|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 |
|
|
|
|
|
|
|
เหลียวหลัง 60 ปีการปฏิวัติจีน
โดย เกษียร เตชะพีระ
ประธานเหมาเจ๋อตงประกาศสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน
1 ต.ค. 1949 ในโอกาสเฉลิมฉลองวันชาติจีนครบรอบ 60 ปี
เมื่อ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์ Le Monde ของฝรั่งเศส
ได้ลงบทสัมภาษณ์ ลูเซียง บิอังโก (Lucien Bianco)
ผู้อำนวยการวิจัย ศูนย์ศึกษาจีนสมัยใหม่และร่วมสมัยแห่ง
l"Ecole des hautes ?tudes en sciences sociales (EHESS)
เพื่อสะท้อนภาพรวมการปฏิวัติจีน และประเทศจีนใหม่หลังการปฏิวัติ
ถึงปัจจุบัน อันเป็นทรรศนะที่สั่งสมกลั่นตัวขึ้นจากการพากเพียร
เกาะติด ศึกษาค้นคว้าข้อมูลเอกสารชั้นต้นเกี่ยวกับประวัติศาสตร์
การเมืองและชาวนาจีนอย่างเจาะลึกมากว่า 40 ปี
ดังปรากฏในงานเด่นๆ ของเขา อาทิ
Les Origines de la r?volution chinoise 1915-1949
(กำเนิดการปฏิวัติจีน 1915-1949, พิมพ์ครั้งแรก ค.ศ.1967
ฉบับปรับปรุงล่าสุด 2007); Peasants without the Party : Grassroots
Movements in Twentieth Century China
(ชาวนาไร้พรรค : ขบวนการรากหญ้าในจีนแห่งคริสต์ศตวรรษที่ 20,
ค.ศ.2001); และ Jacqueries et r?volution dans la Chine du XXe
si?cle (กบฏชาวนากับการปฏิวัติในจีนแห่งคริสต์ศตวรรษที่ 20,
ค.ศ.2005) ซึ่งเขียนร่วมกับ Hua Chang-ming เป็นต้น
ผมขอถือโอกาสแปลถ่ายทอดสู่ท่านผู้อ่านดังต่อไปนี้ : -
คำถาม (โดยบรูโน ฟิลิป ผู้สื่อข่าวเลอมงด์) :
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์ชาวนาจีน
จะพูดได้ไหมครับว่า ยุทธศาสตร์ของเหมา เจ๋อ ตง
ที่มีจุดเด่นตรงเลือกพึ่งพามวลชนชาวนานั้นเป็นสาเหตุหลัก
แห่งชัยชนะของคอมมิวนิสต์?
ลูเซียง บิอังโก : ถึงแม้ยุทธศาสตร์อิงชาวนาของเหมาจะชาญฉลาด
และได้ผลดียิ่งก็จริง ทว่าสาเหตุหลักแห่งชัยชนะของคอมมิวนิสต์จีน
คือสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งปรากฏชัดว่ามันมีบทบาทชี้ขาด
ยิ่งกว่าบทบาทของสงครามโลกครั้งที่ 1 ในชัยชนะของ
พวกบอลเชวิค (สมัยการปฏิวัติสังคมนิยมรัสเซีย ค.ศ.1917-ผู้แปล)
เสียอีก มันทำให้ระบอบปกครองเก่าที่เปราะบางอยู่แล้วล่อแหลม
ง่อนแง่นแสนสาหัสและทำให้พวกคอมมิวนิสต์เพิ่มขยายกำลัง
ของตนขึ้นมากเลยทีเดียว
คำถาม : ทหารกองทัพแดงของพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้เปรียบศัตรู
ด้านหลักๆ ตรงไหนบ้างในสมัยสงครามกลางเมือง?
ลูเซียง บิอังโก : กองทัพแดงเหนือกว่าในด้านการบังคับบัญชา
และขวัญกำลังใจ ทั้งยังค้ำหนุนด้วยการปฏิรูปที่ดิน
ซึ่งแจกจ่ายที่ดินให้แก่ชาวนาผู้เข้าร่วมกองทัพแดง
ทว่าที่สำคัญไปกว่านั้นคือวิกฤตการณ์ซึ่งทำให้ระบอบก๊กมินตั๋ง
ของเจียง ไค เช็ค ต้านทานการรุกของฝ่ายคอมมิวนิสต์
ได้น้อยลงทุกที ตอนนั้นเงินเฟ้อหนักพอๆ กับที่สาธารณรัฐไวมาร์
เคยประสบ (หมายถึงเยอรมนีหลังสงครามโลกครั้งที่ 1
ซึ่งเงินเฟ้อวันละ 20.9% หรือของแพงขึ้นเท่าตัวชั่ว 3.7 วัน
ส่วนจีนก่อนปลดปล่อยนั้น เงินเฟ้อวันละ 11%
ส่งผลให้ของแพงขึ้นเท่าตัวใน 6.7 วัน-ผู้แปล)
ข้าราชการและคนกินเงินเดือนพากันฉิบหายล่มจม
คอร์รัปชั่นยิ่งร้ายแรง และผู้คนเอาใจออกห่าง รัฐบาล
เมื่อจนตรอกเข้า รัฐบาลก๊กมินตั๋งก็ยังดื้อรั้นปราบปราม
และพยายามปกปิดความพ่ายแพ้ของตนอยู่อีก ดูภายนอกแล้ว
การปฏิวัติคอมมิวนิสต์จีนเหมือนสู้รบจนพิชิตศึกได้
แต่เอาเข้าจริงมันถูกต้องแม่นยำกว่าที่จะบอกว่า
ระบอบก๊กมินตั๋งเองนั่นแหละที่ล่มสลายลงท่ามกลางคำโป้ปดมดเท็จ
การล้มละลายและคอร์รัปชั่น
คำถาม : ชาวจีนในเมืองมีท่าทีรู้สึกนึกคิดอย่างไรเมื่อใกล้
จะได้รับการ "ปลดปล่อย" โดยทหารของเหมา?
ลูเซียง บิอังโก : กองทัพแดงไม่ได้ยาตราเข้าเมืองนานกิง
หรือเซี่ยงไฮ้ท่ามกลางเสียงไชโยโห่ร้องต้อนรับ
ชาวเมืองค่อนข้างเงียบและสงวนท่าทีเหมือนที่โรแบต์ กวีแยง
ผู้สื่อข่าวเลอมงด์สมัยนั้นเล่านั่นแหละ แต่ถึงกระนั้น
ชาวเมืองก็หันมาเข้ากับฝ่ายคอมมิวนิสต์ในเวลาไม่ช้านาน
ทั้งนี้ก็เพราะพวกเขามักน้อย พึงพอใจกับแค่ความหวังว่าชีวิต
จะแย่น้อยลง ไม่ต้องถึงกับดีขึ้นหรอก และเมื่อพวกเขาตรองๆ
ดูก็คงไม่มีอะไรจะเลวร้ายไปกว่าสิ่งที่ได้เคยประสบมา
ในระบอบเก่าอีกแล้ว ในแง่นี้ก็นับว่าพวกเขาคิดผิด
โดยเฉพาะพวกปัญญาชน กลุ่มหลังนี้แรกเริ่มเดิมทีก็ปลาบปลื้ม
ชื่นชมระบอบใหม่มากกว่าที่ปัญญาชนรัสเซียปลื้มระบอบบอลเชวิคเสียอีก
พวกเขาคาดหวังว่า คอมมิวนิสต์จะยุติสภาพที่ประเทศจีนตกต่ำ
เสื่อมถอยลงเรื่อยๆ เสียที นั่นประจวบเหมาะกับสิ่งที่เหมา
ให้คำมั่นสัญญากับพวกเขาไว้ทันทีพอดี ดังที่เหมาประกาศว่า :
"ประชาชนจีนได้ลุกยืนขึ้นแล้ว...ชาวจีนจะไม่ยอมเป็นทาส ใครอีก"
การปฏิวัติครั้งนี้จึงมีลักษณะชาตินิยมมากกว่าที่จะเป็นคอมมิวนิสต์
คำถาม : ก่อนเริ่มการปฏิรูปเศรษฐกิจปี ค.ศ.1979
เราพอจะแยกแยะช่วงเวลาใดได้บ้างไหมนับแต่ปี ค.ศ.1949 เป็นต้นมา
ที่ส่งผลเชิงบวกต่อประเทศจีน (ในแง่ลดความยากจน,
เพิ่มการรู้หนังสือ, ยกระดับสิทธิสตรี ฯลฯ)
ถึงแม้เศรษฐกิจจะพังพินาศในยุคลัทธิเหมาก็ตาม?
ลูเซียง บิอังโก : ในแง่ลดความยากจน คิดเบ็ดเสร็จแล้ว
ผลงานแทบจะเป็นศูนย์ กล่าวคือในปี ค.ศ.1977
หลังเหมาตายหนึ่งปี รายได้ของชาวนาซึ่งคิดเป็น 80%
ของชาวจีนนั้น เท่ากับหรือน้อยกว่ารายได้ในปี ค.ศ.1933 !
เหมานั้นชอบป่าวประกาศเรียกร้องลัทธิสมภาคนิยมมากกว่า
จะทำให้มันประจักษ์เป็นจริง การตัดสินใจเลือกเรื่องต่างๆ
บนพื้นฐานอุดมการณ์และความดื้อรั้นยืนกรานของเขา
ทำให้ประชากรทั้งมวลจมปลักอยู่ในความยากจน
การที่รัฐบาลคอมมิวนิสต์ขยายเสรีภาพตามกฎหมายการ
แต่งงาน ค.ศ.1950 ซึ่งอำนวยประโยชน์ให้กับชนชั้นปัญญาชน
และคนชั้นกลางชาวเมืองจำนวนน้อยนิดอยู่ก่อนแล้ว
ให้ครอบคลุมประชากรทั้งหมดนั้น ก็ช่วยผ่อนคลาย
สภาพของผู้หญิงให้ดีขึ้นบ้าง โดยที่ผู้เป็นภรรยา
มักโดนสามีที่เธอถูกจับให้แต่งงานด้วยแบบคลุมถุง
ชนข่มเหงรังแกหรือทุบตีทำร้ายอยู่เนืองๆ มาตอนนี้ถึงไง
พวกเธอก็สามารถฟ้องร้องขอหย่าขาดได้ ทว่า
ความคิดเก่าที่คอยต่อต้านก็ถ่วงหน่วงเหนี่ยวรั้งการบังคับใช้กฎหมาย
ให้เนิ่นช้าออกไปโดยเฉพาะในชนบท และทางพรรคเอง
ซึ่งมีเรื่องสำคัญเร่งด่วนอื่นก็เลือกที่จะซื้อเวลามากกว่า
อย่างไรก็ตาม พรรคก็ประกาศหลักความเสมอภาคทางเพศออกมาจริงๆ
ชั่วแต่คติพจน์อันโด่งดังที่ว่า "ผู้หญิงแบกโลกไว้ครึ่งหนึ่ง"
มันก็ยังคงเป็นแค่คำขวัญเฉยๆ เหมือนอย่างคติพจน์ลัทธิเหมาอื่นๆ
ผู้หญิงถูก "ปลดปล่อย" ออกมาเพื่อให้ทำงาน
เหมือนในสหภาพโซเวียตนั่นแหละ แถมเป็นงานหนัก
ที่น้อยนักจะได้ค่าแรงเท่าผู้ชาย
ทว่า ในทางกลับกัน การรู้หนังสือและการศึกษาก็ก้าวหน้าไปไกลมาก
ในจีนนับแต่สมัยเหมาเป็นต้นมา เมื่อปี ค.ศ.1949 นั้น
นับแล้วประชากรไม่รู้หนังสือถึง 80% ทุกวันนี้เหลือคนไม่รู้หนังสือ
แค่ 8% และความก้าวหน้าเรื่องนี้ด้านหลักแล้วปรากฏเป็นจริงขึ้น
ในสมัยเหมายังมีชีวิตอยู่ สำหรับด้านการศึกษา
คนจีนไปล้ำหน้ากว่าที่ตั้งใจไว้ กล่าวคือในปี ค.ศ.1949
เด็กในวัยเรียนได้เข้าเรียนชั้นประถมศึกษาเพียง 25%
แต่ในปี ค.ศ.1976 ที่เหมาตายนั้น สัดส่วนดังกล่าวขึ้นไปถึงกว่า 95%
คำถาม : จะประเมินช่วง 30 ปีหลังที่จีนมั่งคั่งร่ำรวยขึ้น
และกลายเป็นมหาอำนาจในทางสากลอย่างไร?
คุณเห็นไหมว่าลักษณะที่เป็นเผด็จการอำนาจนิยมพรรคเดียว
ของระบอบปกครองนี้เป็นเงื่อนไขอย่างหนึ่งของความสำเร็จ
โดยที่ไม่มีใครยอมรับเช่นนั้นเลย?
ลูเซียง บิอังโก : ก็ต้องยอมรับว่าโดดเด่นมากในแง่การพัฒนาประเทศ
และระดับชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎร ยิ่งเรื่องจำนวนประชากรแล้ว
ระบบพรรคเดียวทำงานได้ดีกว่าเรื่องเศรษฐกิจเสียอีก
การคุมกำเนิดมีประสิทธิผลพอๆ กับที่มีลักษณะบังคับ
ราวปี ค.ศ.1975 ความที่ผมอิดหนาระอาใจกับเงื่อนไขสภาพการ
ทำวิจัยในจีน ผมก็เลยแวะอินเดียขากลับและเจอโปสเตอร์ยักษ์
เรียงรายด่าประณาม "การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์" ที่กระทำโดยนางอินทิรา
คานธี (นายกรัฐมนตรีอินเดียสมัยนั้น-ผู้แปล) โดยที่เธอเอง
ก็พยายามวางแผนคุมกำเนิดในอินเดียเหมือนกัน
ทว่า โดยใช้วิธีการบังคับน้อยกว่าในจีนตั้งเยอะด้วยซ้ำไป
นั่นเป็นอุปสรรคที่ฝ่ายนำในจีนไม่ต้องเผชิญ แม้ว่าชาวนาจีน
จะพยายามทำสิ่งที่เหลือเชื่อเพื่อเลี่ยงกฎหมายวางแผนครอบครัวก็ตาม
ในด้านเศรษฐกิจ ความสำเร็จเกิดจากลักษณะอำนาจนิยม
ของระบอบปกครองน้อยกว่าการที่ระบอบนี้ยกเลิกเป้าหมายทางอุดมการณ์ พอละเลิกการจะเอาให้ได้ดังใจแบบลัทธิเหมาเสีย
พวกเขาก็เพียรพยายามรีบเร่ง ชดเชยความล่าช้าล้าหลังอัน
เป็นมูลเหตุที่แท้ของการปฏิวัติจีน แนวทางปฏิบัตินิยมนี้
ช่วยปลดปล่อยพลังงานของ ผู้ผลิตออกมา ผมไม่คิดว่า
จะได้เห็นประชาธิปไตยสถาปนาขึ้นในจีนในชั่วชีวิตของผมหรอก
(ลูเซียง บิอังโก เกิดปี ค.ศ.1930) และก็ใช่ว่านี่เป็นความรับผิดชอบ
ของระบอบปกครองเพียงลำพังฝ่ายเดียว เพราะมันยากที่จะปรับ
ประชาธิปไตยให้เข้ากับประเทศที่ไม่เคยรู้จักมันมาก่อนและมีประชากร
อาศัยอยู่กว่า 1.3 พันล้านคนซึ่งส่วนใหญ่ยากไร้และขาดการศึกษา
จากหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน วันที่ 9 /10 / 52
Create Date : 09 ตุลาคม 2552 |
Last Update : 18 ตุลาคม 2555 11:09:18 น. |
|
1 comments
|
Counter : 709 Pageviews. |
|
|
|
โดย: macaroon IP: 124.120.57.138 วันที่: 9 ตุลาคม 2552 เวลา:10:26:06 น. |
|
|
|
|
|
|
|