้ท่านได้เปลี่ยนแปลงสถานะจากมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งมาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้รู้(จริง) ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ที่ความทุกข์ไม่สามารถเบียดเบียนท่านได้อีกแล้ว
ถ้าใช้ภาษาชาวโลก ญาณนี้เปรียบเหมือนใบปริญญาที่ทำให้ท่านมีคุณวุฒิที่จะเป็นพระบรมศาสดาของชาวโลก หงายของคว่ำขึ้นมา สามารถทำลายอวิชชาคือความไม่รู้ออกได้แล้ว จึงมีคุณวุฒิที่สามารถเป็นผู้นำทางที่จะพามนุษย์ที่จมปรักอยู่กับความทุกข์ไปสู่การพ้นทุกข์ได้เช่นท่าน
เพราะญาณความรู้ในเรื่องการพ้นทุกข์นี้เอง จึงทำให้พระพุทธเจ้ายังคงเป็นที่รู้จักของชาวโลกแม้ท่านได้เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานถึง ๒๕๕๕ ปีแล้วก็ตาม

ตรงนี้จึงทำให้สถานะภาพของพระพุทธเจ้าแตกต่างจากของนักวิทยาศาสตร์อย่างเช่นสตีเฟน ฮอว์คิง อย่างลิบลับ อย่างเปรียบเทียบกันไม่ได้เลย

ที่จริงแล้ว ทั้งสามญาณที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้นั้นมีความเกี่ยวข้องกันอย่างแนบแน่น การตรัสรู้ของสองญาณแรก (ปุพเพนิวาสานุสติญาณ กับ จุตูปปาตญาณ) นั้นเท่ากับย้ำแล้วว่า ชีวิตหลังตายมีอยู่แน่นอน เพราะท่านเห็นทั้งของตนเองและของคนอื่นด้วย
เรื่องกฎแห่งการกระทำ(กรรม)ที่ก่อให้เกิดภพภูมิต่างๆที่รองรับชีวิตหลังตายจึงกลายเป็นหัวข้อใหญ่มากที่พระพุทธเจ้าพูดถึงและตรัสสอนพุทธสาวกมาตลอด
ท่านต้องเป็นมนุษย์ในกลุ่ม 0.01% ของโลกที่ได้เห็นนรกสวรรค์แบบเป็นวิทยาศาสตร์ คือ ได้สัมผัสด้วยตา หู จมูก ลิ้น ผิวหนัง ของตนเองอย่างแท้จริง จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ท่านพูดถึงเรื่องนรกสวรรค์แตกต่างจากศาสดาองค์อื่นเช่นพระคริสต์ ที่พูดเพียงภาพรวมว่ามีนรกสวรรค์เท่านั้น

การพูดเรื่องนรกสวรรค์ของพระพุทธเจ้ามีรายละเอียดมากมาย ดังที่ท่านแยกออกถึง ๓๑ ภพภูมิ หากแยกโดยภาพกว้างๆก็มี สุคติภูมิ อันมีโลกมนุษย์ ๑ สวรรค์ ๖ ชั้น และพรหมโลกอีก ๒๐ ชั้น
และอบายภูมิ ๔ อันมี เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย และสัตว์นรก

พระพุทธเจ้าได้พูดถึงภพภูมิเหล่านี้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ซึ่งกินเนื้อที่ไม่ต่ำกว่าสามในสี่ของพระไตรปิฎก
ท่านยังได้พูดถึงการสอนเทวดาในช่วงเวลาเช้ามืด พูดถึงการไปโปรดพุทธมารดาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ จึงเป็นเครื่องตอกย้ำว่า ท่านกำลังพูดถึง “ข้อเท็จจริง” ที่ตรงไปตรงมา ไม่ได้พูดถึง “กุศโลบาย” ที่จะหลอกล่อให้คนทำแต่ความดีเท่านั้น

ฉะนั้น ต่อคำถามว่า เราควรเชื่อใครดี ระหว่างคุณสตีเฟน ฮอว์คิง อัจฉริยะทางฟิสิกส์ที่ชาวโลกเพิ่งรู้จักไม่ถึง ๒๐ ปีและไม่มีคุณวุฒิของความเป็นนักบุญ (ยังอาจพูดคำเท็จอยู่) พร้อมทั้งไม่มีความรู้จริงในเรื่องนรกสวรรค์ กับพระพุทธเจ้าที่ชาวโลกรู้จักมาถึง ๒๕๕๕ ปีแล้ว รวมทั้งมีคุณวุฒิที่เป็นนักบุญ(ที่โกหกไม่ได้ และโกหกไม่เป็น) เป็นพระศาสดาที่เสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อประโยชน์ของคนอื่นอันประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้แล้ว และยังมีพยานหลักฐานให้เห็นในปัจจุบันเช่นนี้
คุณคิดว่า “ปุ่มปัญญา” ของคุณจะบอกให้คุณเชื่อใครดี

โดยหลักเหตุผลแล้ว ปุ่มปัญญาที่ธรรมชาติให้มานี้ควรบอกคุณให้เชื่อพระพุทธเจ้าดีกว่า เพราะท่านมีคุณวุฒิทางธรรมสูงกว่าคุณฮอว์คิงอย่างไม่มีอะไรจะเปรียบเทียบกันได้เลย

"นรกสวรรค์ของพุทธกับคริสต์ต่างกันอย่างไร"

สมมุติว่าคุณเลือกที่จะเชื่อพระพุทธเจ้าแล้ว เชื่อว่านรกสวรรค์มีแน่นอน การกระทำมีผล คนทำดีจะไปสวรรค์ (สุคติภูมิ) คนทำชั่วต้องไปนรก (ทุคติภูมิ)

คุณอาจจะสงสัยต่อไปว่า ถ้าเช่นนั้น นรกสวรรค์ของชาวพุทธกับชาวคริสต์จะเป็นอันเดียวกันหรือไม่

นี่ก็เป็นคำถามที่ไม่มีใครตอบได้ นอกจากแต่ละคนตายไปแล้ว จึงค่อยไปหาข้อมูลเอาเอง

สิ่งที่น่าสนใจมากกว่า คือ เหตุผลที่เนื่องกับการไปนรกสวรรค์ของชาวพุทธกับชาวคริสต์
ชาวคริสต์เชื่อว่า คนที่รับพระเจ้ามาไว้ในใจของตนเองโดยผ่านพระคริสต์แล้ว คนนั้นย่อมได้ไปสวรรค์อย่างถาวร
ในทางกลับกัน หากใครไม่รับพระเจ้าเข้ามาในชีวิตแล้ว คนนั้นย่อมตกนรกอย่างถาวรเช่นกัน
นี่จึงเป็นสาเหตุว่า ทำไมคริสต์ศาสนาจึงเน้นเรื่องการ convert คือ ให้คนเปลี่ยนศาสนาเพื่อรับพระเจ้าเข้ามาในชีวิตของตนเอง
เพื่อว่า เมื่อวันตัดสิน (Judgment Day) ในวันสิ้นโลกมาถึง พระเจ้าจะลงมาตัดสินว่าใครจะไปนรกหรือสวรรค์โดยตัดสินจากการรับพระเจ้าเข้ามาในชีวิต

เหตุผลที่ไม่ลงตัวอย่างเห็นได้ชัดคือ โลกนี้มีประชากร 6.6 พันล้านคน มีชาวคริสต์และชาวมุสลิมที่นับถือพระเจ้าอยู่ 3.6 พันล้าน ที่เหลืออีก 3 พันล้านคนไม่ได้นับถือพระเจ้าแบบของชาวคริสต์และอิสลาม
ในจำนวนนี้มีชาวพุทธอยู่ 370 ล้านคน และคนที่ไม่ถือศาสนาอะไรเลยอีก 1 พันล้านคน
ซึ่งเหตุผลบอกว่าคน 3 พันล้านคนเหล่านี้ต้องมีคนที่ทำแต่ความดีอยู่ด้วยแน่นอน แต่ไม่ได้รับพระเจ้าเข้ามาในชีวิต เช่นชาวพุทธและคนที่ไม่เชื่อศาสนาเลย
ฉะนั้น ตามหลักการเชื่อของชาวคริสต์แล้ว ย่อมหมายความว่า คน 3 พันล้านคนเหล่านี้ล้วนต้องตกนรกเหมือนกันหมดเมื่อวันสิ้นโลกมาถึงทั้งๆที่ตลอดชีวิตของเขาทำแต่ความดีเช่นนั้นหรือ ในทางตรงกันข้าม ชาวคริสต์ที่ประพฤติตัวเลวตลอดชีวิต ทำแต่ความชั่ว ผิดศีลทุกข้อเป็นอาจิณ เมื่อมาถึงตอนใกล้ตาย ก็ขอให้บาทหลวงมาทำพิธี the last rite โดยรับพระเจ้าเข้ามาในชีวิตที่เหลือสั้นน้อยนิด เพียงเท่านั้น คนที่ทำแต่กรรมชั่วมาทั้งชาติก็จะสามารถไปสวรรค์ได้อย่างถาวร

ซึ่งเห็นได้ชัดว่า เหตุผลในส่วนนี้ไม่ลงตัวอย่างรุนแรง “ปุ่มปัญญา” ตะโกนร้องในหัวว่า “ไม่น่าใช่”

นอกจากนั้น ความเชื่อเรื่องการไปนรกหรือสวรรค์อย่างถาวรก็เป็นเรื่องที่น่ากลัวไม่น้อย
หมายความว่าคนที่ไปนรกนั้น จะไม่มีทางแก้ตัวได้เลย เช่นนั้นหรือ จะต้องอยู่นรกอย่างถาวร
แม้คนที่อยู่สวรรค์อย่างถาวร ก็ยังน่ากลัวอยู่ เพราะคิดอย่างชาวโลก การไปอยู่ที่ไหนนานๆ แม้สวรรค์ก็ตาม ถ้าเกิดเบื่อขึ้นมาแล้ว จะทำอย่างไรเล่า
มันอาจจะกลายเป็น “ความทุกข์” ขึ้นมาก็เป็นได้ทั้งๆที่อยู่สวรรค์ ตรงนี้

“ปุ่มปัญญา” ก็อยากตะโกนร้องเช่นกันว่า “ไม่น่าใช่”

ทีนี้ ลองมาดูเรื่องกฎแห่งการกระทำ (กรรม) ของพระพุทธศาสนาบ้าง

กฎแห่งกรรมตามหลักความเชื่อของพุทธศาสนานี้ไม่เกี่ยวข้องหรือขึ้นกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งที่จะมาตัดสินการกระทำของมนุษย์
คือ ไม่ใช่เป็นกฎที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา แต่เป็นกฎธรรมชาติเหมือนกฎแรงโน้มถ่วงของโลก
กฎแห่งกรรมไม่ใช่เป็นกฎทางฟิสิกส์ แต่เป็นกฎแห่งการกระทำ
นั่นคือ ใครทำดี จะได้รับผลดี ใครทำชั่ว ก็จะได้รับผลชั่ว

การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เป็นเพียงเข้าไปล่วงรู้และเข้าใจกฎแห่งการกระทำนี้ของธรรมชาติ
จึงนำ “ข้อเท็จจริง” ของปรากฏการณ์ธรรมชาติในเรื่องกฎแห่งการกระทำออกมาบอกเล่า
พร้อมทั้งสั่งสอนให้คนทำแต่ความดีเพื่อจะได้หลีกเลี่ยงการไปตกนรกหรือไปอบายภูมิเพราะผลแห่งการกระทำของตน
อันเป็นที่มาของคำสอนเรื่อง “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว”

เพราะกฎแห่งการกระทำเป็นกฎธรรมชาตินี่เอง การมีชีวิตของชาติปัจจุบันนี้ย่อมสามารถสะท้อนให้เห็นถึงอดีตและอนาคตได้ชัดเจน เพราะกรรมในอดีตชาติที่ต้องเคยรักษาศีลมาก่อน จึงส่งผลให้มาเกิดในชาตินี้ในภพภูมิของมนุษย์ แปลว่า ผู้มีใจสูง

และการกระทำของมนุษย์ในชาตินี้ย่อมจะส่งผลให้ไปเกิดในภพภูมิที่สมกับการกระทำของเราในอนาคตชาติเช่นกัน

จะเห็นได้ว่า ถึงแม้สถานะทางกายภาพของคนทั้งโลกได้มาเป็นมนุษย์แล้วก็ตาม แต่จิตใจของมนุษย์ไม่ได้อยู่อย่างสมฐานะของความเป็นมนุษย์ผู้มีใจสูงทุกคนไป
คนบางคนถูกความโลภครอบงำ อิจฉา ตาร้อน อยากได้ของของคนอื่น ปล่อยเงินกู้ ขูดรีด เก็บดอกเบี้ยแพงๆ
การกระทำเหล่านี้เท่ากับส่งวัสดุกรรมไปสร้างบ้านที่ภพภูมิเปรต ย่อมส่งผลให้พวกเขาไปเกิดในภูมิเปรตหลังจากชาตินี้

คนบางคนผิดศีลทุกข้อเป็นอาจิณ รักการเบียดเบียนผู้อื่น มีจิตใจที่โหดเหี้ยม ปล้น ฆ่า ข่มขืน
ทุกครั้งที่มีการกระทำชั่วเหล่านี้ ก็เหมือนส่งวัสดุกรรมไปสร้างบ้านที่เมืองนรก

คนที่ไม่สนใจ ขวนขวายเรื่องเป้าหมายชีวิตตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ถูกความหลงครอบงำ และทำผิดศีล ถึงแม้ไม่รุนแรง
แต่ความหลงนี้ก็จะนำพาให้ไปเกิดในภพภูมิของเดรัจฉาน

คนบางคนมีสถานะภาพทางกายเป็นมนุษย์ แต่มีจิตใจดีเหมือนเทวดา รักษาศีล ทำบุญ ให้ทาน ถวายสังฆทาน ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า เป็นอาจิณ ก็เท่ากับส่งวัสดุกรรมไปสร้างบ้านที่ภพภูมิสวรรค์ และยังมีคนที่ทำดีกว่านั้น คือ มีพรหมวิหารสี่ คือ มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ฝึกฝนทำสมาธิภาวนาเมื่อมีโอกาส ทำดีทั้งต่อหน้าและลับหลัง
คนกลุ่มนี้ก็เท่ากับกำลังส่งวัสดุกรรมไปสร้างบ้านในพรหมโลก ฉะนั้น การกระทำที่แตกต่างของมนุษย์ในโลกนี้ย่อมจะต้องส่งผลที่ทำให้ชีวิตหลังตายแตกต่างกันด้วย

นั่นคือ การกระทำเหล่านี้จะเปรียบเหมือนเชื้อเพลิงที่ป้อนให้สังสารวัฏอันมีนรกสวรรค์คงอยู่ต่อไป เพราะมีการกระทำอันเป็นเหตุ จึงต้องส่งผลที่สมควรต่อการกระทำนั้นๆ จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมจะไม่มีนรกสวรรค์รองรับการกระทำที่แตกต่างหลากหลายของมนุษย์ที่มีทั้งดีและชั่ว

ที่จริงเป็นเรื่องที่ฟังแล้วมีเหตุผลที่ลงตัวมากกว่าเรื่องตายแล้วสูญ

นรกสวรรค์ตามความเชื่อของชาวพุทธไม่ใช่เป็นเรื่องถาวรอย่างของชาวคริสต์

นรกสวรรค์เปรียบเหมือนปีกซ้ายกับปีกขวาของคุกชีวิต
โดยมีภพภูมิมนุษย์เปรียบเหมือนห้องโถงกลางคือ ภพภูมิกลางๆ

ทุกชีวิตในสังสารวัฏ(คุกชีวิต)นี้ คือนักโทษที่ถูกส่งไปอยู่ปีกซ้ายหรือปีกขวาเพราะกรรมที่ตนได้ทำไป
ใครทำดีก็ถูกขังไว้ในห้องขังที่ดีหน่อยคือ ไปอยู่สวรรค์
ใครทำชั่ว ก็ถูกส่งไปขังในห้องขังที่อยู่ลำบาก

นักโทษทุกคนล้วนมีระยะเวลาของการถูกลงโทษทั้งดีและชั่ว เหมือนนักโทษบนโลกมนุษย์ บ้างก็ถูกจำคุก ๕ ปี ๑๐ ปี ๒๐ หรือ ๕๐ ปี เป็นต้น
พอหมดโทษแล้ว ก็ออกจากคุกได้
คุกชีวิตก็เช่นกัน ไม่ว่าจะไปสวรรค์หรือนรก เมื่อหมดอายุขัยแล้ว ก็จะได้กลับมาสู่ห้องโถงกลาง คือ ภพภูมิมนุษย์เพื่อแก้ตัวใหม่ว่าจะทำกรรมดีหรือกรรมชั่ว

เพราะเป็นกฎธรรมชาติแห่งการสร้างกรรม(เหตุ) และใช้กรรมเก่า(ผล) จึงไม่มีใครช่วยใครได้
แม้พระพุทธเจ้าจะอยู่เบื้องหน้า ท่านก็ช่วยไม่ได้เมื่อกรรมจะออกผล
เช่น พระเจ้าพิมพิสาร ซึ่งเป็นทั้งพระราชาแห่งแคว้นมคธที่ยิ่งใหญ่และเป็นพระโสดาบันด้วย
แต่เพราะบุพกรรมเก่า จึงทำให้เจ้ากรรมนายเวรกลับมาเกิดเป็นลูกชายคือ เจ้าชายอชาตศัตรูที่ต่อมาจับพ่อขังคุกและทรมานด้วยหวังจะชิงราชสมบัติ
แม้พระบรมศาสดาอยู่บนเขาคิชกูฏที่อยู่ตรงข้ามกับคุกที่ขังพระเจ้าพิมพิสารก็ตาม ท่านก็ยังไม่สามารถช่วยได้
เพราะนี่เป็นกฎธรรมชาติแห่งการกระทำ

อีกตัวอย่างหนึ่งที่ดีมากคือ พระเทวทัตที่ได้ทำอนันตริยกรรมต่อพระบรมศาสดา ขณะนี้กำลังใช้หนี้กรรมอยู่ในนรกอเวจี
แต่เมื่อใช้กรรมหมดแล้ว เทวทัตจะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ในโลกนี้อีก และจะสามารถตรัสรู้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าได้

ทั้งสองตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นถึงความเด็ดขาดของกฏธรรมชาติแห่งการกระทำ (กฎแห่งกรรม) ที่ตรงไปตรงมา เบี้ยวหรือให้สินบนใครไม่ได้ทั้งนั้น
ซึ่งต่างจากความเชื่อในเรื่องนรกสวรรค์ของชาวคริสต์มากมายนัก

"นรกสวรรค์ไม่ลงตัวถ้าไม่พูดเรื่องนิพพาน"

ดิฉันได้เปรียบเทียบสังสารวัฏอันมีนรกสวรรค์เป็น “คุกชีวิต” เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนว่า
ไม่ว่าจะไปสวรรค์หรือนรก ซึ่งแตกต่างกันในแง่ของความสุขสบายและความทุกข์ทรมาน
แต่ ก็ยังไม่ได้แตกต่างกันในแง่ที่เป็น “นักโทษของคุกชีวิต” อันเดียวกัน เพียงแยกกันอยู่ที่ปีกซ้ายและปีกขวาของคุกเท่านั้น

หากใครยังไม่รู้เรื่องการกอบกู้อิสรภาพของชีวิตนอกคุกละก็ แม้ได้ไปอยู่สวรรค์ ก็ยังไม่ใช่เป็นเป้าหมายที่แท้จริงของชีวิต

ญาณสุดท้าย (อาสวักขยญาณ) ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้เกี่ยวข้องโดยตรงกับเรื่องการออกจากคุกชีวิตถึงนิพพาน

ชาวพุทธส่วนมากเข้าใจผิดว่า พระพุทธเจ้าสอนให้ทำความดีเพื่อไปสวรรค์
ที่จริงแล้วพระพุทธเจ้าเน้นสอนที่จะพาคนออกจากคุกชีวิตไปนิพพานต่างหาก
แต่ชาวพุทธส่วนมากไม่รู้ข้อเท็จจริงนี้

ฉะนั้น การได้เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนาจึงมีความสำคัญมากในแง่ที่จะมีโอกาสปฏิบัติธรรมเพื่อจะได้ออกจากคุกชีวิต โ

ดยทำกรรมชนิดที่สามที่ไม่ใช่ทั้งกรรมดำ (นำพาไปนรก) กรรมขาว (นำพาไปสวรรค์)
กรรมชนิดที่สามนี้คือ อกรรม หมายถึง การปฏิบัติสติปัฏฐานสี่ วิปัสสนา หรือ พาตัวใจกลับบ้าน

อกรรมนี้จะพาผู้ปฏิบัติออกจากคุกชีวิตไปนิพพาน นั่นคือ มีอิสรภาพของชีวิตนอกคุก หมดสถานะความเป็นนักโทษ

จะเห็นได้ว่า การพูดเรื่องนรกสวรรค์จะลงตัวไม่ได้ หากไม่พูดเรื่องนิพพาน

ความรู้ส่วนนี้ (นิพพาน สติปัฏฐานสี่) เป็นสิ่งที่ไม่ปรากฏในศาสนาอื่น มีในพุทธศาสนาเท่านั้น

"คนไม่เชื่อนรกสวรรค์จะเสียเปรียบมาก"

สรุปว่า เรื่องนรกสวรรค์เป็นเรื่องที่ต้องเชื่อเท่านั้น
คนที่ไม่เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม ไม่เชื่อว่ามีนรกสวรรค์ อยากเชื่อตามนักวิทยาศาสตร์เช่นสตีเฟน ฮอว์คิง ซึ่งไม่ได้เป็น “ผู้รู้จริง” อย่างเช่นพระพุทธเจ้า
จึงเป็นเรื่องอันตรายมาก

การเชื่อว่าตายแล้วสูญเหมือนการปิดเครื่องคอมพิวเตอร์นั้น
ย่อมทำให้คนทำตามใจกิเลสได้ง่าย
เพราะคิดว่า การกระทำไม่มีผล ตายแล้วหมดเรื่องกัน จึงไม่มีการป้องกันการกระทำที่หลีกหนีนรก
เมื่อตายไป ค่อยมารู้ว่า มันไม่ได้สูญเปล่าอย่างที่เคยเข้าใจผิดๆ
ถึงตอนนั้น ก็สายไปเสียแล้ว ต้องไปรับกรรมในนรกตามกฎแห่งการกระทำของธรรมชาติไปตามระเบียบ ไม่มีใครช่วยได้ และต้องรอจนกว่าจะใช้กรรมหมด จึงจะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ในโลกนี้อีก

แล้วก็ขึ้นอยู่ว่า กลับมาเกิดเป็นมนุษย์คราวหน้า จะได้พบพระพุทธศาสนาที่มีพระบรมศาสดาสอนเรื่องการออกจากคุกชีวิตหรือไม่
ถ้าไม่พบพระพุทธศาสนา ก็เท่ากับ “เสียชาติเกิด” ต้องเวียนว่ายตายเกิดในคุกชีวิตนี้อีกนานเท่าไรก็ไม่รู้ จนกว่าจะได้พบพระพุทธศาสนาอีก

ฉะนั้น การที่คนยุคนี้ได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว พบพระพุทธศาสนาแล้ว จึงไม่ควรปล่อยโอกาสทองนี้ให้หลุดมือไป
ควรรีบแสวงหาทางเพื่อออกจากคุกชีวิตอย่างถาวรดีกว่า มิเช่นนั้นแล้ว จะต้องวนเวียนอยู่ระหว่างปีกซ้ายและปีกขวาของคุกชีวิตนี้ไปอีกนานมาก
โดย: www.supawangreen.in.th IP: 101.109.222.37 วันที่: 4 มกราคม 2555 เวลา:13:47:21 น.
  
ผมได้นำคำถามของคุณ "ผู้สับสนฯ" ไปถามท่านอาจารย์ศุภวรรณ กรีน

เพราะคิดว่า เป็นคำถามที่มีประโยชน์มาก และคงมีผู้สงสัยในเรื่องเดียวกันนี้อีกมาก

ท่านอาจารย์ได้กรุณาตอบให้แล้ว
ติดตามได้ที่นี่เลยครับ

//www.supawangreen.in.th/forum/viewtopic.php?t=1311

ขอบคุณทุกท่าน
โดย: ติดตามอ่านได้เลยครับ IP: 101.109.216.210 วันที่: 5 มกราคม 2555 เวลา:12:28:36 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ใบไม้เบาหวิว
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]



Friends Blog
[Add ใบไม้เบาหวิว's blog to your weblog]