ต้นลำพูริมน้ำ (ปี 2532)


(ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารวัยหวาน ปี 2532 / เรียบเรียงใหม่ ปี 2550)

1.
เสียงเรือหางยาวดังมาจากท่าน้ำหน้าบ้าน คลื่นน้ำในคลองเล็กๆ กระเพื่อมไหวเข้ากระแทกตลิ่งทั้งสองฝั่งจนน้ำคลองเอ่อท้น คันดินกั้นน้ำตรงใกล้ศาลาไทยริมน้ำนั้นเฉอะแฉะตลอดทั้งวัน เรือหางยาวพาคนมาเที่ยวชมสวนผลไม้วันละหลายเที่ยว เสียงเครื่องยนต์เรือดังไม่ขาดระยะ จากที่เมื่อหลายปีก่อนที่นี่เคยเงียบสงบ ลำคลองมีแต่เรือแจวของชาวบ้านสวน วันนี้เสียงอึกทึกมาพร้อมกับคนแปลกหน้า อาชีพใหม่ของชาวสวน กับการเดินทางที่สะดวกขึ้นจากทางดินลูกรังถูกสร้างใหม่เอี่ยมเป็นถนนลาดยางเข้าแทนที่
ถึงอย่างนั้นชีวิตประจำวันของน้าเริญก็ยังเหมือนเดิม แกตื่นแต่เช้ามืด อุ่นกับข้าวที่กินเหลือตั้งแต่เมื่อคืนไว้กินอีกในมื้อเช้า จากนั้นมารดน้ำที่แปลงผัก เดินไปตรวจดูสวนมะพร้าว ถัดไปก็เป็นสวนลิ้นจี่ แกขลุกอยู่ในสวนอีกหลายชั่วโมง ก่อนจะพักมาทำกับข้าวมื้อเที่ยงแบบง่ายๆ ของประจำสำรับก็คือ น้ำพริกกับผักสดที่เก็บมาจากสวนผักข้างบ้านนั่นแหละ ชีวิตเรียบๆ แบบเดิมๆ ที่วนเวียนซ้ำซากอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน กระทั่งวันนี้ที่ผู้คนแปลกหน้าพากันมาเที่ยวชมสวนของแกมากขึ้นเรื่อยๆ บ้างก็ซื้อผลไม้ติดมือกลับไป บ้างก็เอาขยะมาทิ้งไว้เพิ่มงานให้แกเสียอีก
นานหลายปีมาแล้วที่ลูกๆ ของแกกับหลานตัวน้อยเมื่อถึงช่วงปิดเทอมก็จะมาเที่ยวบ้านสวน วิ่งเล่นเจี้ยวจ้าวกันอยู่ที่ศาลาท่าน้ำ บางทีเด็กๆ ก็สนุกกันอยู่บนต้นลิ้นจี่ในสวน เด็ดกินลิ้นจี่ลูกโตๆ สีแดงสด เนื้อในฉ่ำหวานอมเปรี้ยว กินกันสนุกจนกิ่งแถวๆ โค่นต้นราบเรียบไม่เหลือลิ้นจี่ให้เห็น กิ่งไหนที่เด็กๆ เอื้อมถึงหรือกระโดดคว้ามาได้ก็ปลิดกินแข่งกันจนเกลี้ยง เหลือแต่พวงลิ้นจี้กิ่งที่อยู่สูงขึ้นไปเท่านั้น
ยังไม่สะใจเด็กๆ กำลังซน หลานๆ ตัวจ้อยของน้าเริญยังแอบปีนขึ้นต้นมะพร้าวน้ำหอม ลำต้นไม่สูงมากนักมีไม้ตอกเป็นบันไดที่ลำต้นให้ปีนขึ้นไปคว้าเอากระบอกไม้ไผ่ที่เขาเอาไว้รองน้ำตาลมะพร้าวมาซดกินกันสดๆ ได้โดยง่าย
รสชาติหวานหอมของน้ำตาลในกระบอกไม้ไผ่ยั่วยวนให้เด็กๆ ปีนขึ้นไปขโมยกินจนกระบอกที่แขวนตามทิวมะพร้าว ...แห้งขอดหมดเป็นต้นๆ ไป พอคนสวนมาเก็บกระบอกเป็นต้องหัวเสียเพราะเจอแต่กระบอกเปล่าๆ ทุกคราวที่ลูกหลานน้าเริญมาเที่ยวบ้านสวน
ตกกลางคืนเด็กๆ จะย้ายวิกไปนั่งกันที่ศาลาท่าน้ำ ที่ใกล้ๆ ศาลามีต้นลำพูใหญ่ อายุหลายชั่วคนยืนค้ำตลิ่งแผ่กิ่งก้านสาขาร่มครึ้ม และเป็นบ้านหลังใหญ่ของฝูงหิ่งห้อยนับร้อยนับพันตัว เด็กๆ วิ่งไล่จับหิ่งห้อยเพื่อดูแสงวิบวับของมัน น้าเริญไม่เคยว่า แต่แกจะคอยบอกว่าดูแล้วก็ให้ปล่อยมันไปซะ
เวลากลางคืนต้นลำพูริมน้ำจะดูเหมือนกับติดไฟประดับวิบวับไปทั้งต้น ราวกับมีงานเฉลิมฉลองอะไรสักอย่างตลอดปีที่บ้านสวนหลังนี้ ลำพูต้นนี้เป็นต้นที่ใหญ่ที่สุดและมีอายุมากที่สุดในแถบนี้ บ้านอื่นที่อยู่ใกล้กัน ไม่มีต้นลำพูริมน้ำเหมือนบ้านเรือนไทยของน้าเริญกับน้าหญิง ส่วนใหญ่ปลูกต้นชมพู่ม่าเหมี่ยวไว้ที่ท่าน้ำ บางทีก็เป็นต้นขนุน ตอนที่น้าหญิงยังมีชีวิตอยู่ แกชอบมานั่งสูดอากาศที่ศาลาท่าน้ำเป็นประจำทุกคืน แกว่าลมพัดเย็นสบายดี ตอนที่น้าป่วยหนักเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย แกขอหมอกลับมาอยู่บ้านสวน อยู่แค่เดือนเดียว น้าหญิงก็สิ้นลมที่บ้านเรือนไทยหลังนี้นี่เอง
พอลูกโตทุกคนก็ไปปลูกบ้านและเริ่มต้นชีวิตครอบครัวของตัวเอง มีวิถีทางเดินในแบบของตัวเองที่กรุงเทพฯ บ้านเรือนไทยหลังใหญ่อายุกว่า 70 ปี หลังนี้จึงเงียบเหงา มีเพียงชายชราวัยไม้ใกล้ฝั่งอยู่โยงเฝ้าบ้านเพียงลำพัง เพื่อนคลายเหงาของแกมีหมาพันธุ์ไทยหลังอาน 2 ตัวไว้เฝ้าสวน กับแมวสีขาวปลอด ตาสีฟ้าอีกตัวที่ชราภาพไม่แพ้คน มันชอบเดินคลอเคลียเจ้าของมันไม่ห่าง

2. โมราเป็นหลานสาวคนเดียวของน้าเริญ เธอแวะมาหาน้าชายบ่อยครั้ง เพราะรู้ว่าลูกๆ ของน้าชายไม่ค่อยมีใครสนใจแวะมาเยี่ยมเยือนดูแลพ่อแม่ที่บ้านสวนสักเท่าไหร่ แม่ของโมรารักและดูแลน้องชาย ซึ่งก็คือน้าเริญ เหมือนลูก
แม่กับน้าเริญมีกันอยู่สองคนพี่น้อง น้าเริญอายุห่างจากแม่ถึง 10 ปี แม่เล่าให้โมราฟังว่า ตอนแม่เริ่มเป็นสาว อายุเข้า 13 แล้วยายถึงเพิ่งท้องลูกหลงออกมาเป็นน้าเริญนี่เอง แม่ของโมราเลยได้เลี้ยงน้องชายวัยแบเบาะ น้าเริญเองก็ติดแม่มากเพราะมีกันอยู่สองคนพี่น้อง พอแม่แต่งงานกับพ่อของโมรา แม่ก็ให้น้าเริญมาอยู่ด้วย ส่งเสียให้เรียนจนจบปริญญาตรี รับราชการเป็นปลัดอำเภอที่บ้านสวนนี้ เมื่อยายเสียชีวิต ที่ดินและบ้านสวนเป็นมรดกที่สองพี่น้องได้รับต่อมา แต่แม่ของโมราก็ยกให้น้าเริญทั้งหมด เพราะแม่ใช้ชีวิตครอบครัวอยู่ที่กรุงเทพฯ และมีฐานะมากพอจะซื้อหาที่ดินเก็บไว้ตามต่างจังหวัด
โมราชอบบรรยากาศของบ้านสวน เธอสนิทสนมกับน้าเริญและน้าผู้หญิง และมีความผูกพันกับเรือนไทยหลังนี้ตั้งแต่วัยเยาว์ ที่นี่เป็นโลกอันสงบเงียบ ร่มเย็น และเต็มไปด้วยความสนุกสนานตามธรรมชาติของเด็กหญิง ตรงข้ามกับบ้านหลังใหญ่โตโอ่อ่าในกรุงเทพฯ ที่เธอไม่นึกปลื้มและผูกพันเท่าบ้านสวนริมน้ำแห่งนี้
“ที่นี่ก็เหมือนบ้านของหลานนั่นแหละ บ้านสวนไม่ใช่ของน้าคนเดียว เมื่อตอนนี้ไม่มีแม่เราแล้ว หลานโมรักที่นี่ หลานก็รับมรดกต่อไปจากน้าก็แล้วกัน ลูกๆ น้ามันก็คงไม่มีใครสนใจหร๊อก ชีวิตมันติดอยู่กะเมืองไปหมดแล้ว คนหนุ่มสาวที่ไหนอยากจะมาทำไร่ทำสวนกันเล่า” น้าเริญพูดกับโมราในคราวหนึ่งที่เธอหลบไปพักใจที่บ้านสวน จากสารพันปัญหาและชะตากรรมที่เธอต้องพบพาน
“นี่แม่ตายยังไม่ทันข้ามปีเลย ป๊ะก็เตรียมพาเมียน้อยเข้าบ้านแล้ว โมอยู่บ้านที่กรุงเทพฯไม่เคยมีความสงบสุขเลยน้าเริญ จริงๆ นะ... ตอนแม่ยังอยู่ โมก็เห็นแม่ต้องเหนื่อยต้อนรับขับสู้บรรดาลิ่วล้อ ไหนจะพวกกระหายอำนาจวาสนาที่มาเฝ้าป๊ะไม่เว้นแต่ละวันอีก คนเข้านอกออกในบ้านท่านนายพลให้ควั่ก โมแขยงคนพวกนี้มากๆ ไม่มีใครจริงใจเลย มีแต่หวังผลประโยชน์กันทั้งนั้นแหละน้าเริญ ป๊ะก็นะ....ช่างไม่คิดซะเลย ตอนนี้ตัวเองมีอำนาจบารมีคนเค้าก็เข้าหา นี่ลองลงจากตำแหน่ง สิ โมจะดูน้ำหน้าพวกที่มาเฝ้าเช้าเฝ้าเย็น ดูสิยังจะโผล่มาให้เห็นอยู่มั้ย หนูเบื่อมากเลยถึงไม่ค่อยอยากอยู่บ้านไงน้าเริญ”
“นี่ยังไม่ชินอีกรึ?” น้าเริญหัวเราะหึๆ ในลำคอ เหมือนจะปลอบ น้าเริญใช้ชีวิตอยู่แต่บ้านสวนก็จริง แต่ดูเหมือนแกจะเข้าใจความเป็นไปของผู้คนในเมือง และแกมักมองโลกในแง่ดีเสมอ...นี่แหละน้าเริญ “ป๊ะเราเค้าก็รู้หรอกว่าใครมายังไง ท่านมาถึงขนาดนี้แล้ว ไม่ใช่คนธรรมดาที่ไหนจะทำได้ หลานโมต้องภูมิใจที่มีพ่อคนนี้ ท่านฉลาดทันคน แต่เรื่องของอำนาจมันไม่เข้าใครออกใคร มีได้ก็หมดได้เหมือนกัน ความดีสิหลานมันคงทน ยามนี้หลานเป็นลูกสาวคนใหญ่คนโตก็ต้องวางตัวให้เหมาะ ถ้าไม่ชอบที่จะเจอผู้คนวุ่นวายก็มาที่นี่ ให้พี่ชายเราเค้าอยู่ช่วยป๊ะเราไป หลานโมเป็นยังไงเราก็เป็นแบบของเราไป มาอยู่นี่ก็จะได้ไม่ต้องฝืนทนทำอะไรที่ไม่อยากทำ”
ใช่! ไม่ต้องเจอหน้าพวกนายทหารสอพลอกับพวกข้าราชการนักชะเลีย ไม่ต้องมาคอยต้อนรับตีหน้ายิ้มสวยให้กับพวกนักการเมืองกังฉินที่ชอบตีสองหน้าโกงบ้านกินเมือง ชีวิตเปี่ยมสุขที่แท้จริงแบบที่โมราฝันไว้ไม่ใช่ที่คฤหาสถ์ของป๊ะแน่นอน เธอคิดแล้วว่าแม้จะถูกทัดทานจากพ่อ พี่ชาย หรือใครก็ตาม ก็คงรั้งเธอไว้ไม่ได้อีกต่อไป

3. ปลายปี 2550 ฤดูกาลแปลกเปลี่ยน พายุเข้า เกิดน้ำท่วมไปทั่วประเทศ ที่บ้านสวนก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น น้ำเอ่อท้นตลิ่งท่วมมาถึงพื้นศาลาท่าน้ำ กิ่งสาขาของต้นลำพูฉ่ำฝนทั้งวันทั้งคืน ทำให้ปลายกิ่งไหลลู่ลงเรี่ยผิวน้ำ ถึงอย่างนั้นเจ้าหิ่งห้อยนับร้อยนับพันก็ยังวับวาวแสงในทุกค่ำคืนเหมือนเช่นเคย การมาของน้ำนำความสงบเงียบมาสู่บ้านสวนอีกครั้ง ไม่มีเสียงเครื่องยนต์เรือ ไม่มีเสียงเจี๊ยวจ๊าวอึกทึกของคณะนักท่องเที่ยวและชาวไกด์ที่คอยพูดอะไรซ้ำๆ เหมือนนกแก้วนกขุนทอง
น้าเริญยังมีวิถีชีวิตแบบเดิมๆ อย่างที่เคยทำอยู่ทุกวันหลังเกษียณ โมรากลับไปบ้านสวนอีกครั้ง หนนี้เธอบอกกับน้าเริญของเธอว่าจะมาอยู่นานหน่อย
“โมขอป๊ะแล้วว่าจะมาอยู่ที่นี่นะน้าเริญ โมบอกว่าจะมาทำโฮมสเตย์ที่นี่กะน้าอ่ะค่ะ ป๊ะเค้าเฉยๆ ทำท่าเหมือนว่าโมคงไม่คิดทำจริงจังไรมั้ง...ดี เดี๋ยวโมจะหายไปเลย”
การมาของน้ำ....การมาของโมรา-หญิงสาวของความฝันและอนาคต เท่ากับการมาของสิ่งใหม่ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วย
คณะรัฐมนตรียื่นญัตติโครงการสร้างโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ผ่านสภาเป็นที่เรียบร้อย สภามีมติให้สร้างโรงไฟฟ้าที่ราชบุรีอีกโรง
มันเป็นโรงไฟฟ้าถ่านหิน....มีชาวบ้านออกมาประท้วงอีกตามเคย โมรารู้ข่าวนี้มาเลาๆ นานแล้ว เพราะป๊ะของเธอก็เป็นหนึ่งในคณะรัฐมนตรีที่ผลักดันโครงการนี้ด้วยนั่นเอง
โมราเคยโต้เถียงกับป๊ะเรื่องโรงไฟฟ้าถ่านหิน....แม้เธอจะไม่ใช่พวกเอ็นจีโอแต่ก็พอรู้ว่าถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงดึกดำบรรพ์ที่ย่อยสลายยากเหลือแสน มันไม่ใช่ของดีในความเข้าใจของเธอ มันจะมาทำลายสิ่งแวดล้อมเดิมๆ ที่เธอเคยมองเห็นว่ามันบริสุทธิ์สวยงาม และที่สำคัญโครงการนี้ส่งผลกระทบใกล้ตัวเธอเข้ามาทุกที กับบ้านสวน....สถานที่ที่เธอรักและฝากความหวัง-ความฝันเอาไว้
ถ้ามีการสร้างโรงไฟฟ้า แล้วบ้านสวนล่ะ?
ที่ดินผืนนี้อาจถูกเวนคืน ถ้าไม่เช่นนั้นก็คงอยู่ติดกับโรงไฟฟ้า?.... “โอ ไม่นะ” โมรานั่งหน้าเศร้าซึมกับข่าวร้ายที่มีมาถึง น้าเริญเหม่อมองไปที่ผืนน้ำที่กำลังไต่ระดับขึ้นท่วมถึงบันไดหน้าชานเรือน
“น้าว่าจะโค่นต้นลำพูทิ้งนะหลาน” น้าเริญทำลายความเงียบ “เราโค่นของเราเองดีกว่า”
หิ่งห้อยสองสามตัวบินหลงมาที่หน้าต่างที่โมรายืนพิงอยู่ มันเกาะนิ่งๆ ที่ขอบหน้าต่าง เหมือนจะแอบฟังคนคุยกัน “ทำไมต้องโค่นด้วยล่ะน้า เสียดายอ่ะ” โมรายังมองหิ่งห้อยตัวเดิม และน้าเริญยังนั่งกอดเข่าอยู่ที่บันไดเหมือนเดิม
“ก็พอเค้ามาเราก็ต้องไปสิ” น้าเริญพูดขึ้นลอยๆ ‘เขา’ คือโรงไฟฟ้า...แล้ว ‘เรา’ ล่ะคือใครบ้าง?
เรือนไทย-สวนผลไม้-ต้นลำพู-หิ่งห้อย และเราทุกคนที่นี่ อย่างนั้นใช่ไหมที่ต้องไป?
“กลับกรุงเทพเมื่อไหร่ โมจะไปถามป๊ะให้รู้เรื่อง เราจำเป็นต้องมีโรงไฟฟ้าจริงๆ หรอน้าเริญ ที่เรามีไฟฟ้าใช้อยู่ทุกวันนี้มันไม่พอจริงๆ เหรอค่ะ ใครตอบหนูได้บ้างเนี่ย แล้วความฝันของโมล่ะ จะทำไงกันดีนะ....เฮ้อ” โมราถอนหายใจ หิ่งห้อยบินหนีไปแล้ว แสงวิบวับๆ ค่อยๆ จางไปในความมืดเบื้องหน้า
“มันไม่มีอะไรจำเป็นหรอกหลาน ทุกอย่างที่มีอยู่เท่าที่โลกให้เรามามันพอจนเกินพออยู่แล้วหละ แต่คนเรา....พวกเราเองตะหากที่ไม่ยอมพอ”
ลมเย็นพัดมาเอื่อยๆ ท้องน้ำสีดำมืดมิดสะท้อนเป็นเงาวูบไหวของต้นลำพู และจุดวาวแสงเล็กๆ ของหิ่งห้อยนับร้อยที่สะท้อนเป็นสีเงินบนผิวน้ำ มันถูกบิดรูปร่างจนลางเลือนไปตามแรงกระเพื่อมของน้ำเมื่อต้องแรงลม น้าเริญยังนั่งอยู่ที่เดิม....โมราก็เช่นกัน

“บางทีพรุ่งนี้น้ำอาจจะลดก็ได้” โมรายังแอบหวังถึงวันพรุ่ง.



Create Date : 25 พฤษภาคม 2553
Last Update : 25 พฤษภาคม 2553 15:22:57 น.
Counter : 971 Pageviews.

5 comments
  
ขอสมัครเป็นแฟนบล็อกคุณป้าค่ะ จุ๊บๆๆๆๆๆ
โดย: yzai วันที่: 21 กรกฎาคม 2554 เวลา:0:33:31 น.
  
แวะอีกคนค่ะ จุ๊บๆ
โดย: blueNightSky วันที่: 21 กรกฎาคม 2554 เวลา:0:40:07 น.
  
ไม่รู้จะกล่าวคำใดๆ ที่มากกว่าคำว่าขอบคุณ

ขอบคุณมากๆค่ะ คุณป้า
โดย: ilovepholdee (ilovepholdee ) วันที่: 21 กรกฎาคม 2554 เวลา:10:16:22 น.
  
ขอบคุณจ้า---จุ๊บๆ ตอบทุกท่านจ้า...
โดย: meenna วันที่: 24 กรกฎาคม 2554 เวลา:17:11:31 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

meenna
Location :
  Australia

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]



พฤษภาคม 2553

 
 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
26
27
28
29
30
31