|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
ผู้เสกทราย เล่ม 2-3 By ลวิตร์
ผู้เสกทราย By ลวิตร์ (พัณณิดา ภูมิวัฒน์)
ไม่ได้อัพบล็อกมาเกือบเดือน ด้วยความขี้เกียจมากมาย (คาดว่าฝนตกทำให้โรคขี้เกียจลามขึ้นสมอง )) ทั้งที่ความจริงในช่วงนี้อ่านนิยายและหนังสือไปหลายเล่มเลยค่ะ เป็นช่วงตะลุยกองหนังสือที่ช็อปมาจากงานสัปดาห์ครั้งที่แล้ว จะค่อยๆ ทยอยมาเอาแนะนำกันนะคะ เล่มที่อ่านแล้วชอบๆ ก็มี..ปุชิตา,ตุ๊กตา(ช่วยหนูด้วยหนูอยากกลับบ้าน...บรื๋อย์ ), เงาพราย,บุพเพสันนิษวาส, นอกนั้นก็เป็นสารคดีค่ะ (ช่วงนี้ อ่านจนแทบเลอออกมาเป็นพม่าและชนกลุ่มน้อยค่ะ )
เม้าท์กันไปพอสมควรแล้วมาดูนิยายกันดีกว่า นิยายที่ทำให้ เจ้าแก้วเสียน้ำตา และช่างเข้ากับบรรยากาศบ้านเมือง แตกแยกเหลือเกิน(อ่านตอนเกิดม็อบเผาเมืองพอดี) "ผู้เสกทราย" ค่ะ
ผู้เสกทรายเป็นนิยายแฟนตาซี ที่ไม่ค่อยอยากเรียกว่าแฟนตาซี แต่อยากเรียกมันว่าเป็นนิยายของชีวิตในโลกอีกใบที่ไม่ใช่โลก ของเรา เป็นโลกที่มีความแตกต่างระหว่างมนุษย์สองแบบ ทำให้เกิดสงครามขึ้น นั่นคือ มนุษย์ธรรมดา และมนุษย์ที่มีเวทมนต์ เป็นนิยายขนาดยาว 3 เล่มจบ ซึ่งเคยรีวิวเล่มแรกไว้แล้ว ในบล็อกก่อนๆ ค่ะ
ผู้เสกทราย ดำเนินเรื่องผ่านเด็กชาย "คาซีมีร์" เด็กชายผู้ซึ่งมีความ ผิดปกติเรื่องการเรียนรู้ เขาอ่านหนังสือแทบไม่ออกถ้าไม่มีกระจกสี จะแยกข้อความที่อ่านแล้วกับยังไม่อ่านไม่ออก เขาแยกซ้ายขวาไม่ได้ ถ้าไม่ได้ดูสร้อยที่ข้อมือ และยังขี้อายจนพูดติดอ่าง เป็นเด็กที่รู้สึก ว่าตนเองด้อยค่ากว่าคนในสังคม แต่เด็กคนนี้กลับมีรับชะตากรรม ให้สืบทอดเจตนารมย์ของอมาร็อค วีรบุรุษผู้ซึ่งพยายามยุติสงคราม ระหว่างผู้มีเวทมนต์และคนธรรมดา
โครงสร้างของเรื่องอาจจะไม่ได้ต่างกับนิยายแฟนตาซีกู้โลก ที่มีอยู่ดาษดื่น ทว่าสิ่งที่ทำให้เจ้าแก้วรู้สึกกระทบกระเทือน จนต้องเสียน้ำตา คือ ความรู้สึกนึกคิดที่อยากจะเป็นฝ่ายให้ผู้อื่น อยากทำลายผู้อื่น เจ็บแค้น ดีใจ เสียใจของตัวละครในเรื่อง ที่เล่าผ่านประสบการณ์ในชีวิตของตนเองราวกับมีตัวตนจริงๆ แม้ในตอนจบนิยายเรื่องนี้จะลงเอยด้วยดีอย่างสุขนิยม อย่างการ มองโลกในแง่ดีของผู้เขียน ที่ทำให้คนอ่านรู้สึกยินดีที่จบลงด้วยดี แม้ในโลกแห่งความจริงสงครามอาจไม่มีทางจบอันงดงามได้เลย ด้วยซ้ำ
เคยมีคนถามว่าทำไมชอบนิยายของ ลวิตร์(พัณณิดา ภูมิวัฒน์) เจ้าแก้วมีคำตอบให้ค่ะ มันอาจไม่มีอภินิหารไรมากมาย มันไม่ใช่เรื่องที่อ่านซ้ำได้บ่อยๆ แต่อ่านแล้วไม่ลืม และมีบางสิ่งที่มันโดน หรือมีความทรงจำบางอย่าง ที่เราลืมแล้วเรานึกขึ้นมาระหว่างอ่านน่ะค่ะ จึงเหมือนถูกกระทบ มันจึงต่างจากเรื่องที่อ่านสนุกๆ อ่านแล้วชอบเพราะมันสนุก แต่เรื่องที่ทำให้จำคือเรื่องที่กระทบผู้อ่าน โยกคลอนและสั่นไหว
ระหว่างที่อ่านก็นึกถึงเรื่องสมัยเด็กๆ ที่ลืมไปแล้ว มันอาจไม่เกี่ยวกัน แต่บางอย่างมันมีความรู้สึกร่วมเลยทำให้อินอย่างประหลาด ยกตัวอย่างมาแล้วเล่าสักนิด ตอนที่คาซีโดนยิง แล้วลุงผู้นำ คนมีเวทมนต์ แกคิดว่าจะฆ่าคาซีเองจะได้ไม่ทรมาน
ความคิดแบบนี้เจ้าแก้วเคยมีแว่บหนึ่งในชีวิตเหมือนกันค่ะ สมัยเด็กๆ เจ้าแก้วมีแมวตัวหนึ่ง เป็นแมวศุภลักษณ์สีทองแดง ตัวใหญ่และเชื่อง มันฉลาดและน่ารัก แต่ว่ามันอาศัยอยู่ใน ละแวกที่มีคนไม่ชอบแมว และพยายามกำจัดแมวด้วยวิธีรุนแรง วันหนึ่งก็ถึงคราวเคราะห์ของมัน เจ้าแก้วเข้าใจว่ามันโดนวางยาเบื่อ (ความจริงมันโดนงูกัด.. ) เจ้าแก้วโกรธมากยิ่งเห็นมันทรมาน ก็ร้องไห้ไปกับมันและรู้สึกว่าอยากให้มันตายด้วยมือเราเองดีกว่า ถูกคนอื่นฆ่า แล้วมันก็ตายหลังจากนั้นสองวัน เลยรู้สึก กระทบกระเทือนจนเผลอเสียน้ำตาให้กับเรื่องราวน่ะค่ะ
ก็ไม่รู้ว่าคนอื่นจะโดนกระทบจุดระหว่างอ่านเหมือนเจ้าแก้วหรือเปล่านะ เลยไม่รู้จะบรรยายเรื่องว่ามันดียังไง น่าอ่านยังไง คือต้องอ่านเองเท่านั้น เอาเป็นว่าถ้าคุณมีหัวใจคุณจะรู้สึกถึงบางสิ่งในเรื่อง มันอาจไม่ใช่เล่มที่ ชอบที่สุดแต่เป็นเล่มที่อ่านแล้วไม่ลืม ขึ้นอยู่กับว่าด้านดิบของคุณเป็นยังไง ด้านดิบของผู้เขียนที่สะท้อนออกมาในงาน มีเจ็บปวดแต่มีความหวัง และมีความสวยงาม จนบางทีมันไม่จริงในโลกแห่งอุดมคติที่คิดฝัน ที่อยากให้สังคมเป็นในด้านบวก
แต่เรื่องจะดิบหรือสุก ช่างมันเถอะเนอะ การที่คนจะชอบไม่ชอบนิยายเรื่องนี้ คงขึ้นอยู่กับความสั่นสะเทือนที่ ได้รับจากการอ่านและจะกระทบใจไหม หรืออาจจะผ่านเลยไป ก็คงแล้วแต่ตัวผู้อ่านเองค่ะ
แต่เจ้าแก้วชอบเรื่องนี้ เพราะตัวละครไม่ใช่คนเก่ง ไม่ใช่อัจฉริยะ ไม่ใช่คนที่เกิดมาเพื่อเป็นใหญ่ บางทีก็ไม่ได้อยากเป็นคนแบบนี้ แต่โดนสังคมบีบให้เป็นแบบนี้ สุดท้ายทุกคนก็แค่พยายามมีชีวิตอยู่ พยายามเพื่อสังคมของตัวเอง พยายามตามความเข้าใจของตนเอง เพื่อจะมีชีวิตอยู่ เพื่อจะทำให้สังคมรอบตัวดี เพื่อจะมอบหรือส่งต่อ รูปแบบสังคมให้คนอื่นต่อไป แต่ละคนมีเหตุผลในการกระทำ อย่างชัดเจน
แต่หลายตัวละครก็เย็นชากับสงครามนะ แค่ต้องการมีชีวิตอยู่เท่านั้น ยิ่งทฤษฎีแกะดำหรือ "ชนชั้นเหยื่อ"ที่ตัวละครพูดแสดงความคิดออกมา ฟังแล้วใจหายไปพร้อมๆ กับคาซี ระหว่างนั้นเจ้าแก้วก็ภาวนา ว่ามันยังต้องมีเรื่องดีๆ รออยู่แน่ๆ มีความหวังและมองโลกในแง่ดี ไม่อยากให้ตัวละครหมดหวัง ถึงแม้พบว่าโลกมันโหดร้ายนัก จนบางทีก็รู้สึกว่าตัวคาซีพระเอกของเรื่อง มันเจอเรื่องโหดร้ายเกินวัย และความคิดของเขาครั้งจะถูกวิญญาณผู้ใหญ่(คนเขียน)มาสิงสู่เป็นระยะ
จุดดีที่สุดของเรืองนี้คือโลกมันมีมิติจับต้องได้ สิ่งที่ขาดไปในเรื่องนี้ คนเขียนอาจจะมองข้ามไป เพราะว่าเขียนทุกอย่างส่งสารไปอย่างที่ ต้องการตามจุดประสงค์ครบแล้ว มันคือ...ฉากความยิ่งใหญ่ของ ของพลังหมาป่ากินตะวัน ซึ่งเป็นการกินพลังเวทมนต์ทำให้ผู้ใช้เวทฯ กลายเป็นมนุษย์ธรรมดา ภาพการดูดพลังอันรุนแรงที่ทำให้คนที่มองเห็น สั่นไหว ถูกละเลยมันจึงเป็นเพียงแค่การพูดถึง แต่ไม่ได้ฉายให้ดู มีแค่แสดงผลของมันเท่านั้น
ถามว่าฉากนี้สำคัญมากไหม ขอยกตัวอย่างถ้าเป็นเป็นเซเลอร์มูน มันก็คือฉากแปลงร่างที่มีทุกครั้งทุกตอน ระหว่างที่ดูก็สงสัยว่า เป็นฉากที่มีไว้ทำไมก็ไม่รู้ แต่ต้องมีเพราะมันเป็นไฮไลท์ทางอารมณ์ ให้คนจดจำ เป็นฉากที่ทำให้ตัวละครจำนวนมากตื่นตระหนก มันอาจไม่ใช่ประเด็นสำคัญนัก แต่ถ้ามีการกระตุ้นและเร่งเร้าทางอารมณ์ จะส่งผลให้เรื่องมีแรงขับมากขึ้น แต่อย่างไรก็ดีถึงแม้ไม่มีฉากนี้ พลังที่แม้เพียงแค่กล่าวถึงก็แสดงผลของมันไปแล้วในเรื่อง
ข้อดีอีกอย่างของนิยายเรื่องนี้ ถ้าให้เล่าแบบเทพนิยาย ก็ต้องเริ่มต้นด้วยนานมาแล้ว มีคนบอกว่านิยายของพัณณิดา คือการเยียวยา กับแผลหรือความจำในอดีตบางอย่างที่เรา ไม่รู้ว่าเรามี หรือเราแกล้งลืม หรือไม่ก็ลืมไปแล้วจริงๆ แต่มันไม่เคยหาย เพราะมันไม่สำคัญมันไม่เจ็บอีกแล้ว แต่มันไม่น่ามอง มองเห็นก็เสียใจ แต่อ่านแล้วรู้สึกว่า ได้รับการเยียวยาถึงแผลไม่หาย แต่รู้สึกว่ามีคนคิดเหมือนกัน เหมือนมีคนมองเห็นฉันแล้ว มีคนเข้าใจแล้ว ไม่ได้เดียวดาย ในโลกแห่งความคิดอีกต่อไป
แต่ถ้าพูดในฐานะคนเขียนนิยาย คนเขียนนิยายทุกคนต้องการ การตกผลึก ความคิด การอ่านนิยายของคนอื่นก็เป็นการต่อยอด ความคิดอย่างหนึ่งเรื่องนี้ต่อยอดได้เยอะ และทำให้ความคิด อันยุ่งเหยิงมันเป็นระเบียบขึ้นได้ ระหว่างความคิดของคนอ่าน กับคนเขียน ก็เหมือนของสองอย่างที่ไม่เหมือนกัน แต่มันตัดกัน จนได้เหลี่ยมทั้งคู่ แล้วต่างก็สวยในแบบของมัน มันคือการให้ และการรับ การส่งไปและการส่งกลับ ระหว่างคนอ่านกับคนเขียน ซึ่งทำให้คนเขียนด้วยกันต่อยอดได้
ถึงต้องขอบใจที่เขียนนิยายให้อ่าน และบอกคนเขียนว่า อย่าเลิกเขียนนะ
เจ้าแก้วก็บอกไม่ได้หรอกว่าแบบนี้เรียกว่าคนเขียนเก่งไหม? แล้วคนอ่านคนอื่นๆ จะชอบเรื่องนี้เหมือนเจ้าแก้วไหม คนอ่าน ทุกคนรู้สึกถึงรสชาติอร่อยไม่เหมือนกันก็จริง ตามหลักการ แล้วของสุกอาจจะทำให้สุขภาพดีกว่าของดิบก็จริงอีก แต่ตัวผู้เขียนเมื่อมีแนวทางที่ชัดเจนในการเขียนแล้ว ก็เขียน อย่างที่ตัวเองชอบดีกว่า ประกอบอาหารแบบที่เราอยากให้คนกิน แล้วอิ่มอร่อยกับสิ่งที่เราทำให้แค่นั้นก็พอแล้วค่ะ ในฐานะคนเขียน
สุดท้ายในฐานะคนอ่านเจ้าแก้วชอบนิยายเรื่องนี้ค่ะ และอยากแนะนำให้อ่านกัน
ปล. link ผู้เสกทรายเล่ม 1 ที่เคยรีวิวไว้ค่ะ เผื่อใครอยากอ่าน คลิ๊กโลด..ด
Create Date : 11 มิถุนายน 2553 |
Last Update : 3 มกราคม 2558 23:20:13 น. |
|
12 comments
|
Counter : 1533 Pageviews. |
|
|
|
โดย: คุณพี่เอง IP: 183.89.233.53 วันที่: 11 มิถุนายน 2553 เวลา:1:22:44 น. |
|
|
|
โดย: fuku IP: 58.9.149.32 วันที่: 11 มิถุนายน 2553 เวลา:1:44:06 น. |
|
|
|
โดย: Clear Ice วันที่: 11 มิถุนายน 2553 เวลา:10:32:56 น. |
|
|
|
โดย: Zorn IP: 202.44.135.39 วันที่: 11 มิถุนายน 2553 เวลา:19:49:25 น. |
|
|
|
โดย: Rusi IP: 183.89.243.216 วันที่: 13 มิถุนายน 2553 เวลา:0:02:31 น. |
|
|
|
โดย: แก้วกังไส วันที่: 15 มิถุนายน 2553 เวลา:11:23:22 น. |
|
|
|
โดย: ThaMN วันที่: 21 มิถุนายน 2553 เวลา:17:46:37 น. |
|
|
|
โดย: เด็กน้อย IP: 118.172.248.9 วันที่: 23 มิถุนายน 2553 เวลา:19:22:53 น. |
|
|
|
โดย: หวัน (หวันยิหวา ) วันที่: 26 กันยายน 2553 เวลา:20:58:15 น. |
|
|
|
โดย: พล่ามยาว อิอิ IP: 125.24.77.253 วันที่: 7 ตุลาคม 2553 เวลา:13:08:04 น. |
|
|
|
|
|
|
|