หมอผี? ข้าต้องการหมอเสน่ห์!
เพคะ หมอผีกะลอนี้เป็นทั้งหมอผี รักษาทั้งคนเป็นคนตาย เป็นหมอยา หมอทำ *[2-ผู้ที่รับทำพิธีกรรมต่างๆ]หมอไสยเวท เพคะ การขยายความนี้เรียกความสนใจจากพระเทวีได้มากโข
หมอกะลอนี้เดิมทีเป็นหมอผีประจำหมู่บ้านเพคะ แต่ว่าทำผิดฮีต*[3 -จารีต] ใดสักอย่างจึงถูกขับออกจากหมู่บ้าน มาอยู่ชายป่ารับเป็นหมอยาปรุงสมุนไพร แก้ไขเรื่องเวทมนต์คาถา ไล่ผี เขาว่าฉมังนัก
แล้วเรื่องทำเสน่ห์? เทวีผู้ทรงโฉมพุ่งเข้าประเด็นทันที
เพคะ...หมอกะลอผู้นี้ก็ว่ากันว่าทำได้เพคะ
มิใช่ว่ากันว่า ตกลงทำได้หรือไม่? แล้วได้ผลประการใด?
เอ้อ...นางเอื้องมันว่าฝือฉกาจนัก ผูกรักมัดใจให้ไปหลายคู่แล้วเพคะ ตะ..แต่ว่าอย่าเพิ่งเชื่อถือนักเลยเพคะ ที่สำคัญ...หากผู้ใดรู้เข้าพวกเราเดือดร้อนเป็นแน่ เรื่องแบบนี้ไม่ควรเข้าไปเกี่ยวข้อง รับฟังไว้เฉยๆ ก็พอนะเพคะ ศรีดาราพยายามเบี่ยงเบนความสนพระทัยแต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล ซ้ำยังโดนตำหนิด้วย
พี่ศรีดารา ข้ามิได้ขอความเห็นพี่ อย่ามาสั่งสอนข้า ข้ารู้ว่าข้าควรทำสิ่งใดไม่ควรทำสิ่งใด... ตรัสได้แค่นั้นก็ทรงกรรแสงออกมาเสียแล้ว
ข้ารู้ว่าพี่อยากพูดกระไร แต่พี่ไม่รู้ดอกว่าข้าทุกข์แค่ไหน พี่มิเคยมีครัว*[4 - มีครอบครัว] ศรีดาราร้องห้ามแต่เจ้าโฉมตรูมิยอมสดับ ยังเอาแต่ร่ำไห้คร่ำครวญเป็นที่น่าเวทนา
ข้าไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ หากเสด็จพี่มีหญิงอื่น แล้วสิ้นรักข้า นางคนคิ้วเข้มถึงกับหัวหมุน ไม่เคยเลยที่สหายผู้สูงศักดิ์ของนางจะกลายเป็นหญิงไร้เหตุผลเช่นนี้ ศรีดาราจึงสิ้นปัญญาจะโต้แย้ง ครั้นจะไล่ให้นางไปทูลขอสัญญากับพระสวามีก็ทรงอ้ำอึ้งมิกล้าตรัส ตัวนางเองเป็นเพียงแค่นางกำนัลจะไปทูลแทนก็เกรงจะไม่บังควร อาจทำให้ภูวิษะเจ้าจะทรงกริ้วได้
แต่ว่าภูวิษะเจ้าทรงสัญญาไว้แล้ว และก็ทรงรักษาสัตย์ที่ให้ไว้เสมอ อย่าทรงวิตกกังวลไปเลยเพคะ
เรื่องนั้น...ข้ารู้ ข้าเชื่อว่าเสด็จพี่จะพยายามรักษาสัญญา แต่นี่เป็นหน้าที่หากได้รับหญิงงามมาเป็นรางวัล จะทรงปฏิเสธได้อย่างไร อีกประการบุรุษอย่างเสด็จพี่ทรงมีความเมตตา ก็คงสงสารเวทนาหญิงนางนั้นอย่างไรนางก็ขึ้นชื่อเป็นชายา แค่คิดว่าภูวิษะเจ้าเพียงชายพระเนตรมองนางคนเมืองปาลด้วยใจเวทนาแล้ว ข้าก็แทบกระอักเลือด...พี่เข้าใจหรือไม่ สุรเสียงเกรี้ยวกราดนัก
เมื่อตรัสแล้วก็ปาดน้ำพระเนตรออกจากดวงเนตรงาม ทรงรู้ว่าองค์เองว่าพระอารมณ์ไม่ปรกติ มิอาจใช้เหตุผลใดกับเรื่องดวงฤทัยได้เลย ศรีดาราได้ฟังก็ได้แต่นิ่งเงียบไม่กล้าทูลทัดทาน นางรู้สึกราวกับว่าอัสสุชลแห่งเทวีคล้ายห้วงน้ำขนาดใหญ่ที่กำลังจะกลืนนางจนจมหายมิด
หากทุกอย่างล่วงเลยจนเกินการณ์ จนข้าไม่อาจแก้ไขสิ่งใดได้อีก...การเป็นเจ้าหญิงแห่งจุมภะกำลังจะบีบข้าให้จนมุม หากข้าเป็นเพียงสตรีสามัญชนข้าคงจะแก้ไขเรื่องนี้ได้ดีกว่าที่เป็นอยู่
หมอเสน่ห์อาจเป็นเพียงเรื่องเหลวไหลในสายตาพี่ เป็นความโง่งมที่พี่มองเห็น แต่นี่เป็นสิ่งเดียวที่ข้าทำได้ในฐานะสตรี ในฐานะชายา ในฐานะเมีย ไม่ว่าหญิงใดก็ไม่อยากสูญเสียบุรุษอันเป็นที่รักยิ่งชีวิตของตนให้หญิงอื่นดอก รับสั่งนั้นจริงจังจนบาดลึกเข้าไปในใจของผู้ฟัง
และข้าไม่อาจนิ่งเฉย รอให้สิ่งที่หวาดกลัวเกิดขึ้นมาเบื้องหน้าได้ พี่ศรีดารา...ข้าขอร้องเถิด เห็นใจข้าบ้าง ไม่ใช่ในฐานะเจ้าหญิง มิใช่เทวีของพี่ แต่เป็นข้าหญิงที่กำลังทุกข์โศก ได้โปรดฟังคำขอร้องขอข้าเถิด.. ไม่ตรัสเปล่า พระนางเลื่อนวรกายลงประทับบนพื้นเสมอกับศรีดาราแล้วจับมือนางขึ้นมาร้องขอ
พระเทวี อย่าทำเช่นนี้เลยเพคะ ลุกขึ้นเพคะ
รับปากข้าก่อนสิ ข้าไม่มีใครให้พึ่งพาอีกแล้วนะพี่ศรีดารา พี่กุสุมาลย์ก็ทิ้งข้าไปแล้ว ข้าก็เหลือแต่พี่ที่ไว้ใจได้ ไม่เหลือใครที่รักข้าเท่าพี่ศรีดาราอีกแล้ว
พระทัยเย็นไว้เพคะ นางกำนัลทุกคนรักพระองค์ยิ่ง ทั้งข้า ทั้งปทุมมา หรือแม้แต่คุณท้าว ล้วนแต่ภักดีทั้งสิ้น
แต่พวกเขาคงไม่ยอมฟังคำขอของข้า หากคุณท้าวรู้เข้าอาจจะไปทูลฟ้องเสด็จแม่ แล้วข้าคงโดนลงโทษ เรื่องนี้ข้าไหว้วานใครมิได้นอกจากพี่จริงๆ หากพี่ไม่ทำตามที่ขอ เห็นทีข้าอาจจะต้องไปเอง
อย่านะเพคะ ทรงเป็นถึงราชธิดาจะเสด็จประพาสในที่อันไม่ควรเยี่ยงนั้นมิได้ หากใครรู้เข้าจะเสื่อมเสียพระเกียรติ
แล้วพี่จะให้ข้าทำเช่นไร ถึงจะยอมช่วยเหลือ พี่ต้องการสิ่งใดเงินทองหรือผ้าชั้นดีใดๆ ข้ามีให้ทุกสิ่ง ขอเพียงทำตามที่ข้าขอร้องเท่านั้น
พระเทวีหม่อมฉันไม่ต้องการสิ่งใด ทุกวันนี้พระเทวีประทานให้หม่อมฉันมากแล้ว ศรีดารารีบปฏิเสธนางไม่เคยเห็นมหิตาเทวีเป็นเช่นนี้มาก่อน จิตใจจึงหวั่นไหวไปตามพระอารมณ์ของนางเทวี
ได้โปรดเถิดพี่ศรีดาราเห็นใจข้าด้วย จะให้ข้ากราบพี่ก็ได้ ขอเพียงพี่ช่วยเหลือข้าหนนี้เท่านั้นข้าจักไม่ลืมพระคุณพี่เลย ตรัสจบก็ยกมือขึ้นไหว้นางกำนัลของตนเอง นางคนคิ้วเข้มเห็นเข้าก็ตกใจใหญ่โต รีบคว้ามือพระเทวีให้ลดลง
อย่าเพคะ พระองค์สูงส่งอย่าทรงทำเช่นนี้
พี่ศรีดารา... พระนางยังร่ำร้องคร่ำครวญจนผู้ฟังเจ็บปวดดวงใจตามไปด้วย
ข้าจะช่วยๆ ก็ได้...อย่าทรงทำเช่นนี้อีกเลย เมื่อศรีดารารับปาก เทวีคนงามก็แย้มสรวลด้วยความดีพระทัย ทรงหยุดกรรแสงแล้วยกหัตถ์ขึ้นปาดหยาดอัสสุชลออกจากดวงพักตร์
จริงๆ นะ พี่ต้องช่วยข้าจริงๆ นะ
เพคะ เมื่อเห็นนางคนโปรดรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ ก็ดีพระทัยทัยนักทรงสวมกอดนางอย่างรักใคร่ จนศรีดาราต้องทูลเชิญให้ขึ้นไปนั่งบนพระแท่นตามเดิม นางจึงจะเจรจาด้วย จากนั้นสองนางต่างศักดิ์จึงค่อยปรึกษาหารือกันว่าจะดำเนินการเช่นไรบ้าง
อันที่จริงหากเรารั้งท่านภูวิษะเอาไว้ไม่ให้เสด็จร่วมกองทัพ แค่นี้ก็น่าจะเพียงพอแล้วนะเพคะ
เมื่อแรกข้าก็คิดเช่นนั้น แต่จะรั้งตัวเสด็จพี่ไว้ได้อย่างไร
ใส่สลอดลงในพระกระยาหารไหมเพคะ หากประชวรก็ไปไม่ได้ นางตัวดีเสนอความคิดขึ้นมา แต่มหิตาเทวีส่ายพระพักตร์
อาหารที่เสวยอยู่ทุกวัน ไม่เคยเป็นกระไร อยู่ดีๆ มาเสวยแล้วประชวร พี่คิดว่าจะไม่ถูกสอบไปทั้งตำหนักรึ? ห้องเครื่องคงจะโดนโบยตีเป็นอันดับแรก และหากร้ายแรงไปกว่านั้น เรื่องไปลามไปใหญ่โต นี่มิต่างกับการลอบปลงประชนม์ เราสองคนรึจะแก้ไขเรื่องนี้ได้ ศรีดาราจำต้องนิ่งไป แม้จะทรงวิตกกังวลแต่ยังทรงสติปัญญา
วางยาก็มิได้ ทูลห้ามก็มิได้ แล้วจะทำเช่นไรดี? นางคนทะเล้นถึงกับยกมือขึ้นเกาศีรษะ
ก็เพราะอย่างนี้ไงเล่า ข้าจวนตัวมิอาจทำสิ่งใดได้ จำต้องพึ่งหนทางนี้ สายพระเนตรเหม่อมองไปไกล บ่งบอกถึงความลำบากพระทัย
ถ้าเช่นนั้น...หม่อมฉันจะลองไปพบหมอผีกะลอนั่นดูเพคะ แต่..อย่าทรงตั้งความหวังมาก เรื่องนี้อาจเป็นเพียงความงมงายของชาวป่าชาวดอยเท่านั้น อาจจะไม่ให้ผลจริงดังประสงค์ได้
ไม่เป็นไรดอก หากมิอาจทำอะไรได้ก็ถือว่าเป็นเคราะห์กรรมของข้าเอง ขอบใจพี่มาก
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ร่างเล็กผอมเกร็งผิวคล้ำอย่างคนกรำแดดของเฒ่าชาวกะลอกำลังนั่งชันเข่าอยู่เบื้องหน้าของศรีดารา ร่างนั้นผอมแห้งจนเรียกได้ว่าหนังหุ้มกระดูก ตลอดทั้งร่างผิวหนังแทบไม่มีพื้นที่ว่างอักขระมนตราและยันต์ต่างๆ ถูกสักไว้เต็มร่าง ไม่เว้นแม้แต่ใบหน้า
รูปหน้าผอมยาวโหนกแก้มสูง จมูกแหลมงุ้มปลาย เบ้าตาลึกแต่แววตาดุดันโชนแสงออกมาเป็นจุดเด่นที่สุดบนใบหน้า ในมือยังถือบ้องยาสูบที่ทำจากไม้ตัวเรียวลำยาวปลายปล่องปล่อยควันฉุยออกมา
ศรีดาราไม่ชอบกลิ่นยานั้น แต่จำทนจึงรวบรัดเข้าจุดประสงค์อย่างรวดเร็ว ใจนึกอยากลงจากกระท่อมนี้แล้วกลับไปอย่างรวดเร็วโดยไม่หวนมาอีก
พ่อหมอพอจะช่วยอะไรได้ไหม? นางใช้ศอกยันนางเอื้องหญิงชาวป่าที่เป็นผู้นำทางมา ให้เป็นล่ามแปล
พ่อหมอ พี่สาวนางนี้มิอยากให้ผัวไปรบ กลัวไปบ่กลับ พ่อหมอพอมียาใดที่ทำให้อยู่ติดเรือนบ่ไปรบบ้างไหม? นางเอื้องบอกเล่าเป็นภาษากะลอ หมอเฒ่าฟังแล้วหัวเราะจากนั้นก็จ้องมองศรีดาราเขม็ง
จะมียาใดดีเท่ายาเสน่ห์เล่า เอาดวงเจ้ากับผัวมา นางเอื้องรีบแปลให้ ศรีดาราจึงส่งดวงที่เขียนใส่ผ้าผืนเล็กยื่นไปให้
หืมม...ม หมอเฒ่าพิจารณาแล้วยกนิ้วขึ้นคิดคำนวณอยู่ครู่หนึ่ง ก็จ้องหน้าศรีดาราแล้วจึงว่า
นี่มิใช่ดวงเจ้า แล้วดวงนี่ก็คงไม่ใช่ของผัวเจ้าด้วย ดวงหลังสุดมีแต่วัน เดือน และปีนักษัตรแต่หามีปีศักราชพ่อเจ้าองค์ใดระบุให้แน่ชัด ว่าเกิดในร่มเศวตฉัตรผู้ใด
ดวงนี้สูงเกินไปสำหรับคนอย่างเจ้า นางคนทะเล้นถึงกับพูดไม่ออก ในที่สุดก็ถอนหายใจแล้วบอกนางเอื้องให้แปลไป
นางว่าขอเถิดพ่อหมอ อย่าได้ซักถามสิ่งใด
เอ็งเป็นบ่าว นายใช้ให้มาสินะ หมอเฒ่าหัวเราะในลำคอ สายตาสำรวจตรวจตราศรีดาราไปจรดร่าง นางคนคิ้วเข้มนึกหวาดสายตานั้นจนเผลอขยับหนีไปเสียคืบ
ไม่ต้องกลัว เข้ามานี่ ไม่อยากให้ถามข้าก็จะไม่ถาม มีอีนายคนมั่งมีให้บ่าวมาหาข้าถมไป แต่เจ้านี่รูปร่างหน้าตาดีนี่ ชีวิตเจ้าไม่น่าลำบาก จะให้ข้าตรวจดวงด้วยไหมล่ะ? ศรีดาราส่ายหัวดิก กลัวจะถูกล้วงความลับมากไปกว่านั้น อย่างน้อยๆ นางก็รู้ว่าพ่อหมอนี่มีวิชา
ดวงผัวมันประหลาดนัก แต่จะให้ระบุว่ามันประหลาดยังไงต้องเอาฤกษ์ผานาทีเกิดมาด้วย ศรีดาราปฏิเสธว่าไม่รู้ หมอเฒ่ากะลอนั่นหัวเราะจนเห็นฟันเหลืองเป็นคราบที่เหลืออยู่ในปากไม่กี่ซีก
ไม่เป็นไร แค่นี้ข้าก็ทำได้แต่ดวงมันประหลาดเกินคนนัก
ประหลาดยังไงรึ? นางคนทะเล้นอดถามิได้
ประหลาดที่ว่าเป็นดวงที่ใหญ่เรียกว่าดวงมโหฤกษ์ ดวงแบบนี้... ตาเฒ่าชะงักไปเล็กน้อย
ไม่น่าเป็นคนธรรมดา ถ้าดีก็ดีแก่คนทั้งมวล ไม่ดีก็ไม่ดีกับทั้งปวงอีกเช่นกัน ประหลาดล้ำ นางเอื้องหันขวับไปจ้องหน้าศรีดารา ส่วนนางคนที่นำดวงมามองหมอเฒ่าด้วยความตกตะลึงยิ่ง แต่เมื่อตั้งสติได้จึงรีบพูดกลบเกลื่อน
ก็แน่ล่ะพ่อหมอ จะไปรบทัพจับศึกชนะก็ดีกับทั้งเมือง แพ้ก็บรรลัยกับคนทั้งเมือง นี่แหละนายข้าถึงกลุ้มใจนักไม่อยากให้ไป แต่ขัดใจพ่อมิได้
พ่อของอีนายนี่คงเป็นคนใหญ่คนโตนัก จากดวงนางคนนี้สุขสบายแต่เด็กไม่เคยเหยียบดิน เลี้ยงมาแบบผู้รากมากดี ศรีดาราพยักหน้ารับแต่ไม่ปริปากมากไปกว่านี้
เอาอย่างนี้ข้าลงมนต์มัดใจให้ ภายใน 7 วัน ถ้ามันไปไหนมันก็ต้องกลับมา
พ่อหมอ...7 วันมันช้าไป นายข้าต้องการมิให้ผัวจากเรือน 7 วันป่านนี้เดินทางไปถึงไหนต่อไหนแล้ว
บ๊ะ! อีนี่ เร่งรัดจริง เดี๋ยวข้าก็ไม่ทำให้เสียดอก นางเอื้องฟังแล้วรีบห้ามปรามศรีดาราให้นางกล่าวคำลุแก่โทษต่อพ่อหมออย่างล่วงเกิน
ข้าขอโทษนะพ่อหมอ ข้าใจร้อน นายของข้าก็เช่นกัน เออนี่แน่ะ นางฝากค่าบำเน็จมาหากได้ผลจะให้เพิ่มขึ้นนะจ๊ะ
ศรีดารายิ้มหวานอย่างประจบ แล้วหยิบล้วงเอาผ้าห่อหนึ่งออกมาภายในบรรจุไปด้วยก้อนเงินที่มหิตาเทวีประทานมาให้ หมอเฒ่าเห็นเข้าก็ตาวาวยิ้มรับอย่างดิบดี มองดูก็รู้ว่าพึงพอใจ ศรีดาราลอบถอนหายใจนางเข้าใจแล้วว่าหมอเฒ่านี่ผิดฮีตจนโดนไล่ออกจากหมู่บ้านได้อย่างไร
ระหว่างทางนางเอื้องอธิบายประเพณีให้ฟังคร่าวๆ ว่าหมอผีคือหมอยาประจำหมู่บ้าน คอยติดต่อผีบ้าน บวงสรวงแถน จะไม่ร่วมอวิชาใดๆ และการตอบแทนแต่ละครั้ง จะให้เป็นอาหาร หรือหมู ไก่ หรือสัตว์เป็นหนึ่งตัว หรือแม้แต่แรงงานไปช่วยทำไร่ไถนาก็ย่อมได้ แต่จะไม่รับเงินเด็ดขาด ครั้นพอมองแววตาของหมอเฒ่าก็กระจ่างแจ้งขึ้นมาทันที
ขากลับนั้นศรีดาราได้ของมาหอบใหญ่ เกินกว่าที่นางคิดว่าไปหมอทำเสน่ห์จะได้มาเยอะเพียงนี้ จากเมื่อแรกคิดว่าเพียงจะทำพิธีให้เสร็จสิ้นแล้วอาจจะได้น้ำมนต์ หรือ ของขลังสักชิ้นเท่านั้น แต่เมื่อฟังคำอธิบายแบบเป็นขั้นเป็นตอนแล้ว นางคนทะเล้นก็มองเห็นว่าไสยศาสตร์นั้นมีหลักการของมันอธิบายได้ไม่ต่างกับตำราเมือง เพียงแต่แฝงไปด้วยความเชื่อ ความศรัทธา และความหวังของผู้ที่รอคอย
ในขณะที่นางเอื้องดีใจที่ค่าตอบแทนในการนำทางมาเป็นเงินถุงหนึ่ง และอาจจะได้ผ้านุ่งงามๆ สักผืน แต่ประการหลังนางเอื้องคงไม่สมหวังเพราะเป็นเรื่องเกินฐานะนางกำนัลที่มีหน้าที่ซักผ้า หากผ้างามสวมใส่จะเป็นที่ต้องสงสัยเสียมากกว่า แต่นางบ้านป่านก็ยังดีใจเมื่อคิดว่ากลับไปจะได้รางวัลอีกชิ้นหนึ่งจากพินทุมณีเทวี
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เมื่อตะวันราแสงแรงแดดก็อ่อนตาม นานเท่าไรมหิตาเทวีก็ไม่แน่แก่พระทัย แต่ในความรู้สึกศรีดาราช่างไปนานเสียกระไร จะได้ความอย่างไรก็ไม่รู้ จึงไม่อาจทนรอคอยอย่างสงบได้ วันนั้นทั้งวันไม่ว่าปทุมมาหรือนางอื่นๆ จะถวายการปรนนิบัติอย่างไรก็ไม่ถูกพระทัย คอยแต่ถามหาศรีดาราที่อ้างว่าลากลับไปทำเยี่ยมแม่นมของตนที่ป่วยอยู่
เมื่อนางกลับมาจึงถูกคุณท้าวไล่ให้ไปเข้าเฝ้าทันที ไม่ทันได้พักดื่มน้ำแม้แต่น้อย มหิตาเทวีเห็นหน้านางจึงค่อยมีสีพระพักตร์ชื่นบานขึ้นบ้าง และคอยสดับฟังเรื่องที่นางเล่าถวาย
หมอเฒ่านั่นหน้าตาหน้ากลัวมากเพคะ เนื้อตัวมีแต่รอยสัก นัยน์ตาลึกเหมือนเหยี่ยวจ้องมองคนแต่ละทีหม่อมฉันละขนลุก ดีแล้วที่ไม่ได้เสด็จไปเองไม่งั้นต้องทรงหวาดกลัวแน่ๆ เลยเพคะ
อย่างนั้นรึ? แล้วหมอเฒ่านั่นใช้การได้หรือไม่?
ก็น่าจะได้อยู่นะเพคะ จากนั้นนางก็เล่าถึงการทายดวงชะตาที่แม่นยำจนน่าทึ่ง ทำให้มหิตาเทวีมีกำลังพระทัยมากขึ้น แล้วท้ายสุดก็ยกเอาห่อผ้าบรรจุข้าวของที่ได้มาจากหมอเฒ่าชาวกะลอมาเปิดให้ทอดพระเนตร
ทั้งหมดในห่อผ้านี้หรือของเสน่ห์? มหิตาเทวีทรงทอดพระเนตรสิ่งขอในห่อผ้าที่ศรีดารานำมาถวาย แล้วก็ส่งสุรเสียงฉงน
เพคะ หม่อมฉันก็สงสัยเหมือนพระองค์ นึกว่าจะให้ยันต์สักผืนหรือสิ่งเล็กๆ น้อยมาสักอย่าง นี่ให้มาเต็มห่อ พ่อหมอบอกว่าเป็นกรณีของพระเทวีเร่งรีบนักไม่อาจรอเวลาได้ สิ่งของในพิธีกรรมจึงต้องเยอะกว่าปกติ แล้วยังบอกอีกว่าเดี๋ยวพอเรากลับไป จะทำบริกรรมคาถาเพื่อการณ์นี้ให้ถึง 7 วัน 7 คืน ให้เวทเข้มขมังขึ้นอีกเพคะ
แล้วมันใช้อย่างไรบ้าง ดูมากมีชวนงุนงงนัก
นี่นะเพคะ อย่างแรกเทียนยันต์ ตอนแรกหม่อมฉันให้ชายผ้านุ่งของพระองค์กับท่านภูวิษะไปแล้ว หมอเฒ่าว่าจะยัดเข้าใส่หุ่นดินที่ปั้นจากดินเจ็ดป่าช้าแล้วบริกรรมคาถาจากนั้นก็ให้นำกลับมา บอกให้พระเทวีนำไปไว้ใต้แท่นบรรทมของท่านภูวิษะนะเพคะ
แค่นั้นเหรอ?
มิได้เพคะ ต่อจากนั้นพอย่ำค่ำก็ให้จุดเทียนยันต์ ห้ามมิให้เทียนดับตลอด 3 วันก่อนที่จะเสด็จไปทำศึก จะต้องจุดต่อเนื่อง มหิตาเทวีหยิบเทียนขี้ผึ้งสีขมุกขมัวลงอักขระสีแดงเอาไว้ มองดูน่ากลัวมากกว่าจะน่าใช้งาน
ข้าต้องตื่นมาจุดหรือ? ถ้าเผลอหลับไปล่ะ?
ก็บรรทมห้องโน้นกับท่านภูวิษะสิเพคะ ทางนี้ก็ให้พวกหม่อมฉันคอยเฝ้าเทียนให้ เมื่อตกลงกันได้ดังนี้จึงค่อยแย้มสรวลออกมาได้ โดยหารู้ไม่ว่าองค์เองและนาคเจ้าควรจะอยู่ในห้องบรรทมที่จุดเทียนเสน่ห์เอาไว้ด้วย
เนื่องจากเทียนนั้นเป็นขี้ผึ้งผสมไปด้วยสมุนไพรปลุกกำหนัดอย่างอ่อนๆ หากได้กลิ่นก็จะถวิลหานางอันเป็นที่รัก ซึ่งจะเป็นเหตุหนึ่งให้ทรงอาลัยการจากนางนั่นเอง หากใครจิตอ่อนก็อาจจะไม่ยอมออกเดินทางก็เป็นได้
ทีนี้สิ่งนี้เรียกว่า อิ่น นางส่งไม้หอมขนาดใหญ่กว่าแก้วหัวแหวนเล็กน้อยถวายให้ชม เมื่อทอดพระเนตรแล้วก็พบว่าเป็นไม้หอมชิ้นเล็กๆ สลักเป็นรูปคนอย่างหยาบๆ กำลังกอดกันอยู่
ใช้ทำกระไร?
เก็บมันใส่ไว้ในอกเพคะ ว่าจะเรียกคนรักกลับคืน พอถึงวันออกศึกให้ใส่อิ่นนี้เอาไว้กับตัวท่านภูวิษะ อย่าให้ทรงรู้เด็ดขาดนะเพคะ ไม่งั้นของจะเสื่อม ระหว่างที่ใส่ไปให้ว่าคาถากำกับไปด้วย หม่อมฉันจดคาถามาให้แล้ว เอาถ่านเขียนลงบนผ้าพอจะอ่านออกไหมเพคะ
หากเป็นเมื่อก่อนพระนางคงสรวลออกมาเห็นเป็นเรื่องขำขัน แต่มาหนนี้ทรงเพ่งพระเนตรมองอิ่นนั้นอย่างจริงจัง แววเนตรหมายมาดฝากความหวังเอาไว้กับมัน ต่อจากนั้น เพราะเราเร่งรัดพ่อหมอ จะให้ใช้เวลา 7 วันเห็นจะรอมิได้ พ่อหมอก็เลยให้หัวว่านพญาหูม*[5] มา เมื่อพิศดูแล้วคล้ายหัวมัน แต่มีม่วงแก่รูปร่างพิกลพิการเหมือนคนอยู่มิใช่น้อย ให้เอาหัวว่านพญาหูมไปต้มน้ำแรกจะเป็นน้ำมันเก็บไว้ใช้ทาตัวยามเมื่อ...เอ้อ...อื้ม คนพูดจาคล่องแคล่วอย่างศรีดาราจู่ๆ ก็ติดขัดอ้ำอึ้งไปเสียอย่างนั้น ให้ใช้เมื่อไรนะพี่? จนถูกย้อนถามอีกครั้ง เมื่อ...เมื่อ...เมื่อ เอ้อ เมื่อ มัวแต่เมื่ออยู่นั่นแหละ แล้วข้าจะรู้เรื่องไหม? เอ้อ...เมื่อ เมื่อเข้าห้องหอเพคะ ปัดโธ่...ก็เท่านั้นแหละ ทรงถอนหทัยไม่เห็นเป็นสำคัญ ในขณะที่นางคนทะเล้นนั่งหน้าแดงก่ำ แล้วต้องทำสิ่งใดอีกไหม? ยังมีอีกเพคะ หัวว่านให้ต้มจนน้ำมันจาง แล้วกรองเอาแต่น้ำออกมาผสมลงในน้ำดื่มให้ท่านภูวิษะเสวยเพคะ อะไรนะ? ต้องทำขนาดนั้นเชียวรึ? เสวยแล้วจะมีผลอย่างไร ดื่มแล้วรสชาติแตกต่างมิจับได้รึ? พ่อหมอบอกว่าน้ำจากหัวว่านไม่มีรสไม่มีกลิ่นและไม่มีสีเพคะ เมื่อผสมน้ำฝนเข้าไปจะยิ่งเจือจาง จะปรุงแต่งกลิ่นให้หอมขึ้นด้วยน้ำดอกไม้ก็ย่อมได้ คงไม่ทันเฉลียวพระทัยดอกเพคะ น้ำนี่ให้เสวยวันที่จะทรงออกเดินทาง หมอเฒ่ารับรองว่าจะเสด็จกลับมาในครึ่งวันเพคะ จากนั้นก็ให้พระเทวีลงรั้งท่านเอาไว้ด้วย...เอ่อ น้ำมันนั่น นางทำหน้าบุ้ยใบ้คล้ายไม่อยากพูด เข้าใจล่ะ ข้าจะลองดู ตรัสด้วยพระทัยหมายมั่น ในดวงเนตรนั้นแวววาวไปด้วยประกายเพลิง ในเพลานั้นภูวิษะเจ้ายังไม่รู้ถึงเภทภัยที่กำลังจะเกิดแก่ตนเอง!+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ [1] กะลอ หรือ กะเลอ เป็นชาวเขาเผ่าหนึ่ง ซึ่งการออกเสียงเรียกนั้นเป็นไปตามสำเนียงแต่ละถิ่น เรียกว่า ปัจจุบันเรียกว่า ยางกะเลอ ในประวัติศาสตร์เล่าถึงการอพยพของชาวกะเลอไว้แค่กลุ่มเดียว คือใน พ.ศ.243 ได้ถูกเทครัว(หมายถึงถูกผู้มีอำนาจกวาดต้อนไป) จาก อ.ลี้ จังหวัดลำพูน อพยพไปอยู่ อ.แม่จัน เชียงราย ส่วนกลุ่มอื่นๆ ไม่ปรากฏในประวัติศาสตร์ คาดว่าอาจจะอพยพมารวมตัวกันที่แม่จันภายหลัง
[2] หมอทำ คือ ผู้ที่รับทำพิธีกรรมต่างๆ
[3] ฮีต คือ จารีต
[4] มีครัว คือ ออกเรือน มีครอบครัวนั่นเองค่ะ
[5] หูม เป็นภาษาเหนือ ใช้ในคำไสยศาสตร์ทำเสน่ห์เรียกว่า หูมหรือหุม แปลว่า รักหรือชอบ ในทางกามา