|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
[บ่น]รีวิวกับการนินทาต่างกันตรงไหน?
ช่วงนี้รู้สึกว่าในหัวมีเรื่องอยากเขียนเยอะแยะเต็มไปหมด ทำให้อัพบล็อคบ่อยผิดปกติ เขียนบล็อคก็ดีอย่างตรงที่ ไม่ต้องเป็นการเป็นงานก็ได้
เคยมีเพื่อนถามว่าอัพบล็อคเล่าโน่นนี่เพื่ออะไร โดย คนถามบอกว่าตัวเองอยากหาที่บ่นคนอ่านไม่รู้เรื่อง ไม่เป็นไร ส่วนเจ้าแก้วเน้นว่าต้องอ่านรู้เรื่องค่ะ เพราะว่าเราตั้งหัวบล็อคใหม่แต่ละครั้งก็เหมือนตั้ง กระทู้ปุจฉาให้เพื่อนมาคุยกัน อยากรู้ความคิดเห็น ของแต่ละคนเหมือนเล่นเวบบอร์ด แต่บล็อคดูจะ เป็นห้องส่วนกว่า ซึ่งมันก็ไม่ได้ส่วนตัวเสมอไป เพียงแต่ว่าเป็นสัดเป็นส่วนกว่ามีพื้นที่ให้บ้าได้ไม่ต้อง เกรงใจคนอื่น แล้วบล็อคก็เปลี่ยนนิสัยเจ้าแก้วไป เหมือนกันค่ะ
ตรงที่ว่าเมื่อก่อนไม่ชอบเขียน เล่าเรื่องรอบๆ ตัว ตอนนี้ก็รู้สึกว่าเขียนก็เหมือนพูดที่สำคัญไม่ได้ พูดกับลมกับฟ้า ยังมีเสียงพึมพำตอบรับกลับมาบ้าง มาดูเรื่องช่วงนี้กันดีกว่า
ระยะนี้อ่านหนังสือหลายเล่ม เขียนรีวิวไว้แล้วแต่ก็ เปลี่ยนใจไม่รีวิวมันซะงั้นแหละ เล่มล่าสุดที่เพิ่งอ่าน เป็นนิยายที่ได้รางวัลด้วยค่ะ แต่อ่านแล้วรู้สึกรำคาญ คนเขียน ที่ยกนิยายฝรั่งเรื่องหนึ่งเข้ามาในเรื่อง แล้ว ตอกย้ำว่านางเอกชอบเรื่องนี้ ทุกๆ 40 หน้าก็จะบอกที ว่านางเอกชอบบบบบ(รู้แล้วเว้ยว่าชอบ!! ย้ำจนรู้สึก เกลียดนิยายเรื่องที่นางเอกชอบไปเลยอ่ะ )
ไม่รู้จะบอกทำไมนักหนา อีกอย่างเจ้าแก้วไม่เคย อ่านนิยายเรื่องนั้นมาก่อนบอกอีก 100 ครั้งก็ไม่รู้เรื่อง หรอกค่ะว่ามันดีงามน่าประทับใจตรงไหน เพราะว่า ผู้เขียนไม่ได้ขยายความอะไรเพิ่มเติมไปว่านิยายฝรั่ง เรื่องนั้น พระเอกและนางเอกชื่ออะไร และจบไม่แฮปปี้ ไม่ได้ขยายความว่ามีเกล็ดตรงไหนที่ทำให้ชอบ มัน เหมือนกันว่าคนเขียนกำลังเพ้ออยู่คนเดียว แถมย้ำคิด ย้ำทำคนที่อ่านแล้วอินตาม ไปกับคนเขียนต้องเคย อ่านนิยายฝรั่งเรื่องนั้นมาก่อนค่ะ
นอกจากนั้นแล้วผู้เขียนยังเอาพล็อตพิมพ์นิยมไปซ้อนกับ พล็อตหลัก ซึ่งตามจริงพล็อตหลักสนุกอยู่ แต่พอใช้พล็อต จริงๆ พิมพ์นิยมประเภทเปิดเรื่องมา พระเอกนางเอกไม่ถูกกัน นางเอกทำเท่เป็นแม่อังศุมาลินตอนเจอโกโบริครั้งแรก มันก็ ไม่ได้ผิดตรงไหนหรอกค่ะ ใครๆ ก็ใช้ได้พิมพ์นิยมแบบนี้แต่... ผู้เขียนลืมใส่ความเป็นตัวเอง หรือเอกลักษณ์ของคนเขียน ลงไปในพิมพ์นิยมนั้น จนทำให้กลายเป็นดาดดื่นพบเห็น ได้ทั่วไป จนต้องอุทานว่า"อีกแล้วเหรอ?"
ยกตัวอย่าง เช่น จตุคามที่ห้อยกันทั่วประเทศ พบเห็นง่ายๆ ทั่วๆ ไป ใครๆ ก็รู้ว่าองค์จตุคามต้องนั่งอยู่บนพญานาค 7 เศียรและห้อยขาลงพื้นข้างหนึ่ง นี่คือพิมพ์นิยมอันเป็น สากลแต่จตุคามของแต่ละคนก็คงไม่เหมือนกัน บางคน ทาสีพญานาคให้เป็นสีทองอร่าม ใส่สีผ้านุ่งพ่อองค์จตุคาม เป็นสีแดงบ้าง ชมพูบ้าง เหลืองบ้าง กรอบที่ใส่ก็แตกต่าง กันไป ทั้งกรอบทอง กรอบเงิน กรอบพลาสติกหลากสี หรือกรอบล้อมเพชร ล้อมพลอย เหล่านี้ทำให้จตุคามของ แต่ละคนแม้จะมาพิมพ์นิยมเดียวกัน แต่แตกต่างกันไป ของใครของมัน วางไว้ข้างๆ กันก็ไม่หยิบผิด
เช่นเดียวกับการเขียนนิยาย พล็อตสำเร็จรูปสูตรพิมพ์นิยม ไม่ใช่เรื่องผิดหรือน่าเบื่อแต่อย่างใด ถ้ามีเอกลักษณ์ของ ตนเอง ว่าแล้ว...ก็ย้อนกลับมาดูนิยายเรื่องนั้นอีกครั้ง อ่านของคนเขียนคนนี้มา 3 เรื่อง อืม...ใช้สูตรเดียวกันทุกหน เหมือนกับว่ามันเป็นสิ่งที่คนเขียนคิดว่า สมควรจะมีก็ใส่ไป มันเลยขาดความเป็นธรรมชาติ และบั่นทอนรสชาติให้ร่อยไป ในขณะที่เนื้อหาหรือข้อมูลดีจนได้รางวัล ว่าแล้วก็รู้สึก เสียดายยังไงชอบกล....ว่ามันน่าจะสนุกกว่านี้ได้นะเนี่ย
เมื่อก่อนเจ้าแก้วคิดว่าการรีวิวนิยาย ถือเป็นฟีดแบ็ค จากคนอ่าน ทำให้ผู้เขียนได้เห็นจุดเด่นจุดด้อยและ นำมาปรับปรุง แต่มีอย่างหนึ่งที่เจ้าแก้วชอบลืม...คือ คนอื่นย่อมคิดไม่เหมือนตัวเอง การรับคำติชมก็รับได้ ไม่เท่ากัน แม้จะบอกว่าเปิดกว้างแต่จริงๆ ก็อยากให้ชม มากกว่า ซึ่งไม่เว้นแม้แต่ตัวเจ้าแก้วเอง ถ้าเขียนงาน ก็อยากให้เปอร์เซ็นชมสูงกว่าเปอร์เซ็นติ ซึ่งคงเป็น ปกติของนักเขียนทุกคน ที่ผลิตงานออกมาก็รักและ ภูมิใจในงานของตนเอง คงไม่อยากโดนใครติด่ามากๆ
และก็อาจเป็นเพราะนักเขียนส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง แถม คนที่ทำอาชีพทางศิลป์เป็นคนอ่อนไหวง่าย จึงมีความ เปราะบางทางอารมณ์สูง จึงรับคำติไม่ค่อยได้ แถมยัง มักจินตนาการไปไกลในทางทำร้ายความรู้สึกตัวเอง ว่าเขาต้องเกลียดเราแน่เลย ทำไมพูดเสียแรงขนาดนั้น แล้วการวิจารณ์หรือรีวิวก็กลายเป็น การนินทาไปหาใช่ การวิจารณ์ไม่ ซึ่งจะเป็นวิจารณ์หรือนินทานั้นมันเหมือน เหรียญเดียวสองด้าน แล้วแต่ใครจะมอง และจริงๆ แล้ว สังคมมักตีความว่านินทามากกว่าวิจารณ์ ทำให้คนคนรีวิว หรือนักวิจารณ์ ขาดความอิสระในการวิจารณ์ เพราะต้อง ประนีประนอมรักษาระยะห่างไม่ให้เกิดศัตรู
เจ้าแก้วไม่ชอบให้ใครมาขีดเส้นกรอบว่าอิสระทางความคิด ตนเองต้องสิ้นสุดตรงไหน และก็ไม่อยากสร้างความเข้าใจ ผิดหรือทำให้คนอื่นเกลียดขี้หน้า จึงเลือกที่จะรีวิวแต่หนังสือ ที่มีเปอร์เซ็นการชมสูงกกว่าการติ จริงๆ แล้วทำหน้ารีวิว ขึ้นมาก็เพื่อที่จะแนะนำหนังสือที่ดีในสายตาเจ้าแก้วให้เพื่อนๆ มากกว่าค่ะ
มาที่เรื่องความคิดเห็นกันต่อค่ะ วันนี้เพื่อนคนหนึ่งสมมุติ ว่าชื่อคุณ ก. นะคะ คุณ ก. ลากเอานักเขียนที่รู้จักคนหนึ่ง มาให้คุยด้วยขอเรียกว่าคุณ ข. คุณ ข. กำลังมีอาการจิตตก จากการโดน สนพ.ปฏิเสธและแก้ไขเรื่องมาหลายรอบแล้ว บอกให้ช่วยคอมเม้นท์หน่อย แล้วคุณ ก. ก็ทิ้งคุณ ข. ไว้กับเจ้าแก้ว หลังจากคุยๆ ไปสักพักหนึ่ง ก็รู้สึกว่า คุณ ข. ไม่ได้อยากได้คอมเม้นท์ เพราะลึกๆ คุณ ข.ก็ ไม่เห็นด้วยกับคอมเม้นท์ที่ สนพ.ให้มาน่ะค่ะ ก็เลยเสียใจ การคุยกับคุณ ข.ทำให้เจ้าแก้วพบสัจจธรรม และปัญหา ของนักเขียนขึ้นมาเลย เรามาดูปัญหาเพื่อทำความรู้จัก ตัวตนของตัวนักเขียนกันบ้างค่ะ น่าจะใช้ได้กับนักเขียน คนอื่นๆ ด้วยนะคะ นั่นคือ
1.นักเขียนทุกคนมีความพอใจในงานตัวเอง จนบางที เป็นอีโก้โดยไม่รู้ตัว ยากที่คนอื่นจะเจาะเกราะเข้าไป ถึงแม้นักเขียนจะเห็นด้วยกับคำวิจารณ์นั้น พยายาม แก้แล้วแต่ก็ไม่ทำให้จุดด้อยนั้นหายไปเสียที และเจ้าตัว ก็ไม่รู้ว่าทำไมเช่นกัน(ไม่เกี่ยวการแสดงออกหรือปฏิเสธ อย่างก้าวร้าวรุนแรงนะคะ ในกรณีนี้หมายถึงรับฟัง พยายามที่จะให้ความร่วมมือกับคอมเม้นท์ แต่ลึกๆ รู้สึก อึดอัด และแก้ไขได้ไม่เต็มที่ทั้งที่ตั้งใจจะแก้)
2.วิธีการพูด...คงไม่ค่อยมีคนเอะใจ ว่าวิธีพูดนั้น มันแสดงวิธีเขียนของเราด้วย บางคนขี้อายแต่เขียน เก๊งเก่ง...บางคนพูดเก่งแต่เขียนแล้วอ่านไม่รู้เรื่อง คงเพราะขาดการเรียบเรียงก่อนที่จะพูดค่ะ เมื่อไป เขียนหนังสือนึกอะไรได้ก็ใส่ๆๆ ลงไปก่อนกันลืม อ่านทวนแล้วตัวเองก็เข้าใจ แต่คนอื่นไม่เข้าใจ เพราะเขาไม่ใช่คนเขียนไงคะ
ดังนั้นการพูดมีส่วนสำคัญกับการเขียนมาก คุณ ข. เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนเพราะว่าคุณ ข. กับเจ้าแก้ว ไม่รู้จักกันมาก่อน ถ้าเป็นเพื่อนสนิทกันคงจะสังเกต เห็นยากหน่อย เพราะเราชินกับนิสัยเพื่อน ชินกับ วิธีพูดจนสามารถเข้าใจได้โดยไม่ต้องอธิบายอะไร มากมายนัก
แต่พอเป็นเพื่อนใหม่กัน เราต่างคนต่างไม่รู้จัก ซึ่งกันและกัน มันก็ยากที่เราจะสื่อสารให้คนที่เพิ่งพบ เข้าใจในความรู้สึกของเราได้โดยละเอียด ก็คงต้องพูด ต้องอธิบายปูพื้นถึงที่มาที่ไปและนิสัยของเราโดยละเอียด ใช่ไหมคะ?
งานเขียนก็เช่นกัน คนอ่านคือเพื่อนใหม่ที่เพิ่งรู้จัก หรือคนแปลกหน้าที่ผ่านมาพบเจอ จะให้เขาเข้าใจ ในสิ่งที่เราพูดทั้งหมด รวมทั้งตัวตนลักษณะนิสัยของ ตัวละครก็คงเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นความสำคัญมันควรจะ อยู่ที่การสื่อสารแบบ ช้า-ชัด-เคลียร์ ไม่เกิดความงงความ สงสัย เพราะคนเขียนไม่มีโอกาสไปนั่งข้างๆ อธิบายความ ให้คนอ่านทุกคนฟัง
"ช้า-ชัด-เคลียร์" เป็นสโลแกคนของไกด์นำเที่ยวค่ะ เคยไปเที่ยวตามทัวร์หรือพบกลุ่มทัวร์ไหมคะ? ยิ่งเป็น ต่างจังหวัด ไกด์ท้องถิ่นมักจะใช้ภาษาอังกฤษได้ไม่ดีนัก พูดคล่องแต่สำนวนไทยแลนด์มากๆ อาจจะดูไม่เท่ เพราะพูดสำนวนไม่ดีเหมือนเจ้าของภาษา แต่ว่า... เวลาที่คนต่างถิ่นมาเที่ยวเขาไม่สนใจหรอกค่ะ ว่าคู่สนทนา พูดสำนวนชัดหรือไม่ขอให้เข้าใจที่เขาถาม และตอบ สิ่งสงสัยด้วยภาษาเดียวกันได้ก็พอแล้ว เขาแค่ต้องการ สื่อสารเท่านั้น
- "ช้า" การพูดช้าๆ ทำให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น แม้สำนวน จะไม่ดีอาจฟังแล้วเพี้ยนเป็นคำอื่นได้ แต่พอพูดช้า ก็ทำให้ความเข้าใจไม่ผิดเพี้ยน
- "ชัด" คำนี้ไม่ได้หมายถึงพูดสำเนียงชัดเปรี๊ยะ แต่ชัด ในความหมาย ในถ้อยคำที่สื่อสาร อาจจะเป็นคำง่ายๆ เช่น กิน อยู่ หลับ นอน แต่ไม่ผิดเพี้ยนกับความหมาย ที่ต้องการจะสื่อแน่นอน แต่ถ้าภาษาไม่แข็งพอแล้วดัน พยายามจะใช้ศัพท์ยากๆ ผลก็คือไม่รู้เรื่องทั้งคนพูด คนฟัง การสื่อสารก็ล้มเหลว
นักเขียนหลายๆ คน เองก็เช่นกัน พะวงกับความสวยงาม ทางภาษา เพราะคนเหล่านี้ได้รับแรงบันดาลใจมากจาก นักเขียนใหญ่ที่มีฝีไม้ลายมือสละสลวย แต่ว่าสำนวน สวยงามแบบนั้นคงไม่มีใครได้มาในวันเดียวหรอกค่ะ ประสบการณ์เป็นตัวช่วย ดังนั้นอย่าไปกังวลเลยค่ะ ถ้าประสบการณ์ช่วยนักเขียนใหญ่ได้ ประสบการณ์ ก็คงช่วยนักเขียนเล็กได้เหมือนกันแหละ กรณีนี้ ก็คล้ายๆ กันกับเรื่องไกด์น่ะค่ะ ไม่ต่างกันเลย
- "เคลียร์" คือประเด็นต่อมาความหมายของเคลียร์ ก็คือกระจ่างค่ะ ทั้งนี้เพื่อป้องกันการงง ยกตัวอย่าง เช่น ถ้าขึ้นเกาะตอนกลางวันอยู่ดีๆ ไกด์ก็เอา กย.15 มาแจก คงงงใช่ไหมคะ? แจกทำไมกลางวันไม่มียุงหรอก แต่ก่อน จะได้ถามคุณไกด์ก็รีบบอกมาเสียก่อน
"เนื่องจากต้นไม้เยอะจึงมีแมลงมาก นอกจากยุงแล้ว หลายคนอาจจะแพ้แมลงดังนั้นทากันไว้ก่อนนะครับ ทั้งยุงทั้งแมลง"
เป็นอันเคลียร์ค่ะ...เข้าใจแล้ว กระจ่างแจ้ง ไม่ต้องถาม นิสัยการอ่านก็เช่นกัน ต่างกันออกไปไม่ได้เหมือนกัน ทุกคน บางคนคืออ่านผ่านๆ ไม่ขี้สงสัยก็อาจจะรับ กย.15 มาทาโดยไม่ถาม แต่คนขี้สงสัยก็มีไม่น้อย เหมือนกัน เจ้าแก้วก็เป็นคนหนึ่งที่ขี้สงสัยจนบางที กลายเป็นจับผิดไปเสียได้ ถ้าสงสัยแล้วถ้าถามไม่ได้ เพราะนักเขียนไม่ได้อยู่ตรงหน้าเหมือนไกด์ ผู้อ่าน ก็อาจจะต้องตีความกันเอาเอง ถ้าตีความได้ก็ดีไป ตีความไม่ได้หรือผิดความหมายที่ต้องการจะสื่อ ทำให้ เขาไม่ใจเหตุผลในการเขียน นักอ่านก็จะบอกว่า....
"หนังสือเล่มนี้ห่วยจัง!! คนเขียนไม่เก่งเลย !!"
ใครเสียเซลฟ์ล่ะคะงานนี้ ก็นักเขียนสิคะ หลายคนๆ ก่อนจะโมโหควรสำรวจตัวเอง ไม่งั้นอ่านแค่นี้ก็ของขึ้น โมโหเสียก่อนไม่ได้วิเคราะห์ว่าผลเกิดจากตัวเอง ก็เกิดความน้อยใจหรือดีไม่ดีจะพาลทะเลาะกับคนอ่าน ไปเลย ถ้าถามว่าใครผิดก็ต้องคนเขียนสิคะ เพราะมัน เป็นงานของเราไม่ใช่งานของคนอื่นจะไปโทษคนอื่นได้ยังไง คงต้องใจเย็นลงแล้วย้อนกลับมาพิจารณาตัวเองดู อย่าเพิ่ง ไปจินตนาการโอเวอร์ทำร้ายตัวเอง ดังที่เห็นมาหลาย บล็อคแล้วที่นักเขียนจบลงด้วยคำว่า
"คนนี้ไม่ชอบเรา คนนี้กลั่นแกล้งเรา คนนี้อคติ คนนี้ อยากดังเลยมาด่าเรา คนนี้ไม่มีมารยาทในการวิจารณ์ ไม่ชอบก็ไม่ต้องอ่านสิ ใครบังคับให้อ่านหา คนชอบ งานฉันยังมีตั้งเยอะแยะ ที่พูดมาน่ะมีปัญญาเขียนได้ อย่างฉันหรือเปล่า อิจฉาฉันล่ะสิได้รวมเล่ม บลาๆๆๆ"
การคิดแบบนี้เป็นการบั่นทอนทำร้ายตัวเอง รวมถึงปิดกลั้น โอกาสที่จะพัฒนาการเขียนของตัวเองด้วยค่ะ จริงอยู่ว่า นักเขียนคืออาชีพขายอารมณ์ แต่ไม่ใช่ต้องเอาอารมณ์ มาแจกฟรีๆ หรือเอาอารมณ์นั้นย้อนมาทำร้ายตัวเอง แบบ ไม่ลืมหูลืมตา...จิตตกเปล่าๆ
ก่อนที่จะไปไกลกว่านี้ กลับเข้าเรื่องดีกว่า...ด้วยทั้งหมด ที่ว่ามาเจ้าแก้วจึงคิดว่า...การพูดมีผลต่อการเขียนค่ะ เพราะการพูดก็คือการเล่าเรื่อง เป็นการสื่อสารเช่นเดียวกัน ก่อนจะปรับฝีมือการเขียน บางทีคงต้องปรับในจุดของ การสื่อสารเสียก่อน ซึ่งข้อเสียในการสื่อสารไม่รู้เรื่อง มันคงผุดขึ้นมาในชีวิตประจำวันและแสดงออกโดยที่เรา ไม่ทันสังเกตหรือรู้ตัว เพราะคนรอบข้างก็ชินกับการสื่อสาร ของเราแล้ว คงต้องลองสำรวจตัวเองดูว่ามีใครงงเวลา ที่คุยกับคุณหรือเปล่า? เราพูดเร็วไปไหม? เปลี่ยนเรื่อง เปลี่ยนอารมณ์ในการสนทนาเร็วไปไหม? เราเป็นประเภท อยากทำอะไรก็ทำแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยหรือไม่?
ถ้าใช่ล่ะก็....ลองย้อนกลับมาดูที่นิยายคุณอีกหน แล้วคุณ จะเห็นวิธีแก้ปัญหาค่ะ ช้า-ชัด-เคลียร์ สโลแกนนี้เจ้าแก้ว ขอแนะนำค่ะ มันง่ายกว่าจะมานั่งน้อยใจว่าทำไมฝีมือฉัน ไม่ดีกันนะ ทำไมล่ะ? ทุกๆ อย่างมันมีเหตุผลอยู่ในตัว แล้วแต่ว่าคุณจะเห็นหรือเปล่าเท่านั้นล่ะค่ะ วิธีนี้ได้ผล กับเจ้าแก้วนะคะ เลยขอแนะนำเพื่อนๆ ลองนำเคล็ดไม่ลับ ไปใช้ดูกันค่ะ ได้ผลประการใดนำมาบอกเล่าบ้างก็ดีนะคะ หรือมีเคล็ดอื่นๆ ก็บอกกันมามั่งนะคะ
Create Date : 29 มกราคม 2551 |
Last Update : 29 มกราคม 2551 5:47:27 น. |
|
26 comments
|
Counter : 803 Pageviews. |
|
|
|
โดย: p IP: 58.8.144.142 วันที่: 29 มกราคม 2551 เวลา:7:56:23 น. |
|
|
|
โดย: ตอกะจอ วันที่: 29 มกราคม 2551 เวลา:8:12:17 น. |
|
|
|
โดย: JingleJ IP: 125.27.113.88 วันที่: 29 มกราคม 2551 เวลา:8:29:28 น. |
|
|
|
โดย: piccy IP: 124.120.243.123 วันที่: 29 มกราคม 2551 เวลา:8:46:19 น. |
|
|
|
โดย: ยาคูลท์ วันที่: 29 มกราคม 2551 เวลา:12:02:59 น. |
|
|
|
โดย: หวัน (หวันยิหวา ) วันที่: 29 มกราคม 2551 เวลา:13:20:17 น. |
|
|
|
โดย: มิวมิ๊ว IP: 124.120.186.48 วันที่: 29 มกราคม 2551 เวลา:15:40:30 น. |
|
|
|
โดย: มรีจิกา IP: 58.8.75.95 วันที่: 29 มกราคม 2551 เวลา:16:01:26 น. |
|
|
|
โดย: latics1 วันที่: 30 มกราคม 2551 เวลา:11:21:51 น. |
|
|
|
โดย: ;b;b; IP: 61.7.166.18 วันที่: 30 มกราคม 2551 เวลา:15:00:38 น. |
|
|
|
โดย: poison ivy IP: 61.7.166.18 วันที่: 30 มกราคม 2551 เวลา:15:03:29 น. |
|
|
|
โดย: momiji IP: 58.9.30.158 วันที่: 30 มกราคม 2551 เวลา:15:09:10 น. |
|
|
|
โดย: TMB IP: 58.9.148.158 วันที่: 30 มกราคม 2551 เวลา:15:57:51 น. |
|
|
|
โดย: หมูย้อมสี วันที่: 30 มกราคม 2551 เวลา:17:19:08 น. |
|
|
|
โดย: แก้วกังไส วันที่: 31 มกราคม 2551 เวลา:5:18:41 น. |
|
|
|
โดย: นุ้ย IP: 58.10.74.201 วันที่: 31 มกราคม 2551 เวลา:9:46:29 น. |
|
|
|
โดย: Argent วันที่: 31 มกราคม 2551 เวลา:19:56:53 น. |
|
|
|
โดย: มณีมัญชุ์ วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:9:00:05 น. |
|
|
|
โดย: หวัน (หวันยิหวา ) วันที่: 5 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:22:10:43 น. |
|
|
|
โดย: err_or วันที่: 6 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:9:49:49 น. |
|
|
|
โดย: ตานนท์ (คนไม่หวาน ) วันที่: 13 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:13:49:23 น. |
|
|
|
|
|
|
|
แต่การวิจารณ์ในบางที่ อ่านแล้วก็รู้สึกว่าใช้คำรุนแรงไปรึเปล่า จะติยังไงไม่ว่า แต่ก็อยากให้คิดถึงใจคนเขียนมั่ง ก็รู้นี่ว่านักเขียนบางคนอารมณ์อ่อนไหว ดังนั้นน่าจะเอาใจเขามาใส่ใจเราบ้างนา แต่ก็นะคนเรามันคิดไม่เหมือนกันอีกนั่นแหละ เฮ้อ...นี่แหละมนุษย์