Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2549
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728 
 
24 กุมภาพันธ์ 2549
 
All Blogs
 
เนื้อหาของวิมลเกียรตินิทเทสสูตร (1)

ปริเฉทที่๑

พระพุทธเกษตรวรรค

ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับแสดงธรรมโปรดสัตว์อยู่ ณ สวนอัมพปาลีวัน ณ กรุงเวสาลี พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่๘,๐๐๐รูป พระโพธิสัตว์อีก๓๒,๐๐๐องค์ ซึ่งแต่ละองค์ล้วนเป็นผู้มีเกียรติคุณอันประชุมชนรู้จักดี ถึงพร้อมแล้วด้วยมหาปรัชญาและมูลจริยา มีทาน ศีล ขันติ วิริยะ ฌาน ปัญญา และอุปายะ พละ มีความบริสุทธิ์หมดจด หลุดพ้นจากสังโยชนธรรม เป็นผู้แสดงพระสัทธรรมต่อสรรพสัตว์ สืบพระพุทธศาสนายุกาลให้ยั่งยืน ฯลฯ พระโพธิสัตว์เหล่านี้ มีอาทิเช่นพระสมาธิอิศวรราชาโพธิสัตว์ พระธรรมอิศวรราชาโพธิสัตว์ พระธรรมลักษณะโพธิสัตว์ พระประภาลักษณะโพธิสัตว์ พระประภาลังการโพธิสัตว์ พระมหาลังการโพธิสัตว์ พระรัตนกูฏโพธิสัตว์ พระรัตนากรโพธิสัตว์ พระปีติอินทรีย์โพธิสัตว์ พระอากาศครรภ์โพธิสัตว์ พระวิทยชาลโพธิสัตว์ พระคันธหัสดินทร์โพธิสัตว์ พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ พระมหาสถามปราบต์โพธิสัตว์ พระสุวรรณจุฬาโพธิสัตว์ พระศรีอารยเมตไตรยโพธิสัตว์ และพระมัญชุศรีโพธิสัตว์ ผู้ธรรมราชาบุตรเป็นต้น อนึ่ง ยังมีพระพรหมและทวยเทพ นาค ยักษ์ อสูร ครุฑ กินนร มโหรคอีกจำนวนมาก พร้อมทั้งพุทธบริษัท๔อีกจำนวนมาก ต่างมาประชุมเฝ้าพระผู้มีพระภาคเพื่อสดับพระสัทธรรม.

ก็โดยสมัยนั้นแล ณ กรุงเวสาลี มีบุตรคฤหบดีผู้หนึ่งชื่อ รัตนกูฏ พร้อมกับบุตรคฤหบดีอื่นๆอีกจำนวน๕๐๐คน ต่างถือเอาฉัตรอันประกอบด้วยสัปตรัตนะ ชวนกันมาเฝ้าพระบรมศาสดา อภิวาทพระบาททั้ง๒ของพระองค์แล้ว ต่างก็น้อมฉัตรเข้าไปถวาย ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงบันดาลอิทธาภิสังขารให้ฉัตรทั้งปวงรวมกันเข้าเป็นฉัตรคันเดียว แลร่มเงาแห่งฉัตรนั้น ก็ปกคลุมไปทั่วมหาตรีสหัสสโลกธาตุ สิ่งต่างๆมีภูเขา แม่น้ำ พระอาทิตย์ พระจันทร์ ตลอดจนพุทธเกษตรต่างๆ ซึ่งมีพระพุทธเจ้ากำลังแสดงพระสัทธรรมอยู่ ก็มาปรากฏอยู่ในฉัตรดังกล่าวนั้น ประชุมชนซึ่งมาเฝ้าอยู่ ณ ที่นั้น ต่างเพ่งทัศนากำลังแห่งพุทธปาฏิหาริย์ด้วยความเลื่อมใส ต่างยกกรขึ้นวันทนา แลดูซึ่งพระพุทธลักษณะอยู่โดยมิเคลื่อนคลา และบุตรคฤหบดีผู้ชื่อว่ารัตนกูฏได้กล่าวสดุดีกถาด้วยถ้อยคำอันพรรณนาพระพุทธคุณอันเป็นอเนก จบลงแล้วจึงทูลว่า

"ข้าแต่พระผู้มีพระภาค บุตรคหบดีทั้ง๕๐๐คนนี้ ล้วนตั้งจิตมุ่งต่ออนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณมาแล้ว ต่างปรารถนาใคร่สดับเรื่องวิสุทธิพุทธเกษตร ขอพระองค์ทรงโปรดแสดงจริยาของปวงพระโพธิสัตว์เพื่อยังวิสุทธิภูมิให้สำเร็จเถิด พระพุทธเจ้าข้า."

พระผู้มีพระภาคจึงมีพระราชดำรัสว่า "ดีละ รัตนกูฏ! ในการที่เธอสามารถถามตถาคตถึงจริยาอันให้สำเร็จซึ่งพุทธเกษตร เพื่อประโยชน์แห่งพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย เธอพึงสำเหนียกแลมีโยนิโสมนสิการให้ดี เราจักแสดงแก่เธอ ณ บัดนี้."

ครั้งนั้นแล รัตนกูฏพร้อมทั้งบุตรคฤหบดีอีก๕๐๐คน ต่างก็ตั้งจิตหยั่งลงพร้อมที่จักรับพระสัทธรรม พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า

"ดูก่อนรัตนกูฏ ในสรรพสัตว์ทั้งปวงนั้นแล ชื่อว่าเป็นวิสุทธิเกษตรแห่งพระโพธิสัตว์ ข้อนั้นเพราะเหตุดังฤา? ก็เพราะว่าพระโพธิสัตว์ย่อมบำเพ็ญหิตานุหิตประโยชน์โปรดสรรพสัตว์ จึงอาจสามารถให้สำเร็จซึ่งพุทธเกษตรได้ อุปมาดังบุคคลผู้ปรารถนาจักสร้างปราสาทในแผ่นดินที่ว่าง เขาย่อมยังกิจที่ปรารถนาให้สำเร็จได้ แต่ถ้าเขาไม่อาศัยแผ่นดิน กลับไปอาศัยอากาศเพื่อสร้างปราสาทไซร้ ย่อมไม่มีหนทางสำเร็จฉันใด พระโพธิสัตว์ก็มีอุปไมยฉันนั้น กล่าวคือในการยังพุทธเกษตรให้สำเร็จบริบูรณ์ ก็เพื่อประโยชน์แห่งสรรพสัตว์นั่นเอง รัตนกูฏ! เธอพึงสำเหนียกว่า จิตที่ตั้งไว้ถูกตรง นั่นแล ชื่อว่า วิสุทธิภูมิของพระโพธิสัตว์ ในสมัยซึ่งพระโพธิสัตว์นั้นบรรลุพุทธภูมิ เหล่าสัตว์ซึ่งปราศจากมายาความหลอกลวง ย่อมมาถืออุบัติในวิสุทธิเกษตรนั้น จิตที่ลึกซึ้งนั่นแล ชื่อว่า วิสุทธิภูมิของพระโพธิสัตว์ ในสมัยซึ่งพระโพธิสัตว์นั้นบรรลุพุทธภูมิ เหล่าสัตว์ซึ่งสมบูรณ์ด้วยกุศลคุณ ย่อมมาถืออุบัติในวิสุทธิเกษตรนั้น โพธิจิต นั่นแล ชื่อว่า วิสุทธิภูมิของพระโพธิสัตว์ ในสมัยซึ่งพระโพธิสัตว์นั้นบรรลุพุทธภูมิ เหล่าสัตว์ซึ่งเป็นมหายานิกบุคคล ย่อมมาถืออุบัติในวิสุทธิเกษตรนั้น การบำเพ็ญทาน นั่นแลชื่อว่า วิสุทธิภูมิของพระโพธิสัตว์ ในสมัยซึ่งพระโพธิสัตว์นั้นบรรลุพุทธภูมิ เหล่าสัตว์ซึ่งมีจาคธรรม ย่อมมาถืออุบัติในวิสุทธิเกษตรนั้น การรักษาศีล นั่นแล ชื่อว่า วิสุทธิภูมิของพระโพธิสัตว์ ในสมัยซึ่งพระโพธิสัตว์นั้นบรรลุพุทธภูมิ เหล่าสัตว์ซึ่งบำเพ็ญกุศลกรรมบถทั้ง๑๐ได้สมบูรณ์ไม่บกพร่อง ย่อมมาถืออุบัติในวิสุทธิเกษตรนั้น ขันติ นั่นแลชื่อว่า วิสุทธิภูมิของพระโพธิสัตว์ ในสมัยซึ่งพระโพธิสัตว์นั้นบรรลุพุทธิภูมิ เหล่าสัตว์ซึ่งรุ่งเรืองด้วยทวัตติงสาลังการ ย่อมมาถืออุบัติในวิสุทธิเกษตรนั้น วิริยะ นั่นแล ชื่อว่า วิสุทธิภูมิของพระโพธิสัตว์ ในสมัยซึ่งพระโพธิสัตว์นั้นบรรลุพุทธภูมิ เหล่าสัตว์ผู้มีความบากบั่นพากเพียรในการยังกุศลธรรมให้ถึงพร้อม ย่อมมาถืออุบัติในวิสุทธิเกษตรนั้น ฌานสมาธิ นั่นแล ชื่อว่า วิสุทธิภูมิของพระโพธิสัตว์ ในสมัยซึ่งพระโพธิสัตว์นั้นบรรลุพุทธภูมิ เหล่าสัตว์ซึ่งสำรวมจิตไม่ฟุ้งซ่าน ย่อมมาถืออุบัติในวิสุทธิเกษตรนั้น ปัญญา นั่นแล ชื่อว่า วิสุทธิภูมิของพระโพธิสัตว์ ในสมัยซึ่งพระโพธิสัตว์นั้นบรรลุพุทธภูมิ เหล่าสัตว์ซึ่งมีอินทรีย์เที่ยงต่อการตรัสรู้ ย่อมมาถืออุบัติในวิสุทธิเกษตรนั้น ฯลฯ"

ตรัสว่า ในสมัยซึ่งพระโพธิสัตว์สำเร็จพระโพธิญาณแล้ว โลกธาตุของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ย่อมสุขสมบูรณ์ ปราศจากความมัวหมองและเภทภัยกันดารต่างๆ แลสรรพสัตว์ในโลกธาตุนั้น ก็บริบูรณ์ด้วยกุศลคุณต่างๆ เป็นอเนกประการ แล้วตรัสสรุปว่า

"เพราะฉะนั้นแล รัตนกูฏ! พระโพธิสัตว์ผู้ปรารถนาจักบรรลุถึงวิสุทธิเกษตรดังกล่าว! พึงชำระจิตแห่งตนให้บริสุทธิ์สะอาด เมื่อจิตบริสุทธิ์สะอาดดีแล้ว พุทธเกษตรก็ย่อมบริสุทธิ์สะอาดตามไปด้วย."

ครั้งนั้นแล พระสารีบุตรเถรเจ้าโดยการบันดาลดลแห่งพุทธานุภาพได้บังเกิดปริวิตกอย่างนี้ขึ้นว่า "ถ้าจิตของพระโพธิสัตว์บริสุทธิ์ พุทธเกษตรก็พลอยบริสุทธิ์ด้วยไซร้ เมื่อเป็นเช่นนี้พระผู้มีพระภาคของเราเมื่อสมัยยังเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ จักมีจิตไม่บริสุทธิ์กระมังหนอ พุทธเกษตรของพระองค์จึงไม่สะอาดหมดจดดั่งปรากฏอยู่ ณ บัดนี้?"

พระผู้มีพระภาคทรงทราบความปริวิตกนั้นแล้ว จึงมีพระดำรัสว่า

"สารีบุตร! เธอมีความคิดเห็นเป็นไฉน? บุคคลผู้มีจักษุบอดมองไม่เห็นความสุกสว่างหมดจดแห่งดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ นั่นเป็นความผิดของดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ฤาหนอ?"

พระสารีบุตรทูลว่า "หามิได้ข้าแต่พระสุคต เป็นความบกพร่องของบุคคลผู้มีจักษุบอดเอง ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์จักมีโทษด้วยก็หาไม่"

ตรัสว่า "ฉันใดก็ฉันนั้นนะสารีบุตร! เป็นความผิดของสรรพสัตว์เอง ที่มองไม่เห็นความบริสุทธิ์สะอาดในโลกธาตุเกษตรแห่งเราตถาคต จักเป็นความผิดของตถาคตด้วยก็หาไม่ สารีบุตรเอย! โลกธาตุของตถาคตนั้นบริสุทธิ์ แต่เธอมองไม่เห็นเอง."

ก็โดยสมัยนั้นแล ท้าวสนังพรหมกุมาร ได้กล่าวกับพระสารีบุตรว่า

"ขอท่านผู้เจริญอย่าได้ปริวิตก แลกล่าวว่าพุทธเกษตรนี้ไม่บริสุทธิ์เลย ข้อนั้นเพราะเหตุเป็นไฉน? เพราะเรานั้นได้เห็นความบริสุทธิ์หมดจดแห่งพุทธเกษตรของพระศากยมุนีเจ้าเปรียบดุจทิพยมณเฑียรแห่งพระอิศวรเทพฉะนั้น."

พระสารีบุตรกล่าวว่า "แต่เราเห็นโลกธาตุนี้ อุดมไปด้วยขุนเขาหุบเหวสูงต่ำ มีขวากหนามอิฐกรวดดินทราย เต็มไปด้วยความโสมมสกปรก."

ท้าวสนังพรหมจึงว่า "จิตของท่านผู้เจริญสูงต่ำไม่สม่ำเสมอเองต่างหากเล่า ท่านผู้เจริญ! มิได้อาศัยพุทธปัญญาทัศนาโลกนี้ ฉะนั้นจึงเห็นโลกธาตุนี้ว่าไม่สะอาดหมดจด ข้าแต่พระคุณเจ้าสารีบุตร อันพระโพธิสัตว์ย่อมเห็นสรรพสัตว์โดยความเป็นสมภาพ มีจิตอันลึกซึ้งบริสุทธิ์ อาศัยพุทธปัญญาเป็นเครื่องอยู่ ฉะนั้น จึงสามารถทัศนาความบริสุทธิ์ของโลกธาตุนี้ได้"

พระผู้มีพระภาค จึงกดนิ้วพระบาทลง ณ ผืนปฐพี ในทันใดนั้นมหาตรีสหัสสโลกธาตุ ก็มีอันเปลี่ยนแปลง ปรากฏเป็นรัตนอลังการนับแสนโกฏิประดับประดาแล้ว ประชุมชนทั้งปวงพากันอุทานด้วยความมหัศจรรย์ว่า

"สิ่งที่ไม่เคยมีก็มีขึ้นแล้วหนอ" ต่างเห็นตนของตนเองนั่งอยู่บนปทุมรัตน์อันเป็นทิพย์

พระผู้มีพระภาคจึงตรัสกับพระสารีบุตรว่า "สารีบุตร! เธอจงทัศนาวิสุทธิคุณาลังการแห่งพุทธเกษตรนี้เถิด."

พระสารีบุตรทูลว่า "อย่างนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สิ่งซึ่งข้าพระองค์มิเคยได้เห็นมาก่อน มิเคยได้ฟังมาก่อน บัดนี้ได้ปรากฏขึ้นแล้วหนอว่า พุทธเกษตรของพระองค์บริสุทธิ์หมดจดยิ่งนัก."

พระบรมศาสดาตรัสว่า "โลกธาตุของตถาคต ย่อมบริสุทธิ์เป็นปกติอยู่เป็นนิตย์ แต่เพื่อโปรดบรรดาชนผู้มีอินทรีย์ต่ำ ตถาคตจึงสำแดงให้ปรากฏเห็นเป็นไม่บริสุทธิ์ขึ้น เหมือนดังปวงเทพยดาต่างร่วมเสวยสุทธาโภชน์ในทิพยภาชน์อันเดียว ด้วยอำนาจแห่งบุญสมภารของแต่ละองค์ไม่เสมอกัน ทิพยโภชน์จึ่งปรากฏหาคล้ายกันไม่ ฉันใดก็ฉันนั้นนะสารีบุตร! ถ้าบุคคลมีจิตบริสุทธิ์ไซร้ เขาย่อมเห็นคุณาลังการแห่งพุทธเกษตรนี้ได้."

ในกาลซึ่งพระผู้มีพระภาคทรงบันดาล สำแดงความบริสุทธิ์แห่งโลกธาตุอยู่นั้น รัตนกูฏพร้อมด้วยบุตรคฤหบดีอีก๕๐๕คน ต่างก็บรรลุธรรมกษานติ และมี๘,๔๐๐คน ต่างตั้งจิตมุ่งสำเร็จพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ แล้วพระผู้มีพระภาคก็ทรงยังฤทธิ์นั้นให้กลับคืน โลกธาตุจึงปรากฏสภาพของมันดุจเก่า อนึ่ง มีผู้ปรารถนาต่อสาวกภูมิ๓๒,๐๐๐คน ทวยเทพและมนุษย์ต่างเห็นชัดว่า สังขารทั้งปวง มีความทนอยู่มิได้ ต้องแปรผันไปเป็นธรรมดา ในดวงตามีธุลีอันไปปราศจากแล้ว ได้ธรรมจักษุอันบริสุทธิ์ ภิกษุ๘,๐๐๐รูป หมดอาสวกิเลสถึงความหลุดพ้นแล้ว

ปริเฉทที่๑ พระพุทธเกษตรวรรค จบ.

ปริเฉทที่๒

อุปายโกศลวรรค

ในสมัยนั้น ที่กรุงเวสาลี มีคฤหบดีผู้หนึ่ง ชื่อวิมลเกียรติ ณ เบื้องอดีตภาค ท่านได้เคยบูชาสักการะในพระพุทธเจ้าทั้งหลายอันจักประมาณพระองค์มิได้ ได้บรรลุอนุตปาทธรรมกษานติ มีปฏิภาณอันปราศจากความขัดข้องแลอภิญญา พร้อมทั้งทรงไว้ซึ่งธรรมอรรถ เป็นผู้แกล้วกล้าปราศจากความหวาดกลัว สามารถบำราบมารภัยให้สยบ อนึ่ง เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งคัมภีรธรรม มีปรัชญาอันเป็นคุณชาติให้ถึงฝั่งแห่งภพอันดียิ่ง อีกทั้งเป็นผู้รอบรู้ในอุปายโกศลวิธี มีมหาปณิธานอันสำเร็จแล้ว มีญาณแทงทะลุในอธิมุตติแห่งปวงสัตว์ พร้อมทั้งความสามารถในอันจักจำแนกอินทรีย์แก่อ่อนในสัตว์เหล่านั้นอีกด้วย คฤหบดีนั้น เป็นผู้ตั้งมั่นอยู่ในพุทธภูมิแต่กาลอันนานมาทีเดียว จิตของท่านบริสุทธิ์สะอาดดำเนินตามมหายานปฏิปทาโดยไม่แปรผัน กับทั้งเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งพุทธวัตรสมาจาร มีจิตอันไพศาลดุจมหาสาคร คฤหบดีนี้แหละ ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายได้ทรงสดุดีอนุโมทนาสาธุการ เขาเป็นที่เคารพนับถือของพระสาวกทั้งหลายตลอดจนทวยเทพทั้งปวง มีท้าวศักรินทร์และท้าวมหาพรหมปชาบดีเป็นอาทิ และเนื่องด้วยคฤหบดีนั้นมีความจำนงอันจักโปรดสรรพสัตว์ ท่านจึงสำแดงซึ่งอุปายโกศลวิธีด้วยการเข้ามาตั้งเคหสถานอาศัย ณ กรุงเวสาลี.

ท่านได้บริจาคทรัพย์จำนวนเหลือประมาณ เพื่อประโยชน์แก่ปวง

(ยังมีต่อ)

********************************
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านครับ


Create Date : 24 กุมภาพันธ์ 2549
Last Update : 24 กุมภาพันธ์ 2549 14:49:12 น. 0 comments
Counter : 610 Pageviews.

พญาเหยี่ยว
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add พญาเหยี่ยว's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.