ตามไปดูวิถีชีวิต ชัยพร พรหมพันธุ์ ชาวนาเงินล้าน
"เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม"
"ใครว่าทำนาแล้วจน...ไม่จริงหรอก
ทำนามันดีกว่าทำงานกินเงินเดือนอีก"
นี่คือคำพูดยืนยันหนักแน่น
จากปากของ ชัยพร พรหมพันธุ์
เกษตรกรดีเด่นสาขาอาชีพทำนา
ที่ ชัยพร พรหมพันธุ์
กล้าการันตีแบบนี้ก็เพราะว่า
ชาวนาอย่าง ชัยพร พรหมพันธุ์
ทำกำไรเหนาะ ๆ หักต้นทุนเรียบร้อยแล้ว
เมื่อฤดูกาลผลิตที่แล้ว
2,000,000 บาทเศษ
และฤดูที่เพิ่งผ่านพ้นไป
1,000,000 บาทเศษ ๆ
และตลอดหลายปีที่ผ่านมา
มีเงินเหลือใช้มากพอ
จนสามารถกำหนดเงินเดือนให้ตัวเอง
และภรรยาในอัตราเดียว
กับผู้บริหารเสื้อคอปกขาวในเมือง
มีโบนัสจากผลประกอบการไม่เคยขาด
โดยเฉลี่ยก็มีรายได้ตกคนละประมาณ
60,000 70,000 บาท
ปีก่อนนี้ซื้อทองเส้นเท่าหัวแม่โป้ง
มาใส่ พร้อม ๆ กับ ถอยรถกระบะมาขับเล่น ๆ
อีกต่างหาก
ซึ่งนอกจากเงินเดือนและโบนัสสูงแล้ว
ชัยพร พรหมพันธุ์ ยังซื้อที่ดิน
ขยายการผลิตออกไป 30 เปอร์เซ็นต์
ในช่วง 20 ปี ด้วยเงินสด ไม่เคยขาดทุน
จากการทำนาต่อเนื่องมานับตั้งแต่ปี 2533
ไม่เคยมีหนี้สิน
มีหลักประกันสุขภาพชั้นดี
จากการส่งประกันชีวิตประกันสุขภาพ
ระดับ A เดือนละร่วมแสน ส่งลูก 3 คน
เรียนจบปริญญาโทโดยขนหน้าแข็งไม่ร่วง...
วันว่างยังพาลูก ๆออกไปหา
ของกินอร่อย ๆ นอกบ้าน
ชาวนาคนนี้เขาทำได้อย่างไร
ทำไมชีวิตจึงมีเงินเก็บมากมายขนาดนี้
วันนี้กระปุกดอทคอม
จะพาไปเรียนรู้การใช้ชีวิตจากเขากันค่ะ...
.............................................................
นายชัยพร พรหมพันธุ์
ชาวนาวัย 48 อยู่บ้านเลขที่ 35
หมู่ที่ 1 ตำบลบางใหญ่
อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี
จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
จากศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนอำเภอบางปลาม้า
สมรสกับคุณวิมล พรหมพันธุ์
บุตรมี 3 คน เป็นชาย 1 คน หญิง 2 คน
รักอาชีพการทำนาเป็นชีวิตจิตใจ
ความมั่งคั่งมั่นคงทั้งปวง
ได้มาจากการทำนาโดยสุจริต
ไม่เอาเปรียบดิน ไม่เอาเปรียบน้ำ
คิดซื่อ ขยันขันแข็ง
และมีสองมือหยาบกร้าน
จากการทำงานหนักเช่นชาวนาทั่ว ๆ ไป
โดยชาวนาโดยส่วนใหญ่
คู่กับตำนานยิ่งทำยิ่งจน ทำนาจนเสียนา
แต่สำหรับเขา ทำนาบนที่ดินมรดกพ่อ 20 กว่าไร่
กับอีกส่วนหนึ่งที่เขาเช่าเพิ่มเติม
ทำไปทำมาก็ซื้อที่นาเช่ามาเป็นของตัวเอง
ปาเข้าไป 100 กว่าไร่
แถมซื้อที่นามาโดยไม่เคยกู้แบ็งค์
ไม่เคยเป็นลูกค้าขี้ข้าใคร
.............................................................
"ผมล้มมาเยอะเหมือนกัน"
สำเนียงเหน่อ ๆ ของลูกชายคนโต
ของผู้ใหญ่บ้านแห่ง ตำบลบางใหญ่
ผู้เพียรพยายามหาหนทางตั้งตัว
เคยทำแม้แต่นากุ้ง
และสวนผลไม้คละชนิดแต่สู้น้ำไม่ไหว
ต้องกลับมาเป็นชาวนาตามรอยพ่อ
"ทำนาเคมีมา 20 กว่าไร่
ครั้งแรกปี 2525 ได้ข้าว 13 เกวียน
จำได้แม่นเลย ขายได้เกวียนละ 2,000 บาท
ขาดทุนยับ พอดูหนทาง
เลยไปสมัครเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน
คิดว่าจะได้เบิกเงินค่าเรียนลูก
เพราะมองอนาคตแล้วว่า
ไม่มีปัญญาส่งลูกแน่ แต่ปี 2531
เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลอาละวาดหนัก
แถวบ้านเราโดนกันหมด
ก็พอดีอาจารย์เดชา ศิริภัทร
ทำเรื่องนาอินทรีย์และใช้สมุนไพร
มาขอทำแปลงทดลองปลูกสมุนไพร
พ่อก็แบ่งนาให้ 5 ไร่ ด้วยความเกรงใจ
อาจารย์ก็เริ่มทดลองใช้สะเดาสู้กับเพลี้ย
เครื่องไม้เครื่องมือเยอะ
ผมก็ไปช่วยอาจารย์ฉีด ก็ฉีดไปยังงั้น
เราไม่ได้ศรัทธาอะไร แต่ปรากฎว่า
แปลงนาที่ใช้สารเคมีเสียหายหมด
ส่วนแปลงนาที่ฉีดสะเดากลับไม่เป็นอะไร
ผมก็เริ่มจะเชื่อแล้ว แต่ก็ยังไม่เต็มร้อย
เลยเอามาทำในนาของผมเอง
ซึ่งปีนั้นชาวนาโดนเพลี้ยกันเยอะมาก
หน่วยปราบศัตรูพืชจังหวัด
เขาเลยเอายาที่ผสมสารเคมีมาแจก
ผมก็ลองเอามาใช้
โดยแบ่งว่าแปลงนานี้ฉีดสารเคมี
แปลงนานี้ฉีดสะเดาซึ่งผลก็ปรากฎออกมาว่า
แปลงนาที่ฉีดสะเดาปลอดภัยดี เก็บเกี่ยวข้าวก็ดี
แต่แปลงนาที่ฉีดสารเคมีตายหมด
ตั้งแต่นั้นมาก็เลยเชื่อสนิทใจ
แล้วมาลองทำเองดู
ผมก็หักกิ่งก้านสะเดามาใส่ครกตำเอง
ภรรยาก็บ่นว่าทำไปทำไมเสียเวลา
แต่ผมรั้น คือยังไงก็ขอลองหน่อย
ก็เอาไปฉีดแล้วข้าวก็ได้เกี่ยว
ผลผลิตก็ออกมาดีเกินคาด
ทีนี้ชาวบ้านก็แห่มาขอสูตรเอาไปทำบ้าง
แต่ก็ไม่ค่อยมีใครประสบผลสำเร็จ
เพราะเขาใช้สมุนไพรคู่กับยาเคมี
บางคนใช้เคมีจนเอาไม่อยู่แล้ว
ถึงหันมาใช้สะเดา
พอมันไม่ได้ผลทันตาเห็น
ก็กลับไปใช้สารเคมีกันเหมือนเดิม
เกษตรกรดีเด่นสาขาอาชีพทำนา กล่าว
การคิดต้นทุนของเขา
ลงทุนเต็มที่ตกไร่ละ 2,000 บาท
ในขณะที่ขายได้เกวียนละ
ไม่ต่ำกว่า 8,000 บาท
ซึ่งหลังจากเขาทำนาอินทรีย์ได้เพียง 3 ปี
มีเงินเหลือมากกว่า 6 ปีที่มัวจมอยู่กับปุ๋ยยา
.............................................................
อย่างไรก็ตาม
หลังจากผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย
ก็ใช่ว่าชัยพรจะหวงวิชาความรู้
เขายังได้ให้คำปรึกษากับผู้ที่มีปัญหา
และสนใจในวิถีเกษตรอินทรีย์
ที่โทรมถามาขอคำปรึกษา
ตามสายแทบจะทุกวัน
"ใครว่าทำนาแล้วจน...ไม่จริงหรอก"
ชัยพรยืนยันหนักแน่นซ้ำอีก
สำคัญตรงที่ต้องทำนาแบบใช้สมอง
ไม่ใช่ทำนาแบบเป็น ผู้จัดการนาสถานเดียว
"ถ้าเป็นผู้จัดการนาล่ะจนแน่
มีมือถือเครื่องเดียวโทรสั่งตามกระแส
มีนาอย่างเดียว ที่เหลือจ้างเขา
เริ่มทำไร่นึงก็ต้องมีพันกว่า
ตั้งแต่ทำเทือก ทำดิน ไปยันหว่าน
เฉพาะได้แค่ต้นนะ ยังไม่รู้เลยว่าจะได้เกี่ยวไหม
จากนั้นต้องฉีดยาคุมหญ้า ใส่ปุ๋ยอีกหลายพัน
ของเราต้นทุนไม่กี่สตางค์
อาศัยว่าต้องละเอียดอ่อนต้องรักษาธรรมชาติ
แล้วก็ต้องเป็นลูกจ้างตัวเอง
ไม่ใช่ผู้จัดการ พอไปพูดกับเขา
เขาก็บอกนาเขาน้อย แล้วก็เช่าเขา
ทำอินทรีย์ไม่ได้หรอก
ผมก็บอกว่าเมื่อก่อนผมก็เช่า
ทำไมยังทำได้ ทำจนมีเงินซื้อนา
เขาไม่คิดย้อนกลับไงว่า
สมัยปู่ย่าตายายทำนา มันมียาที่ไหนล่ะ
คนโบราณยังได้เกี่ยวของเรายังดี มีสะเดาให้ฉีด
สมัยโบราณมีที่ไหนล่ะ
ไอ้บางคนเห็นข้าวเราเขียว
ก็บอกว่าคงแอบใส่ปุ๋ยกลางคืนละมั้ง
แหม! กลางวันยังไม่มีเวลาเลย
จะมาใส่ปุ๋ยกลางคืน
มาฉีดให้งูมันเอาตายเรอะ" ชัยพร กล่าว
.............................................................
ทุกครั้งที่ขายข้าวได้เขาจะนึกถึงบุคคลที่นำเอา
วิธีเกษตรอินทรีย์มาให้เขาได้รู้จัก
และปรับใช้ในที่นาของเขาจนมีเงินเหลือเก็บ ...
"ถ้าผมไม่ได้เจออาจารย์เดชา
ก็คงไม่ได้เกิดหรอกคงไม่ได้ส่งลูกเรียน
ปริญญาโทไป 2 คน อีกคนก็ว่าจะเรียนปีหน้า
ลูกมาทีเอาเงินค่าเทอมทีละ
40,000 50,000 บาท
ก็ยังเฉย ๆ เรามีให้"
ขณะที่ อาจารย์เดชา ศริรภัทร
แห่งมูลนิธิขวัญข้าว
ผู้เพียรพยายามเผยแพร่
วิถีการทำนาอินทรีย์ยืนยันว่า
ไม่ได้ช่วยอะไรชัยพรมากกว่านั้น
ความสำเร็จทั้งปวงเกิดจากตัวชัยพรเอง
แต่สำหรับชาวนา ป.4
ถือเป็นบุญคุณใหญ่หลวง
ที่ทำให้เขาก้าวมาได้ถึงวันนี้
ลูก 3 คน ของชาวนา ป.4 คนโต
กำลังเรียนปริญญาโท
สาขาปรับปรุงพันธุ์พืช
ที่มหาวิทยาลัยเกษตร กำแพงแสน
คนกลางเรียนปริญญาโทเศรษฐศาสตร์
ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์บางเขน
ส่วนลูกสาวคนเล็กเพิ่งจบปริญญาตรี
เกียรตินิยม จากคณะเศรษฐศาสตร์
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน
ตอนนี้ทำงานธนาคาร
ทุก ๆ เย็นวันศุกร์ที่ลูก ๆ กลับบ้าน
ครอบครัวชาวนาเล็ก ๆ
ก็จะคึกคักมีชีวิตชีวา
ขับรถออกไปหาของอร่อยกินกัน
ในขณะที่ชาวนาต้นทุนสูง
นาติดกันไม่เคยคิดฝันว่า
จะมีโอกาสเช่นครอบครัวของชัยพร
และนี่คือวิถีชีวิตของ
ชัยพร พรหมพันธุ์ ชาวนาร้อยล้าน
ที่สามารถลบคำกล่าวที่ว่า
"ทำนามีแต่จน"
ได้สำเร็จ
โดยทั้งหมดทั้งมวลที่ทำให้เขาสามารถมีวันนี้ได้
ก็เพราะการทำนาแบบเกษตรอินทรีย์
ไม่ใช้สารเคมี
นอกจากจะเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายแล้ว
ยังสามารถเพิ่มผลผลิตได้มากขึ้นอีกด้วย
และอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จ
คือ การเป็นคนขยันลงมือปฏิบัติเอง
แถมไม่กู้หนี้ให้เป็นภาระอีกต่างหาก
.............................................................
โดยส่วนตัวแล้ว
ผมเชื่อว่า หลักการทำนาของคุณชัยพร
เป็นหลักการเดียวกับ
เศรษฐกิจพอเพียง
นี่อาจเป็นอีกหนึ่งบทที่พิสูจน์ว่า
ระบบเศรษฐกิจพอเพียง...
ไม่ได้ห้ามรวย
แต่ความรวยตามระบบ
เศรษฐกิจพอเพียงนั้น
ต้องรวยอย่างมั่นคง
และไม่สร้างปัญหาหนี้สินในภายหลัง
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
เว็บไซต์ "กระปุกดอทคอม" ครับ
Create Date : 30 กรกฎาคม 2558 |
|
0 comments |
Last Update : 30 กรกฎาคม 2558 19:46:40 น. |
Counter : 2345 Pageviews. |
|
|
|