|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | |
|
|
|
|
|
|
|
สุภาษิตของพระอรหันตสาวก
พระอรหันตสาวกทั้งหลายเป็นดังราชสีห์ซึ่งชำนะเสียต่อกองกิเลส ประเสริฐกว่าสัตว์ทั้งหลาย เป็นผู้มีตนอันอบรมแล้ว มีปัญญาเห็นธรรมอันแจ่มแจ้ง บรรลุนิพพานอันไม่มีความแปรผัน ท่านเหล่านั้นได้อบรมตนด้วยฌานอันมีปรกติในที่อันสงัด ห่างไกลกิเลส หากคำพูดของบุคคลหนึ่งจะสะท้อนถึงจิตใจของบุคคลนั้นละก็ ขอเชิญท่านทั้งหลายจงพิจารณาธรรมอันเป็นสุภาษิตคาถาของท่านเหล่านั้นเถิด จักยังปัญญาให้เกิดขึ้นครับ
พระสูตรในวันนี้ยกมาจากพระสุตตันตปิฎก เล่ม 18 ขุททกนิกาย เถระคาถา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
******************************************** เถรคาถา เอกกนิบาต วรรคที่ ๑
ว่าด้วยคาถาสุภาษิต ในเอกกนิบาต วรรคที่ ๑
[๑๓๗] ขอท่านทั้งหลาย จงฟังคาถาอันน้อมเข้าไปสู่ประโยชน์ ของพระเถระทั้งหลายผู้มีตนอันอบรมแล้ว บันลืออยู่ ดุจการบันลือแห่งสีหะทั้งหลายซึ่งเป็นสัตว์ประเสริฐกว่าเหล่าสัตว์ผู้มีเขี้ยวทั้งหลาย ที่ใกล้ถ้ำที่ภูเขา ฉะนั้น ก็พระเถระเหล่านั้นมีชื่อ โคตร มีธรรมเป็นเครื่องอยู่ มีจิต น้อมไปแล้ว ในธรรมตามที่ปรากฏแล้ว มีปัญญา เป็นผู้ไม่เกียจคร้าน อยู่ในเสนาสนะอันสงัด มีป่า โคนไม้ และภูเขาเป็นต้นนั้นๆ ได้ เห็นธรรมแจ่มแจ้ง และได้บรรลุนิพพานอันเป็นธรรมไม่แปรผัน เมื่อ พิจารณาเห็นผลอันเป็นที่สุดกิจซึ่งตนทำเสร็จแล้ว จึงได้ภาษิตเนื้อความนี้. -------------
๑. สุภูติเถรคาถา
สุภาษิตเกี่ยวกับจิตหลุดพ้น [๑๓๘] ได้ยินว่า ท่านพระสุภูติเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้อย่างนี้ว่า ดูกรฝน กุฎีของเรามุงดีแล้ว มีเครื่องป้องกันอันสบายมิดชิดดี ท่านจงตกลงมา ตามสะดวกเถิด จิตของเราตั้งมั่นดีแล้ว หลุดพ้นแล้วจากกิเลสทั้งปวง เราเป็นผู้มีความเพียรอยู่ เชิญตกลงมาเถิดฝน. [ท่านพระสุภูติมีจิตอันหลุดพ้นแล้ว มีความเพียรไม่ท้อถอย ไม่หวั่นไหวซึ่งความยั่วยวนใจในโลกทั้งหลายประดุจฝน จิตของท่านมีที่อาศัยอันดีเปรียบด้วยกุฎีซึ่งมุงมิดชิดแล้วเป็นที่อยู่สบาย]
๒. มหาโกฏฐิตเถรคาถา
สุภาษิตเกี่ยวกับความสงบ
[๑๓๙] ได้ยินว่า ท่านพระมหาโกฏฐิตเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้อย่างนี้ว่า บุคคลผู้สงบ งดเว้นจากการทำความชั่วพูดด้วยปัญญา ไม่ฟุ้งซ่าน ย่อมกำจัดบาปธรรมทั้งหลาย เหมือนลมพัดใบไม้ให้ล่วงหล่นไป ฉะนั้น. [ท่านพระมหาโกฏฐิตะเป็นผู้สงบ งดได้ซึ่งการประกอบอกุศลกรรม มีปกติกล่าวด้วยปัญญา มีจิตไม่ฟุ้งซ่าน]
๓. กังขาเรวตเถรคาถา
สุภาษิตเกี่ยวกับปัญญา
[๑๔๐] ได้ยินว่า ท่านพระกังขาเรวตเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้อย่างนี้ว่า ท่านจงดูปัญญานี้ ของพระตถาคตเจ้าทั้งหลายดังไฟอันรุ่งเรืองในเวลาพลบค่ำ พระตถาคตเหล่าใด ย่อมกำจัดความสงสัยของเวไนยสัตว์ทั้งหลาย ผู้มาเฝ้าถึงสำนักของพระองค์ พระตถาคตเหล่านั้น ย่อมชื่อว่าเป็นผู้แสงสว่าง เป็นผู้ให้ดวงตา. [ท่านพระกังขาเรวตะกล่าวสรรเสริญพระผู้มีพระภาคว่าทรงมีพระปัญญาอันรุ่งเรืองดุจไฟยามพลบค่ำ เป็นผู้ให้ปัญญาจักษุและแสงสว่างแก่สัตว์ที่สั่งสอนได้ทั้งหลาย ทรงขจัดความสงสัยแก่สาวกผู้มาเฝ้าพระองค์]
๔. ปุณณมันตานีปุตตเถรคาถา
สุภาษิตเกี่ยวกับการคบคนดี
[๑๔๑] ได้ยินว่า ท่านพระปุณณมันตานีบุตรเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้อย่างนี้ว่า บุคคลควรสมาคมกับสัปบุรุษ ผู้เป็นบัณฑิตชี้แจงประโยชน์เท่านั้น เพราะธีรชนทั้งหลายเป็นผู้ไม่ประมาท เห็นประจักษ์ด้วยปัญญา ย่อมได้ บรรลุถึงประโยชน์อย่างใหญ่ ประโยชน์อย่างลึกซึ้ง เห็นได้ยาก ละเอียด สุขุม. [ท่านพระปุณณมันตานีบุตรสรรเสริญการคบแต่สัปบุรุษผู้มีปัญญาชักนำไปสู่ความเจริญ เพราะสัปบุรุษเหล่านั้นเป็นผู้ไม่ประมาท เป็นผู้รู้ในประโยชน์อันลึกซึ้ง เห็นได้ยาก]
๕. ทัพพเถรคาถา
สุภาษิตเกี่ยวกับการฝึกอบรม
[๑๔๒] ได้ยินว่า ท่านพระทัพพเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้อย่างนี้ว่า เมื่อก่อน พระทัพพมัลลบุตรองค์ใด เป็นผู้อันบุคคลอื่น ฝึกฝนได้โดยยาก แต่ เดี๋ยวนี้พระทัพพมัลลบุตรองค์นั้น เป็นผู้อันพระศาสดาได้ทรงฝึกฝนด้วย การฝึกฝนด้วยมรรคอันประเสริฐ เป็นผู้สันโดษ ข้ามความสงสัยได้แล้ว เป็นผู้ชนะกิเลส ปราศจากความขลาด มีจิตตั้งมั่น ดับความเร่าร้อนได้แล้ว. [ท่านพระทัพพมัลลบุตรกล่าวว่าแต่ก่อนท่านเป็นผู้ที่บุคคลอื่นจะฝึกฝนได้โดยยาก แต่พระผู้มีพระภาคได้ฝึกฝนท่านแล้วในบัดนี้ด้วยมรรคอันประเสริฐ ท่านเป็นผู้สันโดษ ละได้ซึ่งความสงสัย ชำนะกิเลส ไม่มีความขลาด มีจิตตั้งมั่น ดับความเร่าร้อนเสียได้]
๖. สีตวนิยเถรคาถา
สุภาษิตเกี่ยวกับความสันโดษ
[๑๔๓] ได้ยินว่า ท่านพระสีตวนิยเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้อย่างนี้ว่า ภิกษุใดมาสู่ป่าสีตวันแล้ว ภิกษุนั้นเป็นผู้อยู่แต่ผู้เดียว สันโดษ มีจิตตั้งมั่น ชนะกิเลส ปราศจากขนลุกขนพอง มีปัญญารักษากายาคตาสติอยู่. [ท่านพระสีตวนิยเถระผู้ฝึกตนในป่าสีตวันแต่ผู้เดียว สันโดษ มีจิตตั้งมั่น ละกิเลสได้แล้ว ปราศจากความรู้สึกหวาดเสียว ขนลุกพอง รักษาตนด้วยกายคตาสติและปัญญา]
๗. ภัลลิยเถรคาถา
สุภาษิตเกี่ยวกับผู้ชนะ
[๑๔๔] ได้ยินว่า ท่านพระภัลลิยเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้อย่างนี้ว่า ผู้ใดกำจัดเสนาแห่งมัจจุราช เหมือนห้วงน้ำใหญ่ กำจัดสะพานไม้อ้ออันแสนจะทรุดโทรม ฉะนั้น ก็ผู้นั้นจัดว่าเป็นผู้ชนะมาร ปราศจากความหวาดกลัว มีตนอันฝึกฝนแล้วมีจิตตั้งมั่น ดับกิเลสและความเร่าร้อนได้แล้ว. [ท่านพระภัลลิยะกำจัดได้แล้วซึ่งกิเลสมารอันเป็นเสนาแห่งมัจจุราช ดุจห้วงน้ำใหญ่กำจัดสะพานไม้อ้ออันทรุดโทรม ท่านปราศจากความหวาดกลัว ฝึกฝนตนแล้ว มีจิตตั้งมั่น]
๘. วีรเถรคาถา
สุภาษิตเกี่ยวกับการชนะกิเลส
[๑๔๕] ได้ยินว่า ท่านพระวีรเถระได้ภาษิตคาถานี้ ในเวลาภรรยาเก่าไปเล้าโลมเพื่อให้สึก ว่า เมื่อก่อน ผู้ใดเป็นผู้อันบุคคลอื่นฝึกได้โดยยาก แต่เดี๋ยวนี้ผู้นั้นอัน พระผู้มีพระภาคฝึกฝนได้ดีแล้ว เป็นนักปราชญ์มีความสันโดษ ข้ามความ สงสัยได้แล้ว เป็นผู้ชนะกิเลสมาร ปราศจากขนลุกขนพอง ปราศจาก ความกำหนัด มีจิตตั้งมั่น ดับกิเลสและความเร่าร้อนได้แล้ว. [ท่านพระวีระเถระกล่าวคาถานี้ครั้งภรรยาเก่าเล้าโลมให้สึกว่า ท่านนั้นพระผู้มีพระภาคฝึกฝนแล้ว เป็นปราชญ์ผู้สันโดษ ละได้ซึ่งควาามสงสัย ชนะกิเลสมาร ปราศจากความขนลุกพอง ความกำหนัด มีจิตตั้งมั่น]
๙. ปิลินทวัจฉเถรคาถา
สุภาษิตเกี่ยวกับการฟังธรรม
[๑๔๖] ได้ยินว่า ท่านพระปิลินทวัจฉเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้อย่างนี้ว่า การที่เรามาสู่สำนักของพระศาสดานี้ เป็นการมาดีแล้ว ไม่ไร้ประโยชน์ การที่เราคิดไว้ว่าจักฟังธรรมในสำนักของพระผู้มีพระภาคแล้วจักบวช เป็น ความคิดที่ไม่ไร้ประโยชน์ เพราะเมื่อพระผู้มีพระภาคทรงจำแนกธรรม ทั้งหลายอยู่ เราได้บรรลุธรรมอันประเสริฐแล้ว. [ท่านพระปิลินทวัจฉเถระกล่าวภาษิตว่าการมาในสำนักของพระผู้มีพระภาคของท่านนี้เป็นการมาดีแล้ว ไม่ไร้ประโยชน์ การที่ท่านตั้งใจมาฟังธรรมจากพระผู้มีพระภาคแล้วบวชป็นความคิดที่ไม่ไร้ประโยชน์ ด้วยเมื่อพระผู้มีพระภาคจำแนกธรรมอยู่ ท่านได้บรรลุธรรมอันประเสริฐ]
๑๐. ปุณณมาสเถรคาถา
สุภาษิตเกี่ยวกับการไม่ติดในสิ่งทั้งปวง
[๑๔๗] ได้ยินว่า พระปุณณมาสเถระได้ภาษิตคาถานี้อย่างนี้ว่า ผู้ใดไม่ทะเยอทะยานในโลกนี้หรือโลกอื่น ผู้นั้นเป็นผู้จบไตรเพท เป็นผู้สันโดษ สำรวมแล้ว ไม่ติดอยู่ในธรรมทั้งปวง เป็นผู้รู้แจ้งซึ่งความเกิดขึ้นและ ความเสื่อมไปของโลก. [ท่านพระปุณณมาสเถระกล่าวภาษิตว่า ผู้ใดตัดเสียได้ซึ่งความทะเยอทะยานในโลกใดๆ ผู้นั้นชื่อว่าศึกษาแล้ว เป็นผู้สันโดษ สำรวมแล้ว ไม่ติดในธรรม รู้แจ้งความเกิดขึ้นและความเสื่อมของโลก]
--------------- ในวรรคนี้รวมพระเถระได้ ๑๐ องค์ คือ ๑. พระสุภูติเถระ ๒. พระมหาโกฏฐิตเถระ ๓. พระกังขาเรวตเถระ ๔. พระปุณณมันตานีปุตตเถระ ๕. พระทัพพเถระ ๖. พระสีตวนิยเถระ ๗. พระภัลลิยเถระ ๘. พระวีรเถระ ๙. พระปิลินทวัจฉเถระ ๑๐. พระปุณณมาสเถระ.
จบ วรรคที่ ๑.
******************************************** ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านครับ
Create Date : 05 เมษายน 2549 |
Last Update : 5 เมษายน 2549 15:49:53 น. |
|
0 comments
|
Counter : 722 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|