จิบชาชมดอกไม้ไปพลาง คุยกันเบาๆ ที่สวน..เจ้าแก้ว กังไส





Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2559
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
23 มิถุนายน 2559
 
All Blogs
 

เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 75





ตอนที่ 75


             ไส้เดือนตัวอวบใหญ่เต็มกำมือถูกชูมาตรงหน้า บางตัวรอดหว่างนิ้วออกมาดิ้นกระแด่วไปมา บางตัวขดตัวเลื้อยรัดกับนิ้วมือ อีกหลายคนตัวนั้นม้วนเป็นก้อนกลมปนอยู่กับขี้ดิน เจ้าของมือเป็นชายวัยกลางคนไม่มีทีท่ารังเกียจขยะแขยงสิ่งที่อยู่ในมือแต่อย่างใด เพราะมันเป็นสิ่งที่อยู่ในอาชีพของเขามาตลอด ไส้เดือนพวกนี้เพิ่งถูกขุดมาจากไร่ของตนเอง แล้วนำมายังอโศกคยาที่ใกล้บ้านตนเองที่สุด


             เมื่อพบเจ้าคณะพราหมณ์ซึ่งเป็นเพื่อนเล่นกันมาแต่ยังเล็ก ผิดกันแต่ชายในชุดพราหมณ์นั้นอยู่ในวรรณะพราหมณ์ตั้งแต่กำเนิด เมื่อเติบใหญ่ก็มาดูแลเป็นที่พักพิงแก่ชาวบ้านยังอโศกคยาหมู่หงส์ เหตุที่เรียกอโคกยาแห่งนี้ว่าหมู่หงส์เพราะมีรูปปั้นหงส์รามัญอยู่หลายจุด เป็นศิลปะที่มาพร้อมกับการอพยพของชาวรามัญที่มาตั้งถิ่นฐาน ณ ที่นี้


             “พระครู ท่านสังเกตเห็นหรือไม่มันพิกลๆ อยู่”


              ชายชาวสวนกล่าวเมื่อยืนอยู่เคียงกันยังท่าน้ำข้างอโศกคยา ท่าด้านนี้สำหรับให้พราหมณ์น้อยหรือโขลนวัด [1]มาตักน้ำไปใช้ภายใน ที่นี่ไม่มีจุดผูกแพหรือเรืออีกทั้งไม่นิยมถ่อแพมาด้วยเนื่องจากน้ำแรงและตลิ่งสูง ตัวท่าจึงตีไม้แผ่นขนาดใหญ่ยื่นชานลงไปในแม่น้ำสะดวกนี้จะมาตักน้ำไปนั่งเสวนากันไปยิ่งนัก


              ส่วนท่าสำหรับลอยศพอยู่ห่างไกลออกไปอีกหนึ่งกิโล ตามปกติแล้วจะส่งศพด้วยเพลิง เว้นแต่เป็นศพที่ตายอย่างผิดปกติวิสัย หรือศพที่ฆ่าตัวตายศพเช่นนี้จะไม่ได้รับการฌาปนกิจ แต่จะถูกล่องไปตามลำน้ำเพื่อส่งไปวิญญาณไปเป็นข้ารับใช้แด่จอมนาคราช เช่นเดียวกับศพของกุสุมาลย์


              “อย่างไร?”


“ก็ก่อนหน้านี้ไส้ดิน [2]พวกนี้มันหายหัวไปกันหมดเลย อยู่ๆ ก็ออกันมาเต็มไปหมด แต่....” 


              กล่าวจบก็จัดการโปรยไส้เดือนเหล่านั้นลงในแม่น้ำที่ไหลเรียบผ่านอโศกคยา ทั้งคู่เฝ้ามองไส้เดือนที่ลอยตัวเหนือน้ำอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพวกมันค่อยๆ จมหายลงไปในน้ำช้าๆ โดยปราศจากปลามาฮุบกิน


             “นี่แหละขอรับ ประหลาดนัก ไม่มีปลาใดมากินเหยื่อเหมือนว่าปลามันไปจากที่นี่หมดแล้ว” พระครูพยักหน้ารับแต่มิได้ออกความเห็นใด


             “เมื่อแรมก่อนจู่ๆ ก็มีปลามากมายตรงน้ำตื้น บางตัวก็ขึ้นมาเกยหาดให้จับง่ายๆ พอขึ้นค่ำปลากลับหายไปหมด” สิ่งที่ชายชาวสวนพูดนั้นเป็นเรื่องประหลาดในสายตาคุรุษมันต์พรามหณ์ผู้ดำรงค์ศักดิ์เป็นเจ้าคณะของอโศกคยานัก ท่านรอบสังเกตความอปกตินี้มาได้ระยะหนึ่งแล้วแต่มิได้เอ่ยปากบอกกับผู้ใด


             “ไส้ดินนี่ก็เช่นกัน ก่อนหน้านี้ดินแข็งนักเหมือนไม่มีไส้มาไชดินเลย แต่จู่ๆ มันก็โผล่มาล้นจากใต้ดินขึ้นมาบนหน้าดินเลย ยั้วะเยี้ยะไปหมด”


             “แต่ปลาหายไปแทนสินะ”


             “นั่นแหละขอรับข้าว่ามันประหลาดอยู่นา ดินน้ำมันดูพิกลไปหมด”


             “คนอื่นเขาว่าอย่างไร?”


             “ก็บ่นคล้ายๆ กัน แต่ทำอะไรไม่ได้ เลยต้องมาถามพระครูนี่แหละ มันเป็นอย่างไรกัน?”


            “อืม...ก็ประหลาดอยู่ หมู่นี้นกบนฟ้าแทบไม่ได้เห็นกัน หริ่งหรีด เรไร ก็พากันเงียบเสียง ยามวิกาลสงัดจนน่าหดหู่”


             “ใช่ๆ ตกกลางคืนไม่มีเสียงแมลงร้องเลย จนกบเขียดมันจะผอมตายอยู่แล้ว”


             คุรุษมันต์พราหมณ์เดินนำหน้าลงไปยังท่าน้ำ แล้วหย่อนน้ำถุ้ง [3]ตักน้ำลงไปแม่น้ำครู่หนึ่งก็สาวขึ้นมา


            “น้ำมันน้อยลงเห็นจะต้องต่อเชือกให้ยาวขึ้น” ว่าแล้วจึงชูเชือกให้คู่สนทนาดู


            “ได้ๆ เดี๋ยวข้าจัดการให้”


             “กระแสน้ำมันแรงขึ้น ทั้งที่น้ำน้อยลง...แปลกจริงดังว่า...”


             “ทุกอย่างรอบๆ ตัวมันดูพิกลไปหมด ท่านช่วยตอบหน่อยมันเป็นด้วยเหตุใด?”


             “ข้ายังตอบมิได้ดอก ดวงดาวก็ยังเดินปรกติมิได้เคลื่อนไปจากตำแหน่งเดิม”


             “ถ้าอย่างนั้นแล้ว...?”


             “เอาไว้ข้าจะบูชาไฟถามองค์วิษณุเจ้า”


             “ดีๆ ”


             “แต่ตอนนี้หากมีสิ่งใดผิดปกติก็รีบมาบอก คอยสังเกตสังกาเอาไว้ ส่วนข้าจะให้พราหมณ์หนุ่มถือสาส์นไปยังเมืองข้างๆ ถามเขาว่าสภาพการณ์เป็นเช่นนี้หรือไม่ หรือเกิดแต่ในจุมภะ”


             “ดียิ่ง! อ้อ..ถามเขาด้วยนะว่ากระแสน้ำเป็นเช่นไร ที่อโศกคยานี่ว่าน้ำแรงแล้วยังไม่เท่าหน้าเวียงดอก ที่หน้าเวียงนั่นน้ำซัดตลิ่งจนดินยวบ หลวงเขาซ่อมตลิ่งเลยสั่งให้ย้ายตลาดล่างไปรวมกับตลาดท่าเกวียน..เฮ้อ ลำบากเลยไปอีกตั้งไกลโขจะไปตลาดทีต้องตื่นแต่มืดกันละทีนี้“


            ตลาดล่างนั้นเป็นตลาดที่อยู่ริมท่าน้ำตรงกันข้ามกับเขตพระราชฐาน ต่อมาพระบาทเจ้ารับสั่งให้ซ่อมแซมตลิ่งที่โดนน้ำกัดเซาะ จึงมีคำสั่งให้ย้ายตลาดล่างไปรวมกับตลาดขนถ่ายสินค้าที่มาทางเกวียน เรียกว่าตลาดท่าเกวียนซึ่งห่างไกลออกไปอีก 16 กิโลเมตร


            “ถึงกับต้องรื้อตลาดล่างกันเลยรึ?”


            “เขาว่าจะให้ช้างลากซุงมาตอกแนวตลิ่งน่ะ ต้องใช้ที่ทางตรงนั้นจะเอาซุงมาลงเลยต้องย้าย ก็ไม่รู้จะเสร็จเมื่อไรนะ ที่จริงรอให้ถึงหน้าแล้ง [4]ค่อยซ่อมก็ได้ ตอนนั้นน้ำลดจะทำกระไรก็ง่ายแท้ๆ แต่นี่...คงมีเรื่องแอบแฝง”


             “มีเรื่องอันใดแอบแฝง?” คุรุษมันต์พราหมณ์เลิกคิ้วเข้มขึ้นอย่างประหลาดใจ


            “โฮ้ยยย..ย กระไรกัน พระครูนี่มัวแต่หมกตัวแต่อยู่ในอโศกคยาหรือถึงไม่รู้เรื่องใดเลยหรือขอรับ ขนาดข้าอยู่ในสวนในไร่ยังได้ยินข่าวเลยนะ”


           “แล้วมันเรื่องกระไรกันเล่า อย่าเที่ยวพูดพล่อยๆ เทียวนะเดี๋ยวได้หัวขาดดอก!”


           “ก็อย่าเอ็ดอึงไปสิ! นี่เราพูดกันเงียบๆ แค่นี้”


            “เอ้า! อย่าลีลามีอะไรก็เล่ามา”


           “ฮะ ฮะ คืออย่างนี้...คราวก่อนจุมภะแพ้ศึกเมืองปาลไงเล่าพระครู เลยต้องดองญาติกันทางนั้นก็จะส่งเจ้าหญิงมาอภิเษกกับเจ้าชายเมืองเรา ก็ไม่รู้จะแต่งกับใครนะ รู้แต่ว่าอีกไม่นานดอกเทวีเมืองนั้นคงเดินทางมา”


           “ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น แล้วมันประหลาดตรงไหนรึ?”


           “พระครู...ก็จะมาซ่อมตลิ่งอะไรประจวบเหมาะตอนนี้กันเล่า อย่างนั้นขบวนของเทวีเมืองปาลจะเข้าเมืองได้อย่างไร”


           “ประตูเวียงมีหลายทิศ เข้าด้านหน้าไม่ได้ก็เข้าทิศอื่นสิ!”


           “แล้วมันสมศักดิ์ศรีหรือไร ไม่ใช่ประตูหน้า”


            กล่าวจบคนวิเคราะห์ก็หัวเราะเอิ๊กอ๊าก ด้วยรู้ว่านี่เป็นความไม่พอพระทัยเล็กๆ ของพระบาทเจ้า จึงมีเหตุขัดข้องต้องซ่อมตลิ่งโดยปัจจุบันทันด่วน เจ้าคณะพราหมณ์ฟังแล้วอดถอนหายใจออกมาดังๆ ไม่ได้


          “เทวีเมืองปาลท่าจะมีเคราะห์กรรม แค่เริ่มต้นยังมีอุปสรรค!”


           คุรุษมันต์พราหมณ์มิได้พูดสิ่งใดผิดเพี้ยนไป นี่เพิ่งต้นเท่านั้น…


           ลางบอกเหตุเล็กๆ ที่คนนอกเวียงแก้วสังเกตเห็น แต่ผู้คนที่อยู่ในเวียงนั้นล้วนแต่วุ่นวายใจในเรื่องของตนหาได้มองเห็นความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติรอบกาย เพลานั้นผู้คนในวังล้วนแต่จับจ้องการมาของเจ้าหญิงแห่งปาลปุระ


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


            ร่างเล็กบอบบางอย่างเด็กหญิงที่ยังไม่เป็นสาวเต็มวัยนั่งเหม่อลอยอยู่บนพระแท่น ดวงเนตรนั้นมิได้เพ่งมองสิ่งใดเป็นพิเศษเพราะหทัยจมอยู่ในความกังวล จวบจนมีผู้มาแตะพาหาเทวีน้อยจึงค่อยรู้สึกตน


            “แก้วตารา! ไม่ได้ยินที่น้าเรียกหรือไร?”


            “...สะ..เสด็จน้า เมื่อครู่ตรัสว่ากระไรนะเพคะ” แก้วตาราเทวีเพิ่งจะถูกเถลิงยศเป็นศรียศาเทวีเมื่อไม่นานมานี้ เมื่อถูกเรียกด้วยนามที่ไม่คุ้นเคยก็มิได้รับรู้ จนกระทั่งพระญาติสนิทต้องสะกิดเรียกด้วยพระนามเดิม


             “ถามว่าเตรียมตัวเรียบร้อยหรือยัง ต่อแต่นี้เจ้ามิใช่เด็กน้อยแล้วนะ”


             “ตะ...แต่ หม่อมฉันไม่อยากไป หม่อมฉันกลัว”


             “เฮ้อ..อ อย่าพูดเหลวไหล การไปเพื่ออภิเษกสมรสนั้นเป็นเกียรติยศ อย่าได้แสดงท่าทางแบบนี้ออกมาอีกนะ เสด็จพ่อของเจ้าทอดพระเนตรเห็นเข้าคงกริ้ว” พระขนงนั้นขมวดเข้าเมื่อตรัสตำหนิ แก้วตาราเทวียิ่งรู้สึกประหวั่นจนอุปาทานไปว่าวรกายหดเล็กลง


              ตั้งแต่พระมารดาสวรรคตไปเทวีน้อยดูไร้ตัวตนในสายพระเนตรของพระบิดา หาใช่ธิดาที่รักใคร่สนิทสนมนักอยู่แล้ว ก็ยิ่งมิมีพระญาติผู้ใหญ่คอยปกป้อง แก้วตาราเทวีคงดำเนินพระชนม์ไปตามครรลองอย่างเงียบๆ แต่โชคชะตามิยอมให้ครองตนอย่างสงบ เนื่องด้วยทรงเป็นพระธิดาอันประสูติในพระแม่เจ้า จึงเป็นเจ้าหญิงที่มีศักดิ์สูงกว่าเจ้าหญิงพระองค์ใดในปาลปุระที่ยังมิได้อภิเษกสมรส จึงถูกกำหนดให้เป็นหมากการเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


            “เจ้าเป็นตัวแทนของเมืองปาล อย่าได้ทำตัวเป็นหญิงอ่อนแอ” แต่คำตักเตือนนั้นหาได้ผลไม่ เทวีน้อยหลั่งน้ำนัยน์เนตรออกมาทันที


            “เสด็จพ่อ...มิเคยเหลียวแลหม่อมฉันเลย นับตั้งแต่เสด็จแม่ตาย แล้วนี่ยังขับไล่ไสส่งไปให้ไกลเมืองอีก หม่อมฉัน...หม่อมฉัน...”


             “เฮ้อ...แก้วตารา แต่อย่างน้อยพระบาทเจ้าก็มิได้แต่ตั้งตั้งสตรีใดขึ้นมาเป็นพระแม่นั่งเมืองแทนแม่ของเจ้านะ” แม้แต่ตัวผู้พูดเองก็รั้งเพียงตำแหน่งมเหสีฝ่ายซ้ายเท่านั้น


              “ข้าเชื่อว่าแม้แม่ของเจ้ายังอยู่ งานมงคลนี้ก็ต้องดำเนินต่อไป....มันเป็นวิถีของธิดากษัตริย์”


              “หากหม่อมฉันมิได้เป็นธิดากษัตริย์คงดีกว่าไม่น้อย...ฮือ” ตรัสจบก็ทรงกรรแสงออกมายกใหญ่


              “เด็กน้อย...อย่าได้ร้องไห้ให้พ่อเจ้าเห็นเชียวนะ พระองค์คาดหวังในเรื่องนี้ไว้สูง เจ้าเป็นผู้กุมชะตาเมืองส่งให้ปาลปุระไปสู่ความยิ่งใหญ่ ถ้าเรามีจุมภะหนุนหนังต่อไปไม่ต้องกลัวเมืองใดจะมารุกรานอีก เห็นไหมการอภิเษกสมรสของเจ้ามีผลยิ่งใหญ่เพียงใด เจ้าเป็นหญิงที่มีค่าอนันต์นัก”


              แก้วตาราเทวีมิได้ตรัสตอบ ได้แต่ก้มพระพักตร์กรรแสงไปเงียบๆ ด้วยรู้ว่ามิอาจเถียงด้วยเหตุผลได้


             “อย่าได้ทำตัวอ่อนแอ มิเช่นนั้นแล้วต่อไปภายภาคหน้าเจ้าจะลำบาก ไปอยู่เมืองจุมภะหากเขาเห็นเจ้าอ่อนแอระวังจะถูกข่มเหงรังแก เอ้า! อย่ามัวแต่อ้อยสร้อยอยู่รีบเช็ดน้ำตาเสีย อย่างไรวันนี้เจ้าก็ต้องเรียนรู้เรื่องการปรนนิบัติเอาใจชาย อย่างไรก็ให้เขาเอ็นดูแล้วเจ้าอยู่ได้อย่างเป็นสุขในต่างแดน”


            “เสด็จน้า...หม่อมฉัน...หม่อมฉันยังไม่มีระดู!” สิ้นดำรัสหัตถ์ที่ดึงพาหาเทวีน้อยอยู่นั่นก็คลายลงทันที ดวงพักตร์เล็กๆ นั่นแดงก่ำและหยาดไปด้วยน้ำตา


            “โธ่..เอ๋ย....เฮ้อ! เอาเถอะถือว่าเรียนรู้ไว้ก่อน ถึงเวลาจะมัวแต่ไม่ประสีประสา” เมื่อเห็นว่ายังไม่ยอมขยับวรกาย จึงต้องตรัสสำทับ


            “อย่าพิรี้พิไรเจ้าหลีกหนีไม่พ้นดอก!!”


             ตรัสจบก็เอื้อมหัตถ์มาดึงพาราเทวีน้อยให้ลุกขึ้นแล้วตามเสด็จมาเสียที แก้วตาราเทวีก้มพักตร์ดำเนินอย่างเงียบๆ ดวงเนตรยังรื้นไปด้วยหยาดอัสสุชล ไม่อาจดำริถึงอนาคตในจุมภะปุระได้เลย ยังไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าจะต้องอภิเษกสมรสกับผู้ใด ในพระทัยจึงเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น ที่สำคัญอาจจะมิได้กลับมาเยือนปาลปุระแผ่นดินเกิดอีกชั่วกาล


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


            ศรียศาเทวีเป็นเพียงหัวโขนที่สวมครอบให้แก้วตาราเทวีองค์น้อยเท่านั้น ในความเป็นจริงหาได้มีผู้ใดใส่ใจกับความรู้สึกของพระนางเลย พระราชวังวุ่นวายไปกับการเตรียมตัวเดินทางส่งขบวนเจ้าสาวเท่านั้น เทวีน้อยทรงประหวั่นกับการจะมีพระสวามีมากนัก ด้วยไม่ทราบว่าคู่อภิเษกจะเป็นคนเช่นใด จะรูปงามหรืออัปลักษณ์ จะสูงต่ำดำขาว ที่สำคัญนั้นจะเอ็นดูนางหรือไม่หรือเห็นเป็นเพียงของบำเรอประดับวังเท่านั้น ยิ่งใกล้วันเท่าไรก็ยิ่งรู้สึกกังวลมากขึ้น


            “แก้วตารา...น่าเสียดายนัก สวามีของเจ้าหาใช่เจ้าชายฉัตรวรุณ” พระเจ้าไชยาศรีพระบาทเจ้าแห่งปาลปุระทรงรำพึงออกมาด้วยความผิดหวัง


             เทวีน้อยได้แต่นั่งสดับเงียบๆ มิได้ตรัสตอบอันใด ด้วยรู้ดีว่าเสด็จพ่อมิได้ต้องการคำตอบ พระนางได้ทอดพระเนตรเห็นเจ้าชายฉัตรวรุณที่เดินทางมารับขบวนเสด็จด้วยพระองค์เองในฐานะตัวแทนจุมภะปุระ ทรงเป็นเจ้าชายหนุ่มดวงพักตร์สะอาดสะอ้านฉวีนวลผ่องอย่างคนไม่เคยลำบาก 


             พระองค์มีตำแหน่งเจ้าราชบุตรบุญธรรมเนื่องจากพระเจ้าสิทธิเสณไม่มีราชบุตรเลยแม้แต่องค์เดียว จึงยกพระนัดดาขึ้นมาเป็นราชบุตรแทน ตำแหน่งที่หมายมั่นปั้นมือหากมิใช่เป็นชายาองค์หนึ่งของพระเจ้าสิทธิเสณเองก็น่าจะเป็นชายาเจ้าราชบุตร เทวีแห่งปาลปุระจึงจะมีสถานะมั่นคงเป็นหน้าเป็นตา เมื่อพลาดจึงสร้างความไม่พอพระทัยให้เป็นอันมาก


             “แต่ก็ยังดี...ที่ทางนั้นบอกว่าจะให้เจ้าแต่งกับภูวิษะ เจ้าคนนี้เป็นสวามีของธิดาองค์เล็ก เป็นหนึ่งในลูกที่สิทธิเสณหวังจะให้นั่งเมือง ได้ยินว่านางเฉลียวฉลาดนักแต่ครั้งนี้กลับมาโง่ด้วยหึงหวง ฮะ ฮะ คงเป็นเพราะดวงชะตาของลูกเราแรงนัก”


             “ภูวิษะคนนี้...ใช่คนที่ หนีทัพหรือไม่เพคะ” เทวีน้อยประหวั่นขออย่าให้เป็นเขา ผู้ชายขี้ขลาดคนนั้นทิ้งทัพกลางศึกไม่น่าใช่คนดีงาม


              “ใช่”


             “เขาอาจจะไม่ได้โดนยาเสน่ห์ แต่เป็นข้อแก้ตัวไม่ให้โดนลงโทษที่หนีทัพก็ได้นะเพคะ” เมื่อทูลไปแล้วก็โล่งพระทัยที่ไม่ได้โดนตวาดกลับมา


              “ก็อาจเป็นได้ นี่อาจเป็นอุบายเดียวที่จะปกป้องสวามีขี้ขลาดของตน แต่อย่างไรนี่ก็ถือว่าเป็นโชคของเจ้า”


             “เสด็จพ่อ...นี่อาจไม่ใช่โชค” แก้วตาราเทวีส่ายพระพักตร์


             “เขาเป็นคนไม่เอาไหน”


             “แก้วตารา! ชายผู้นี้จะเอาไหนหรือไม่ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะต้องพิจารณ์ แต่จงไว้ต่อไปเขาจะเป็นสวามีของเจ้า”


              “ละ...แล้วถ้าอีกหน่อย เขาเกิด...สิ้นไปก่อน ลูกจะทำอย่างไร?”


             ภูวิษะผู้นั้นเป็นแค่ราชบุตรเขย หากไม่มีเขาแล้วใครจะเก็บแก้วตาราไว้เป็นหอกข้างแคร่ ไม่มีวันมหิตาเทวีไม่มีทางยอมอย่างแน่นอน พระเจ้าเมืองปาลสดับแล้วนิ่งเงียบไปหลายอึดใจ นี่เป็นสิ่งที่พระองค์มิได้คำนึงถึงแต่ไม่นานนักก็เลิกใส่พระทัย


            “เรื่องนั้นมันยังไม่มาถึง เขาคงไม่ใช่คนอายุสั้น เจ้าก็ทำให้เขาหลงใหลให้มากหน้าที่เจ้ามีอยู่เท่านี้” ทรงตอบอย่างไม่ดำริมากนัก ตามวิสัยที่ไม่ชอบดำริสิ่งใดให้ลึกซึ้ง


             “เสด็จพ่อ!”


             “ไปเตรียมตัว!” ตรัสแค่นั้นก็โบกมือไล่ แก้วตาราเทวีทราบแล้วว่าคงมิอาจทัดทานสิ่งใดได้อีกต่อไป ที่เป็นมิตรแท้ขององค์เองมีเพียงหยาดอัสสุชลเท่านั้น


              ต่อไปโชคชะตาของพระนางล้วนขึ้นอยู่กับบุรุษเท่านั้น...บุรุษผู้ทรงนามว่า


                ‘ภูวิษะ’







 

Create Date : 23 มิถุนายน 2559
1 comments
Last Update : 23 มิถุนายน 2559 18:14:38 น.
Counter : 1401 Pageviews.

 

รอน่ะค่ะๆๆๆ

 

โดย: Lana IP: 118.173.8.71 24 มิถุนายน 2559 2:18:47 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


แก้วกังไส
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 54 คน [?]







ผลงานเขียนที่ผ่านมาค่ะ

รักนี้(แค้น)ต้องชำระ


Amethyst Sonata
เพลงรัก..ลิขิตหัวใจ



บาปปาริชาต

Friends' blogs
[Add แก้วกังไส's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.