|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
ปริญญาเอกไม่ได้จบกันง่ายๆ...ฉะนั้น...เพื่อนจบแล้ว..ไปยินดีกับเพื่อนด้วยกันนะคะ
ได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับเรียนปริญญาเอกหลายเล่ม โดยเฉพาะอ่านตอนเข้ามาเรียนแล้ว ก็รู้สึกว่า...ทำไมคนที่เค้าเขียนกันเนี่ย จบง่ายจัง ที่สำคัญจบเร็วจัง.....
3 ปีนี่ทุกคนกำลังตั้งไข่ เพื่อหาจุดที่จะทำดุษฏีนิพนธ์กันให้ได้ หลายๆ คนรอบตัวที่รู้จักนี่ก็นานๆ กันทุกคน
มีพี่คนนึงสถิติสูงสุด 7 ปี อ่ะโห.........แม่งนานไปไม๊พี่ พี่คนนี้เรียนที่อังกฤษ แล้วมีการเปลี่ยนอาจารย์ที่ปรึกษาระหว่างทาง ก็เลยต้องเริ่มต้นใหม่เกือบหมด ในช่วงที่แกเรียนอยู่ที่นู่น แกก็รันทดชีวิตพอสมควร กว่าจะจบมาได้....
เร็วสุดที่เคยได้ยินก็คือ 3 ปีครึ่ง นี่ถือว่าเร็วมากแล้ว คือมันเร่งสปีดยาก.... เพราะมันอยู่ที่ตัวงานวิจัย...ที่มีรายละเอียดค่อนข้างเยอะ เลยเร่งยากมาก.....
ทีนี้...ที่เพื่อนกลุ่มนี้จบ 3 ปีครึ่งได้ เพราะอาจารย์ที่ปรึกษาจิก...ตลอด เดี๋ยวโทรหา...ตามงานว่าไปถึงไหนแล้ว
อีเพื่อนกลุ่มนี้... เวลาเห็นเบอร์อาจารย์ที่ปรึกษาโชว์ขึ้นมาหน้าจอล่ะก็ เป็นต้องเด้งตัวขึ้นจากที่นอน.... ขึ้นมาทำคึกคัก ทำขยันขันแข็ง ก็เลยจบเร็ว... และที่สำคัญจบได้ใน 3 ปีครึ่ง
ไปเดินเล่นที่ร้านหนังสือในเซ็นทรัล อุบล อาเจ้ฯ ได้อ่านหนังสือเล่มนึงตอนไปอุบลฯ เป็นดร. 2 คน ที่เรียนด็อกเตอร์จบแล้ว เค้ามาเขียนเล่าประสบการณ์ของเค้า เนื้อหาก็จะเกี่ยวกับเรื่องการเรียนเป็นส่วนใหญ่ ทั้งสองท่านนี้จบภายใน 2 ปีครึ่ง แม่จ้าววววววววววว เร็วไปไม๊.... ก็ขอไม่วิจารณ์ละกันเนาะ
แต่เอาเป็นว่า การเรียนปริญญาเอกในประเทศไทยกับมหาวิทยาลัยที่มีมาตรฐานค่อนข้างสูง ไม่มีทางจะจบภายใน 3 ปีหรอกค่ะ ต่อให้นักศึกษาขยันมากขนาดไหน เพราะเนื้องานมันจะดึงในนักศึกษาช้าลงเองค่ะ
งานวิจัยที่แต่ละคนต้องทำ.... ค่อนข้างจะมีความละเอียดในแต่ละขั้นตอนมาก
เช่น แบบสอบถามพัฒนาขึ้นมาเป็นภาษาอังกฤษก่อน ต่อมา...ส่งให้สถาบันภาษาที่น่าเชื่อถือแปลมาเป็นภาษาไทย ต่อมา..เอาฉบับภาษาไทย...ให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานนี้เลยแปลกลับมาเป็นภาษาอังกฤษ ตรงนี้...เรียกว่า Back Transalation ต่อมา...เอาฉบับที่แปลกลับมาเป็นภาษาอังกฤษมาเทียบกับต้นฉบับที่เราพัฒนาเป็นภาษาอังกฤษไว้ตั้งแต่แรกมาเทียบกัน เราต้องนั่งคุยกันกับ...เจ้าของภาษาที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก เช่น คนอังกฤษ
โอ่ยยยย...เล่ายังเหนื่อยเลย แค่แบบสอบถามอย่างเดียวก็กินเวลาไปเกือบเดือนแล้วค่ะ เพราะทุกคนต้องใช้ที่มีคุณวุฒิทั้งนั้น เพื่อความน่าเชื่อถือของงาน
และอาจารย์ที่ปรึกษาก็จะต้องดูให้ละเอียดก่อนจะปล่อยให้ผ่านไป กว่าจะผ่านด่านอาจารย์ที่ปรึกษาของแต่ละคนไปได้ ก็รากเลือด
เล่าเรื่องนู้น..เรื่องนี้มาตั้งนาน ว่าจะเล่าถึงดร.อ้อ ก็เลยยังไม่ได้เริ่มซะที...
อาเจ้ฯ มีความคิดจะเขียนถึงเพื่อนคนนี้มานานแล้ว ก็ยังไม่มีโอกาสดีๆ ที่จะเล่าซักที ที่ต้องเล่าถึงเพื่อนคนนี้ ก็เพราะ... เค้าเป็นเพื่อนรักของอาเจ้ฯ
ถ้าเจอกันครั้งแรกจริงๆ ก็ตอนเรียนกวดวิชาเข้าม.1 เจอกันที่โรงเรียนกวดวิชา เจอกันครั้งแรกก็ไม่ถูกชะตากันหรอก เพราะสันดานเหมือนกัน...มันจะเขม่นกัน
มาสนิทกันมากถึงมากที่สุดตอนเรียนที่เชียงใหม่ อยู่หอเดียวกัน... ไปไหนก็ไปด้วยกัน ไอ้อ้อซ้อนมอไซค์เจ้ฯ ไปเรียนทุกวัน เคยแดนซ์กระจายตอนงานเปิดหอด้วยกันมา...หลายปีอยู่ เรามีวีรกรรมร่วมกันเย๊อะ... ที่สำคัญ...ไปเหล่หนุ่มๆ ด้วยกัน อิอิ
อ้อเรียนด็อกเตอร์ก่อนอาเจ้ฯ ปีนึง เพราะอยากเรียน ตอนนั้นที่ทำงานของอ้อไม่ได้ให้ทุนไปเรียน ให้ลาไปเรียนได้...โดยไม่ต้องลาออก ครอบครัวมันไม่สนใจ... ประชุมกันทั้งครอบครัว...บอกว่าจะส่งน้องเรียนเอง
ตอนอ้อมาเล่าให้ฟังว่าจะเรียน..แล้วที่บ้านส่ง อาเจ้ฯ อึ้งมากเลย เพราะอาเจ้ฯ สนิทกับที่บ้านอ้อทั้งบ้านมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว โห่ยยยย...น่ารักอ่ะครอบครัวนี้...
ระหว่างที่เรียนตอนนั้นอาเจ้ฯ ยังไม่ได้เริ่มเรียน ก็ได้รับฟังอ้อเล่าให้ฟัง...ถึงความทรหดอดทนหลายเรื่อง ความโหดฮ้อ.....ของการเรียน จนอ่ะโห... กูจะเรียนดีไม๊เนี่ย
พออาเจ้ฯ เริ่มเรียนที่เชียงใหม่ ตอนนั้นอ้อมันก็อยู่กลางทางแล้ว... มันเคยบอกว่า... จะขึ้นหน้าก็มองไม่เห็นทาง จะกลับหลังก็ไม่รู้ว่าเรามาจากไหน
มีวันนึง...เป็นวันนรกของอ้อมัน ไปพบอาจารย์ที่ปรึกษา แล้วอาจารย์ตีงานซะแตกกระจุย... มั่นนั่งรถกลับบ้านเกือบ 2 ชั่วโมงด้วยน้ำตานองหน้า พร้อมทั้งโทรหาเพื่อน..ก็คืออาเจ้ฯ นี่แหล่ะ
ว่า... กูไม่เรียนแล้วนะ กูเหนื่อย กูท้อ กูหมดแรง กูไปต่อไม่ไหว สารพัดที่มันจะรู้สึก แล้วน้ำตามันก็หลั่งไหลออกมา...แบบหยุดไม่อยู่
สิ่งที่อาเจ้ฯ ทำได้ในวันนั้น ก็คือ..การปลอบใจเพื่อน รับฟังในสิ่งที่อ้อมันอยากจะพูด...อยากจะเล่าให้ฟัง
ไอ้อ้อมันเป็นคนเข้มแข็ง.. ตั้งแต่อาเจ้ฯ รู้จักมันมา.. ไม่เคยเห็นมันร้องไห้ เห็นแต่มันยิ้มแย้มแจ่มใสตลอดเวลา นี่เป็นครั้งแรกที่อาเจ้ฯ เห็นมันร้องไห้ มันคงเรียนหนักจริงๆ .... ถึงได้ร้องไห้งากกกกกกกกกเลย
อาทิตย์ที่แล้วเป็นวันซ้อมรับปริญญาครั้งแรก ก็นัดกันจะไปรับเพื่อนที่ม.เกษตรฯ แต่เค้ายังซ้อมรับปริญญากันไม่เสร็จ ก็เลยไปนั่งรอในร้านกาแฟเก๋ๆ ร้านนึงใกล้โรงอาหาร ไปรอกับเพื่อนชายมหาเศรษฐี 2 คน
ระหว่างรอ... ก็นั่งคุยกันกับเพื่อนชายมหาเศรษฐี ว่า... กว่าอ้อมันจะจบด็อกเตอร์มาซ้อมรับปริญญาได้ถึงวันนี้ มันหนักหนาสาหัสขนาดไหน
เพื่อนชายมหาเศรษฐีไม่รู้หรอก เพราะช่วงอ้อเรียน...มันไม่อยู่ มันไปเยอรมัน ยังไม่กลับมา
อีเพื่อนชายมหาเศรษฐีก็บ่นว่ารอนาน โห่ยมึง...รอนิดรอหน่อยจะเป็นไรไป ถ่ายรูปเล่นกันดีกว่าเรา...
จนคนในร้านนึกว่าแฟนกัน... แต่เค้าคงรู้ได้ว่าไม่ใช่จากสิ่งเดียวเท่านั้น ก็คือ...มึง..กู...กันตลอด
อาเจ้ฯ ก็ยังคงเหมือนเดิม คือ...คงความเป็นส่วนตัวให้กับทุกคนที่เรากล่าวถึง เพราะไม่รู้ว่ามันจะมีผลกระทบมาถึงเค้าอย่างไรบ้าง เพราะดร.อ้อ เค้าก็มีรายละเอียดในชีวิตเค้า ที่เป็นเรื่องส่วนตัว..ที่เค้าเล่าให้เจ้ฯ ฟังส่วนตัว ในฐานะเพื่อนรัก
พรุ่งนี้จะเป็นวันซ้อมใหญ่ นัดแนะกันใหญ่...ว่าจะไปถ่ายรูปกัน อีเพื่อนชายมหาเศรษฐี...จากที่ไม่ตื่นเต้น กลายเป็นตื่นเต้นกว่าชาวบ้าน โทรมาถามว่าเอาไงจะไปเจอที่ไหน ซื้อของขวัญอะไรให้เพื่อนดีวะ...สารพัด
อ้อเรียนปริญญาเอกด้วยความบากบั่น...และน้ำตา... โดยการใช้เวลาเรียนทั้งหมด 5 ปี อุตสาหะมากๆ เพื่อน ยินดีด้วยว่ะ...เพื่อนรัก
เดี๋ยวกู...ตามไป
Create Date : 27 กรกฎาคม 2556 |
Last Update : 27 กรกฎาคม 2556 21:16:54 น. |
|
1 comments
|
Counter : 1737 Pageviews. |
|
|
|
โดย: WonOccNU วันที่: 29 กรกฎาคม 2556 เวลา:14:18:34 น. |
|
|
|
| |
|
|
..... เดี๋ยวหนูตามไปเหมือนกัน (แต่แค่ปอโทนะ...เอกขอบาย) แว้บมาส่งข่าว หนูจบปีนี้แล้วนะคะ... เย้ เย แต่รับปีหน้าแหนะ เพราะมหาลัยเลื่อนตามอาเซี่ยน ที่จะเข้ามาเร็ววันนี้ ...... จนสักที โคตรดีใจ!!!!!