เรือนมรกต
|
|||
เเง่คิดดีๆ จากชายชราที่จากไป โดยพิษณุ นิลกลัด เพื่อนผมคนหนึ่งได้ฟอร์เวิร์ดเมลว์ ข้อเขียนของคุณพิษณุ นิลกลัด มาให้อ่าน ซึ้งมาก ให้ทั้งแง่คิดในการรับมือกับความตายอย่างรู้เท่าทัน การมองโลกในแง่ดี ลองมาอ่านกันดูนะครับ ขอขอบคุณ คุณพิษณุ ที่เขียนเรื่องจริงดีๆอย่างนี้มาให้อ่านกัน แง่คิดดีๆ จากชายชราผู้จากไป โดย พิษณุ นิลกลัด สัปดาห์ สุดท้ายของปี๒๕๔๘ ผมไป งานสวดและงานเผาศพผู้ชายวัย ๘๑ ปีที่ผมรู้จักเขามายาวนาน ๓๐ ปี ไม่ใช่ญาติแต่สนิทกันรักใคร่เสมือนญาติ ก่อนเสียชีวิตไม่กี่วันเขาสั่งลูกและภรรยาแบบคนไม่ครั่นคร้ามความตายว่าสวด ๓ วันเผา งานสวด ๓ คืน มีคนฟังพระสวดคืนละ ๑๔ คน คือ เมีย ลูก หลาน เขย สะใภ้ และผม ซึ่งเป็นคนนอก เป็นงานศพที่มีคนไปร่วมงานน้อยที่สุดเท่าที่ผมเคยไปฟังสวด วันเผามีเพิ่มเป็น ๑๗ คน สามคน ที่เพิ่มเป็นเพื่อนบ้านที่เคยคุยด้วยเกือบทุกเย็นคนหนึ่ง เป็นแม่ค้าลอตเตอรี่ที่เคยยืมเงินแล้วไม่มีสตังค์จ่าย เลยเอาลอตเตอรี่ทยอยผ่อนใช้หนี้แทนเงินงวดละสองใบคนหนึ่ง และคนสุดท้ายเป็นหญิงที่ผู้ตายเคยผูกปิ่นโตทุกมื้อเย็น ทั้งสามคนบอกว่าเกือบมาไม่ทันเผาเคราะห์ดีที่แวะไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล เจ้าหน้าที่บอกว่าเสียชีวิตไปแล้ว ๓ วันหลังฌาปนกิจพระกระซิบถามเจ้าหน้าที่วัดว่าเจ้าของงานจ่ายเงินค่าศาลาสวดพระ อภิธรรมแล้วหรือยัง พระท่านคงไม่เคยเห็นงานศพที่มีคนน้อยแบบที่ผมก็รู้สึกตั้งแต่สวดคืนแรก จริงๆ แล้วผู้ตายเป็นคนค่อนข้างมีสตังค์ ทำงานธนาคารแห่งประเทศไทยจนเกษียณอายุที่ ตำแหน่งหัวหน้าหน่วย แต่ด้วยความที่รักและศรัทธาอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อดีตผู้ว่าการแบงก์ชาติ จึง ดำเนินชีวิตแบบไม่ปรารถนาให้ใครเดือดร้อน แม้กระทั่งวันตาย ผมสนิทกับเขาเพราะเขามีความฝันในวัยเด็กอยากเป็นนักประพันธ์แบบไม้เมืองเดิม ที่เขาเคยนั่งเหลาดินสอและวิ่งซื้อโอเลี้ยงให้ เมื่อตัวเองเป็นนักเขียนไม่ได้ พอมาเจอะผมที่เป็นนักข่าวก็เลยถูกชะตาและให้ความเมตตา การมีโอกาสได้พูดได้คุยกับเขาตามวาระโอกาสตลอด ๓๐ ปี ทำให้ได้แง่คิดดีๆมาใช้ในการดำรงชีวิต วันหนึ่งเขารู้ว่าขโมยยกชุดกอล์ฟของผมไปสองชุดราคา ๔ แสนกว่าบาท เขาปลอบใจผมว่า ของที่หายเป็นของฟุ่มเฟือยของเรา แต่มันอาจเป็นของจำเป็นสำหรับลูกเมียครอบครัวเขา คิดซะว่าได้ทำบุญ จะได้ไม่ทุกข์ เขามี วิธีคิด เท่ๆ แบบผมคิดไม่ได้มากมาย เป็นต้นว่า สุขและทุกข์อยู่รอบตัวเรา อยู่ที่ว่าเราจะเลือกหยิบเลือกคว้าอะไร คงเป็นเพราะเขาเลือกคว้าแต่ความสุข ช่วงปีสุดท้ายของชีวิตเขาต่อสู้กับ โรคชรา เบาหวาน หัวใจ ความดัน เกาต์ และไตทำงานเพียง ๕ เปอร์เซ็นต์โดยไม่ปริปากบ่น แถมยังสามารถให้ลูกชายขับรถพาเที่ยวในวันหยุดสุดสัปดาห์ โดยที่ตัวเองต้อง หิ้วถุงปัสสาวะไป ด้วยตลอดเวลา เนื่องจากไตไม่ทำงาน ปัสสาวะเองไม่ได้ ๖ เดือนสุดท้ายของชีวิตต้องนอนโรงพยาบาลสามวัน นอนบ้านสี่วัน สลับกันไป เวลาลูกหลานหรือเพื่อนของลูกรวมทั้งผมด้วยไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล เขามีแรงพูดติดต่อกันไม่เกิน ๑๐ นาที แต่ ๑๐ นาที ที่พูดมีแต่เรื่องสนุกสนาน เรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากคนไปเยี่ยมไข้ ทุกคนพูดตรงกันว่า คุณตาไม่เห็นเหมือนคนป่วยเลย ตลกเหมือนเดิม พอแขกกลับ ลูก หลานถามว่าทำไมคุยแต่เรื่องตลก เขาตอบว่า "ถ้าคุยแต่เรื่องเจ็บป่วย วันหลังใครเขาจะอยากมาเยี่ยมอีก เขาเป็นคนชอบคุยกับผู้คนไม่ว่าจะอยู่บนเตียงคนไข้หรืออยู่บนรถแท็กซี่ บ่อยครั้งที่นั่งรถถึงหน้าบ้านแล้วแต่สั่งให้โชเฟอร์ขับวนรอบหมู่บ้านเพราะยังคุยไม่จบเรื่อง แล้วจ่ายเงินตามมิเตอร์ ! ๔เดือนสุดท้ายของชีวิตแพทย์ที่รักษาโรคไตมาตั้งแต่สมัยเป็นแพทย์อินเทิร์น จนกระทั่งเป็นหัวหน้าแผนก แนะนำให้พักรักษาตัวในโรงพยาบาลให้แข็งแรงแล้วค่อยกลับบ้าน แต่อยู่ได้ ๔ วันเขาวิงวอนหมอว่าขอกลับบ้าน หมอซึ่งรักษากันมา ๑๖ ปี ไม่ยอม เขาพูดกับหมอด้วยความสุภาพว่า ขอให้ผมกลับบ้านเถอะ ผมอยากฟังเสียงนกร้อง คุณหมอไม่รู้หรอกว่าคนคิดถึงบ้านมันเป็นอย่างไร เพราะพอเสร็จงานหมอก็กลับบ้าน หมอได้ฟังแล้วหมดทางสู้ ยอมให้คนไข้กลับบ้าน แต่กำชับให้มาตรวจตรงตามเวลานัดทุกครั้ง ๑ เดือน ถึงวาระสุดท้ายของชีวิต เขาสูญเสียการควบคุมอวัยวะของร่างกายเกือบทั้งหมด เคลื่อนไหวได้อย่างเดียวคือกะพริบตา แต่แพทย์บอกว่าสมองของเขายังดีมาก เวลาลูก เมียพูดคุยด้วยต้องบอกว่า ถ้าได้ยินพ่อกะพริบตาสองที เขากะพริบตาสองทีทุกครั้ง ! เห็นแล้วทั้งดีใจและใจหาย เขายังรับรู้ แต่พูดไม่ได้ นี่กระมังที่เรียกว่าถูกขังในร่างของตนเอง สิบวันก่อนพลัดพราก ภรรยากระซิบข้างหูว่า พ่อสู้นะ เขาไม่กะพริบตาซะแล้ว ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้สองเดือนเคยตอบว่า สู้ เขาสู้กับสารพัดโรคด้วยความเข้าใจโรค สู้ชนิดที่หมอออกปากว่า คุณลุงแกสู้จริงๆ ตอนที่วางดอกไม้จันทน์ ผมนึกถึงประโยคที่แกพูดกับลูกเมื่อสี่เดือนก่อนว่า โรค ภัยมันเอาร่างกายของพ่อไปแล้ว อย่าให้มันเอาใจของเราไปด้วย แง่คิดดีๆ จากชายชราที่จากไป สอน ให้เรารู้ว่า... เราเกิดมาพร้อมกับจิตใจบริสุทธิ์ และมันสมองมหัศจรรย์ที่จะสามารถเรียนรู้ แยกแยะเรื่องดีๆและสิ่งร้ายๆในชีวิต จงใช้โอกาสดีๆที่ร่างกายและจิตใจของเรา ยังทำอะไรๆได้อย่างที่สมองสั่ง จงเรียนรู้และสร้างประโยชน์สุขให้กับตนเองและผู้อื่นอย่างพอเพียง และดำรงชีวิตอย่างพอเพียงทางเศรษฐกิจ! หากทุกๆครั้งที่เรียนรู้ เราล้ม เราพลาด อาจจะรู้สึกท้อบ้างในบางที แม้ไม่มีกำลังกายที่จะลุกในทันที..แต่ขอให้มีกำลังใจที่จะสู้ต่อไป ถ้าเราเรียนรู้...ก็จะทำให้เราพบว่าการล้มหรือพลาดครั้งต่อไป เราจะไม่เจ็บเท่าเดิม อ่านแล้วมีกำลังใจมากเลยค่ะ ขอบคุณสำหรับบทความดีดีอย่างนี้
โดย: ป้าตุ้ม IP: 125.24.221.235 วันที่: 15 มกราคม 2554 เวลา:17:45:23 น.
ขอบคุณมากนะคะ ที่เอาเรื่องราวดีๆ มาแบ่งปันค่ะ
รู้สึกมีกำลังใจเยอะมากเลยค่ะ เอาคำสอนของท่าน "พุทธทาส" มาฝากค่ะ ...เพราะ.."กู"..มีอยู่เสมอเลย อนุสัยคุ้นเคยเลยติดในตัว.."กู" สั่งสมมาในจิตตาคือ.."ไม่รู้" คนที่ทุกข์คือตัว.."กู"..อยู่ร่ำไป เกิด-ดับตายเวียนว่ายในวัฏฏะ คืออัตตานำพามาวัฏฏะนี้ เพราะไม่รู้จึงหลงมาโลกานี่ เพราะ.."กู"..มีจึงมี.."กู"..อยู่ทุกคราว,..ฯ ***ขอกราบนมัสการนอบน้อมต่อบรมปราช์ญ ท่านพระอาจารย์ พุทธทาส ภิกขุ ด้วยความเคารพยิ่ง สาธุๆ_/|\\_*** โดย: แม่ออมบุญ วันที่: 15 มกราคม 2554 เวลา:21:38:05 น.
ขอบคุณครับ
โดย: ศานติไมตรี IP: 182.53.161.160 วันที่: 22 มกราคม 2554 เวลา:22:05:39 น.
ขอบคุณสำหรับสิ่งดี ๆ ได้แง่คิด คติ ในการดำรงชีวิต
ขอบคุณมากค่ะ โดย: สุรัตน์ IP: 202.55.142.13 วันที่: 13 ธันวาคม 2554 เวลา:8:22:23 น.
|
อุษา
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 15 คน [?] All Blog
|
||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |