วันที่ 3 เดินจนรองเท้าสึก
เช้าวันที่ 3แล้วซิเนอะ เวลาเที่ยวหน่ะ ทำไมมันหมุนไปเร็วกว่าเวลาทำงานน้า ใครรู้ช่วยตอบที ^^ ตื่นเช้ามา หมอกก็ลงเลยแฮะ เช้านี้เราไปไหว้พระกันที่วัดลามะ สังเกตุดูนะว่าที่นี่กระเบื้องหลังคามะใช่สีน้ำเงิน แต่เป็นสีเหลือง คงจะคล้าย ๆ กับเป็นพระอารามหลวงของไทย เป็นวัดประจำรัชกาลอะไรประมาณนี้หล่ะมั้ง ไกด์เค้าว่างั้นนะแต่ตัวเราหน่ะมัวแต่หนาวเลยฟังมาแบบกระท่อนกระแท่น ตั้งแต่มาปักกิ่งได้ 3 วันมีแต่หนาวขึ้นเรื่อย ๆ แล้วแต่ว่าวันไหนเจอแดด เจอลม เจอหมอก เจอฝน เจอหิมะ ขอบอกว่า ชั้นหน่ะพบเจอครบหมดทุกรูปแบบดีจริง ๆ ไปคุ้มไม่เสียเที่ยว รึเปล่าอ่ะ - -" อันนี้เป็นซุ้มประตูที่ 2 ส่วนซุ้มประตูแรกผ่านมาแล้วด้วยรถของเรา ซึ่งแคบมาก ๆ สำหรับรถบัสเล็ก เกือบจะเข้าไม่ได้ เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปหมู่บ้านแถวนั้น บรรยากาศเก่า ๆ เหมือนหนังจีนรุ่นพ่อเลย (ใครไม่เคยดูไปหาดูได้ที่ น้องยู(ทูป) ประมาณมนต์รักเพลงเรือ มนต์รักม่านไข่มุก ม่านประเพณี) มาดูบรรยากาศโดยรอบกัน น่าเสียดายจริง ๆ ที่ภายในวัด ไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป ที่นี่มีพระพุทธรูปทำจากไม้จันท์สูง 18 เมตร และมีพระพุทธรูปหล่อทองสำริดสูงสิบกว่าเมตร สวยงดงามยิ่งนัก มาที่นี่ชั้นว่าคุ้มนะ เหมือนได้มาทิเบตด้วยงัยก็ไม่รู้ แผ่นหินที่จารึกโดยกษัตริย์ อยู่ด้านในของศาลา (ภาพด้านบน) ป้ายด้านบนศาลา บ้านเราคงเรียก โบถส์ แล้วบ้านเค้าเรียกอะไรอ่ะ ชั้นขอเรียกว่าศาลาละกัน อยู่เมืองไทยก็รู้จักแต่โรงเจ - -" มีทั้งหมด 4 ภาษา ถ้าชั้นจำมะผิดน่าจะเป็น จีนกลาง มองโกล ทิเบต ส่วนอีกหนึ่งจำไม่ได้แล้วจ้า ใครรู้จะช่วยตอบก็ได้นะค่ะ ไม่คิดตังค์ 555 จากภาพด้านบน หลังจากชั้นเดินออกมาจากบรรดาตัวอาคารภายใน ชั้นเดินเล่นมาเรื่อย ๆ ได้ยินเสียงเด็ก ๆ มากมายอยู่ด้านหลังประตูบานนี้ ใจหนึ่ง ชั้นอยากเดินไปดู อีกใจหนึ่งชั้นไม่กล้าเดินไป คุณกำลังบอกหล่ะซิว่าชั้นปอดแหก ก็คงใช่ ถ้าเป็นสมัยก่อนที่ยังห้าว ชั้นก็ลุยไปทุกที่ เพราะอ่อนประสบการณ์ ยังไม่รู้จักภัยอันตรายบนโลกนี้ซักเท่าไหร่ แต่วันเวลาผันผ่านทำให้ทุกอย่างก้าวเต็มไปด้วยความไม่ประมาท ที่นี่ไม่ใช่บ้านชั้นนะ(ถึงใช่ ชั้นก็ไม่ทำ) ก้าวพ้นประตูนี้แล้วเกิดไม่พบสิ่งที่ชั้นหวังหล่ะ (ผีหน่ะชั้นไม่กลัวหรอกนะ) แต่เกิดพบสิ่งที่ชั้นไม่หวังหล่ะ (คนโรคจิต) จะทำงัย ชั้นก็อยากทำตัวเป็นอลิซในแดนมหัศจรรย์อยู่หรอกนะ แต่แค่ถ่ายรูปไว้ก็พอนิ เดินจากมาอย่างสงบน่าจะดีกว่า บางครั้งจุดหมายก็ไม่ได้มีไว้พุ่งชนเสมอไปอ่ะ (แซวโฆษณาเค้าซะแล้ว) ^^ อำลาวัดลามะ กับสาวน้อยคนนี้ ท่าทางเธอจะชินกะอากาศหนาวนะ จากนั้นเราก็ไปต่อกันที่ ศูนย์การสมุนไพรและการแพทย์จีน ที่นี่ได้แช่เท้าและมีหมอแมะ มาตรวจให้ฟรี แต่คะยั้นคะยอให้ซื้อยา แต่ชั้นก็ไม่ได้ซื้อมา เพราะไม่ได้กลิ่นของสมุนไพร (ที่บ้านชั้น มีชั้นคนเดียวนี่หล่ะที่จมูกดีพอ ๆ กะสุนัข 555) กล้องอยู่ที่มือชั้น เพราะฉะนั้นสองคนในภาพคือผู้ร่วมทริป สองหนุ่มสาวมาไกลจากออสเตรเลีย ช่วงบ่ายยามหมอกลงจัด เราไปเดินย่ำ ชมบรรยากาศกันที่หออี้เหอหยวน ผู้สร้างคือจักรพรรดิ์คังซี ส่วนผู้ที่ใช้มากสุดคือ ชูสีไทเฮา เพราะฤดูร้อนทรงโปรดมาประทับที่นี่ ประตูสามช่องอีกแล้วครับท่าน แล้วก็ต้องมีสิงโต 2 ตัวประจำการ เป็นสัญลักษณ์ไปแล้วนะชั้นว่า ไปที่ไหนก็ต้องเจอ คุณไกด์ชาวจีน ซื้อตั๋วให้แล้ว เตรียมตัวเข้าไปด้านในกัน เข้ามาแล้วเน้อ ข้อห้ามของที่นี่(ไกด์แนะนำมา แต่คนส่วนมากไม่รู้ เนื่องจากทริปนี้โชคดีที่ได้หัวหน้าทัวร์และไกด์ความรู้แน่นปึ้ก) คือ ห้ามถ่ายรูปกิเลน กิเลนเป็นสัตว์ที่คอยเฝ้าระวังคนไม่ดี และขณะเดียวกันก็จะทำลาย เผาผลาญด้วย และมีหินก้อนใหญ่หน้าห้องบรรทมของชูสีไทเฮา ที่ห้ามถ่ายรูป เนื่องจากประวัติของหินก้อนนี้ มิสู้ดีนัก มีเศรษฐีคนหนึ่งไปพบหินก้อนนี้ทางตอนใต้ของจีน ชั้นก็จำไม่ได้ว่าเป็นเมืองไหนอ่ะนะ เค้าชอบมากจึงคิดจะขนกลับบ้านโดยทำทุกวิถีทาง ขายทุกอย่างจนหมดตัว ก็ขนมาได้แค่ครึ่งทาง สุดท้ายก็ตาย ขณะที่ชูสีไทเฮา ได้หินก้อนนี้มา ก็มองหินก้อนนี้ทุกวัน จนสิ้นลมเช่นกัน เค้าเลยว่าหินก้อนนี้มีอาถรรพ์ อย่าเก็บภาพกลับบ้านจะดีกว่า แต่ชั้นเห็นผู้คนมากมายถ่ายรูปทั้งกิเลน และหินก้อนนี้อย่างเอาเป็นเอาตาย ยกเว้นลูกทัวร์กรุ๊ปชั้น เดินเมิน เดินหนีกันหมด ^^ ดอกไม้ที่เป็นสัญลักษณ์ประจำอุทยานนี้ แหะ ๆ ชั้นก็จำไม่ได้อีกนั่นหล่ะว่ามันดอกท้อ หรือดอกบ๊วย เอ๋หรือเบญจมาศหว่า เฮ้อ นานเป็นเดือนแล้วชักเลือน - -" เห็นทะเลสาปนี้มั๊ย จีนตอนเหนือหน่ะจะมีบรรยากาศแบบนี้ด้วยเหรอ ชิมิ เป็นไปมะได้หรอกนะ แต่อย่าลืมจิทุกอย่างเป็นไปได้เมื่อจักรพรรดิ์ต้องการ อย่างที่พอรู้ ๆ กันว่า คังซีท่านชอบบรรยากาศจีนตอนใต้มากแค่ไหน ถึงขนาดกลับมาบ้านก็เกณฑ์ผู้คน 3 แสนคนมาขุดทะเลสาป ดินที่ได้จะไปไหน ก็ภูเขาที่อยู่ข้างหน้าโน้นงัย ชั้นหล่ะทึ่งจริง ๆ โอ้ย เห็นแล้วอิจฉา อยากนั่งมั่ง ตอนนั้นหน่ะ อยากหาที่นั่งใจจะขาด งงหล่ะจิ ว่าชั้นถ่ายรูปอะไรมาหล่ะเนี่ย เห็นพื้นไม้กระดานมะ นี่หล่ะฮีตเตอร์สมัยหลายร้อยปีก่อนโน้น รอบ ๆ ห้องของฮ่องเต้ จะมีเจ้าพื้นไม้กระดานเจาะเป็นสี่เหลี่ยม ข้างล่างเป็นหลุมสำหรับใส่ถ่านให้ความร้อนงัย แจ๋วมะ ^^ ชั้นคิดว่าน่าจะใช่ตำรวจนะ ตั้งใจถ่ายแจกันใบโต แต่ก็ติดเค้ามาด้วยไม่ว่ากันเนอะ ที่หน้าห้องนี้หล่ะ มีหินก้อนใหญ่ที่ชั้นพูดถึงตอนต้น ห้ามถ่ายรูปกลับไปนะจ้ะ ม่ายหวายยยยยแล้วหล่ะมั้ง หมอกเยอะขนาดนี้ วิวไกล ๆ คงไม่ได้แล้วหล่ะ และแล้วเราก็เดินออกจากอี้เหอหยวน สำหรับอุทยานแห่งนี้ ถือว่ากว้างใหญ่ไพศาลมาก ๆ ถ้าคุณจะเดิน ก็ต้องเลือกแล้วหล่ะว่า ซ้ายมือตลอด หรือขวามือตลอด เพราะคุณเดินไปแล้วต้องคำนวณตอนเดินกลับด้วย แล้วที่นี่ก็วกวนไปมา คุณอาจจะหลงอยู่ที่นี่ จนหาทางออกไม่เจอ เรียกว่าติดอยู่ที่นี่เป็นสัปดาห์ก็ได้นะเออ ปล.เที่ยวทั้งหมด 5 วัน ชั้นชอบวันนี้ที่สุด ถึงหมอกจะลงจัดก็เถอะนะ ที่สำคัญวันนี้ยังไม่หมดวันนะจ้ะ ยังเหลือเจ้ารังนกยักษ์ ซึ่งจริง ๆ ตอนลงจากรถหน่ะชั้นไม่อยากไปเลยให้ตายเหอะ เพราะขาของชั้นมันประท้วงไม่ยอมเดินแล้วหน่ะจิ แต่บัดดี้และผู้ใหญ่ทุกคนเดินลงจากรถกันหมดแล้ว ดังนั้นชั้นก็ต้องลงหนะซิ แต่วันนี้บล็อกดูเหมือนจะไม่ยอมให้ชั้นลงภาพแล้ว ทั้งที่ตั้งใจว่าจะลงภาพไว้เยอะ ๆ ทิ้งทวนก่อนหยุดสงกรานต์ยาว ๆ เอาเป็นว่าใครอยากดูภาพต่อตามไปที่ fb ละกันเนอะ ^^
Create Date : 09 เมษายน 2555 |
Last Update : 9 เมษายน 2555 13:48:40 น. |
|
16 comments
|
Counter : 1550 Pageviews. |
|
|
|
โหเมืองจีน สวยมากๆ เลยนะคะ
อยากไปบ้าง อยากไปบ้าง เอิ๊กกก
แต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่จะได้ไป
เห็นแล้วอยากไปจริงๆค่ะ
รอดูเจ้ารังนกยักษ์นะคะ
รักษาสุขภาพค่ะพี่โอ๋