Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2554
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
16 ธันวาคม 2554
 
All Blogs
 
'อากงปลงไม่ตก' : 'สิทธิศักดิ์ วนะชกิจ' โฆษกศาลยุติธรรม จาก คม ชัด ลึก


พลันสิ้นคำอ่านคำพิพากษาศาลอาญาคดีอาญา

หมายเลขดำที่ อ.311/2554 ระหว่างพนักงานอัยการฯ โจทก์

นายอำพล ตั้งนพคุณ จำเลยอายุ 61 ปี ข้อหาหมิ่นประมาท

ดูหมิ่นแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์พระราชินีฯ

อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112

และพรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550

มาตรา 14(2)(3) เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2554

หรือที่ผู้คนทั่วไปเรียกว่า “คดีอากง”

กระแสสังคมเกือบทุกสาขาอาชีพต่างให้ความสนใจ

เหมือนกระแสน้ำที่ไหลบ่ามาท่วมศาลและกระบวนยุติธรรมเช่นน้ำท่วม

กรุงเทพฯที่ผ่านมา รวมทั้ง ต่างชาติบางประเทศ

ก็ให้ความสนใจแสดงความห่วงใย วิพากษ์วิจารณ์

ศาลยุติธรรมไทยในทางไม่สร้างสรรค์นัก

แต่ไม่ว่าความเห็นของสังคมจะสื่อสารในทางใดก็ตาม

ศาลและกระบวนการยุติธรรมไม่เคยขัดขวาง

การแสดงความคิดเห็นของบุคคลใด ๆ ขอเพียงการแสดงออก

ตั้งอยู่บนฐานคติที่ปราศจากอคติ ภายใต้หลักวิชาการ

หลักกฎหมาย หลักนิติธรรม หลักเหตุผล

รือหลักความเชื่อส่วนตนที่สุจริตมีข้อมูลครบถ้วนสมบูรณ์

แต่ดูเหมือนหลายคนที่วิจารณ์ผลคดีข้างต้นในทางลบ

ยังมิได้รู้เห็นพยานหลักฐานหรือข้อเท็จจริงในสำนวนความอย่างถ่องแท้

ซึ่งการนิ่งเฉยของศาลและกระบวนยุติธรรมมิได้มีค่า

เป็นตำลึงทองเสียแล้ว ผู้เขียนจึงขออนุญาตนำความจริงบางประการ

ในท้องสำนวนคดีนี้ ประกอบกับประเด็นที่สังคมตั้งข้อสงสัยมา

นำเฉลยเอ่ยความ เพื่อเป็นข้อมูลแลกเปลี่ยนกับท่านผู้อ่านที่เคารพ

ซึ่งมีประเด็นใหญ่ๆ ที่ผู้คนกล่าวขานกันดังนี้


1. อากงไม่ได้กระทำความผิด เหตุใดศาลจึงพิพากษาลงโทษจำคุก

2. ศาลลงโทษจำคุก 20 ปี เป็นโทษที่หนักเกินไป

3. อากงอายุมากแล้วควรได้รับการลดโทษ ปล่อยตัวไป

หรือได้รับการประกันตัว

4. ศาลไทยไม่มีมาตรฐานสากล ควรรับรองเสรีภาพ

ในการแสดงความคิดเห็นของบุคคล

5. ควรยกเลิกความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112

และความผิดว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับกฎหมายคอมพิวเตอร์



ในข้อแรก ผู้ที่เห็นว่า อากงมิได้กระทำความผิดนั้น

หากเป็นการตัดสินกันเองโดยบุคคลกลุ่มคนนอกศาล

และกระบวนการยุติธรรม คงจะหาเหตุผลรองรับความชอบธรรม

ยากสักหน่อย เพราะเป็นความเชื่อส่วนตนที่ตัวเอง

ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ขณะที่มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น

เป็นอัตวิสัยที่อาจปราศจากพยานหลักฐานสนับสนุน

ในขณะที่คดีนี้ผ่านกระบวนการสอบสวน การกลั่นกรองจากอัยการ

แล้วเปิดโอกาสให้จำเลยต่อสู้คดีในชั้นศาลอย่างเต็มที่

อันเป็นหลักการสากลและหลักกฎหมายที่เปิดโอกาส

ให้ผู้ต้องหาหรือจำเลยต่อสู้คดีอย่างเสมอภาคเท่าเทียมและเป็นธรรม

ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า อากงหรือจำเลยมีความผิด

เพราะศาลชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายแล้วเชื่อว่าจำเลย

เป็นผู้กระทำความผิดตามฟ้องของอัยการโจทก์จริง

แต่ถ้าจำเลยไม่เห็นด้วยไม่พอใจในผลคำพิพากษา

ก็ยังสามารถใช้สิทธิอุทธรณ์ ฎีกาได้ตามกฎหมาย

ซึ่งในอดีตมีคดีที่ศาลสูงเห็นต่างจากศาลชั้นต้นพิพากษากลับ

หรือแก้คำพิพากษาศาลล่าง ก็ไม่น้อย

ดังนั้น เมื่อคดียังไม่ถึงที่สุด การจะด่วนสรุปว่าอากง

เป็นผู้ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดว่าเป็นผู้กระทำผิดโดยเสร็จเด็ดขาดนั้น

ก็ยังมิใช่เป็นเรื่องที่แน่แท้เสมอไปดังที่บางคนมีความเชื่อและเข้าใจใน

ทำนองนั้น แท้จริงแล้ว อากงยังถูกสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์

จนกว่าคดีจะถึงที่สุด


ข้อต่อมา ที่ว่าเหตุใดศาลจึงพิพากษาลงโทษถึงจำคุก

ปกติการกล่าวถ้อยคำหมิ่นประมาทหรือดูหมิ่นบุคคลธรรมดา

ที่เป็นการดูหมิ่นใส่ความทำให้ผู้เสียหายเสื่อมเสียต่อชื่อเสียงเกียรติคุณ

อย่างร้ายแรง กฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิดมีโทษถึงจำคุก

ศาลยุติธรรมก็เคยลงโทษจำคุกจำเลยโดยไม่รอการลงโทษมาแล้ว

สำหรับคดีนี้ มีการใช้ถ้อยคำหยาบคายแสดงความอาฆาตมาดร้าย

จาบจ้วงล่วงเกินพระมหากษัตริย์และพระราชินี ด้วยถ้อยคำภาษา

ที่ป่าเถื่อนและต่ำทรามอย่างยิ่ง เกินกว่าวิญญูชนคนทั่วไป

จะพึงพูดจาดูหมิ่นเหยียดหยามกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้กระทำ

ต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์พระประมุขของประเทศ

อันเป็นที่เคารพยกย่องเทิดทูนของปวงชนชาวไทยและทั่วโลก

ในหลวงทรงครองสิริราชย์มาเป็นเวลากว่า 65 ปี ทรงครองแผ่นดิน

ด้วยหลักทศพิธราชธรรม ห่วงใยทุกข์เข็ญของ

อาณาประชาราษฎร์ตลอดเวลา แม้ในยามทรงพระประชวร

พระองค์ก็ยังทรงงานเพื่อแก้ไขความทุกข์ยากของประชาชน

เช่นอุกทุกภัยน้ำท่วมในครั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ได้ทุ่มเทพระวรกายตลอดพระชนม์ชีพ ทรงงานเพื่อความผาสุก

ของประเทศชาติและประชาชนทุกหมู่เหล่า

ในกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 8 ก็บัญญัติว่า "

องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ

ผู้ใดจะละเมิดมิได้" โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ทรงมิใช่คู่กรณีที่มีความขัดแย้งสร้างความเดือดร้อนเสียหายแก่จำเลย

แม้แต่น้อยนิด รวมทั้งพระองค์ท่านทรงอยู่เหนือ

ความขัดแย้งทางการเมืองจากมวลชนทุกหมู่เหล่า

จึงไม่มีเหตุผลที่จำเลยหรือบางคนจะพยายามบิดเบือนว่า

คดีนี้มาจากมูลฐานทางการเมือง ซึ่งเป็นข้ออ้างที่ไม่เป็นธรรม

และห่างไกลจากความเป็นจริง


ข้อสอง คดีนี้มีข้อเท็จจริงบางประการที่ผู้วิจารณ์อาจยังรู้

ไม่ครบถ้วนและเข้าใจคลาดเคลื่อนคือ นอกเหนือจากพฤติการณ์

แห่งคดีหรือข้อความหมิ่นประมาทที่มีความรุนแรง

และร้ายแรงอย่างมากแล้ว ข้อเท็จจริงยังปรากฏว่า

ผู้กระทำไม่ได้กระทำความผิดแค่ครั้งเดียว

แต่มีการกระทำความผิดต่างกรรมต่างวาระ

ด้วยถ้อยคำดูหมิ่น หมิ่นประมาท แสดงความอาฆาตมาดร้ายถึง 4 ครั้ง

มีถ้อยคำที่แตกต่างกันทุกครั้งแสดงถึงเจตนาที่

จงใจกระทำผิดกฎหมายอย่างท้าทาย

ไม่ยำเกรงอาญาแผ่นดิน ไม่มีจิตสำนึกรู้ผิดชอบชั่วดี

เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธมาตลอดจนถึงในชั้นศาลจึงไม่มีเหตุลดโทษ

บรรเทาโทษตามกฎหมาย ซึ่งความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 112 กฎหมายระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปี ถึง 15 ปี

ส่วนความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับ

คอมพิวเตอร์ กฎหมายระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี

การที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยในความผิดแต่ละครั้ง

จำคุกกระทงละ 5 ปี ตามมาตรา 112 ซึ่งเป็นโทษบทหนักนั้น

เป็นการลงโทษสูงกว่าโทษขั้นต่ำของกฎหมายเพียง 2 ปี

ยังเหลืออัตราโทษอีก 10 ปี ที่ศาลมิได้นำมาใช้ เมื่อนำโทษทั้ง 4 กระทง

มารวมกันเป็น 20 ปี คนทั่วไปที่ไม่รู้จึงเข้าใจผิดคิดว่า

ศาลลงโทษครั้งเดียว 20 ปี เห็นว่าโทษหนักไป

แต่ถ้าเทียบกับพฤติการณ์ความร้ายแรงแห่งคดีแล้ว

หลายคนที่รู้จริงเห็นตรงข้ามว่า โทษเบาไปหรือเหมาะสมแล้วก็มี


ข้อสาม แม้สังคมทั่วไปจะเรียกจำเลยว่า “อากง”

ฟังดูประหนึ่งว่าจำเลยชราภาพมากแล้ว แต่ตามฟ้องจำเลยอายุ 61 ปี

มิได้แก่ชราจนต้องอยู่ในความอนุบาลดูแลของผู้ใดสามารถเข้าใจ

และใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ได้ แสดงว่าเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์

และมิได้แก่เฒ่าคราวปู่ทวดสำหรับบุคคลที่เจนโลก

โชกโชน สันดานเป็นโจรผู้ร้าย มีเจตนาทำร้ายสังคม

สถาบันหลักของประเทศชาติและองค์พระประมุข

อันเป็นที่เคารพสักการะของคนในชาติให้เกิดความหลงผิด

ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวง ผู้เขียนเชื่อว่า

ไม่มีใครอยากให้คนเช่นนี้ลอยนวลอยู่ในสังคม

เพื่อสร้างความเสียหายต่อเนื่องหรือแก่ผู้อื่นอีก

เพราะสักวันคนใกล้ตัวของคนเหล่านี้อาจตกเป็นเหยื่อด้วยก็ได้

มาตรการที่เหมาะสม จึงควรตัดโอกาสในการกระทำผิด

ลงโทษให้หลาบจำสาสมไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ผู้อื่น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผู้ที่กระทำความผิดคิดวางแผนไตร่ตรอง

ในการกระทำความผิดอย่างแยบยลแนบเนียนด้วยแล้ว

ก็ยิ่งสมควรใช้วิธีการที่เหมาะสม ในการคุ้มครองรักษาความสงบสุข

ของประเทศชาติและประชาชนด้วย จึงไม่แน่แท้เสมอไปว่า

ชราชน ที่กระทำความผิดจะต้องได้รับการลดโทษ

ลงโทษน้อย หรือปล่อยตัวไปเสมอไป ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับข้อหาความผิด

ความเสียหายและพฤติการณ์การกระทำ

แต่ละคดีที่ต้องพิจารณาเป็นรายกรณีไป ส่วนการจะได้รับการประกันตัว

หรือไม่ ขึ้นอยู่กับพฤติการณ์ข้อเท็จจริงแห่งคดีเป็นเรื่อง ๆ

ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมาย

วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 108 ,มาตรา 108/1


ข้อสี่ ตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมือง

และสิทธิทางการเมืองเกี่ยวกับเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น

(International Covenant on Civil and Political Rights) ICCPR

ได้บัญญัติรับรองในข้อ19 ว่า

1) บุคคลมีสิทธิที่จะมีความคิดเห็นโดยปราศจากแทรกแซง

2) บุคคลมีสิทธิในเสรีภาพที่จะแสดงความคิดเห็น

สิทธินี้รวมถึงเสรีภาพที่จะแสวงหา ได้รับและสื่อสารข้อมูล

และความคิดทุกชนิด โดยไม่คำนึงถึงพรมแดน ไม่ว่าด้วยวาจา

เป็นลายลักษณ์อักษรหรือด้วยการพิมพ์

ในรูปแบบของศิลปะหรือโดยสื่อประการอื่นใดที่บุคคลดังกล่าวเลือก

3) การใช้สิทธิตามวรรคสองของข้อนี้ต้องประกอบด้วยหน้าที่

และความรับผิดชอบอันเป็นพิเศษ ดังนั้น สิทธิดังกล่าว

จึงอาจอยู่ภายใต้ข้อจำกัด บางประการ แต่ข้อจำกัดนั้นต้อง

เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติและเท่าที่จำเป็น

(ก) เพื่อเคารพต่อสิทธิหรือชื่อเสียงของบุคคลอื่น

(ข) เพื่อคุ้มครองความมั่นคงแห่งชาติ ความสงบเรียบร้อย

ของประชาชนสาธารณสุขหรือศีลธรรมอันดี

นอกจากนั้น กติการะหว่างประเทศฯ ยังได้ให้ความคุ้มครอง

สิทธิของบุคคลในการที่จะไม่ถูกล่วงละเมิดทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง

หรือเกียรติภูมิไว้ด้วยตามข้อ 17 ซึ่งกำหนดว่า

1. ไม่มีบุคคลใดที่จะต้องตกอยู่ภายใต้การแทรกแซง

ตามอำเภอใจหรือโดยมิชอบด้วยกฎหมายต่อความเป็นส่วนตัว

ครอบครัวหรือการติดต่อสื่อสาร หรือการโจมตีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ต่อเกียรติภูมิและชื่อเสียง

2. บุคคลมีสิทธิที่จะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย

จากการแทรกแซงหรือการโจมตีเช่นว่านั้น”

ฉะนั้นแม้การแสดงความคิดเห็นถือเป็นเสรีภาพขั้นพื้นฐาน

ที่กติการะหว่างประเทศฯ ให้การยอมรับ แต่ในขณะเดียวกัน

กติการะหว่างประเทศฯ ก็ได้กำหนดไว้ด้วยว่าการใช้สิทธิดังกล่าว

ต้องทำด้วยความสำนึกรับผิดชอบและไม่ล่วงละเมิดสิทธิของบุคคล

เนื่องจากบุคคลทุกคนย่อมมีสิทธิในการรักษาชื่อเสียงและเกียรติภูมิ

ของตนและต้องได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายด้วยเช่นกัน

กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิ

ทางการเมือง หรือ ICCPR เป็นสนธิสัญญา พหุภาคี ซึ่งสมัชชาใหญ่

แห่งสหประชาชาติ ได้ให้การรับรองเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2509

และมีผลใช้บังคับเมื่อ 23 มีนาคม พ.ศ. 2519 สนธิสัญญานี้

ให้คำมั่นสัญญาว่าภาคีจะเคารพสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง

ของบุคคล ซึ่งรวมถึงสิทธิในชีวิต เสรีภาพในศาสนา

เสรีภาพในการพูด เสรีภาพ ในการรวมตัว สิทธิเลือกตั้ง

และสิทธิในการได้รับการพิจารณาความอย่างยุติธรรม

จนถึงเดือนตุลาคม พ.ศ. 2552 กติการะหว่างประเทศนี้มีประเทศ

ลงนาม 72 ประเทศและภาคี 167 ประเทศ

ประเทศไทย เข้าเป็นภาคีของสนธิสัญญานี้โดยการภาคยานุวัติ

เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2539 และมีผลบังคับใช้กับไทย

เมื่อวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2540 อันสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ

แห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 45 ที่ว่า “บุคคลย่อมมีเสรีภาพ

ในการแสดงความคิดเห็น การพูด การพิมพ์และการสื่อความหมาย

โดยวิธีอื่น แต่เสรีภาพดังกล่าวก็ยังถูกจำกัดได้โดยกฎหมายหากเป็นไป

เพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐ เพื่อคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพ เกียรติยศ

ชื่อเสียง สิทธิ หรือความเป็นส่วนตัวของบุคคลอื่น

เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน...


นอกจากนี้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 5 บัญญัติว่า

ในการใช้สิทธิแห่งตนก็ดี บุคคลทุกคนต้องกระทำโดยสุจริต

และมาตรา 421ก็บัญญัติว่า การใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดเสียหาย

แก่บุคคลอื่นนั้น ท่านว่าเป็นการอันมิชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งมีมาตรฐาน

เช่นเดียวกับหลักการสากลข้างต้น อันแสดงว่าประเทศไทย

ให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชน มีกฎหมายที่ความก้าวหน้าทันสมัย

ทัดเทียมอารยประเทศ

เพียงแต่ภายใต้ระบอบการปกครองบ้านเมืองที่แตกต่างกัน

ทุกประเทศจึงควรที่จะต้องให้เกียรติเคารพในความต่าง

ที่เป็นจุดแข็งทางวัฒนธรรมและสังคมของแต่ละประเทศ

หากผู้วิจารณ์คนใดยังศึกษาภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ไม่ลึกซึ้ง

ถึงแก่นแท้หรือมีข้อเท็จจริงไม่ครบถ้วนเพียงพอ

ไม่เข้าใจในขนบธรรมเนียม ประเพณี สังคมประเทศใดแล้ว

การแสดงความเห็นว่าศาลหรือกระบวนการยุติธรรมของประเทศอื่น

ในทำนองห่วงใยว่าจะไม่มีมาตรฐานสากลนั้น เป็นเรื่องละเอียดอ่อน

ลึกซึ้ง และหมิ่นเหม่ต่อการกล่าวหากันอย่างไม่เป็นธรรม

อาจทำให้คิดไปว่าผู้วิพากษ์เจือปนด้วยอคติที่ผิดหลงมีวาระซ่อนเร้น

ประเทศไทยมีเอกราชทางการปกครองและการศาลมาช้านาน

และประชาชนมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นภายใต้

การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข


ข้อห้า กฎหมายทุกฉบับออกหรือตราขึ้นโดยฝ่ายนิติบัญญัติ

ที่เป็นผู้แทนมาจากปวงชนชาวไทย สามารถแก้ไขปรับปรุงและยกเลิกได้

ถ้าสภาผู้แทนราษฎรเห็นว่าล้าสมัยไม่เหมาะสม

ศาลเป็นเพียงผู้ใช้กฎหมายตามเจตนารมณ์ที่สภานิติบัญญัติตราขึ้น

มีกฎหมายหลายฉบับ เขียนให้ศาลแทบใช้ดุลพินิจไม่ได้

หรือต้องลงโทษสถานหนักในบางข้อหาเช่น ผลิตนำเข้ายาเสพติดให้โทษ

ประเภท 1 แม้เพียง 1 เม็ดหรือ ข้อหาฆ่าบุพการี

ต้องประหารชีวิตสถานเดียว เป็นต้น

แม้การแก้ไขยกเลิกกฎหมายจะกระทำได้ก็ตาม

แต่ต้องคำนึงถึงความรู้สึกของประชาชน ความสงบเรียบร้อยของสังคม

และผลกระทบข้างเคียงอื่นที่อาจตามมาด้วย

อย่าให้อารมณ์หรือกระแสแห่งการปลุกปั่นยั่วยุ

ชักจูงไปในทางที่เสียหายได้


คดีอากง เป็นแค่ปฐมบทในการพิสูจน์ความผิด

หรือความบริสุทธิ์ของจำเลย ตามครรลองแห่งเสรีภาพ

ที่กฎหมายเปิดช่องไว้ตราบใดที่คดียังไม่ถึงที่สุด

การด่วนรวบรัดตัดความกล่าวโทษบุคคลหรือองค์กร

ที่ทำหน้าที่รักษากติกาสังคมอาจยังไม่เป็นธรรมนัก


อย่างไรก็ตาม คนทุกชาติ ทุกภาษา ต่างหวงแหนรัก

ในแผ่นดินเกิดของตนเองเคารพและศรัทธาในศาสดา

ที่เป็นผู้นำทางศาสนาของตนเอง ความแตกต่างทางความคิด

เชื้อชาติศาสนาการปกครองบ้านเมืองศิลปวัฒนธรรม ประเพณี

มิใช่สิ่งผิดปกติในสังคมโลก แต่การกล่าวร้ายใส่ความ

แสดงความอาฆาตมาดร้ายศาสดาของศาสนาอื่น

เป็นพฤติการณ์ที่ผู้เจริญมิสมควรกระทำอย่างยิ่ง

เพราะน้ำผึ้งหยดเดียวอาจกลายเป็นความหายนะของชาติได้

ดังนั้น หากท่านผู้อ่านอยากรู้ปัจจุบันและอนาคตของชาติใด

ขอจงศึกษาประวัติศาสตร์ของประเทศนั้น สำหรับชาติไทย

ดำรงคงเอกราชมีเอกลักษณ์ของความเป็นชาติไทย

เป็นที่ชื่นชมยกย่องของคนทุกชาติทุกภาษา เพราะผู้คนในสังคมไทย

ยังมีความรักสามัคคี มีน้ำใจ เอื้ออาทรผ่อนปรนเข้าหากัน

ไม่ก้าวร้าวรุนแรง โดยขาดสติไร้เหตุผลรักหวงแหน เทิดทูนในชาติ

ศาสนาและสถาบันพระมหากษัตริย์จากรุ่นสู่รุ่น

และปลูกฝังถ่ายทอดเป็นมรดกสู่ลูกหลานจนถึงปัจจุบัน

หากคนไทยยังรักและภูมิใจในแผ่นดินเกิด

ขอได้โปรดช่วยกันรักษาสถาบันชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์

การจะติชมวิพากษ์เป็นเสรีภาพที่กระทำได้ ขอเพียงมีจิตเป็นกลาง

ไม่มีอคติ และบนฐานคติที่สร้างสรรค์ พึงอย่าได้ใช้สิทธิส่วนตน

เกินส่วนจนเกินขอบเขตก้าวล้ำสิทธิเสรีภาพผู้อื่น อย่าได้แสดงความ

พยาบาทอาฆาตมาดร้าย ประหัตประหารด้วยอาวุธลมปาก

และความเท็จต่อผู้อื่น โดยอ้างเหตุผลทางการเมือง

หรือเหตุอื่นมาสร้างความชอบธรรมแก่ตนเอง

อย่าให้ลูกหลานในอนาคตเหลือแค่ความทรงจำ

แห่งความภาคภูมิในอดีตบนซากปรักหักพังของชาติไทย

ที่ผองชนรุ่นปัจจุบันได้ทำลายล้างไปอย่างตั้งใจและมิได้ตั้งใจ



......................

อ้างอิงจาก หนังสือพิมพ์คมชัดลึก ฉบับวันศุกร์ ที่ 16 ธันวาคม 2554



Create Date : 16 ธันวาคม 2554
Last Update : 15 มิถุนายน 2556 15:12:01 น. 1 comments
Counter : 1017 Pageviews.

 


โดย: winza1 วันที่: 16 ธันวาคม 2554 เวลา:20:53:14 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ART19
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]





ความเสมอภาคที่แท้จริง คือ
การที่ทุกคนต้องมีหน้าที่
การทำหน้าที่ของตนเอง
จะเป็นสิ่งที่กำหนดว่า
เราควรได้รับอะไร แค่ไหน
Friends' blogs
[Add ART19's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.