|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
ศีลธรรมที่ปราศจากศาสนา
ผลโพลเมื่อเร็ว ๆ นี้ ทำเอาผมรู้สึกกังวลเหมือนกัน
สังคมไทยมาถึงยุคที่เริ่มยอมรับการโกงกันอย่างเปิดเผยซะแล้ว
ตามผลโพลนั้น มีผู้ยอมรับวาทกรรมที่ว่า
"โกงได้ไม่เป็นไร ขอให้มีผลงาน" ถึง 80% ทีเดียว
ตัวเลขนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของสังคมไทย
ในอดีต คำว่าโกง ถือเป็นคำตำหนิที่ค่อนข้างแรงทีเดียว
ใครที่ถูกด่าด้วยคำ ๆ นี้ มันเจ็บเอาเรื่องแถมอาย
จนแทบแทรกแผ่นดินหนี (แต่ยังไงคนไทยก็คงไม่ถึงกับฆ่าตัวตาย
เหมือนญี่ปุ่น) ยกเว้นมนุษย์พันธุ์พิเศษบางพวกที่
สามารถยอมรับคำด่าแบบนี้ได้หน้าตาเฉย
ซึ่งพวกเผ่าพันธุ์นี้มันดันมีมาทุกยุคสมัยเสียด้วย
คำถามก็คือ อะไรที่ทำให้คนไทยในอดีตรู้สึกรังเกียจการโกง
ทั้ง ๆ ที่การโกงก็มีมาทุกยุคทุกสมัย ไม่ต่างอะไรกับยุคนี้
ผมคิดว่า ส่วนหนึ่งของคำอธิบายนี้ อยู่ที่สถาบันศาสนาครับ
เพราะคำสอนศาสนาทุกศาสนานั้น ล้วนแต่สอนให้รังเกียจการโกงทั้งสิ้น
ต้องยอมรับว่า ปัจจุบันมีคนจำนวนไม่น้อยปฏิเสธศาสนาทุกศาสนา
ด้วยเหตุผลร้อยแปดพันอย่าง อาทิ หลักการศาสนานั้น
ขัดกับวิทยาศาสตร์ , หรือเห็นว่าเป็นเรื่องงมงาย ฯ
ในที่สุดก็นำมาซึ่งข้อสรุปว่า มนุษย์สามารถเป็นคนดี
ได้โดยไม่จำเป็นต้องนับถือศาสนา แต่ก็ไม่แน่เหมือนกันนะครับ
ที่บอกว่าไม่มีศาสนานั้น บางทีอาจเป็นอย่างที่ผู้อาวุโสบางท่าน
กล่าวเอาไว้ก็ได้ คือท่านกล่าวว่า สังคมไทยกำลังสร้างศาสนาใหม่
จะเรียกว่า "ศาสนาวัตถุนิยม" ก็คงได้ โดยมีองค์ประกอบคือ
พระเจ้า : เงินตรา
ศาสดา : นักการตลาด , ดารา
หลักคำสอน : การโฆษณาตามสื่อต่าง ๆ
ศาสนสถาน : ห้างสรรพสินค้า
ศาสนพิธี : การบริโภค การช็อปปิง
อืมม จะว่าไป มันก็เข้าข่ายศาสนาเหมือนกันนะ
เฮ่อ ไปไกลแล้ว กลับมาว่ากันที่ประเด็นหลักดีกว่า
" คนเราสามารถเป็นคนดีโดยไม่มีศาสนา ได้หรือไม่ "
คำถามนี้ ขึ้นอยู่กับว่าเอาไปถามใคร
และนิยามของคนดี สำหรับผู้ตอบ คืออะไร
ถ้าเอาไปถามพวก Atheist (พวกปฏิเสธพระเจ้า)
คำตอบ คือ ได้แน่นอน ซึ่งมันก็น่าจะเป็นอย่างนั้น
เพราะหากพิจารณาจากคนจำนวนมากในปัจจุบัน
ที่ไม่นับถือศาสนาใด ๆ เลย แต่ดำรงตนอยู่ในกรอบ
ความประพฤติอันดีงาม และช่วยเหลือสังคมตามสมควร
แต่ถ้านำคำถามนี้มาถามชาวพุทธ
ผมคิดว่าคำตอบที่ได้รับอาจแตกต่างกันเล็กน้อย นั่นคือ
"ได้เช่นกัน แต่ความดีนั้น ยังไม่นำไปสู่การสิ้นทุกข์"
เช่นนั้นแล้ว ระหว่างศีลธรรมที่เจือด้วยศรัทธาในศาสนา
กับศีลธรรมที่ปราศจากศาสนา มันแตกต่างกันอย่างไร
ผมคิดว่า ข้อแตกต่าง น่าจะอยู่ที่ "ความกลัว"
ไม่ว่าความกลัวนั้น จะเป็นไปในลักษณะ กลัวนรก
กลัวชาติหน้า หรือกระทั่งกลัวผลของความชั่ว
ที่จะได้รับในชาตินี้ ที่เรามักได้ยินกันว่า กรรมติดจรวด ,
กรรมออนไลน์ , การตกนรกทั้งเป็น , นรกบนดิน ฯ
ทางพุทธศาสนาเรียกความกลัวลักษณะนี้ว่า
"หิริ โอตตัปปะ" แปลว่า ความกลัว และความละอายต่อบาป
และยกให้ "หิริ โอตตัปปะ" นี้เป็นหลักธรรมคุ้มครองโลกทีเดียว
แต่ดูเหมือนว่า ผู้คนยุคปัจจุบัน จะมีความกลัวประเภทนี้น้อยลง
แต่ดันไปกลัวอย่างอื่นที่มันไม่ควรกลัว
เคยมีพระอาจารย์ฝ่ายกรรมฐานท่านหนึ่ง
ได้รับนิมนต์ไปเป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดแห่งหนึ่ง
ซึ่งมีความแห้งแล้งกันดารมาก ท่านอาจารย์
ต้องการจะปลูกต้นไม้ที่วัด เพื่อให้ความร่มรื่น
จึงได้สั่งลูกศิษย์ที่เป็นบรรพชิตให้จัดหาต้นไม้มาปลูก
ลูกศิษย์ท่านหนึ่งบอกว่า พื้นที่แห้งแล้งกันดารขนาดนี้
ขาดทั้งน้ำ ขาดทั้งปุ๋ย เกรงว่าต้นไม้ที่ปลูกจะเฉาตายซะก่อน
ท่านอาจารย์แก้ปัญหาโดยสั่งให้พระในวัดทุกรูป
ไปถ่ายปัสสาวะและอุจจาระบริเวณต้นไม้ที่ปลูก
แน่นอนครับ ไม่มีรูปไหนกล้า แต่ละท่านต่างก็อายม้วนต้วน
ที่สุด พระอาจารย์ก็เลยต้องทำเป็นตัวอย่าง
แล้วท่านก็สอนว่า สิ่งที่ทำนี้ไม่ใช่สิ่งที่เป็นบาปหรือกรรมชั่ว
หากจะมีความอาย ก็ควรอายเฉพาะในสิ่งที่ผิดศีลผิดธรรม
จะว่าไป ท่านก็พูดถูกนะครับ เพียงแต่ว่าพระที่ทำได้ขนาดนี้
คงหาได้น้อยเต็มที
เอาล่ะ กลับมาว่ากันต่อ ปัญหาก็คือ ความกลัวประเภทนี้มันหาไม่ได้
จากศีลธรรมที่ปราศจากศาสนา ลำพังคนที่มีศีลธรรม
แต่ไม่เชื่อศาสนานั้น มักจะไม่มีความกลัวแบบนี้
(หมายเหตุ : ผมขอจำกัดศีลธรรมเฉพาะที่สอดคล้องกับศีล 5 ครับ)
อาจมีบางท่านกล่าวแย้งว่าจะเป็นคนดีทั้งทีจำเป็นต้องมีความกลัวแบบนี้ด้วยหรือ
ต้องยอมรับว่า เมื่อก่อนผมเองก็เคยเชื่อว่า คนมันจะดีได้
ไม่เห็นจะต้องนับถือศาสนาเลย ไอสไตน์ไม่นับถือศาสนาอะไรเลย
ก็ไม่เห็นว่าแกจะไปเบียดเบียนใครโดยเจตนา
(ถึงแกให้กำเนิดระเบิดปรมาณูแต่ไม่ถือว่าแกมีเจตนาฆ่าคนนะครับ)
จนกระทั่งกระแสยอมรับการโกงเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ปีมานี้
มันทำให้ผมเชื่อว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะความกลัวประเภทนี้มันลดลง
ครับ ตราบใดที่คนเรายังมีกิเลส ตัณหา ยังไม่บรรลุโสดาบัน
ก็ยังมีโอกาสประมาทพลั้งเผลอได้
แต่ความกลัวบาปกรรมที่ว่านี้ มันพอจะช่วยประคองเอาไว้
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือระบบคุณธรรมที่มีหลักศาสนากำกับ
จะทำให้เกิดสำนึกที่ปฏิเสธการกระทำผิดในทุกกรณี
สำหรับผม กระแสยอมรับการโกงที่ว่านี้มันคือความประมาท
ครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของสังคมไทยโดยที่ไม่มีความกลัวมาเบรกอีกแล้ว
อันที่จริง ประเทศเกาหลีใต้ก็เคยเจอกับกระแสแบบนี้มาก่อน
หลายวันก่อน สมาชิกกลุ่มองค์กรที่ต่อต้านการคอรัปชันของเกาหลี
เดินทางเข้ามาอภิปรายในประเทศไทย ตอนหนึ่งเขากล่าวว่า
คนเกาหลีเคยยอมรับเรื่องการโกงได้ถ้ามีผลงาน
จนกระทั่งคนกลุ่มหนึ่งเริ่มจะเห็นโทษ และร่วมกันรณรงค์ต่อต้าน
เขาใช้เวลาหลายปีเหมือนกัน กว่าจะเห็นผลอย่างทุกวันนี้
ผมเชื่อว่าหากคนไทยยังยอมรับวาทกรรมเช่นนี้
ประเทศไทยจะต้องสูญเสียอะไรไปอีกมากมาย
และสิ่งที่สูญเสียไปนั้น ผมไม่แน่ใจว่า
มันจะคุ้มกับสิ่งที่เรียกว่า "ผลงาน" หรือไม่
Create Date : 05 กันยายน 2552 |
Last Update : 2 สิงหาคม 2555 11:07:32 น. |
|
1 comments
|
Counter : 739 Pageviews. |
|
|
|
โดย: itoursab วันที่: 5 กันยายน 2552 เวลา:16:25:50 น. |
|
|
|
|
|
|
|
ยังมีอีกหลายเรื่องสุดท้ายคำพูดที่ได้ยินบ่อย
เป็นคนดี แต่ไม่เดืดร้อนใคร ใครจะทำไม
...
คนดีแต่หยาบก็แค่สิ่งที่คอยเวลากระทบคนอื่นเท่านั้น
อุปมาเหมือนเหมือนดอกไม้งามแต่กลิ่นแรงอย่างอุตพิษ
กำลังขึ้นอย่างดาษดื่นในสังคมเรา
แล้วเราจะทำไงละ? แง่บๆ