atimeNews : ข่าวสดวงการเว็บไซต์ และการตลาดออนไลน์
<<
เมษายน 2559
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
8 เมษายน 2559

มีปุ่ม Reactions ใหม่ให้ใช้ไม่ใช้ คนก็ยังนิยมใช้ปุ่ม Like อยู่ดี



fbreactions

หลังจาก Mark Zuckerberg เปิดตัวปุ่มแสดงอารมณ์ หรือ Reactions ใหม่ให้มีหลากหลายมากขึ้นใน Facebook ก็เหมือนดูจะได้รับความนิยม และตื่นเต้นกันมากในช่วงแรกๆ

แต่คำถามที่น่าสนใจคือมันถูกใช้มากน้อยแค่ไหน และสำหรับแบรนด์ต่างๆ มันมีความหมายอย่างไร นั่นคือที่มาของการสำรวจพฤติกรรมผู้ใช้ Facebook และปุ่ม Reaction โดยผลสำรวจล่าสุดที่ทาง Facebook ได้เก็บข้อมูลจาก 10 แบรนด์ดัง ได้แก่ Nissan, Mini Babybel, Bertolli, Windex, LG Mobile, Giorgio Armani Beauty, Arby’s, Rebel’s Market, Little Things.com และ US Cellular

ในช่วงวันที่ 25 กุมภาพันธ์ – 5 มีนาคม พบว่า ผู้ใช้ส่วนใหญ่ก็ยังคงใช้แค่ปุ่ม “Like” เหมือนเดิม เพราะพวกเขาต้องการบอกว่าชอบสิ่งที่เห็นในหน้าฟีด และมันง่ายที่จะคลิกแค่ไลค์

reactions1

จะเห็นว่าโพสต์ของ Nissan ที่มีไลค์และการแสดงอารมณ์อื่นๆ รวมกันกว่า 92,000 แต่เมื่อดูจากภาพด้านล่าง Facebook ได้บันทึกไว้เพียง 12,000 เท่านั้น ซึ่งเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นเมื่อโพสต์มียอด Reactions รวมกันมากกว่า 10,000 แต่สรุปแล้วก็มีจำนวนไลก์มากกว่าการแสดงอารมณ์แบบอื่นๆ อยู่ดี

จากข้อมูลระบุว่า 93% ของผู้ใช้ Facebook ยังนิยมใช้ปุ่ม “Like” รองลงมากคือ “Love” 4.6% ส่วนอารมณ์อื่นๆ ก็ยังมีเปอร์เซ็นต์ไม่มากนัก เป็นไปได้ว่าอาจจะเกิดจากการลำดับของปุ่มที่ถูกเรียงไว้ในแถบ Reaction แต่นั่นก็ไม่ใช่ข้อสันนิษฐานที่ถูกต้อง เพราะเมื่อมาดูที่ปุ่ม Wow จะเห็นว่าถูกใช้มากกว่าปุ่ม Haha

คาดว่าสาเหตุที่ทำให้คนไม่ใช้ปุ่ม Reactions อื่นๆ น่าจะเป็นเพราะต้องใช้เวลาในการกดค้างไว้และกวาดนิ้วโป้งไปทางขวาเพื่อใช้งานปุ่มแสดง อารมณ์ต่างๆ เมื่อเทียบกับการกดไลค์ที่ทำได้ง่ายๆ เพียงแค่แตะหน้าจอเพียงครั้งเดียว ยังไงคนก็เลือกใช้ปุ่มไลก์มากกว่า

นอกจากนี้ การแตะหน้าจอเพื่อกดไลก์ยังเป็นสิ่งที่ทุกคนเคยชิน เป็นสิ่งที่อธิบายได้ว่าทำไมจำนวนไลค์ยังมากกว่าอารมณ์อื่นๆ

reactions2

หรือจริงๆ แล้วผู้ใช้งานทุกคนยังต้องการเวลาอีกนิดเพื่อที่จะทำความคุ้นเคยกับการใช้ Reactions ทีมงานที่ศึกษาเรื่องนี้ก็เลยขุดลงไปให้ลึกอีกนิดในประเด็นดังกล่าว โดยเลือกโพสต์ดังจากแบรนด์ต่างๆ 10 อันดับแรกในช่วงวันที่ 6 – 15 มีนาคม ซึ่งทั้งหมดได้แก่ Frost, Nissan, Hillshire Snacking, Rebel’s Market, Samsung Mobile USA, Philadelphia Cream Cheese, Fresh Step Litter, Disney Cruise Line, IHOP และ Portillo’s

ทีมงานคาดว่าจะได้เห็นการใช้งานปุ่ม Reactions มากขึ้น แต่ก็ยังพบว่ามันเหมือนเดิม ซึ่งก็แปลว่าการสุ่มช่วงเวลาเพื่อสำรวจเรื่องนี้คงไม่ใช่ประเด็น เพราะตัวเลขจำนวนการใช้งานนั้นโกหกไม่ได้อยู่แล้ว

reactions2-1

สำหรับการใช้ปุ่ม Like ใน Reactions แม้ว่าจะใช้จนติดเป็นนิสัย แต่ถึงยังไงมันก็เป็นฟีเจอร์ที่เกิดขึ้นแล้ว และถึงแม้ว่า Facebook จะยังไม่นำเอาปุ่ม Reactions มาใช้ในระบบ Analytics แต่ก็คงไม่นาน เชื่อว่าอีกสักพักมันน่าจะกลายมาเป็นหนึ่งในเกณฑ์ชี้วัดความสำเร็จในระบบหลังบ้านที่คนทำคอนเทนต์ นักการตลาด นักโฆษณา และแบรนด์ต่างๆ ต้องให้ความสนใจ

หลายๆ แบรนด์ในตอนนี้ก็เริ่มปล่อยแคมเปญที่ต้องเล่นกับปุ่ม Reactions ออกมาแล้ว แบรนด์อาจได้ไอเดียใหม่ๆ ในการทำคอนเทนต์ ที่ตอบสนองต่ออารมณ์ต่างๆ อย่ากลัวเมื่อผู้บริโภค “Anger” แม้พวกเขาจะแสดงความไม่พอใจ แต่ในความเป็นจริงแล้วพวกเขาก็ยังเห็นคอนเทนต์ของคุณในหน้าฟีดอยู่ ทั้งนี้ ถ้ามีมากเกินไปก็คงไม่มี ทางที่ดีเตรียมรับมือกับสถานการณ์นี้ดีกว่า อย่าปล่อยให้บานปลาย

การแข่งขันมีอยู่ทุกที่ แบรนด์สามารถใช้ประโยชน์จากปุ่ม Reactions เพื่อสร้างแคมเปญ และการมีส่วนร่วมได้ เมื่อมีการแสดงอารมณ์ในแง่ลบ คุณก็สามารถตรวจสอบ หรือปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ได้ตั้งแต่เนิ่นๆ และสิ่งที่ดีที่สุดเกี่ยวกับปุ่ม Reactions ก็คือ มันช่วยให้ธุรกิจมองเห็นอารมณ์ความรู้สึกของลูกค้า หรือลูกค้าในอนาคต เพื่อจะได้นำไปปรับใช้ต่อไป



credit : ผู้ให้บริการรับทำเว็บไซต์ บริษัทเอไทม์ดีไซน์จำกัด




Create Date : 08 เมษายน 2559
Last Update : 8 เมษายน 2559 11:37:57 น. 1 comments
Counter : 934 Pageviews.  

 
ไม่ใช่แค่เคยชิน แต่เพราะความรู้สึกที่มีให้เลือกมันไม่ตอบโจทย์ค่ะ
กับการกดปุ่มอื่นด้วยโทรศัพท์มือถือ ใช้ยากกว่ากดจากคอมพิวเตอร์
สำหรับเรา สองข้อนี้คือเหตุผลสำคัญ


โดย: nibble วันที่: 14 เมษายน 2559 เวลา:9:33:35 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Blogman
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




[Add Blogman's blog to your web]