"เอ็นเทิลบุช" การท่องเที่ยวแบบยั่งยืน ที่ "สวิตเซอร์แลนด์"
วันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11551 มติชนรายวัน
"เอ็นเทิลบุช" การท่องเที่ยวแบบยั่งยืน ที่ "สวิตเซอร์แลนด์"
คอลัมน์ บันทึกเดินทาง
โดย นฤมล เกษมสุข
"ถ้าเราสร้างหนทางขึ้น ผู้อื่นจะตามมา"
ประโยคนั้นเป็นเหมือนเจตนารมณ์ของชาวเมือง "เอ็นเทิลบุช" (Entlebuch) ชนบทใจกลางประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่จะสร้างวิถีชุมชนและการท่องเที่ยวในแบบฉบับของตัวเองให้เป็นที่รู้จักในอนาคต แม้ว่าพูดถึงสวิตเซอร์แลนด์แล้วชื่อเมืองเล็กแห่งนี้อาจไม่เคยแทรกซึมผ่านความคิดของใครเลยก็ตาม
เมื่อเร็วๆ นี้ การท่องเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์ และสายการบินสวิสแอร์ จัดงานแนะนำการท่องเที่ยวประจำปีขึ้น เชื้อเชิญสื่อมวลชนจากทั่วโลกไปค้นพบแง่มุมอื่น แง้มโอกาสให้พบความงามของชีวิตที่เรียบง่าย และความพยายามในการสร้างวิถีทางของท่องเที่ยวที่แตกต่างและสร้างสรรค์
"เอ็นเทิลบุช" เป็นเมืองในแคว้นลูเซิร์น อยู่ห่างจากเมือง "ลูเซิร์น" แม่เหล็กการท่องเที่ยวประจำแคว้น ด้วยการเดินทางโดยรถไฟเพียงแค่ 25 นาที
ก้าวแรกที่ผละจากประตูรถไฟ มองไปรอบๆ พบย่านชุมชนเล็กโอบล้อมด้วยหุบเขา ทุ่งหญ้า ผืนป่า ที่พักพิงของชาวบ้านเพียง 3,400 คน เมื่อสูดอากาศยังรู้สึกถึงความบริสุทธิ์อันเป็นเอกลักษณ์ของสวิตเซอร์แลนด์ และสัมผัสความสงบตามแบบฉบับของเมืองเกษตรกรรมเล็กๆ
ทว่า สิ่งที่ทำให้เอ็นเทิลบุชต่างกับที่อื่นๆ "คือการได้รับการคัดเลือกจากยูเนสโก ให้เป็น "เขตชีวมณฑล" (UNESCO Biosphere) ตั้งแต่ปี 2544 และถือเป็นเขตชีวมณฑลแห่งแรกในประเทศ"
ปัจจุบันเครือข่ายของเขตสงวนชีวมณฑลที่ยูเนสโก ให้การรับรองเพิ่มขึ้นเป็น 533 แห่ง ใน 107 ประเทศทั่วโลก และรวมถึง 4 แห่งในประเทศไทย โดยสถานที่มีชื่อเสียงที่ได้รับคัดเลือกเช่นกัน อาทิ เกาะฮาวาย และอุทยานเยลโลว์สโตน ของสหรัฐอเมริกา
บ้านเรือนในละแวกนี้ได้รับการอนุรักษ์ไว้เหมือนเดิม หน้าต่างไม้ประดับกระถางต้นไม้เรียงรายไปตามถนนเลาะเนินเขา แต่หลังจากที่รถตู้เริ่มพาไต่ระดับขึ้นภูเขาสูง ฉีกหนีจากย่านชุมชนกลางเมือง จึงทำให้เห็นภาพกว้าง ว่าบ้านเรือนที่มีอยู่ถือเป็นสัดส่วนน้อยนิดเมื่อเทียบกับพื้นที่สีเขียวโดยรอบ ภูเขาสีเขียวที่แผ่กว้างเป็นที่ที่เหมาะสำหรับการปีนเขาในฤดูร้อน และกลายเป็นลานสกีแบบครอสคันทรีเมื่อหิมะมาเยือน
เมื่อมาถึงเอ็นเทิลบุช กิจกรรมที่ครอบครัวและกลุ่มเพื่อนฝูงนิยม "คือการร่อนทองที่ลำธารฟอนทานเน่" ในบริเวณ Napf กลุ่มชาวบ้านรวมตัวกันจัดกิจกรรมกลุ่มให้นักท่องเที่ยวสนุกกับการแสวงโชค ย้อนเวลาเสมือนกลับไปอยู่ในยุคตื่นทอง นอกจากนี้ยังมีความเชื่อว่าลำธารเหล่านี้มีชื่อเสียงด้านการร่อนทองมาตั้งแต่ยุคโรมันเลยทีเดียว
ผู้เชี่ยวชาญนำขบวนไปที่ลำธาร พร้อมอุปกรณ์ครบมือ รองเท้าบู๊ตให้ใส่ลุยลำธารไหลเย็นเฉียบ ก่อนจะเริ่มลงมือ เจ้าหน้าที่สาธิตขั้นตอนการขุดและร่อนทองที่ถูกต้อง
"เนื่องจาก "ทอง" มีน้ำหนักกว่าสสารอื่นๆ ถึง 80 เท่า เมื่อผ่านกระบวนการร่อนในกระทะสีดำแล้ว เศษฝุ่นหินอื่นๆ จะหายไปเหลือแต่เนื้อทองเล็กๆ สะท้อนแดดระยิบนอนก้น"
แต่สำหรับนักร่อนมือใหม่ อาจไม่ทันสังเกตเพราะเนื้อทองที่ได้ส่วนใหญ่จะมีขนาดเล็กนิดเดียวจนแทบเหมือนเศษทราย
ถ้าร่อนได้ผงทองแล้ว เจ้าหน้าที่จะมอบขวดเล็กๆ ไว้ให้ใส่ทองกลับบ้านไปเป็นที่ระลึก คนส่วนใหญ่จะเพลิดเพลินกับการลุ้นหาทองติดไม้ติดมือกลับบ้านจนลืมเวลา
ในชุมชนนี้เจ้าหน้าที่ที่นำนักท่องเที่ยวได้มีเพียง 10-11 คน แต่หากฤดูกาลไหนมีนักท่องเที่ยวมามาก ก็จะมีอาสาสมัครเข้ามาช่วยเหลือ โดยช่วงที่นิยมมากที่สุดเริ่มตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภาคมถึงตุลาคม เพราะอากาศกำลังดี ไม่หนาวเกินไป
พักเหนื่อยจากการร่อนทองแสวงโชค เดินทางต่ออีก 10 นาทีไปยัง "โรมูส" (Romoos) เข้าพักแบบฟาร์มสเตย์ ที่ฟาร์มบารูติ ของ "อนิต้า" และ
"ฟรานซ์ ลุสเทนแบร์เกอร์-เบลเซอร์" ซึ่งตั้งอยู่บนทำเลดีเทือกเขาสูง มองทิวทัศน์รอบได้สุดสายตา มองไปไกลๆ เห็นฟาร์มเพื่อนบ้านอยู่ตามเนินสีเขียว เสียงกระดิ่งดังจากฝูงวัวแว่วมาเป็นระยะ บอกให้รู้ว่าชาวบ้านละแวกนี้พึ่งพิงการปศุสัตว์เป็นอาชีพหลัก
ครอบครัวของฟรานซ์เตรียมต้อนรับด้วยบาร์บีคิวมื้อเย็น แต่สิ่งที่พิเศษกว่านั้นเมื่อมาเยือนที่นี่ "คือการได้นอนในโรงนากลางกองฟางสดๆ" สัมผัสชีวิตแบบฟาร์มขนานแท้ คนที่ได้ทดลองนอนมาแล้วบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าสบายไม่แพ้ที่นอนนุ่มๆ
แต่ถ้าหากอยากอยู่สบายขึ้นมาอีกนิด ในชั้นสองของโรงเก็บของด้านข้าง ถูกดัดแปลงเป็นที่พักสบายๆ มีเตียงสองชั้นความจุได้มากกว่า 10 คน และห้องรับแขก เครื่องเสียง ห้องครัว ห้องน้ำพร้อมรองรับการมาเยือนของกลุ่มใหญ่ได้เหลือเฟือ
ช่วงเย็นชมพระอาทิตย์ตกลับยอดเนินที่สลับซับซ้อน มองไปไกลสามารถเห็นยอดเขาที่มีหิมะปกคลุม ส่วนยอดเขาที่ใกล้บ้านมีไม้กางเขนปักอยู่ตามความเชื่อของชาวเมืองเอ็นเทิลบุช ที่ยังคงความเป็นคริสต์นิกายคาทอลิกสูง
"ส่วนหน้าบ้านนิยมทำป้ายใหญ่ๆ บอกชื่อลูกหลานที่เพิ่งเกิดใหม่ รวมถึงพิธีการแขวนของเล่นเด็กไว้บนต้นไม้ เมื่อเด็กอายุครบ 2 เดือนขึ้นไป เจ้าบ้านจะต้องจัดพิธีเชิญเพื่อนบ้านมาร่วมงาน และเป็นพยานในการฉลองและเอาของเล่นลงจากต้นไม้"
ในครอบครัวของฟรานซ์ มีหลาน 2 คนคือ "เมลิน่า" วัย 2 ขวบ และ "โรบิน" ที่เพิ่งอายุ 8 เดือน ดังนั้นทั้งหน้าบ้าน โรงนา จึงมีชื่อทั้งสองประดับอยู่พร้อมกับรูปการ์ตูนที่เหมาะกับเด็ก รวมถึงของเล่นที่แขวนอยู่บนต้นไม้
เสน่ห์ของการอยู่ในฟาร์ม คือการตื่นขึ้นมาช่วงเช้ามืดชมหมู่ดาวที่สว่างเจิดจ้า และไปติดตามชมการรีดนมวัวในฟาร์มแท้ๆ ดูที่มาของชีสรสชาติเยี่ยมต้นตำรับสวิส
ทุกๆ เช้าตีสี่ครึ่ง ฟรานซ์จะตื่นขึ้นมาตรงเวลาเผง เพื่อรีดนมจากแม่วัวพันธุ์นมที่เรียงแถวรออยู่ในคอก จากนั้นตีห้าครึ่งจึงได้เวลาเคลื่อนย้ายนมสดไปยังเครื่องชักรอกที่จะส่งถังนมผ่านความสูงกว่า 2,000 เมตรลงไปยังด้านล่างที่จะมีคนรอรับทุกวัน เพื่อนำไปผ่านกระบวนการผลิตเป็นชีส และผลิตภัณฑ์นมคุณภาพ
ชาวบ้านกว่า 25% ในเอ็นเทิลบุชประกอบอาชีพเกษตรกรเหมือนฟรานซ์ และอีก 20% ผันตัวไปทำธุรกิจ ขณะที่คนในภาคบริการมีสูงสุดถึง 50%
ด้วยการบริหารจัดการภายใต้กรอบของยูเนสโก ทำให้เอ็นเทิลบุชสร้างโมเดลการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างการแสวงหารายได้เชิงเศรษฐกิจและการรักษาทรัพยากร และคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนให้ยังอยู่ในสภาพเดิม
การบริหารชุมชนจึงเน้นให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ในแนวคิด "ค้นหา เรียนรู้ และเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ร่วมกัน" (Seeking Learning and Gaining) สร้างกิจกรรมที่เป็นปึกแผ่น เพื่อป้องกันปัญหาการอพยพออกนอกพื้นที่
โดยแบ่งเป็น 5 ด้านหลัก คือ Wood Forum จัดกิจกรรมให้เด็กออกไปเรียนรู้ธรรมชาติของป่าไม้ผ่านเกมการละเล่นสนุกสนาน Agriculture Forum สอนให้ผู้หญิงมีส่วนร่วมในภาคการเกษตรในช่วงที่มีงานมากกว่าปกติ เพื่อให้เกิดการรวมกลุ่มที่เหนียวแน่น ช่วยเหลือกันได้ทันที
Bushes Forum สำหรับการดูงานเรื่องไม้ เพื่อให้ทราบว่าไม้ประจำท้องถิ่นมีที่มาและกระบวนการผลิตอย่างไร อุตสาหกรรมไม้ทำให้เกิดการเพิ่มมูลค่า และเพิ่มการจ้างงานในท้องถิ่นได้ด้วย
ส่วน Tourism Forum คือการสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงการท่องเที่ยว จัดกลุ่มรองรับการท่องเที่ยวเฉพาะ เช่น การใช้ธรรมชาติบำบัดอารมณ์ ร่างกายให้แจ่มใส
สุดท้ายของ Energy Forum จัดโครงการสร้างพลังงานจากธรรมชาติคือ "กังหันลม" เพื่อเป็นพลังงานบริสุทธิ์แจกจ่ายไปยังชุมชน และโรงงานยังเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาชมได้ด้วย
กิจกรรมทั้งหมด เน้นการเรียนรู้ มีส่วนร่วมในการรักษาธรรมชาติ และเผยแพร่แนวคิดไปให้คนอื่นรับรู้ผ่านเครือข่ายชีวมณฑลของยูเนสโกที่มีอยูทั่วโลก ทุกวันนี้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น เนื้อวัว ชีส นม พืชผักผลไม้ที่ออกจากเอ็นเทิลบุช จะมีแบรนด์การันตีในฐานะแบรนด์ประจำภูมิภาค
"ชาวบ้านยังมีความฝันจะสานต่อให้ผลิตภัณฑ์มีชื่อเสียงเข้มแข็งระดับประเทศต่อไปด้วย"
หมายเหตุ-ข้อมูลการท่องเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์เพิ่มเติม คลิกดูรายละเอียดได้ที่ //www.myswitzerland.com รายละเอียดฟาร์มสเตย์ที่เว็บไซต์ //www.baerueti.ch
Create Date : 25 ตุลาคม 2552 |
|
4 comments |
Last Update : 14 พฤศจิกายน 2552 15:30:02 น. |
Counter : 2150 Pageviews. |
|
|
|