ต้นส้มแสนรัก; หนังสือในดวงใจ
หลังจากว่าจะเขียนความรู้สึกจากการอ่าน "จับตาย" เป็นอันดับแรก แต่ก็ยังอ่านไม่จบซักที เพราะฉะนั้นเอาหนังสือที่อ่านจบไปแล้ว มาบันทึกไว้ก่อนดีกว่า
ต้นส้มแสนรัก
เล่มนี้เป็นหนึ่งในหนังสือในดวงใจเลยทีเดียว โจเซ่ วาสคอนเซลอส เขียน สมบัติ เครือทอง แปล
เรื่องราวของเซเซ่เด็กน้อยคนหนึ่งในครอบครัวยากจน ความที่เป็นเด็กช่างจินตนาการ ชางคิด เขาจึงสร้างโลกส่วนตัวขึ้นมา และมักคิดอะไรแผลงๆเล่นซนไปตามประสาเด็ก ผู้ใหญ่มักไม่เข้าใจ และไม่ชอบใจ เซเซ่จึงมักถูกทำโทษเป็นประจำ มีน้อยคนนักที่จะเข้าใจพฤติกรรมของเด็กชายคนนี้ แต่เมื่อมีบุคคลคนหนึ่งที่เขาพร้อมจะยอมรับให้เข้ามาอยู่ ในโลกส่วนตัวและคนผู้นั้นก็เต็มใจที่จะเข้าใจเขา เซเซ่กลับไม่ได้รับความปราณีจากพระเจ้า
ไม่ว่าจะอ่านหนังสือเล่มนี้กี่รอบ ก็ไม่สามารถเก็บน้ำตาไว้่อยู่ มันมีทั้งความประทับใจ ความรู้สึกอัดอั้นตันใจเหมือนว่าเราเป็นตัวเซเซ่ ที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์ต่างๆที่โหดร้ายต่อเด็ก ตัวเล็กๆเช่นเขาด้วยตัวเอง
ในเล่มมีมากมายหลายช่วงที่มักอ่านวนซ้ำอยู่นั่น แล้วก็ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะผ่านไปเพื่ออ่านต่อได้ จะยกตัวอย่างมาบางส่วน เช่น
'...เวลาร้องเพลง เสียงของแม่จะเพราะมาก ผมมักอยู่ข้างๆแม่เพื่อจะได้หัดร้องเพลงนั้นบ้าง
โอ้ พ่อกะลาสีเรือของข้าเอ๋ย โอ้ พ่อกะลาสียอดรักของข้าเอ๋ย พรุ่งนี้แล้วซินะที่ข้าจะสิ้นใจเพื่อเจ้า ท้องทะเลกำลังคลั่ง เกลียวคลื่นสาดกระทบหาดทราย พ่อกะลาสีคนที่ข้ารักสุดหัวใจ ต้องจากไป อนิจจา ความรักของกะลาสีเรือ เป็นความรักเพียงชั่วแล่น เรือถอนสมอ พ่อกะลาสีของข้าจากไป ทะเลกำลังคลั่ง...
ถึงตอนนี้เพลงบทนี้ทำให้ผมรู้สึกเศร้าอย่างบอกไม่ถูก ผมตื่นจากภวังค์เมื่อโททอก้าตบไหล่เบาๆ และถามว่า "เป็นอะไรไปรึ เซเซ่" "เปล่า ผมร้องเพลงฮะพี่" "ว่าไงนะ ร้องเพลงงั้นรึ" "ฮะ" "ถ้างั้นพี่ก็คงจะหูหนวกเสียแล้วล่ะ" นี่เขาไม่รู้หรอกหรือว่าเราร้องเพลงในใจก็ได้...'
หรือตอนที่เซเซ่พาน้องไปรับของขวัญที่มี รถขนมาแจกเด็กละแวกนั้นแต่ไปไม่ทัน
'...แต่เขาปล่อยโฮออกมาแล้ว "อย่าร้องสิ หลุยส์ น้องเป็นพระราชาเชียวนะ พ่อบอกว่าที่ตั้งชื่อหลุยส์ให้ก็เพราะเป็นชื่อพระราชา และพระราชานั้นร้องไห้กลางถนนต่อหน้าคนอื่น อย่างนี้ไม่ได้หรอก รู้มั้ย" ผมเหนี่ยวศีรษะเขามากอดไว้แนบอก ลูบผมหยักศกของเขาเบาๆ "เมื่อพี่โตเป็นผุ้ใหญ่ พี่จะซื้อรถสวยๆเหมือน กับของคุณมานูแอล วาลาดาเรส ชาวโปรตุเกสคนนั้นไง น้องรู้จักหรือเปล่า คนที่เดินผ่านหน้าเราที่สถานีรถไฟในวันที่เราไป ทักทายเจ้ามันการาติบานั่นไง... พี่จะซื้อคันใหญ่ๆเหมือนของเขา มีของขวัญเต็มรถ ยกให้น้องหมดเลย...แต่หยุดร้องไห้เสียทีสิ พระราชาจะต้องไม่ขี้แยนะ รู้มั้ย" ในหัวอกของผมมีเสียงหนึ่งร่ำร้องอย่างปวดร้าวว่า "ฉันขอสาบานว่าจะซื้อมันให้ได้ถึงจะต้อง ฆ่าคนหรือต้องขโมยมาก็ตามที..." ไม่ใช่นกน้อยตัวนั้นหรอกที่กำลังพร่ำพูดเช่นนั้นในตัวผม ต้องเป็นหัวใจของผมแน่ๆ ใช่แล้วล่ะ ผมจะต้องทำให้ได้ ทำไมพระบุตรน้อย จึงไม่รักผมนะ พระองค์รักวัว รักลาในรางหญ้า แต่ไม่รักผมเลย พระองค์คงแก้แค้นผมที่ผมยอมเป็น ลูกทูนหัวของเจ้าผีร้าย เลยขัดขวางไม่ให้น้องชายผม ได้ของขวัญ แต่มันไม่น่าจะเกิดขึ้นกับหลุยส์เลย เพราะเขาเป็นถึงเทพบุตร แม้แต่ปวงเทพ ในสรวงสวรรค์ก็ยังมีความประพฤติไม่เรียบร้อย เท่าเขาเลย... แล้วน้ำตาผมก็ไหลอาบแก้มอย่างน่าสมเพชเป็นที่สุด "เซเซ่ พี่ร้องไห้หรือ..." "เดี๋ยวก็หาย พี่ไม่ได้เป็นพระราชาเหมือนอย่างน้องนี่ พี่มันไม่มีค่า เป็นเด็กเลวๆ เลวมากๆ เลวที่สุด..."
และตอนที่บีบคั้นอารมณ์ที่สุด...
'ผมนั่งนับจิ้งจกบนฝาผนังอยู่ตรงธรณีประตู หันไปมองพ่อเป็นครั้งคราว ตั้งแต่เช้าวันคริสต์มาส ครั้งนั้นแล้ว ผมไม่ได้เห็นพ่อแสดงอาการซึมเศร้า เท่าครั้งนี้อีกเลย ผมต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อพ่อ ร้องเพลงดีมั้ย ถ้าผมร้องเบาๆ มันคงจะช่วยให้พ่อ คลายความหงอยเหงาได้ ผมนึกทบทวนรายชื่อ เพลงทั้งหมดในหัวสมองและนึกถึงเพลงสุดท้าย ที่ผมหัดร้องกับน้าอารีโยวัลโดขึ้นมาได้ เป็นเพลง จังหวะแทงโกที่เพราะที่สุดที่ผมเคยฟัง ผมจึงเริ่มร้องเบาๆว่า
"ฉันอยากกอดสาวเปลือยสักนางหนึง ยามค่ำคืนที่จันทร์ส่องแสง ฉันอยากกอดร่างของสาวเปลือยนางหนึ่ง..."
"เซเซ่" "ฮะ พ่อ" ผมรีบลุกขึ้นยืน พ่อคงจะชอบเพลงแทงโกนั้นมากและ คงอยากให้ผมเข้าไปร้องใกล้ๆ "เมื่อกี้ร้องเพลงอะไร" ผมเริ่มร้องใหม่
"ฉันอยากกอดสาวเปลือยสักนางหนึ่ง..."
"ใครเป็นคนสอน" ดวงตาของพ่อเริ่มขุ่นขวางเหมือนคนบ้า "น้าอารีโยวัลโดฮะ" "พ่อบอกแล้วไงว่าอย่าไปยุ่งกับเขา" พ่อไม่เคยพูดอย่างที่ว่านี้เลย ผมเชื่อว่าพ่อไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าผมเป็นนักร้องผู้ช่วย "ร้องใหม่อีกทีซิ" "ทำนองแทงโกสมัยใหม่นะฮะ 'ฉันอยากกอดสาว เปลือยสักนางหนึ่ง..."
ผมโดนตบจนหน้าหัน "ร้องอีกสิ"
อีกฉาดหนึ่ง อีกฉาดหนึ่ง แล้วก็อีกฉาดหนึ่ง น้ำตากำลังจะไหลทะลักออกมาแม้ผมจะพยายาม กลั้นมันไว้ก็ตาม "เอาอีกสิ ร้องอีก"
"ฉันอยากกอดสาวเปลือยสักนางหนึ่ง..."
ผมเกือบจะอ้าปากไม่ไหวแล้ว ตัวซวนเซไปมา ผมลืมตาและหลับตาตามแรงตบ ไม่รู้ว่าจะหยุดร้องหรือ ทำตามคำสั่งพ่อ...ทั้งที่เจ็บปวดรวดร้าว ผมตั้งใจมั่นได้ว่านี่จะเป็นการตบตีครั้งสุดท้าย ครั้งสุดท้าย ขอตายเสียดีกว่า...'
...ย่าบอกผมว่า ความสุขก็คือ 'พระอาทิตย์ ดวงหนึ่งที่สาดแสงอยู่ในหัวใจของเรา' และพระอาทิตย์ที่ว่า นี้เองที่ฉาบฉายแสงแห่งความสุขมาให้ทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงละก็ พระอาทิตย์ในหัวใจผมคงจะ ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างดูสดสวย...
ขอจบการบันทึกไว้แค่นี้................
Create Date : 28 มกราคม 2548 |
Last Update : 28 มกราคม 2548 18:23:36 น. |
|
8 comments
|
Counter : 953 Pageviews. |
|
|
|
โดย: สมตู้กับข้าว วันที่: 28 มกราคม 2548 เวลา:21:31:17 น. |
|
|
|
โดย: totoh995 วันที่: 28 มกราคม 2548 เวลา:23:27:05 น. |
|
|
|
โดย: prncess วันที่: 6 กุมภาพันธ์ 2548 เวลา:8:11:23 น. |
|
|
|
โดย: Peachii IP: 203.151.224.110 วันที่: 14 กุมภาพันธ์ 2548 เวลา:17:14:31 น. |
|
|
|
โดย: แก๊งส์เมี่ยง~ IP: 202.28.180.201 วันที่: 9 กุมภาพันธ์ 2549 เวลา:1:45:23 น. |
|
|
|
|
|
|
มี่คือชื่อของผม ตาโตดูน่ารัก...บ้องแบ๊ว แต่ผมดุจนใครๆไม่กล้าเข้าบ้าน แค่เห็นผมแยกเขี้ยวขู่... ก็กระเจิงกันหมด และแม้ว่าผมเป็นแมวพิการ มีเพียงสามขา..แต่ไม่มีใครวิ่งเร็ว กระโดดสูงเท่าผม! เวลากระโจนไล่กัดชาวบ้าน ไม่มีใครขวางผมทันหรอก .........
ผมเป็นแมวหง่าวที่น่ารัก... ดวงตากลมโตใสแจ๋ว ยุคสมัยของผม... คือความทรงจำในใจ.. ของหลายๆคน ผมคือตำนาน....
|
|
|
|
|
|
|
|