เมื่อผิดหวังอีกครั้ง เจ็บแล้วจำ
ไม่กี่วันหลังจากนั้นฉันก็ได้ชิมสูตรที่พัฒนาแล้วสำหรับฉัน แหวะ !!! มันน่าแหวะมาก ไม่ใช่ฉันอคติกับสารปรุงแต่งนะแต่คำแรกที่ชิมมันบอกได้เลยว่าเหมือนกินยาน้ำหวานๆ ชอบกล จู่คำว่า “บัวเต่าถุย”ก็ลอยวนในหัว ฉันต้องบังคับตัวเองให้กลืนน้ำยาหวานๆลงไป สีหน้าฉันทำให้น้องแหม่มที่มีท่าทีภูมิอกภูมิใจมากถึงกับหน้าเสีย “ไม่เป็นไรค่ะคราวหน้าคงจะอร่อยแน่ๆ เพราะน้องรู้แล้วว่าพี่ชอบแบบไหนเนอะ” ฉันปลอบใจ หลังจากบอกเธอว่าน้ำนี้มันรสชาติประหลาดๆ เรานั่งปรึกษากันในรถขณะที่ฉันขับไปส่งตุ๊ “รสชาติมันกินไม่ได้เลยทำไมคนต้มน้ำเก็กฮวยข้างทางยังทำอร่อยกว่าเลย” ฉันบ่น “นั่นสิทำไมคนแบบชาวบ้านทำได้อร่อยขณะที่บริษัทพวกนี้กลับทำแล้วอยากจะคายทิ้ง”ตุ๊พยักหน้าเห็นด้วย “ถ้าชาวบ้านทำได้แล้วทำไมเราสองคนถึงทำไม่ได้ละ” ฉันถาม “กลับคืนสู่สามัญไหม ยังไม่ต้องคิดอะไรมากลองทำเล็กๆไปก่อน แล้วค่อยจ้างเขาผลิตตามสูตรเราถ้ามันขายเยอะจนเกินกำลังเราดีไหม” “ทำที่ไหนละเราต้องมีโรงงาน ต้องมีเครื่องจักร ต้องรู้วิธี” ตุ๊ถาม ดวงตาใสแหน่วรอคำตอบจากฉัน “งั้นก็ลืมมันไปก่อนเหอะ”ฉันตัดใจตอบในใจคิดว่าทำไมโลกเราสมัยนี้มันวุ่นวายนักกะอีแค่อยากทำน้ำผลไม้ดีๆออกมาสักอย่างมันถึงยากเย็นขนาดนี้ ระหว่างที่รอชิมสูตรใหม่จากทีมงานพัฒนาสูตรบริษัทยักษ์ใหญ่นี้เราสองคนหาข้อมูลไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง “ตุ๊ๆเค้าไปเจอหน่วยงานภาครัฐที่รับพัฒนาสูตรแล้วก็แต่นแต้นแต๊น....”ฉันทิ้งช่วงจังหวะให้เพื่อนตื่นเต้น “อะไร อะไร”ปลาน้อยติดเหยื่อ เจ้าหล่อนระล่ำระลักถามนี่ถ้าหล่อนกระโจนจากโทรศัพท์ได้หล่อนคงมาแล้ว “ที่นี่กำลังวิจัยและพัฒนาฟักข้าวอยู่น่ะซิ” กรี้ดเสียงกรีดร้องดังแสบแก้วหูดังทะลุสายมาล้านแปดเดซิเบล “และที่สำคัญฉันนัดเขาแล้วด้วย พร้อมทีมงานแบบจัดเต็ม”ฉันบอกอย่างภาคภูมิใจในผลงานที่เจอด้วยความบังเอิญ เนื่องจากฉันไปซื้อน้ำสมุนไพรยี่ห้อหนึ่งและเหมือนเช่นทุกครั้งฉันก็อ่านสลากไม่ใช่ข้อมูลโภชนาการอะไรหรอกนะคะ เพราะนั่นน่ะตัวเล็กจนหรี่ตาอ่านแค่ไหนฉันยังไม่ค่อยจะเห็นเลย แต่ที่ฉันอ่านคือโรงงานผู้ผลิตต่างหาก เพราะตอนนี้ฉันพอรู้บ้างแล้วว่าใครผลิตอะไรที่ไหนอย่างไรบ้างก็ดูๆแล้วประเมิณเจ้าของผลิตภัณฑ์ได้ว่าใหญ่แค่ไหน มีเงินเท่าไหร่และใจถึงขนาดไหนโดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อย่างที่ฉันบอกคุณๆก่อนนั่นละว่า ต้องมีหลักล้านที่ไม่ใช่แค่ล้านเดียว แต่ที่สะดุดตาฉันคือข้อความที่ว่า “พัฒนาสูตรโดย วว.” ฉันก็ไม่รอช้ารีบค้นหาว่าวว. นี้ไซ้รย่อมาจากอะไร วว.มาจากชื่อเต็มๆว่า สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี่แห่งประเทศไทย เป็นรัฐวิสาหกิจประเภทที่จัดตั้งขึ้นเพื่อดำเนินการตามนโยบายพิเศษ ของรัฐในสังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(วท.) ฟังดูมีความหวังเรืองรองแล้วใช่ไหมเอ่ยฉันไม่รอช้า รีบโทรนัดทันที โอ้โหหัวใจฉันพองเต็มอกหลังจากวางสายไปอย่างอ้อยอิ่งปนอาวรณ์เป็นที่สุด โถ ๆฉันหลงเคยนึกด่าว่ารัฐบาลไปเสียนมนานว่าเอาภาษีราษฎรตัวน้อยๆอย่างฉันไปถลุงสร้างถนนจันทร์โคจรที่หลุมมๆโดดๆไปๆมาๆแต่แท้ที่จริงแล้วรัฐเอาเงินไปสร้างหน่วยงานต่างๆเพื่อบริการประชาชนตาดำๆอย่างฉันที่ไม่ได้จบวิทยาศาสตร์ ไม่ได้จบฟู้ดซายน์ แต่ทะลึ่งอยากทำน้ำผลไม้รสชาติเลอเลิศและเป็นของธรรมชาติจริงๆ ทั้งที่โลกก้าวไกลไปเกินกว่าจะมานั่งต้มๆปั่นๆเอาวิตามินจากผลไม้จริงๆแล้ว ผู้หญิงปลายสายเรียกตัวเองว่า”น้องจอย”อย่างน่าเอ็นดูบอกฉันว่า วว. ยินดีที่จะทำโครงการพัฒนาน้ำฟักข้าวของฉันมีทั้งนักวิชาการ นักพัฒนาสูตรอาหาร ผู้อำนวยการโครงการ ฝ่ายวิจัยและพัฒนาที่จะเข้าร่วมประชุมกับฉันโอ มันช่างน่าตื้นตันใช่ไหมคะท่านผู้โชม.... แล้ววันนั้นก็มาถึงผู้อำนวยการสาวสวยเดินมาต้อนรับฉันพร้อมมอบหมายให้น้องจอยดูแลฉันและสหายอย่างดีที่สุดทำเอาเราปลื้มไปสามบ้านแปดซอย จากนั้นเราก็เดินไปห้องประชุมที่จัดเตรียมไว้ ท่านด๊อกเตอร์ผู้วิจัย นักโภชนาการนักวิจัยมาพร้อมขนมนมเนยของว่าง รวมถึงน้ำฟักข้าวเสริฟให้ รสชาติก็แปลกๆดี แต่อร่อยกว่าน้องแหม่ม และเวลา 90 นาทีที่ฉันนั่งอยู่ คำถามที่วนเวียนในหัวฉันคือ“กูมาทำไมวะ” ไม่ว่าฉันจะถามอะไรก็บอกว่าฉันต้องยื่นคำขอเปิดโครงการกับ วว. เสียก่อน แล้วจากนั้นทางวว.จะพัฒนาสูตรขึ้นมาให้ฉันชิม อย่างมากก็สามครั้งฉันก็คงได้สูตรที่ชอบแล้วจะนำสูตรนี้ให้ฉัน แต่กระบวนการสกัดฟักข้าวนั้นไม่สามารถบอกฉันได้ เพราะถือว่าเป็นเทคโนโลยี่ของ วว.ซึ่งจะไม่ถ่ายทอดแต่ฉันสามารถซื้อสารสกัดฟักข้าวได้จากวว. ในราคากิโลกรัมละ 300,000 บาทและถ้าฉันอยากให้ทำวิจัยเพิ่มด้านรสชาติ กลิ่น สี ก็ขึ้นอยู่กับฉันว่าต้องการสุ่มความนิยมกี่ตัวอย่างดังนั้นไม่ว่าจะถามอะไรคำตอบก็คือ “เรายังไม่สามารถบอกได้จนกว่าคุณริสาจะยื่นขอเปิดโครงการจริงๆตอนนี้บริษัท...ก็ยื่นขอเปิดโครงการวิจัยฟักข้าวกับเราเช่นกัน” ด๊อกทำน้ำเสียงเบาลงพร้อมหลับตาพริ้มน้อยๆอย่างปลื้มปริ่มเมื่อเอ่ยชื่อบริษัทยักษ์ใหญ่ออกมาอย่างภาคภูมิใจ เอาละๆ อย่าเพิ่งใจฝ่อฉันตบหลังตบไหล่ตัวเอง ไม่ใช่ตกใจที่มีคู่แข่งยักษ์ใหญ่อย่างบริษัทน้ำเมาที่หันมาทำน้ำหวาน “เอ่อ...พอจะบอกรวมๆได้ไหมคะว่าโครงการทั้งมวลจะมีค่าใช้จ่ายประมาณเท่าไหร่” “ค่าห้องแล็บ ค่าวิจัย ค่าบริหารโครงการค่านักโภชนาการ ฯลฯ รวมๆคงไม่เกินสองแสน” น้องจอยไม่ได้ล้อพี่เล่นใช่ไหม “แล้วพี่จะได้...” ฉันกลืนน้ำลายลงคอ “สูตรที่พร้อมผลิตเลยค่ะ”น้องจอยตอบเสียงใส “สูตรนั้นคือใส่สารสกัด วว. กิโลละสามแสนนั่นใช่ไหมคะเพราะที่นี่บอกว่าจะไม่บอกวิธีทำสารสกัด” ฉันกลืนน้ำลายลงคออีกเอื้อกน้องพูดถึงเงินสองสามแสนอย่างกับเงินสองสามพันแลกกับกระดาษจดสูตรที่บอกว่าน้ำเท่าไหร่น้ำตาลเท่าไหร่
สูตรทำน้ำผลไม้สองแสน แม่ไม่ว่าเหรอ
“ใช่ค่ะ แต่ว่านะคะเวลาใส่เราก็ไม่ได้ใส่เยอะนะคะพูดตรงๆนะคะสารอาหารมันคงเหลือไม่มากแล้วละค่ะหลังจากสกัดแต่เพราะมันเป็นที่รู้จักว่ามีไลโคปีนมาก 70 เท่า ดังนั้นเราก็อาศัยชื่อเสียงที่คนรู้จักฟักข้าวมาเป็นตัวขาย”ด๊อกเตอร์ตอบฉันอย่างทันควัน “หมายความว่าเราหลอกลวงคนอย่างนั้นเหรอคะ”ฉันแทบไม่เชื่อหูตัวเองที่คำๆนี้จะหลุดจากปากนักวิชาการที่กำลังวิจัยผลไม้มหัศจรรย์ตัวนี้ “ไม่ค่ะ แต่คนที่ดื่มจะได้คุณค่าสมบัติอย่างอื่นเช่นวิตามินอี ซึ่งมีเยอะมาก” ฉันรู้สึกอกหักยิ่งกว่าไปงานมหัศจรรย์อาหารพลาสติคอีก ฉันเคยเชื่อแบบโง่ๆว่านักวิจัยต้องอยู่บนความจริง ความจริงและความจริง “ถ้าพี่รู้สึกว่าค่าโปรเจคต์สูง พี่อาจยื่นขอเป็นโครงการนวัตกรรมได้นะคะรัฐจะให้เงินสนับสนุนสูงสุดถึงสี่แสนเลยค่ะ แล้วทางวว.จะเป็นผู้ยื่นขอโครงการสนับสนุนให้” น้องจอยเสริม โฮ นี่เอง นาทีนี้เองความผิดหวังก็มลายสิ้นมันแปรเปลี่ยนเป็นความปลื้มปิติที่เกิดมาในสังคมไทยที่พร้อมช่วยเหลือประชาชนผู้อยากทำธุรกิจ ฉันแทบปล่อยโฮอย่างโล่งใจ ที่แท้ตั้งราคาเป็นแสนๆก็เพื่อให้ฉันรู้คุณค่าและสนับสนุนส่งเสริมให้เราเป็นผู้ประกอบการที่มีนวัตกรรมนี่เองฉันแอบปาดน้ำตาหยดน้อยๆของฉัน “แล้วพี่จะได้รับเงินอุดหนุนเมื่อไหร่คะเพราะโครงการดูเหมือนไม่เกินหกเดือน" “อันนี้ต้องขึ้นอยู่กับคณะพิจารณาโครงการนวัตกรรมบางทีก็เร็วบางทีก็ช้าค่ะ คุณพี่อาจต้องสำรองเงินก่อน” “เอิ่มค่ะ แต่พี่ก็จะได้รับการสนับสนุนนวัตกรรมใช่ไหมคะ”ฉันถามเหมือนคนขี้งก น้องจอยอึ้งไปสัก 42 วินาทีก่อนจะพูดแบบช้าๆชัดๆ“บางโครงการก็ได้เงินสนับสนุนเต็มโครงการเพราะถือว่าเป็นนวัตกรรม บางโครงการก็อาจได้น้อยหน่อยถ้าเป็นแค่นวัตกรรมแบบต่อยอด” หน้าฉันเสียไปละมัง เพราะน้องจอยรีบเสริมต่อว่า“แต่น้องจอยว่าโครงการนี้ต้องขอได้แน่เลยค่ะเพราะฟักข้าวน่าจะมีนวัตกรรม”
ตรงไหนวะ!! คือแค่เอาสารสกัดมาใส่น้ำใส่น้ำตาลมันนวัตกรรมตรงไหน และที่สำคัญน้องไม่ใช่คณะกรรมการที่จะมาตัดสินแม้น้องจะน่ารักที่ปลอบใจแต่ว่ามันไม่ใช่อะ “หมายถึงว่าบางโครงการที่คณะกรรมการไม่คิดว่าเป็นนวัตกรรมก็ไม่ได้เงินสนับสนุนใช่ไหมคะ”ตุ๊ถามอย่างหมดความอดทนที่จะอ้อมค้อม ทุกคนทั้งโต๊ะหลบตาบ้างก็เสยกน้ำขึ้นมาจิบ น้องจอยพยักหน้าแบบขอไปที เรายิ้มๆแบบขมขื่นก่อนจะขอตัวจากมา “นี่เหรอหน่วยงานภาครัฐที่จะช่วยเหลือผู้ประกอบการ ไอ้ที่ตั้งตึกหลังโตๆมีห้องแล็บดีๆทันสมัยก็มาจากเงินรัฐบาลทั้งนั้น แต่ทำไรก็เรียกเงินแสน”ฉันบ่นอุบอิบ ลำพังเงินแสนสองแสนมันก็ไม่มากมายนักหรอกสำหรับการเริ่มต้นธุรกิจแต่ถ้าเทียบกับกระดาษจดสูตรอาหาร มันก็เกินไป้... ครั้งนี้ฉันออกจะผิดหวังเอามากๆเรียกว่าเหมือนคนอกหักเลยก็ว่าได้อาจจะเพราะฉันคาดหวังมากไปกับคำว่า “ภาครัฐ” พูดก็พูดเถอะฉันชักจะเชื่อแล้วละว่าถ้าเงินไม่ถึงทำน้ำผลไม้บรรจุขวดไม่ได้ หรืออย่างมากก็ทำขายตามตลาดนัดแค่นั้น เราไม่ได้มีเงินมากพอที่จะจ่ายค่าสูตรแพงขนาดนี้โดยที่เราไม่มีโนว์ฮาวในการสกัดคุณประโยชน์ของฟักข้าวที่เราจะทำเลย ต้องซื้อทีละสามแสน กำไรคงจะอยู่ตรงนั้น แสงสว่างปลายอุโมงค์ฉันมืดดับลงอีกครั้ง เราสองคนกลับมาเริ่มต้นการค้นหาใหม่อีกครั้ง แต่ครั้งนี้เราเจ็บแล้วจำ ขอบอก ครั้งหน้าเราไปลุยอุทธยานวิทยาศาสตร์แห่งชาติกัน
Create Date : 18 พฤษภาคม 2555 |
Last Update : 18 พฤษภาคม 2555 21:03:19 น. |
|
2 comments
|
Counter : 1299 Pageviews. |
|
|
อ่านแล้วน้ำตาแทบไหลเลย
ของเราเขาบอกว่าประมาณ 50000 อ่ะ
แล้วก็ คิวยาวววววด้วย