จิบชาชมดอกไม้ไปพลาง คุยกันเบาๆ ที่สวน..เจ้าแก้ว กังไส





Group Blog
 
<<
กันยายน 2550
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
1 กันยายน 2550
 
All Blogs
 
Chapter 13 ความรักของซินเดอเรลล่า

ตอนที่ 13
ความรักของซินเดอเรลล่า


ฉันเพิ่งรู้ว่าความรักมันเป็นเรื่องยาก
แล้วยิ่งชีวิตคู่ยิ่งเป็นเรื่องยากเสียยิ่งกว่า


มีใครบางคนเคยบอกว่าทฤษฎีของการทำให้ความรักมั่นคงได้นั้น นั่นคือการเรียนรู้กันและกันให้มากเข้าไว้ แล้วค่อยช่างน้ำหนักดูว่ารับนิสัยของกันและกันได้หรือไม่ได้มากกว่า หากต้องมีชีวิตอยู่ร่วมกันทุกวัน ต้องผูกพันกันด้วยหัวใจ ต้องผูกรัดกันไปอีกนานแสนนาน จริงอยู่ความมันออกแบบไม่ได้ แต่ถ้ายิ่งไม่รู้ก็ยิ่งทำให้มึนงง และรับสถานการณ์ไม่ได้อย่างที่ฉันกำลังเป็นอยู่ ผู้ชายของฉันเขาทำให้ฉันต้องเรียนรู้คำว่า“การอดใจรอ” และรู้จัก “ความยากลำบากของความรัก” ที่เป็นมากกว่าความรักฉาบฉวยอย่างที่ฉันเคยรู้จักมาตลอดชีวิต ไอ้อาการอกหักที่ว่าเจ็บปวดนักหนาเมื่อผิดหวังในความรักครั้งก่อนๆๆ มันดูจิ๊บจ๊อยไปเลย เมื่อเทียบกับความหนักหนาที่ต้องต่อสู้ในรักครั้งนี้


ณ ขณะนี้ฉันไม่แน่ใจว่าฉันกลัวที่จะต้องอยู่คนเดียว จนเกิดความเห็นแก่ตัวไม่อยากปล่อยให้ผู้ชายที่ดีที่สุด ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตให้หลุดมือไป หรือจริงๆแล้ว....ฉันรักเขาจนยอมเปลี่ยนแปลงตัวเองกันแน่ ?




ยิ่งเวลาผ่านไปมากเท่าไรฉันยิ่งพิศวงในตัวเขา ตกลงฉันไม่รู้จักเขาเลยเหรอนี่ ? เวสไม่ใช่แค่ชายหนุ่มอ่อนโยนที่มีรอยยิ้มสดใส และมองโลกแง่ดีอย่างที่ฉันหรือคุณหรือใครๆ ก็เห็นนั้น ก็จะไม่ให้ตกใจได้ยังไงล่ะคะเมื่อตอนได้ยินเขาพูดว่า

“มิเชลเรายังไม่ได้แต่งงานกัน อยู่บ้านเดียวกันไม่ได้หรอกน่าเกลียด!!”

“หา?!! ” ฉันจำไม่ได้หรอกค่ะว่าหลังจากนั้นฉันเถียงอะไรออกไปบ้าง เพราะมัวแต่อึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน

“อื้อ...อย่างที่บอกแหละ มันไม่งามเดี๋ยวคนอื่น ยังไงก็ขอบใจที่ชวนฉันอยู่ด้วย ฉันยังไม่สิ้นหนทางขนาดนั้นไม่ต้องเป็นห่วงนะ”

“แล้วนายจะไปอยู่ไหน? คอนโดนาย รถเบ้นซ์ของนายเอย...ก็โดนตาแก่พวกนั้นยึดคืนไปหมดแล้ว!!?”

ใช่แล้วค่ะ ทุกอย่างมันเป็นไปตามคำประกาศิตของพ่อเวส รุ่งขึ้นหลังจากที่เราไปพบพวกผู้ใหญ่ตระกูลหยางที่ฮ่องกง เขาก็ประกาศลงในหนังสือพิมพ์รอบเช้าของวันนั้นทุกฉบับว่าตัดเวสออกจากตระกูลแล้ว ต่อไปนี้การกระทำทุกอย่างของเวส Vanilla Shade หรือหยางเล่ยนั้น ทางตระกูลหยางจะไม่รับรู้และร่วมรับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น แน่นอนมันเป็นข่าวฮือฮาจนทำให้พวกเราร้อน จนไม่อาจอยู่ที่ฮ่องกงต่อไปได้และต้องกลับไต้หวันในทันที

เมื่อบินกลับมาถึงไทเปไม่ถึงครึ่งวัน ก็ต้องรีบเก็บข้าวของออกจากคอนโดห้องใหญ่กว้างขวาง และตกแต่งงดงามด้วยเฟอร์นิเจอร์ราคาแพงที่เคยเป็นของเวสทันที โดยมีคนของตระกูลหยางมายืนควบคุมดูแลอยู่ด้วย อีกทั้งยังเอาโพสอิทมาแปะว่าชิ้นไหนเป็นสมบัติตระกูลชิ้นไหนเป็นของส่วนตัว ที่เขาสามารถเอาติดตัวไปด้วยได้ ตอนนั้นฉันโมโหมากจนต้องตวาดออกไป

“มันจะเกินไปแล้วนะ? คิดว่าเขาจะขโมยของๆ ตัวเองหรือไง? ”

“พวกเราแค่ทำตามหน้าที่ หวังว่าคุณชายหกจะเข้าใจ” คนพวกนั้นตอบเรียบๆ ไร้สีหน้าใดๆ เวสเองก็รับคำง่ายๆ ซ้ำยังยิ้มให้พวกเขาอีกด้วย

“ครับผมเข้าใจดี” แล้วก้มหน้าก้มตาเก็บเสื้อผ้าลงกระเป๋าต่อไป

“ของจุกจิกบางชิ้นผมไม่สะดวกที่จะเอาไปด้วย ฝากไว้ที่นี่ก่อนได้ไหม?”

“เห็นจะไม่ได้ครับ เพราะท่านสั่งไว้ว่าถ้าคุณออกไปแล้วให้ปิดตายห้องนี้ไปเลย แล้วเปลี่ยนกุญแจเสีย ไม่ให้คุณชายกลับมาที่นี่อีก”

“อะไรกันน่ะ ? นี่มันมากไปแล้วนะ!!?”

“เข้าใจแล้วฮะ ถ้างั้นทิ้งไว้เลยแล้วกันผมคงไม่เอาไปด้วย”

“เวสนี่นายจะบ้าเหรอ? อย่ายอมรับอะไรง่ายๆ แบบนี้ได้ไหม?” แต่ดูเขาจะไม่ได้เดือดร้อนอะไรอย่างที่ฉันอุตส่าห์ร้อนใจแทนเลยสักนิด

“มิเชล...ฝืนไปก็ไม่ประโยชน์หรอก ทำตามที่เขาบอกดีกว่า”

“นี่มันเรื่องบ้าบออะไรเนี่ย ?!! มีพ่อที่ไหนทำแบบนี้กับลูกตัวเองบ้าง ตาแก่นั่นใจร้ายจริงๆ”

“ช่วยไม่ได้นี่ห้องนี้มันเงินอาปาจริงๆ ฉันไม่ได้เป็นคนซื้อนี่เป็นแค่ผู้อาศัย” อาการทองไม่รู้ร้อนของเขานี่ทำเอาฉันอกจะแตกตาย

“แต่ว่า....”

เวสก้มหน้ายอมรับชะตากรรมของเขาไปโดยไม่ปริปากบ่น เมื่อมองไปรอบตัวก็เห็นแต่สายตาเย็นชาที่มองมาอย่างสมเพช คนอื่นจะดูถูกฉันยังไงก็เชิญแต่ไม่ควรทำแบบนี้กับเขา เรื่องนี้เวสไม่ได้ผิดเลยเป็นฉันเองที่ทำให้เขาเดือดร้อนแท้ๆ

“ก็ได้!! พวกนายไปบอกตาแก่นั่นให้ด้วยนะ เวสน่ะฉันดูแลเขาเอง ต่อให้เขาไม่มีงานทำฉันก็จะเลี้ยงเขาเอง ไม่มีทางคืนให้เขาให้ตระกูลหยางหรอก”

พูดไปแล้วก็รู้สึกสะใจขึ้นมาบ้างเมื่อพวกสูทดำที่มานั่งเฝ้าพวกเรานั้น พากันอึ้งและมองฉันด้วยสายตาตื่นตะลึง เหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

“ฉันต้องการแค่ตัวเขาเท่าแค่ “เวส” ไม่ใช่ “หยางเล่ย” ที่เป็นลูกชายตระกูล
หยาง ถึงเขาไม่มีอะไรเลยฉันก็ไม่มีทางไปจากเขาเด็ดขาดรู้ไว้เสียด้วย อย่าคิดจะใช้แผนนี้บีบเราแล้วคิดว่าฉันจะยอมแพ้หรอกนะ”

“มิเชล...” เวสเอื้อมมือมากุมมือฉันไว้ เมื่อหันกลับไปมองก็พบรอยยิ้มอ่อนๆ ระบายไปทั่วหน้า

“ขอบใจนะ ขอบใจที่ให้เกียรติฉันขนาดนี้” แต่อีตาคนซื่อบื้อที่ฉันรักนักรักหนา นั่นก็ยังซื้อบื้ออยู่วันยังค่ำ

“ฉันไม่ได้ให้เกียรติแต่ฉันรักนายต่างหาก แล้วก็รักตัวเองด้วยถึงไม่ยอมเสียนายไปน่ะ”

“ดีแล้ว...ฉันดีใจที่มิเชลคิดถึงตัวเองบ้าง”

หมอนี่บอกฉันแบบนี้แล้วเดินยิ้มไปอีกทาง ไม่ได้สนใจสิ่งที่ฉันพูดเลยสักนิด ว่ามันจะลึกซึ้งแค่ไหน เขาทำท่าเหมือนฟังเรื่องธรรมดาๆ ด้วยซ้ำไป

“ผมเก็บของเสร็จแล้ว...นี่กุญแจห้องครับ” เขาส่งให้พวกนั้นอย่างง่ายดายไม่เสียดายสักนิด

“เวส...” เป็นฉันเองเสียอีกที่อาวรณ์แทน

“คุณชายครับขอกุญแจรถด้วย”

“นี่ก็ด้วยรึ ? ” เขาถามแค่นั้นแล้วยินยอมส่งมอบให้แต่โดยดี

“เวสเดี๋ยวก่อน” ฉันหยุดมือเขาไว้ก่อนจะส่งกุญแจรถให้พวกนั้น

“ทำไมต้องคืนด้วยล่ะ? นั่นรถของนายไม่ใช่เหรอ? ”

“อืม...เบ้นซ์เปิดประทุนคันนั้นอาปาให้เป็นของขวัญวันเกิดตอนครบ 20 น่ะ”

ฉันจำรถคันนั้นได้ติดตา เพราะกองถ่ายเคยของยืมรถของเขามาใช้ประกอบฉากละครที่เราเล่นด้วยกัน มันเป็นรถ Mercedes Benz เปิดประทุน รุ่น CLK ไฟกลม สีแม็ททาริคงาช้างคันหรูราคาแพงระยับ หนำซ้ำยังตกแต่งเพิ่มเติมทั้งภายในให้เข้ากับสีขาวสีงาช้างที่ตัวถังด้านนอก ด้วยการเปลี่ยนเบาะและผนังบุภายในเป็นสีขาวทั้งหมด ไม่เว้นแม้กระทั่งพวงมาลัยไปจนถึงแผ่นยางปูรถ มันจึงสวยเด่นสะดุดตาบ่งบอกฐานะทางบ้านเขาได้เป็นอย่างดี

“ตาแก่ทุเรศให้แล้วมีการเอาคืนด้วยเหรอ? งกจริงๆ รวยซะเปล่า”

“มันเป็นคำสั่งน่ะครับ ท่านว่ารถคันนั้นลำพังคุณชายหกเองไม่มีทางซื้อได้ ถ้าคุณชายต้องการใช้รถก็ให้ไปซื้อใหม่เอาเอง”

“อื้ม...ผมเข้าใจ” เวสตอบรับเรียบๆ ตามเคย

“เดี๋ยวสิ...อย่างน้อยก็ให้เราใช้ขนของไปที่คอนโดฉันก่อนสิ ของตั้งเยอะตั้งแยะไม่มีรถแล้วจะขนยังไงเล่า? รถฉันก็ไม่ได้เอามาด้วยนะ”

“เรื่องนั้นมันเป็นปัญหาของพวกคุณเอง ผมคงไม่สามารถทำตามที่ขอได้ต้องขอโทษด้วยนะครับ”

ฟังคำตอบแล้วฉันแทบจะร้องกรี๊ดออกมา แต่หวานใจของฉันนี่สิเขากลับนิ่งเฉยไม่รู้สึกรู้สาอะไรตามเคย

“ไม่เป็นไรหรอกเราไปแท็กซี่กันก็ได้มิเชล” เขายิ้มให้ฉันอย่างอ่อนโยน

“ถ้างั้นผมจะเรียกแท็กซี่ให้คุณชายนะครับ”

“ขอบคุณฮะ”

“ขอบใจที่ยังรู้จักคำว่าน้ำใจนะ” ฉันกอดแขนเวสไว้แน่นระหว่างที่พูดประชดพวกนั้น แต่ไม่มีใครโต้ตอบกลับมา




เรามาถึงคอนโดของฉันด้วยความทุลักทุเล ขนาดว่าเวสไม่ได้เอาอะไรติดตัวมามากเท่าไรนัก จะมีก็แค่กระเป๋าเดินทางใบใหญ่เพียงใบเดียวและเป้สะพายหลังอีกใบเท่านั้น นอกนั้นเป็นของเล็กๆ น้อยๆ ที่เขาจะทิ้งไว้ที่คอนโดเก่า แต่ในเมื่อพวกนั้นไม่มีน้ำใจกับเราก่อนฉันก็เลยจับยัดใส่ลังเอามาด้วยเสียเลย

“ก็บอกแล้วว่ามันเกะกะเอามาด้วยทำไมก็ไม่รู้”

“อย่าบ่นน่า เรื่องอะไรจะทิ้งไว้ให้พวกนั้นล่ะ”

“อ่ะๆๆ ถ้างั้นขนไปอย่าบ่นว่าหนักล่ะ ฮ่า ฮ่า”

ดูเขาจะไม่ทุกข์ไม่ร้อนเอาเสียเลย ถึงได้หัวเราะอารมณ์ดีขนาดนี้ ในขณะที่ในสายตาฉันโลกทั้งใบกลายเป็นสีเทาไปแล้ว ตั้งแต่กลับมาที่ไต้หวันฉันเป็นโรคกลัวสายตาผู้คน รู้สึกว่าทุกคนจ้องมองมาทางเราด้วยความสมเพช และแอบหัวเราะเยาะลับหลังอยู่เสมอ เรียกได้ว่าจิตตกขนาดหนัก พอคนขับแท็กซี่วัยกลางคนถามขึ้นมา เส้นอารมณ์ฉันก็ขาดดังผึง

“พวกคุณ...ใช่คู่รักดาราที่เป็นข่าวอยู่หรือเปล่า? ” เวสไม่ได้ตอบเขาแค่ยิ้มแห้งๆ ไปตามประสาเท่านั้น

“หุบปากแล้วขับรถไปเงียบๆ เหอะน่าตาแก่ !!” ฉันตวาดใส่คนขับรถนั่นทันที

“มิเชล...อย่าอารมณ์เสียใส่คนอื่นสิ คุณลุงผมขอโทษนะครับเธอเพิ่งหายป่วยอารมณ์เลยไม่ค่อยปกตินัก” คราวนี้ตาลุงนั่นเลยไม่กล้าถามอะไรต่อได้แต่ขับรถไปเงียบๆ

เวลาผ่านไปครู่ใหญ่กว่าเราจะขนของขึ้นมาถึงห้องของฉันที่อยู่ชั้น 11 ได้ก็เหนื่อยแทบตาย ดีนะที่มีลิฟท์และทางคอนโดมีรถเข็นให้ยืมด้วย แต่กระนั้นคนที่ชีวิตนี้ไม่เคยต้องใช้แรงงานทำงานหนัก หรือยกอะไรหนักไปกว่ากระเป๋าถือของตัวเองอย่างฉันก็รู้สึกแย่เต็มที

“เฮ้อ...เหนื่อยชะมัด” ฉันนั่งทรุดตัวลงกับโซฟาแล้วนั่งหอบ แต่เมื่อเห็นหน้าเขาฉันก็คลี่ยิ้มออกมาจนได้

“หมดปัญหาสักทีนะ ต่อไปนี้ฉันจะเลิกร้องไห้จะเข้มแข็งแล้ว ขอแค่นายอยู่ข้างๆ ฉัน ฉันก็พอใจแล้วล่ะ” เวสยิ้มอ่อนหวานให้ตามเคย ก่อนจะรินน้ำเย็นส่งให้ฉันดื่ม

“ไม่อยู่ตั้ง 2 เดือน แต่ไม่เอาคัตเอ๊าท์ลงค่าไฟคงบานแล้ว”

“กะอีแค่ตู้เย็นน่า...ไม่เท่าไรหรอก”

“มิเชลต่อไปนี้เราต้องประหยัดกันแล้วนะ เพราะเธอตกงานส่วนฉันก็...ยาจก”

เขาพูดได้แค่นั้นแล้วก็หัวเราะออกมา ทำเอาฉันหัวเราะตามไปด้วย ตอนนี้ฉันเพิ่งเข้าใจคำว่าความสุขจากการกัดก้อนเกลือกินเป็นยังไง ขอแค่เรามีกันและกันเท่านั้นก็พอสิ่งต่างๆ ที่เสียไปเราค่อยช่วยกันสร้างขึ้นมาใหม่ได้

“นี่ยังเหลืออะไรที่ไม่ได้ขนขึ้นมาอีกหรือเปล่า?” ฉันนึกทบทวนแล้วก็พบว่าบางอย่างหายไป

“อ้าว? แล้วกระเป๋าเธอล่ะ?”

“ยังอยู่ข้างล่างน่ะ”

“โอ้ย...นี่ต้องลงไปขนอีกเหรอเนี่ย? เหนื่อยจัง....เดี๋ยวฉันโทรลงไปบอกให้ยามช่วยเอาขึ้นมาให้ดีกว่า ”

“ไม่ต้องหรอก”

“เถอะน่า เสียค่าส่วนกลางคอนโดเดือนๆ หนึ่งไม่ใช่น้อย ต้องให้ยามทำงานให้เสียบ้าง”

“ไม่เป็นไรยังไงเดี๋ยวฉันก็กลับแล้ว เลยไม่รู้จะขนขึ้นมาทำไมน่ะ?”

“หือ ? ”

“ก็ตั้งใจว่าจะมาส่งเธอก่อน แล้วก็...พวกของในกล่องนี่ขอฝากไว้กับเธอก่อนแล้วกันนะ” ฉันงงไปหมดไม่เข้าใจว่าเขาพูดอะไร

“หมายความว่าไงน่ะเวส ? เธอจะไปไหน ?” ฉันปรี่เข้าไปดึงแขนเขาไว้

“เดี๋ยวคงต้องเข้าบริษัทก่อนน่ะ พี่ซิงสั่งไว้ว่ามาถึงแล้วให้เข้าไปหาเลย”

“นั่นน่ะฉันเข้าใจ แต่นายจะเอากระเป๋าไปด้วยทำไม? ก็เอามาเก็บไว้ที่ห้องก่อนสิ เย็นๆ ก็ต้องกลับมานอนที่นี่อยู่ดี” เวสนิ่งเงียบไม่ได้ตอบคำถามมีเพียงดวงตาคู่กลมโตสีน้ำตาลของเขาเท่านั้นที่จ้องมองมา

“มิเชล...ฉันอยู่ที่นี่ไม่ได้”

“......? ” เมื่อเห็นฉันหน้าซีดเขาก็รีบชี้แจงทันที

“เดี๋ยวๆๆ เธออย่าเพิ่งคิดมาก ฉันไม่ได้ทิ้งเธอความตั้งใจของฉันยังเหมือนเดิม เราจะแต่งงานกันแน่นอน”

“แล้ว....?”

“แต่ตอนนี้เรายังไม่ได้แต่งงานกัน จะให้ฉันมาอยู่ที่นี่มันน่าเกลียดน่ะ”

“ห๊าา..า !! นี่นายจะบ้าหรือไง? มาคิดมากอะไรตอนนี้เล่า เราข้ามขั้นนั้นไปตั้งเยอะแล้วนะ เกือบจะมีลูกกันด้วยซ้ำ ยังกลัวใครจะมานินทาว่าอยู่ก่อนแต่งอีกหา?”

“ฉันไม่ได้กลัวสายตาคนอื่นหรอก....ฉันไม่แคร์ด้วยว่าคนอื่นจะคิดยังไง แต่ฉันแคร์อาปา....”

“วะ....เวส....ฉันได้ยินอะไรผิดไปหรือเปล่า? ก็อาปาของเธอน่ะเขาประกาศตัดขาดกับเธอแล้วนะ ? ”

“อื้ม...นั่นแหละถึงต้องแคร์ เดี๋ยวจะโกรธไปกันกว่านี้”

“นิ...นี่....” ฉันขยับไม้ขยับมือให้วุ่นวายไปหมด แต่ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้เพราะมึนงงเต็มที่

“อาปาไม่ได้โกรธที่ฉันจะแต่งงาน แต่โกรธที่ฉันผิดประเพณี ผิดหวังที่ทำอะไรนอกลู่นอกทาง ผิดหวังที่ฉันให้โอกาสอาปาได้ศึกษาลูกสะใภ้เลย ที่จริง....ถ้าก่อนหน้านั้นเราเลยเริ่มต้นกันเป็นขั้นเป็นตอนตามครรลอง ค่อยเป็นค่อยไปถึงมิเชลจะไม่ถูกใจอาปานัก แต่ฉันเชื่อว่าอาต้องให้โอกาสเธอ อย่างน้อยก็คงอยากเรียนรู้ว่าทำไมฉันถึงตัดสินใจจะแต่งงานกับเธอ”

“โธ่เอ๋ย....เวส นั่นมันเธอคิดไปเอง เธอมองโลกในแง่ดี....มอง...เกินไป”

ฉันรีบละประโยคที่ว่ามองพ่อตัวเองในแง่ดีเกินไปไว้ ยังไงนั่นก็พ่อที่เขาเคารพนักหนา ฉันรู้ว่าเวสเสียใจที่โดนพ่อตัดขาดยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด มากเสียยิ่งกว่าตกเป็นข่าวฉาวโฉ่ ที่อาจจะดับอนาคตในวงการบันเทิงด้วยซ้ำ ซึ่งฉันอยากบอกเขาเหลือเกิน ไม่ว่ายังคุณสมบัติฉันก็ไม่ผ่านสายตาพ่อของเขาอยู่ดี ตาแก่นั่นไม่มีทางรับฉันเป็นลูกสะใภ้แน่นอนต่อ ให้ฉันไม่ได้ก่อเรื่องฉาวโฉ่จนรู้ไปทั้งประเทศแบบนี้ก็ตามทีเถอะ
แต่ก็ไม่ได้พูดออกไปเพราะไม่อยากให้เขาคิดมาก แค่นี้ใจเขาคงช้ำจะแย่อยู่แล้วแม้ภายนอกจะทำเป็นเข้มแข็งก็เถอะ

“นะ...เชื่อฉันเถอะ เพราะรักของเรามันผิดสเต็ป มันถึงวุ่นวาย..แต่ไม่ใช่ว่าเราจะเริ่มนับหนึ่งใหม่ไม่ได้ ถึงพลาดไปแล้วก็ไม่จำเป็นต้องพลาดซ้ำสอง ครั้งนี้ไม่ใช่แค่เราจะรักกัน แต่รักของเราต้องมั่นคงเพราะฉันกับเธอต้องเตรียมตัวเป็นพ่อแม่ยายหนูอีกหนกันแล้วนะ....เพราะงั้นครั้งนี้มันควรเกิดจากความเข้าใจพร้อมใจ ไม่ใช่แต่งงานกันเพราะตกกะไดพลอยโจน”

“เวส!!” ฉันเข้าใจความรู้สึกของเขาแต่....

“ฉันอยากให้รักของเรามั่นคงแข็งแรง ไม่ใช่ให้มิเชลรักฉันเพราะตอนนี้เธอไม่มีใครเท่านั้น ถือว่าให้เวลาต่อจากนี้เป็นโอกาสดีที่เราจะศึกษานิสัยใจคอกันเถอะ”

“นี่ๆๆๆ แต่ว่า....ถ้าเกิดต้องห่างกันนานๆ ไปแล้วเธอเปลี่ยนใจขึ้นมาฉันมิแย่รึ? นี่ฉันทุ่มหมดหน้าตักแล้วนะ ถึงได้ตามเธอมาถึงที่นี่น่ะ”

แน่นอนฉันกลัวความผิดหวัง แต่เล็กมาพ่อแม่ของฉันแยกทางกัน แล้วต่างคนก็ต่างไปไม่มีใครดูแลฉัน นานๆ ถึงจะมาหาฉันซึ่งถูกทิ้งให้อยู่กับญาติสักที พวกเด็กๆ แถวบ้านก็สนุกกับการล้อเลียนฉันว่าเป็นลูกไม่มีพ่อไม่มีแม่ ถูกทิ้งไม่มีใครต้องการตอนนั้นฉันโกรธมากจนต้องแอบร้องไห้ทุกวัน แม้โตขึ้นมาฉันจะเข้าใจดีกว่าการที่เด็กๆ จะล้อเลียนใครสักคนนั้น พวกเขาทำไปด้วยความคึกคะนองเท่านั้นเอง ไม่ได้คิดร้ายให้ฉันต้องคิดมากจนอยากตายเลยสักนิด แต่เพราะมีผู้ใหญ่ช่วยจุดชนวนด้วยความอยากรู้อยากเห็นของตัวเอง จึงพยายามให้ลูกตัวเองมาซักถามฉัน เมื่อฉันตอบไม่ได้ว่าพ่อแม่ไปไหนพวกเขาก็พากันล้อเลียน

ฉันฝันมาตลอดว่าชีวิตฉันจะต้องดีกว่าไอ้พวกที่เคยมาล้อเลียน จะต้องเป็นคนที่ใครๆ อิจฉา และที่สำคัญฉันจะมีคนรักเป็นของตัวเอง คนที่ฉันไม่ต้องแบ่งปันกับใคร ต้องเป็นคนที่รักฉันมากๆ คอยเอาใจใส่ไม่ปล่อยให้ฉันเหงาอยู่คนเดียว ฉันเริ่มมีแฟนคนแรกตอน ป.3 เขาเป็นหัวหน้าห้องเชียวนะ เหตุผลนั้นเขาบอกว่าฉันสวย นั่นเป็นคำชมแบบเด็กๆ เท่านั้นแต่เด็กผู้ชายคนนั้นคงไม่รู้หรอกว่า เขาทำให้เด็กผู้หญิงอายุ 9 ขวบปลาบปลื้มดีใจเพียงใด นั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นข้อดีของตัวเอง และมันก็ช่วยฉันมาตลอดก่อนปิดเทอมปีนั้น ฉันได้รับเลือกให้เล่นละครเป็นซินเดอเรลล่าในงานโรงเรียน

ซินเดอเรลล่าทำให้ฉันในวัยเด็กได้เรียนรู้อะไรอย่างมากมาย ว่าไม่ควรเป็นฝ่ายยอมคนอื่นไม่อย่างนั้นจะต้องอยู่ก้นครัวตลอดไป เหมือนที่ซินเดอเรลล่าเป็นมาตลอดจนกระทั่งเธอได้พบนางฟ้า ได้แต่งตัวสวยได้ไปงานเต้นรำ แล้วเจ้าชายก็หลงรักเธอในทันใดที่สบตากัน

ใช่แล้ว! สิ่งที่ฉันต้องการก็เป็นเช่นเดียวกับที่นางซินต้องการ นั่นคือโอกาสที่จะแสดงความสวยของตัวเองให้คนอื่นเห็น วันนั้นเป็นวันที่ฉันมีความสุขมากที่สุด พ่อที่หายหน้าไปนานลุกขึ้นยืนตบมือเสียงดังทันทีที่ละครจบลง แล้วเที่ยวอวดใครต่อใครด้วยความภาคภูมิใจไปทั่ว ว่าเด็กหญิงหน้าตาสะสวยคนนั้นคือลูกสาวของเขา ทั้งที่เวลาที่เขาเยี่ยมฉันก็ไม่เคยแสดงท่าทีดีใจที่เราได้พบกันถึงขนาดนั้น หรือคราวที่ฉันเฝ้ารอเวลาอวดสมุดพกว่าฉันสอบได้ที่ 3 ของห้อง รอมาหลายเดือนจนเกือบเปิดเทมอถึงได้พบหน้าพ่อแล้วก็ตอบมาคำเดียวว่า “ดี” เท่านั้น

มันช่างต่างกับวันที่ฉันแต่งตัวสวยเฉิดฉายอยู่บนเวทีงานโรงเรียนเหลือเกิน ในวันนั้นบทซินเดอเรลล่าที่ฉันสวมอยู่บอกฉันว่า ฉันเป็นคนสวยเพียงใดและถ้าเพียงแค่มีโอกาสฉันก็จะได้เป็นเจ้าหญิง เหมือนที่เจ้าชายหลงรักซินเดอเรลล่า เธอก็แค่แต่งตัวสวยๆ เต้นรำแล้วพูดจาดีกับเขานิดๆ หน่อยๆ นั่นก็พอแล้ว ที่จะส่งให้เธอเป็นเจ้าหญิงได้ ฉันเองก็เช่นกันตอนอายุ 16 ฉันเริ่มถ่ายแบบ และไปออกเดทกับลูกชายผู้กำกับคนหนึ่งที่เรียนอยู่โรงเรียนเดียวกัน แค่นั้นชีวิตฉันก็สวยงามไม่ผิดกับนางซินเลย ฉันได้เป็นนางเอกแถวหน้า เป็นคนที่ใครๆ ก็ชื่นชม เป็นคนสวยที่ดาราด้วยกันก็อิจฉามานับแต่นั้น

แต่เจ้าชายก็แค่ผู้ชายคนหนึ่งที่โชคดีได้เกิดมาเป็นฝ่ายเลือก ลองเขาหลงรักผู้หญิงสวยที่เจอกันในงานเต้นรำครั้งเดียวก็อยากแต่งงานด้วยได้ เขาก็ย่อมจะหลงรักสาวสวยคนต่อๆ ไปได้อย่างง่ายดายเช่นกัน ความรักครั้งแรกจึงจบด้วยเหตุผลนี้ และอีกหลายครั้งต่อมาก็เช่นกัน มันจบลงอย่างง่ายๆ และคล้ายคลึงกัน บังคับให้ฉันเรียนรู้ว่าเรื่องราวของนางซินไม่ได้จบลงตรงแค่ว่าเธอได้แต่งงานกับเจ้าชาย หลังจากนั้นเธอก็เริ่มมีความใฝ่ฝันอีก ฉันรู้ว่าความฝันครั้งต่อไปของซินเดอเรลล่าคืออะไร การเป็นเจ้าหญิงไม่ได้รับรองความมั่นคงของเธอเลย เมื่อเขาแต่งตั้งเธอเป็นเจ้าหญิงได้เขาก็แต่งตั้งหญิงอื่นได้เช่นกัน ฉันจึงพยายามดีกับชายคนรักของฉันให้มากที่สุด ไม่ให้เขามีโอกาสไปเจอหญิงอื่นก่อนที่เขาจะสถาปนานางซินเป็นราชินี แต่นั่นกลับทำให้พวกเขาบอกว่าฉันทำให้อึดอัดและจากไป

แรกๆ ฉันก็เสียใจแต่หลังๆ มาฉันก็เริ่มคิดได้ นางซินไม่ใช่นางก้นครัวคนเดิมอีกต่อไปแล้วนี่ เมื่อเธอเป็นเจ้าหญิงแล้ว...ใช่แล้ว ฉันเป็นนางเอกคนดัง ฉันย่อมเลือกเจ้าชายได้ เมื่อเบื่อก็ทิ้งพวกเขาไปเต้นรำกับเจ้าชายอื่นได้เหมือนกับที่เจ้าชายทำเช่นกัน ความรักของฉันจึงไม่เคยยั่งยืน เมื่อเวลาเที่ยงคืนผ่านพ้นไปเวทมนต์ก็สลายทุกอย่างกลับไปเป็นเหมือนเดิม นางซินก็ต้องอยู่เดียวดายในห้องครัวเหมือนทุกๆ วัน

แต่ครั้งนี้มันไม่เหมือนกัน...ฉันเสียมงกุฎเจ้าหญิงไปแล้ว ถ้าฉันต้องเสียคนรักไปอีกหนฉันคงทนไม่ได้ นางซินที่เคยลิ้มรสการเป็นเจ้าหญิงแสนสวยในวังมาแล้ว คงไม่อยากกลับไปอยู่ก้นครัวอีกอย่างแน่นอน

“เวส...ฉันขอร้องอยู่กับฉันที่นี่นะ ได้โปรด....ฉันไม่อยากเสียเธอไป ถ้าเราต้องห่างกันเธออาจจะโกรธจะเกลียดฉันขึ้นมา ที่ฉันทำให้เธอโดนไล่ออกจากบ้าน” ฉันไม่เคยอ้อนวอนผู้ชายคนไหนขนาดนี้ แต่หนนี้ฉันคุกเข่าลงวิงวอนเขาเลยทีเดียว

“มิเชล...ทำอะไรน่ะ?” เขาดึงตัวฉันขึ้นมาแล้วสวดกอด ก่อนจะจุมพิตลงที่แก้ม

“ถึงไม่มั่นใจในตัวฉันก็ มั่นใจในตัวเองหน่อยสิ ทำแบบนี้ไม่สมเป็นมิเชลเลยนะ” เขาหัวเราะเบาๆ ทั้งที่เรื่องนี้มันไม่ขำเลยสักนิด

“เวส...จะไม่ให้ฉันกังวล ก็ฉันมันตัวซวย...”

“ไม่หรอก...เธอเป็นเทพธิดานำโชค เธอจะให้ลูกสาวกับฉัน” เขาสบตาฉันนิ่งแล้วคลี่ยิ้มลึกลับเข้าใจยากนั่นออกมา

“เวส...? ฉันไม่เข้าใจ เธอพูดเรื่องลูกสาวนี่หลายทีแล้วนะ....พ่อเธอก็เหมือนกัน...?”

“ก็ฉันอยากมีลูกสาวนี่....หรือเธอไม่อยากมีลูกกับฉัน ? ”

“ไม่นะ...ไม่ใช่อย่างนั้น”

“งั้นก็อย่าคิดมากสิ ถึงไม่ใช่ลูกสาวเป็นลูกชายก็ไม่เป็นไร แต่สำหรับฉัน...ฉันเลือกเธอเป็นแม่ของลูกแล้ว”

เขาคงไม่รู้หรอกว่าคำพูดเชยๆ แบบนั้นน่ะ มันทำให้ฉันอบอุ่นเพียงใด ฉันน้ำตาคลอทันทีเมื่อความอบอุ่นนั้นแผ่ซ่านเข้ามาในจิตใจ

“บอกฉันหน่อยสิ...ทำไมถึงเลือกฉัน? ”

“เธอเชื่อเรื่องโชคชะตาไหม?” ฉันไม่ตอบแต่นิ่งรอฟังเขาแทน

“แม้เราจะเริ่มต้นกันไม่สวยก็ตาม....แต่ฉันเชื่อว่าเธอเป็นเนื้อคู่ของฉัน....เป็นคนที่สวรรค์กำหนดมาแล้วให้เป็นแม่ของลูกสาวฉัน”

“เวส!!”

นั่นเป็นคำที่ฉันรอให้ใครสักคนบอกฉันมาแบบนี้ตลอดเวลา 25 ปี ถ้อยคำน้ำเน่าแบบนี้มันคงน่าขำถ้าพูดจากปากคนที่เราไม่เห็นค่า แต่มันจะทรงอนุภาพยิ่งใหญ่ถ้าหากคนๆ นั้นเป็นคนที่รอคอยกันมาทั้งชีวิต....คนที่พรหมลิขิตประทานให้

ฉันไม่มีวันปล่อยมือจากผู้ชายคนนี้แน่นอน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามฉันสาบาน!




เจ้าแก้วชอบตอนนี้มาก ไม่รู้ว่าคนอ่านคิดเหมือนเจ้าแก้วหรือเปล่า ? ช่วงที่เขียนความทรงจำของมิเชล เรื่องราวความรักผ่านมุมมองซินเดอเรลล่า เจ้าแก้วรู้สึกว่าความเจ็บปวดของมิเชลถูกถ่ายทอดมายังใจตัวเอง จะเรียกว่าเขียนเองอินเองก็ได้ค่ะ ไม่รู้ว่านักเขียนท่านอื่นๆ เขียนแล้วจะอินแบบนี้ไหม? เจ้าแก้วตั้งใจว่าจะเขียนให้มิเชลเป็นนางเอกที่น่าชัง มีชีวิตผิดพลาดจากมุมมองไร้แก่นสารของตัวเอง อยากให้มิเชลเป็นนางเอกที่คนอ่านไม่ชอบ เธอไม่ใช่นางเอกแบบพาฝัน แต่เป็นแบบต้องทำใจระหว่างอ่าน แล้วค่อยๆ ให้เธอพัฒนาขึ้นอย่างๆ คนหนึ่งที่ผ่านเรียนรู้ และเข้าใจโลกมากขึ้น เรียนรู้จากความรัก จริงๆ เธอเป็นคนน่าสงสารถึงขึ้นน่าสมเพชในการมองโลกแบบโง่ๆ เลยด้วยซ้ำค่ะ แต่ความเจ็บปวดของเธอเจ้าแก้วอยากให้เป็นความเจ็บปวดที่คนอ่านสัมผัสได้ เช่นเดียวกับที่เจ้าแก้วกำลังเจ็บจี๊ดไปกับเธอยามนี้ แล้วเราจะรู้ว่าในชีวิตจริงใครก็เป็นนางเอกได้ ขึ้นต้นร้ายอย่างไรแต่นางเอกก็ควรจะจบลงอย่างสวยงาม แบบนี้ถึงจะเป็นนางเอกในนิยายรักอย่างลงตัว (แน่ล่ะ...ยังไม่ลืมว่าเขียนเรื่องรักคอมมันดี้ ไม่ใช่เรื่องดราม่าเพื่อชีวิตเน้นสาระเป็นหลัก) ไม่รู้ว่านิยายเรื่องนี้จะเรียกว่านิยายลูกกวาดได้หรือเปล่านะคะ หึ หึ

ข้างฝ่ายคุณพระเอกเวสเองก็ไม่ใช่คนดีเนื้อแท้แสนสุภาพบุรุษนักหรอกค่ะ แม้ภายนอกอาจจะดูเป็นหนุ่มหัวอ่อน อารมณ์ดี มองโลกใสสะอาด และติงต๊องเล็กๆ ด้วยซ้ำ ความรักของเขามีจุดประสงค์ แต่....จุดประสงค์และความต้องการของเวส มันไม่ทำร้ายคนอื่น ดังนั้นเขาก็เลยยังครองตำแหน่งพระเอกนิยายรักหวานแหววต่อไปได้ อิ๊ อิ๊

เวสนั้นเป็นคนคิดการไกล ถ้าได้ลูกสาวเมื่อไรเกมก็โอเวอร์คืนดีกะพ่อได้ อะไรที่เสียไปก็ได้กลับคืนและจะได้มากกว่าเดิมเป็น 3 เท่าด้วยซ้ำ เพียงแต่...เวสนั้นมีเงื่อนไขของตัวเอง ไม่ใช่ทำยังไงก็ได้ให้ได้ลูกเป็นใช้ได้ เพราะเขาให้เกียรติตัวเองย่างสูง(มาก) จึงไม่ลดตัวลงมาทำเรื่องไม่ดี เขาอยากได้ลูกแต่ลูกต้องมาตามเงื่อนไขที่กำหนด...โดยมิเชลจะต้องผ่านเงื่อนไขนั้นเอง เงื่อนไขนั้นมีชื่อว่า “ความรัก” ค่ะ

แต่รักของเวส...มันกินพื้นที่กว้างขวาง ไม่ใช่รักคือรัก เฉพาะเขากับเธอเท่านั้น แต่มิเชลจะต้องเรียนรู้ที่จะรักคนอื่นนอกจากเวสบ้าง นั่นคือรักและให้เกียรติตัวเอง ให้เกียรติคนอื่น เรียนรู้ความรักหลายๆ แบบให้ถี่ถ้วน เพื่อเตรียมตัวเป็นแม่ที่ดีของลูกที่จะเกิดมานั่นเอง

แล้วเจ้าแก้วยังยืนยันว่านิยายเรื่องนี้เป็นนิยายรักกุ๊กกิ๊กหวานแหวว และตลกๆเหมือนๆ เดิม เรียกว่านิยายลูกกวาดก็ได้ค่ะ แต่เจ้าแก้วอยากให้...นิยายลูกกวาดเรื่องนี้เป็น “ลูกกวาดชีวะจิต” ค่ะ


แก้วกังไส 31 สิงหาคม 50
ตี 3:54 น.





Create Date : 01 กันยายน 2550
Last Update : 1 กันยายน 2550 9:21:29 น. 5 comments
Counter : 565 Pageviews.

 
ตอนนี้เครียดไปนิด น่าสงสารมิเชล ถ้ารู้ว่าเวสคิดอะไรอยู่คงโกรธน่าดู


โดย: PiN.VE IP: 203.172.86.148 วันที่: 2 กันยายน 2550 เวลา:16:37:04 น.  

 
สนุกอ่ะ
รีบอัพต่อนะคะ
เรื่องเกมรักวัดใจจะแต่งต่อป่าวค้า
รอนานแล้วนะ
สู้ๆค่ะ


โดย: รออ่าน IP: 61.90.249.246 วันที่: 2 กันยายน 2550 เวลา:17:38:03 น.  

 
ชอบมาก..
เหมือนเจ้าของเรื่อง..

แต่แอบเสียว..
ถ้ามิเชลรู้ความจริง..
นายเวส..ตายแน่!!
หึๆ..


โดย: panwa IP: 202.28.180.201 วันที่: 3 กันยายน 2550 เวลา:22:08:10 น.  

 
PiN.VE - งั้นอย่าให้มิเชลรู้เลยเนอะ

รออ่าน - หลังตุลาค่ะ ว่าจะมาขัดดอกหลังดองมาเป็นปี

panwa - ตอนนี้เครียดค่ะแต่ว่า...มันต้องมีแบ็คกราวด์สักหน่อย ไม่งั้นคนอ่านอาจจะสงสัยได้ว่า ยัยมิเชลเป็นนางเอกได้ไง? หาส่วนดีไม่ได้เยย


โดย: แก้วกังไส วันที่: 4 กันยายน 2550 เวลา:2:45:31 น.  

 
เวสคิดได้เยี่ยมไปเลยค่ะ


โดย: มด IP: 79.65.135.190 วันที่: 4 กันยายน 2550 เวลา:15:47:21 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

แก้วกังไส
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 54 คน [?]







ผลงานเขียนที่ผ่านมาค่ะ

รักนี้(แค้น)ต้องชำระ


Amethyst Sonata
เพลงรัก..ลิขิตหัวใจ



บาปปาริชาต

Friends' blogs
[Add แก้วกังไส's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.