|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
ความคลุมเครือของสิ่งที่เรียกว่าชาติ
ผมเชื่อว่าคุณประโยชน์ของบางสิ่งบางอย่าง
เกิดจากการยอมรับในสิ่งที่มันเป็นอยู่
และใช้ประโยชน์จากมันตามสภาพที่มันเป็น
..................................................................
ถ้าช้อนไม่คดงอ เราคงไม่สามารถใช้ตักอาหารได้
การจะไปดัดแปลงช้อนให้เป็นเส้นตรง
ย่อมเป็นการลดประโยชน์ในการใช้ตักอาหารของมัน
..................................................................
คนทั่วไปมักเห็นว่า ความว่างหาประโยชน์อะไรไม่ได้
เพราะมันไม่มีอะไรที่จะจับต้องสัมผัสได้
แต่ลัทธิเต๋ากล่าวว่า เพราะมีความว่าง
จึงสามารถบรรจุสิ่งต่าง ๆ ลงไปได้
ยิ่งว่างมากเท่าไหร่ก็ยิ่งบรรจุสิ่งต่าง ๆ ลงไปได้มากเท่านั้น
..................................................................
และแม้กระทั่ง "ความคลุมเครือ" ของบางสิ่งบางอย่าง
หากเรายอมรับในสิ่งที่มันเป็นอยู่
เข้าใจถึงสภาพตามความเป็นจริงของมัน
การแสวงหาประโยชน์จากความคลุมเครือของสิ่งนั้น
ก็ไม่ใช่เรื่องพ้นวิสัย
..................................................................
หนึ่งใน "ความคลุมเครือ" ที่ยังเถียงกันไม่จบไม่สิ้น
ในทุกวันนี้...นั่นก็คือ คำถามว่า "ชาติ" คืออะไร
อ.นิธิ กล่าวว่า ชาติ คือสำนึกของประชาชน
ที่มีความสัมพันธ์กันเป็นพิเศษกว่าคนอื่นๆ
(มองในแง่สังคมวิทยา)
อ.คึกฤทธิ์ กล่าวว่า ชาติ คือ ผลประโยชน์ร่วมกันของประชาชน
(มองในแง่เศรษฐศาสตร์)
อ.เสกสรร กล่าวว่า ชาติ คือ ชุมชน x ชุมชน
(มองในแง่รัฐศาสตร์)
Professor Benedict Anderson กล่าวว่า
ชาติ คือชุมชนจินตกรรม
ก่อนหน้านี้มีผู้แปลไว้ว่า "ชุมชนในจินตนาการ"
ซึ่งผมชอบคำแปลแบบเก่ามากกว่า
ฯลฯ
..................................................................
ไม่ว่าจะมองในแง่ไหนก็ตาม ผมยอมรับได้ทั้งนั้น
ผมเห็นด้วยกับ อ.นิธิ ว่าเราไม่ควรผูกขาด
ความเป็นชาติเอาไว้กับสิ่งหนึ่งสิ่งใด หรือบุคคลใดบุคคลหนึ่ง
ความเป็นชาติ ควรเป็นพื้นที่เปิดกว้างให้กับทุกคนในสังคม
มองในทางกลับกัน เพราะ "ชาติ" เป็นสิ่งที่คลุมเครือ
จึงทำให้มันมีความหลากหลาย
และรองรับสภาพสังคมในหลาย ๆ รูปแบบได้
ความคลุมเครือของ "ชาติ" จึงเป็นตัวละลายอัตลักษณ์
และทำให้สังคมหลอมเป็นเนื้อเดียวกัน (เอกภาพ)
ซึ่งลำพังปัจจัยด้านเชื้อชาติ ประวัติศาสตร์ หรือศาสนา
ไม่สามารถทำได้เหมือนในอดีต
เพราะสังคมปัจจุบันมันมีความหลากหลายมากกว่านั้น
..................................................................
ถ้าจะให้ผมสรุปความก็คือ
การไม่สามารถจำกัดความหมายของบางสิ่งบางอย่างนั้น
มิได้เป็นการลดคุณค่าของสิ่งนั้นแต่อย่างใด
ปัญหาก็คือ...มีคนกลุ่มหนึ่งเริ่มปฏิเสธ
ไม่ยอมรับสิ่งที่เรียกว่า "ชาติ" ด้วยเหตุผลที่ว่า
มันหาความหมายที่แท้จริงไม่ได้
และที่สุดก็เชื่อว่า มันไม่มีอยู่จริง ?
หรือมันไม่ควรมีอยู่ ?
ทั้ง ๆ ที่ คำถามว่า "ชาติ" คืออะไร
เป็นคนละประเด็นกับคำถามว่า "ควรมีชาติหรือไม่"
ผมรู้สึกว่า บางครั้งการมุ่งแต่จะเอาความหมายมาผูกกับคุณค่า
มันก็ทำให้เราหลงลืมคุณค่าที่แท้จริงของบางสิ่งไป
โดยเฉพาะคุณค่าสูงสุดของชาติ ที่ทำให้มนุษย์
ยอมเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อประโยชน์สุขของสังคม
โดยไม่มีสิ่งที่เป็นมูลค่าเข้ามาเกี่ยวข้อง ..................................................................
ในหนังสือเรื่อง พฤติกรรมพยากรณ์
ที่เขียนโดย Dan Ariely กล่าวเอาไว้ว่า
เราอาศัยอยู่ในโลกสองใบที่แตกต่างกันในเวลาเดียวกัน
ใบหนึ่งบรรทัดฐานทางสังคม (social norms)
และอีกใบหนึ่งบรรทัดฐานทางตลาด (market norms)
บรรทัดฐานทางสังคมจะทั้งอบอุ่นและคลุมเครือ
ไม่จำเป็นต้องมีการตอบแทนในทันทีทันใด
กล่าวคือ คุณอาจช่วยเพื่อนบ้านย้ายโซฟา
แต่นั่นไมได้หมายความว่าเขาจะต้องมาที่บ้าน
เพื่อช่วยคุณย้ายโซฟาเดี๋ยวนั้น
ต่างกับบรรทัดฐานทางตลาดที่ไม่มีทั้งความอบอุ่น
และความคลุมเครืออยู่เลย
และการแลกเปลี่ยนต้องเป็นไปอย่างชัดแจ้ง
ไม่ว่าจะเป็นค่าแรง ค่าเช่า ดอกเบี้ย ฯ
ความสัมพันธ์ทางตลาดไม่จำเป็นต้องเลวร้าย
หรือเอารัดเอาเปรียบเสมอไป มันเพียงแต่บ่งบอกถึง
การแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ที่ทัดเทียมกัน
และการตอบแทนในทันทีทันใด
แต่ Ariely กล่าวเอาไว้อย่างน่าสนใจว่า
เงินเดือนเพียงอย่างเดียวไม่อาจจุงใจให้คนยอมเสี่ยงชีวิตได้
ไม่ว่าจะเป็น ตำรวจ พนักงานดับเพลิง หรือทหาร
อาชีพเหล่านี้ล้วนไม่ยอมตายเพื่อแลกกับ
ค่าจ้างรายสัปดาห์ของพวกเขาแน่ ๆ
แต่เป็นบรรทัดฐานทางสังคมที่จุงใจพวกเขาให้ยอมเอา
ชีวิตและสวัสดิภาพของตัวเองเข้ามาเสี่ยง
ครับ...สิ่งที่ผมอยากจะบอกก็คือ
สำนึกในความเป็นชาติ..มันมีอะไรบางอย่าง
ที่อยู่ในฟากของบรรทัดฐานทางสังคม
และหากสำนึกแบบนี้ต้องหายไปจากสังคมไทย
นั่นหมายความว่า เราอาจต้องสูญเสีย
คนจำนวนหนึ่งที่เต็มใจเสี่ยงเพื่อสังคมไทยไปก็ได้
..................................................................
ในความคิดของนักศึกษาคนหนึ่งที่พยายาม
รณรงค์ให้สังคมไทยไม่ถูกบังคับให้ต้องเคารพธงชาติ
มองอีกแง่หนึ่งบมันคือการลดบทบาทของสัญลักษณ์
ที่สะท้อนถึงความเป็นชาติ (หรือผูกขาดความเป็นชาติ)
ส่วนตัวแล้ว ผมไม่แน่ใจว่า
เป็นการแก้ประเด็นได้ตรงจุดหรือเปล่า
เพราะปัญหาของประเทศนี้อาจไม่ได้อยู่ที่
ควรมีสำนึกแห่งความเป็นชาติหรือไม่ ?
แต่ประเด็นมันน่าจะอยู่ที่การแชร์
อำนาจในการกำหนดนิยามของคำว่า "ชาติ" มากกว่า
ตราบใดที่สำนึกเรื่องชาติยังคงอยู่
ย่อมต้องมีความเปลี่ยนแปลง
ไปตามสภาพการณ์ของสังคม
ดังนั้น สิ่งที่น้องนักศึกษาคนนั้นควรทำ
จึงไม่ใช่การลดสำนึกเกี่ยวกับความเป็นชาติ
แต่มันคือการเพิ่มพื้นที่ความเป็นชาติ
ให้กับภาคส่วนอื่น ๆ ในสังคม เปิดโอกาสให้สังคม
มีส่วนในการกำหนดนิยามของความเป็นชาติ
ยกตัวอย่างเช่น อำนาจที่ตรวจสอบไม่ได้
ย่อมไม่ถือเป็นอำนาจในนามของชาติ
..................................................................
สำนึกเรื่องชาติยังเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับประเทศนี้อยู่
เพราะมันคือเบ้าหลอมที่ดีที่สุด
ในการทำให้สังคมมีแกนกลางที่หลอมเป็นเนื้อเดียวกัน
ในท่ามกลางความหลากหลายขององค์ประกอบต่าง ๆ
เป็นเหมือนแกนกลางของล้อเกวียน
ที่ขับเคลื่อนให้ซี่ล้อต่างๆ มุ่งไปในทิศทางเดียวกัน
เพียงแต่กระบวนการสร้างแกนกลางที่ว่านั้น
จำเป็นต้องเปิดพื้นที่ให้ทุกส่วนได้มีส่วนร่วม
แกนกลางที่ว่านั้นจึงไม่มีใครมีสิทธิ์ยึดกุมผูกขาด
มันจึงต้องมีช่องพร้อมที่จะให้
ไม้แกนสอดเข้ามาได้ตลอดเวลา
Create Date : 10 กันยายน 2559 |
Last Update : 10 กันยายน 2559 0:11:40 น. |
|
0 comments
|
Counter : 3687 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|