วันนี้จริง ๆ แล้วตั้งใจจะทำขนมเปี๊ยะไส้ถั่วกับไส้ฟักไปให้เพื่อนและน้อง ๆ ที่ทำงานทานเป็นของขวัญปีใหม่ แต่ต้องมาเปลี่ยนเมนูกะทันหัน เนื่องจากคุณหลานคนโตอยากทานน้ำเต้าหู้ เลยต้องมาเข้าครัวมาทำให้ทาน โดยมีคุณหลานจอมซนทั้งสองมาเป็นลูกมือที่แสนจะวุ่นวายมาก ๆ กว่าจะทำเสร็จนี่ เสียงหายไปเยอะ เพราะต้องคอยห้ามคอยดุคุณหลานไม่ให้แย่งกันทำ... แต่ในที่สุดก็ทำออกมาได้เป็นผลสำเร็จ

ตอนแรกกะจะทำเป็นน้ำเต้าหู้ใบเตยกับรสโกโก้ให้ แต่คุณหลานบอกว่าไม่เอา เขาชอบแบบน้ำเต้าหู้เป็นสีขาว ก็เลยต้องตามใจคนดื่ม เลยทำแค่น้ำเต้าหู้ธรรมดา  

น้ำเต้าหู้หรือนมถั่วเหลืองมีประโยชน์ต่อร่างกาย สามารถดื่มแทนนมสดได้เพราะมีแคลเซียมสูง ถึงแม้ว่าจะไม่เท่ากับนมสด แต่ร่างกายของคนเราสามารถดูดซืมแคลเซียมในถั่วเหลืองได้ง่ายกว่า อีกทั้งถั่วเหลืองยังเต็มไปด้วยแร่ธาตุที่ช่วยชลอความแก่ ทำให้ฮอโมนสมดุล ช่วยในการขับถ่าย ป้องกันเส้นเลือดแดง โรคเบาหวาน บรรเทาความดันโลหิตสูง และโรคอ้วน

แต่อย่างไรก็ตาม การดื่มน้ำเต้าหู้หรือนมถั่วเหลืองก็มีสิ่งที่ต้องระวังคือ ห้ามดื่มเมื่อท้องว่างและห้ามดื่มมากเกินไป เพราะสามารถก่อให้เกิดอาหารไม่ย่อยและโรคท้องร่วงได้ ผู้ใหญ่ควรทานไม่เกินครั้งละ 300 มิลลิลิตร วันละ 2 ครั้งอย่างมาก และเด็กทานครั้งละ 200 มิลลิลิตร ต่อครั้ง วันละ 2 ครั้งอย่างมาก (ที่มา //www.sahavicha.com/?name=knowledge&file=readknowledge&id=1084)

1	ถั่วเหลือง	500 กรัม
2	ถั่วลิสง	100 กรัม
3	น้ำเปล่า	3.5 ลิตร
4	น้ำตาลทราย	1 ถ้วยตวง
5	ใบเตยหอม	5-6 ใบ

หมายเหตุ ถั่วลิสงจะทำให้รสชาติของน้ำนมถั่วเหลืองมีความเข้มข้นคล้ายกับนมสดมากขึ้น และปกติในถั่วเหลืองจะมีกรดอะมิโนเกือบครบ แต่ขาดไป 2 ตัว ซึ่งจะมีอยู่ในถั่วลิสง ดังนั้น เมื่อใส่ถั่วลิสงเข้าไปด้วยจะทำให้ได้กรดอะมิโนครบทุกดัวค่ะ (ข้อมูลนี้ได้มาจากเว็บไซด์หนึ่ง แต่ต้องขอโทษเจ้าของข้อมูลด้วยค่ะ ที่จำไม่ได้แล้วว่าจากเว็บไซด์ไหน)

ส่วนน้ำเปล่าตามสูตรที่ได้มาจากหนังสือ เขาให้ใช้น้ำเปล่า 4 ลิตรแต่เราว่าน้ำมันไม่เข้มข้น เลยลดเหลือ 3.5 ลิตรแทน เพราะทำทานเอง ไม่ได้ทำขาย เลยชอบแบบข้น ๆ (ปกติเวลาทำทานเอง ไม่ค่อยมานั่งตวงว่าใช้เท่าไร จะใช้กะประมาณเอา)

ข้อระมัดระวัง ในการเติมน้ำเปล่า พยายามอย่างเพิ่งใส่มากเกินไป เพราะถ้าข้นไปเราเติมน้ำได้ แต่การเปลี่ยนจากใสมาทำให้ให้ข้นมันยาก

แช่ถั่วเหลืองและถั่วลิสงในน้ำสะอาดประมาณ 5 ชั่วโมง (แยกกันแช่) หลังจากครบ 5 ชั่วโมงให้ล้างเอาเปลือกของถั่วลิสงออกให้หมด (ปัจจุบันถั่วเหลืองจะมีชนิดที่เลาะเปลือกขายแล้ว เพื่อความสะดวกก็เลือกซื้อที่เลาะเปลือกแล้วมาใช้) และให้เอาเมล็ดถั่วเหลืองและถั่วลิสงที่เสียและลอยน้ำทิ้งไป

หมายเหตุ จากภาพจะเป็นถั่วเหลืองกับถั่วซีกนะคะ อย่าเพิ่งงง ว่าทำไมในสูตรเขียนถั่วเหลืองกับถั่วลิสง แต่ในรูปดันเป็นถั่วเหลืองกับถั่วซีก พอดีตอนแรกจะทำขนมเปี๊ยะเลยนึ่งถั่วซีกเอาไว้ แต่พอเปลี่ยนเมนูเลยเอามาใช้แทนถั่วลิสง เพราะความเสียดายค่ะ (เราใช้ถั่วซีกประมาณ 500 กรัมเลยค่ะ เพราะนึ่งเอาไว้แล้ว) แต่รสชาติออกมาก็โอเค แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังสู้ใช้ถั่วลิสงไม่ได้ เพราะถั่วลิสงจะให้ความข้นที่มากกว่า

ปั่นถั่วเหลืองและถั่วลิสงให้ละเอียด โดยใส่น้ำลงไปพอประมาณ แต่อย่าใส่น้ำเยอะเกินไปเพราะทำให้ปั่นถั่วให้ละเอียดยาก ให้ใส่แค่พอไม่ให้ฝืดก็พอ

น้ำเปล่าส่วนที่เหลือให้เอามาใส่ลงไปขยำให้น้ำนมออกมาจากถั่วให้มาก (เหมือนกันคั่นน้ำมะพร้าว) หลังจากนั้นกรองด้วยผ้าขาวบาง 2 ชั้น (เคยกรองด้วยผ้าชั่นเดียว เวลาทานมีความรู้สึกว่าน้ำยังมีกากถั่วติดอยู่ทำให้เสียอรรถรสในการทานเล็กน้อย ดังนั้นแนะนำให้ใช้ผ้าขาวบาง 2 ชั่น)

ไม่ได้ถ่ายรูปให้ดูขั้นตอนการกรองนะคะ เพราะต้องใช้มือทั้งสองข้างในการรีดเอาน้ำออกจากถั่วเหลือง

นำน้ำถั่วเหลืองที่กรองแล้วขึ้นตั้งเตา ใช้ไฟอ่อน ๆ ต้มจนเดือด หมั่นคนเพื่อไม่ให้ก้นหม้อไหม้ หลังจากน้ำถั่วเหลืองเดือดแล้ว ให้ต้มต่ออีก 20 นาที จนเดือดอีกครั้ง ดูว่ากลิ่นเหม็นเขียวของถั่วเหลืองหมดหรือยัง ถ้ายังให้ต้มต่ออีก 20 นาที จนกลิ่นหมด ปิดไฟ เติมน้ำตาลทราย แต่อย่าเพิ่งใส่หมด 1 ถ้วยตวงนะคะ ชิมก่อน ถ้าไม่หวานค่อยใส่เพิ่ม เพราะถ้าใส่หมดแล้วหวานไปมันมันต้องแก้โดยการเติมน้ำเปล่า ซึ่งจะทำให้ความเข้มข้นของนมถั่วเหลืองลดลง

วิธีสังเกตว่า น้ำเต้าหู้หรือน้ำนมถั่วเหลืองเข้มข้นเพียงใด ให้ดูที่ฟองเต้มหู้ว่าขึ้นเร็วและหนาหรือไม่ ถ้าใช่แสดงว่าน้ำเต้าหู้ของเราเข้มข้น

ที่เห็นเหลือง ๆ เป็นแพนั่นคือฟองเต้าหู้ จริง ๆ แล้วมันลอยเต็มหม้อแหละ แต่ไปคนก่อนถ่ายเล็กน้อยเลยทำให้เหลือให้เห็นบางส่วนเอง ถ้าใครชอบทานฟองเต้าหู้ให้คอยตักเก็บไว้ได้

เสร็จแล้วค่ะ ขลุกขลักในการทำเล็กน้อย เนื่องจากมีเด็กน้อยมาช่วยทำ แต่ก็สำเร็จออกมาจนได้ แถมคุณหลานยังบอกว่าอร่อยมาก...

ถ้าใครอยากทานเป็นน้ำเต้าหู้นมสด ก็สามารถเติมนมสด หรือ นมข้นจืดลงไปเล็กน้อยตอนที่ตักใส่แก้วนะคะ เราไม่ได้ใส่ลงไปในหม้อตอนต้มเลย เพราะบางคนไม่ชอบ (โดยเฉพาะหลานชาย) เลยให้ใส่ปรุงข้างนอกดีกว่า

Create Date : 10 ธันวาคม 2555
Last Update : 11 ธันวาคม 2555 12:56:15 น.		2 comments
Counter : 9534 Pageviews.
Share Tweet