Group Blog
 
<<
กันยายน 2548
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
19 กันยายน 2548
 
All Blogs
 

กรุงกุสินาราแต่ครั้งอดีตกาล (ต่อ)

(ต่อ)

ลูกบันไดและพนักแล้วด้วยทอง บันไดที่แล้วด้วยแก้วไพฑูรย์ แม่บันไดแล้วด้วยแก้วไพฑูรย์ ลูกบันไดและพนักแล้วด้วยแก้วผลึก บันไดที่แล้วด้วยแก้วผลึก แม่บันไดแล้วด้วยแก้วผลึก ลูกบันไดและพนักแล้วด้วยแก้วไพฑูรย์ ในธรรมปราสาทมีเรือนยอดแปดหมื่นสี่พัน แบ่งเป็น ๔ ชนิด เรือนยอดชนิดหนึ่งแล้วด้วยทอง ชนิดหนึ่งแล้วด้วยเงิน ชนิดหนึ่งแล้วด้วยแก้วไพฑูรย์ ชนิดหนึ่งแล้วด้วยแก้วผลึก ในเรือนยอดแล้วด้วยทอง แต่งตั้งบัลลังก์เงินไว้ ในเรือนยอดแล้วด้วยเงิน แต่งตั้งบัลลังก์ทองไว้ ในเรือนยอดแล้วด้วยแก้วไพฑูรย์ แต่งตั้งบัลลังก์งาไว้ ในเรือนยอดแล้วด้วยแก้วผลึก แต่งตั้งบัลลังก์แล้วด้วยแก้วบุษราคัมไว้ ที่ประตูเรือนยอดแล้วด้วยทอง มีต้นตาลแล้วด้วยเงินตั้งอยู่ ลำต้นของต้นตาลนั้นแล้วด้วยเงิน ใบและผลแล้วด้วยทอง ที่ประตูเรือนยอดแล้วด้วยเงิน มีต้นตาลแล้วด้วยทองตั้งอยู่ ลำต้นของต้นตาลนั้นแล้วด้วยทอง ใบและผลแล้วด้วยเงิน ที่ประตูเรือนยอดแล้วด้วยแก้วไพฑูรย์ มีต้นตาลแล้วด้วยแก้วผลึกตั้งอยู่ ลำต้นของต้นตาลนั้นแล้วด้วยแก้วผลึก ใบและผลแล้วด้วยแก้วไพฑูรย์ ที่ประตูเรือนยอดแล้วด้วยแก้วผลึก มีต้นตาลแล้วด้วยแก้วไพฑูรย์ตั้งอยู่ ลำต้นของต้นตาลนั้นแล้วด้วยแก้วไพฑูรย์ ใบและผลแล้วด้วยแก้วผลึก ฯ

[๑๗๘] ดูกรอานนท์ พระเจ้ามหาสุทัสสนะได้ทรงพระดำริว่า ถ้ากระไร เราพึงให้สร้างสวนตาลแล้วด้วยทองล้วนไว้ที่ประตูเรือนยอดหลังใหญ่ สำหรับเราจักได้นั่งพักกลางวัน ดูกรอานนท์ พระเจ้ามหาสุทัสสนะรับสั่งให้สร้างสวนตาลแล้วด้วยทองล้วนไว้ที่ประตูยอดเรือนหลังใหญ่ สำหรับทรงนั่งพักกลางวัน ดูกร อานนท์ ธรรมปราสาทแวดล้อมด้วยเวที ๒ ชั้น เวทีชั้นหนึ่งแล้วด้วยทอง ชั้นหนึ่งแล้วด้วยเงิน เวทีแล้วด้วยทอง มีเสาแล้วด้วยทอง ขั้นและกรอบแล้วด้วยเงิน เวทีแล้วด้วยเงิน มีเสาแล้วด้วยเงิน ขั้นและกรอบแล้วด้วยทอง ดูกร อานนท์ ธรรมปราสาทแวดล้อมด้วยข่ายแห่งกระดึงสองชั้น ข่ายชั้นหนึ่งแล้วด้วยทอง ชั้นหนึ่งแล้วด้วยเงิน ข่ายที่แล้วด้วยทอง มีกระดึงแล้วด้วยเงิน ข่ายที่แล้วด้วยเงิน มีกระดึงแล้วด้วยทอง ดูกรอานนท์ ข่ายแห่งกระดึงเหล่านั้นต้องลมพัดแล้ว มีเสียงไพเราะ ยวนใจ ชวนให้ฟัง และให้เคลิบเคลิ้ม ดูกรอานนท์ เปรียบเหมือนดนตรีประกอบด้วยองค์ ๕ ที่บุคคลปรับดีแล้ว ประโคมดีแล้ว บรรเลงโดยผู้เชี่ยวชาญ เสียงย่อมไพเราะ ยวนใจ ชวนให้ฟัง และให้เคลิบเคลิ้ม แม้ฉันใด ดูกรอานนท์ ข่ายแห่งกระดึงเหล่านั้นต้องลมพัดแล้ว ก็ฉันนั้นเหมือนกัน มีเสียงไพเราะ ยวนใจ ชวนให้ฟัง และให้เคลิบเคลิ้ม ดูกรอานนท์ ในสมัยนั้น กุสาวดีราชธานี มีนักเลง นักเล่น และนักดื่ม พวกเขาบำเรอกันด้วยเสียงแห่งกระดึงที่ต้องลมเหล่านั้น ดูกรอานนท์ ธรรมปราสาทที่สำเร็จแล้ว ยากที่จะดู ทำนัยน์ตาให้พร่าพราย ดูกรอานนท์ เปรียบเหมือนในสรทกาล คือท้ายเดือนแห่งฤดูฝน เมื่ออากาศแจ่มใสปราศจากเมฆหมอก พระอาทิตย์ส่อง นภากาศสว่างจ้า ยากที่จะดู ย่อมทำนัยน์ตาให้พร่าพรายฉันใด ธรรมปราสาทก็ฉันนั้นเหมือนกัน ยากที่จะดู ย่อมทำนัยน์ตาให้พร่าพราย ฯ

ดูกรอานนท์ ลำดับนั้นพระเจ้ามหาสุทัสสนะทรงพระดำริว่า ถ้ากระไร เราพึงสร้างสระชื่อธรรมโบกขรณีไว้เบื้องหน้าธรรมปราสาท ดูกรอานนท์ พระเจ้ามหาสุทัสสนะได้ทรงสร้างสระชื่อธรรมโบกขรณีไว้เบื้องหน้าธรรมปราสาท ดูกร อานนท์ ธรรมโบกขรณีโดยยาว ด้านทิศบูรพาและทิศปัจจิม ๑ โยชน์ โดยกว้าง ด้านทิศอุดรและทิศทักษิณ กึ่งโยชน์ ธรรมโบกขรณีก่อด้วยอิฐ ๔ ชนิด อิฐชนิดหนึ่งแล้วด้วยทอง ชนิดหนึ่งแล้วด้วยเงิน ชนิดหนึ่งแล้วด้วยแก้วไพฑูรย์ ชนิดหนึ่งแล้วด้วยแก้วผลึก ฯ

ดูกรอานนท์ ธรรมโบกขรณีมีบันได ๒๔ บันได แบ่งเป็น ๔ ชนิด บันไดชนิดหนึ่งแล้วด้วยทอง ชนิดหนึ่งแล้วด้วยเงิน ชนิดหนึ่งแล้วด้วยแก้วไพฑูรย์ ชนิดหนึ่งแล้วด้วยแก้วผลึก บันไดที่แล้วด้วยทอง แม่บันไดแล้วด้วยทอง ลูกบันไดและพนักแล้วด้วยเงิน บันไดที่แล้วด้วยเงิน แม่บันไดแล้วด้วยเงิน ลูกบันไดและพนักแล้วด้วยทอง บันไดที่แล้วด้วยแก้วไพฑูรย์ แม่บันไดแล้วด้วยแก้วไพฑูรย์ ลูกบันไดและพนักแล้วด้วยแก้วผลึก บันไดที่แล้วด้วยแก้วผลึก แม่บันไดแล้วด้วยแก้วผลึก ลูกบันไดและพนักแล้วด้วยแก้วไพฑูรย์ ฯ

ดูกรอานนท์ ธรรมโบกขรณีแวดล้อมด้วยเวทีสองชั้น เวทีชั้นหนึ่งแล้วด้วยทอง ชั้นหนึ่งแล้วด้วยเงิน เวทีที่แล้วด้วยทอง มีเสาหนึ่งแล้วด้วยทอง ขั้นและกรอบแล้วด้วยเงิน เวทีที่แล้วด้วยเงิน มีเสาแล้วด้วยเงิน ขั้นและกรอบแล้วด้วยทอง ฯ

ดูกรอานนท์ ธรรมโบกขรณีแวดล้อมด้วยต้นตาล ๗ แถว ต้นตาลแถวหนึ่งแล้วด้วยทอง แถวหนึ่งแล้วด้วยเงิน แถวหนึ่งแล้วด้วยแก้วไพฑูรย์ แถวหนึ่งแล้วด้วยแก้วผลึก แถวหนึ่งแล้วด้วยแก้วโกเมน แถวหนึ่งแล้วด้วยแก้วบุษราคัม แถวหนึ่งแล้วด้วยรัตนะทุกอย่าง ต้นตาลที่แล้วด้วยทอง ลำต้นแล้วด้วยทอง ใบและผลแล้วด้วยเงิน ต้นตาลที่แล้วด้วยเงิน ลำต้นแล้วด้วยเงิน ใบและผลแล้วด้วยทอง ต้นตาลที่แล้วด้วยแก้วไพฑูรย์ ลำต้นแล้วด้วยแก้วไพฑูรย์ ใบและผลแล้วด้วยแก้วผลึก ต้นตาลที่แล้วด้วยแก้วผลึก ลำต้นแล้วด้วยแก้วผลึก ใบและผลแล้วด้วยแก้วไพฑูรย์ ต้นตาลที่แล้วด้วยแก้วโกเมน ลำต้นแล้วด้วยแก้วโกเมน ใบและผลแล้วด้วยแก้วบุษราคัม ต้นตาลที่แล้วด้วยแก้วบุษราคัม ลำต้นแล้วด้วยแก้วบุษราคัม ใบและผลแล้วด้วยแก้วโกเมน ต้นตาลที่แล้วด้วยรัตนะทุกอย่าง ลำต้นแล้วด้วยรัตนะทุกอย่าง ใบและผลแล้วด้วยรัตนะทุกอย่าง ฯ

ดูกรอานนท์ แถวต้นตาลเหล่านั้นเมื่อต้องลมพัดแล้ว มีเสียงอันไพเราะ ยวนใจ ชวนให้ฟัง และให้เคลิบเคลิ้ม ดูกรอานนท์ เปรียบเหมือนดนตรีมีองค์ ๕ ที่บุคคลปรับดีแล้ว ประโคมดีแล้ว บรรเลงโดยผู้เชี่ยวชาญ เสียงย่อมไพเราะ ยวนใจ ชวนฟัง และให้เคลิบเคลิ้ม แม้ฉันใด ดูกรอานนท์ เสียงแห่งแถวต้นตาลเหล่านั้น ที่ต้องลมพัดแล้วก็ฉันนั้นเหมือนกัน ไพเราะ ยวนใจ ชวนให้ฟังและให้เคลิบเคลิ้ม ดูกรอานนท์ ก็สมัยนั้น ในกุสาวดีราชธานี มีนักเลง นักเล่น นักดื่ม พวกเขาบำเรอกันกันด้วยเสียงแห่งแถวต้นตาลที่ต้องลมเหล่านั้น ดูกร อานนท์ เมื่อธรรมปราสาทสำเร็จแล้ว และธรรมโบกขรณีสำเร็จแล้ว พระเจ้ามหาสุทัสสนะได้ทรงยังสมณพราหมณ์ทั้งหลาย ให้เอิบอิ่มด้วยสมณบริขารและพราหมณบริขาร ที่ตนปรารถนาทุกอย่าง แล้วเสด็จขึ้นสู่ธรรมปราสาท ฉะนี้แล ฯ
จบภาณวารที่หนึ่ง

[กรรมอันเป็นเหตุแห่งความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ]
[๑๗๙] ดูกรอานนท์ ครั้งนั้นแล พระเจ้ามหาสุทัสสนะได้ทรงพระดำริว่า นี้เป็นผลแห่งกรรมอะไรของเราหนอ เป็นวิบากแห่งกรรมอะไร ที่เป็นเหตุให้เรามีฤทธิ์มากอย่างนี้ มีอานุภาพมากอย่างนี้ ในบัดนี้ ดูกรอานนท์ ลำดับนั้นพระเจ้ามหาสุทัสสนะได้ทรงพระดำริว่า นี้เป็นผลแห่งกรรม ๓ ประการของเรา เป็นวิบากแห่งกรรม ๓ ประการ ที่เป็นเหตุให้เรามีฤทธิ์มากอย่างนี้ มีอานุภาพมากอย่างนี้ ในบัดนี้ กรรม ๓ ประการ คือ ทาน ทมะ สัญญมะ ดูกรอานนท์ ลำดับนั้น พระเจ้ามหาสุทัสสนะเสด็จเข้าไปยังกุฏาคารหลังใหญ่ ครั้นเสด็จเข้าไปแล้วประทับยืนที่ประตูกุฏาคารหลังใหญ่ ทรงเปล่งพระอุทานว่า กามวิตก จงหยุด พยาบาทวิตก จงหยุด วิหึสาวิตก จงหยุด กามวิตก จงกลับเพียงแค่นี้เถิด พยาบาทวิตกจงกลับเพียงแค่นี้เถิด วิหึสาวิตก จงกลับเพียงแค่นี้เถิด ดูกรอานนท์ ลำดับนั้น พระเจ้ามหาสุทัสสนะเสด็จเข้าไปยังกุฏาคารหลังใหญ่ ประทับนั่งบนบัลลังก์แล้วด้วยทอง ทรงสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม ทรงบรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปิติ และสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ ทรงบรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตกวิจารสงบไปมีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ และเสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป ทรงบรรลุตติยฌาน ที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข ทรงบรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะละทุกข์ละสุข และดับโทมนัสโสมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ ฯ

[๑๘๐] ดูกรอานนท์ ครั้งนั้นแล พระเจ้ามหาสุทัสสนะเสด็จออกจากกุฏาคารหลังใหญ่ เสด็จเข้าไปยังกุฏาคารแล้วด้วยทอง ประทับบนบัลลังก์แล้วด้วยเงิน ทรงมีพระทัยประกอบด้วยเมตตา แผ่ไปตลอดทิศหนึ่งอยู่ ทิศที่สองที่สามที่สี่ก็เหมือนกัน โดยนัยนี้ ทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง แผ่ไปตลอดโลกทั่วสัตว์ทุกเหล่า ในที่ทุกสถาน ด้วยพระทัยอันประกอบด้วยเมตตาอันไพบูลย์ ถึงความเป็นใหญ่ หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่ มีพระทัยประกอบด้วยกรุณา ... มีพระทัยประกอบด้วยมุทิตา ... มีพระทัยประกอบด้วยอุเบกขา แผ่ไปตลอดทิศหนึ่งอยู่ ทิศที่สองที่สามที่สี่ก็เหมือนกัน โดยนัยนี้ ทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง แผ่ไปตลอดโลกทั่วสัตว์ทุกเหล่า ในที่ทุกสถาน ด้วยพระทัยอันประกอบด้วยอุเบกขาอันไพบูลย์ ถึงความเป็นใหญ่หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่ ฯ

[๑๘๑] ดูกรอานนท์ พระเจ้ามหาสุทัสสนะ มีพระนครขึ้นแปดหมื่นสี่พัน มีกุสาวดีราชธานีเป็นประมุข มีปราสาทแปดหมื่นสี่พัน มีธรรมปราสาทเป็นประมุข มีเรือนยอดแปดหมื่นสี่พัน มีเรือนยอดหลังใหญ่เป็นประมุข มีบัลลังก์แปดหมื่นสี่พันแล้วด้วยทอง แล้วด้วยเงิน แล้วด้วยงา แล้วด้วยแก้วบุษราคัม ลาดด้วยขนเจียม ลาดด้วยสักหลาด ลาดด้วยผ้าปักลวดลาย ลาดด้วยหนังกวางอย่างดี มีพนักอันสูง มีนวมทั้งสองข้างแดง มีช้างแปดหมื่นสี่พันเชือก มีเครื่องอลังการแล้วด้วยทอง มีธงแล้วด้วยทอง คลุมด้วยตาข่ายแล้วด้วยทอง มีพระยาช้างสกุลอุโบสถเป็นประมุข มีม้าแปดหมื่นสี่พัน มีเครื่องอลังการแล้วด้วยทอง มีธงแล้วด้วยทอง คลุมด้วยตาข่ายแล้วด้วยทอง มีวลาหกอัศวราชเป็นประมุข มีรถแปดหมื่นสี่พันหุ้มด้วยหนังราชสีห์ หนังเสือโคร่ง และหนังเสือเหลือง หุ้มด้วยผ้ากัมพลเหลือง มีอลังการแล้วด้วยทอง มีธงแล้วด้วยทอง มีตาข่ายปกคลุมแล้วด้วยทอง มีรถเวชยันต์เป็นประมุข มีแก้วแปดหมื่นสี่พันดวง มีแก้วมณีเป็นประมุข มีสตรีแปดหมื่นสี่พันนาง มีสุภัททาเทวีเป็นประมุข มีคฤหบดีแปดหมื่นสี่พันคน มีคฤหบดีแก้วเป็นประมุข มีกษัตริย์แปดหมื่นสี่พันองค์ผู้สวามิภักดิ์ มีปริณายกแก้วเป็นประมุข มีโคนมแปดหมื่นสี่พัน กำลังกำดัด หลั่งน้ำนม กำลังเอาภาชนะรองได้ มีผ้าโขมพัสตร์อย่างเนื้อดี ผ้าฝ้ายอย่างเนื้อดี และผ้าไหมอย่างเนื้อดี ผ้ากัมพลอย่างเนื้อดี ประมาณแปดหมื่นสี่พันโกฏิพับ มีพระกระยาหารเต็มภาชนะแปดหมื่นสี่พันสำรับ มีคนนำมาถวายทั้งเวลาเช้าและเวลาเย็น ฯ

[๑๘๒] ดูกรอานนท์ ก็โดยสมัยนั้นแล ช้างแปดหมื่นสี่พันเชือกมาสู่ที่เฝ้าพระเจ้ามหาสุทัสสนะ ทั้งเวลาเช้าและเวลาเย็น ครั้งนั้น พระเจ้ามหาสุทัสสนะทรงพระดำริว่า ช้างแปดหมื่นสี่พันเชือกของเราเหล่านี้ ย่อมมายังที่เฝ้าทั้งเช้าทั้งเย็น ถ้ากระไร ช้างจำนวนสี่หมื่นสองพัน พึงมาสู่ที่เฝ้าโดยล่วงร้อยปีต่อครั้ง ดูกรอานนท์ ลำดับนั้น พระเจ้ามหาสุทัสสนะตรัสเรียกปริณายกแก้วมาตรัสว่า เพื่อนปริณายก ช้างแปดหมื่นสี่พันเหล่านี้ มาสู่ที่เฝ้าทั้งเช้าทั้งเย็น อย่ากระนั้นเลย โดยล่วงไปร้อยปี พวกมันจงมาสู่ที่เฝ้าคราวละสี่หมื่นสองพันเชือก ดูกรอานนท์ ปริณายกแก้วรับสนองพระบรมราชโองการของพระเจ้ามหาสุทัสสนะแล้ว ฯ

[พระนางสุภัททาเทวีทรงเข้าเฝ้าพระเจ้าจักรพรรดิ]
ดูกรอานนท์ ลำดับนั้น โดยสมัยต่อมา ช้างมาสู่ที่เฝ้าพระเจ้ามหาสุทัสสนะคราวละสี่หมื่นสองพันเชือก โดยล่วงร้อยปีต่อครั้ง ดูกรอานนท์ ครั้งนั้นแล โดยล่วงไปหลายปี หลายร้อยปี หลายพันปี พระนางสุภัททาเทวีทรงพระดำริว่าเราได้เฝ้าพระเจ้ามหาสุทัสสนะนานมาแล้ว ถ้ากระไร เราพึงเข้าไปเฝ้าเยี่ยมพระองค์ ครั้งนั้น พระนางสุภัททาเทวีตรัสเรียกนางสนมมาตรัสว่า พวกท่านจงมา จงอาบน้ำชำระเกล้าเสีย จงห่มผ้าสีเหลือง พวกเราได้เฝ้าพระเจ้ามหาสุทัสสนะนานมาแล้ว พวกเราจักเข้าไปเฝ้าเยี่ยมพระองค์ ดูกรอานนท์ พวกนางสนมรับสนองพระราชเสาวนีย์ของพระราชเทวีสุภัททา แล้วอาบน้ำชำระเกล้า ห่มผ้าสีเหลือง เข้าไปหาพระนางสุภัททาเทวี ดูกรอานนท์ ครั้งนั้นแล พระนางสุภัททาเทวีตรัสเรียกปริณายกแก้วมาตรัสว่า พ่อปริณายกแก้ว ท่านจงจัดจตุรงคเสนา เราได้เฝ้าพระเจ้ามหาสุทัสสนะนานมาแล้ว พวกเราจักไปเฝ้าพระองค์ ปริณายกแก้วรับสนองพระราชเสาวนีย์แล้ว จัดเตรียมจตุรงคเสนาไว้เรียบร้อยแล้วไปทูลว่า จตุรงคเสนาจัดพร้อมแล้ว ขอพระองค์จงทรงทราบกาลอันควรในบัดนี้เถิด ฯ

ครั้งนั้นแล พระนางสุภัททาเทวีพร้อมด้วยจตุรงคเสนาและนางสนมเสด็จไปยังธรรมปราสาท ครั้นเสด็จเข้าไปขึ้นสู่ธรรมปราสาทแล้ว เสด็จเข้าไปสู่เรือนยอดหลังใหญ่ แล้วประทับยืนเหนี่ยวบานประตูเรือนยอดหลังใหญ่ พระเจ้ามหาสุทัสสนะได้สดับเสียงทรงพระดำริว่า อะไรหนอ เหมือนเสียงคนหมู่มาก จึงเสด็จออกจากเรือนยอดหลังใหญ่ ทอดพระเนตรพระนางสุภัททาเทวียืนเหนี่ยวบานประตู ครั้นแล้วได้ตรัสกะพระนางว่า เทวี เธอจงหยุดอยู่ที่นี่แหละ อย่าเข้ามาเลย ลำดับนั้น พระเจ้ามหาสุทัสสนะตรัสเรียกราชบุรุษคนหนึ่งมาตรัสว่า พ่อผู้เจริญ มานี่แน่ะ พ่อจงนำบัลลังก์แล้วด้วยทองจากเรือนยอดหลังใหญ่ไปตั้งในสวนตาลอันแล้วด้วยทองล้วนราชบุรุษนั้นรับสนองพระราชโองการแล้ว ยกบัลลังก์แล้วด้วยทองจากเรือนยอดหลังใหญ่ ไปตั้งไว้ในสวนตาลอันแล้วด้วยทองล้วน ฯ

ลำดับนั้น พระเจ้ามหาสุทัสสนะทรงสำเร็จสีหไสยาด้วยพระปรัศว์เบื้องขวา ซ้อนพระบาทเหลื่อมพระบาท มีพระสติสัมปชัญญะ ฯ

[พระนางสุภัททาเทวีกราบทูลขอมิให้พระเจ้าจักรพรรดิทรงทำกาลกิริยา]
[๑๘๓] ดูกรอานนท์ ครั้งนั้นแล พระนางสุภัททาเทวีได้ทรงพระดำริว่า พระอินทรีย์ของพระเจ้ามหาสุทัสสนะผ่องใสยิ่งนัก บริสุทธิ์ พระฉวีวรรณผุดผ่อง พระเจ้ามหาสุทัสสนะอย่าได้ทรงทำกาลกิริยาเลย พระนางจึงกราบทูลพระเจ้ามหาสุทัสสนะว่า เทวะ พระนครแปดหมื่นสี่พันอันมีกุสาวดีราชธานีเป็นประมุขเหล่านี้ของทูลกระหม่อม ขอทูลกระหม่อมจงยังฉันทะให้เกิดในพระนครเหล่านี้เถิด จงทำความใยดีในชีวิต เทวะ ปราสาทแปดหมื่นสี่พัน อันมีธรรมปราสาทเป็นประมุขเหล่านี้ของทูลกระหม่อม ขอทูลกระหม่อมจงยังฉันทะให้เกิดในปราสาทเหล่านี้ ขอจงทรงทำความใยดีในชีวิต เทวะ เรือนยอดแปดหมื่นสี่พันหลัง มีเรือนยอดหลังใหญ่เป็นประมุขเหล่านี้ของทูลกระหม่อม ขอทูลกระหม่อมจงยังฉันทะให้เกิดในเรือนยอดเหล่านี้ จงกระทำความใยดีในชีวิต เทวะ บัลลังก์แปดหมื่นสี่พันแล้วด้วยทอง แล้วด้วยเงิน แล้วด้วยงา แล้วด้วยแก้วบุษราคัม ลาดด้วยขนเจียมลาดด้วยสักหลาด ลาดด้วยผ้าปักเป็นลวดลาย ลาดด้วยหนังกวางอย่างดี มีพนักอันสูง มีนวมสีแดงทั้งสองข้างเหล่านี้ของทูลกระหม่อม ขอทูลกระหม่อมจงยังฉันทะให้เกิดในบัลลังก์เหล่านี้ จงกระทำความไยดีในชีวิต เทวะ ช้างแปดหมื่นสี่พันเชือก มีเครื่องอลังการแล้วด้วยทอง มีธงแล้วด้วยทอง มีตาข่ายเครื่องปกคลุมแล้วด้วยทอง มีพระยาช้างตระกูลอุโบสถเป็นประมุขเหล่านี้ของทูลกระหม่อม ขอทูลกระหม่อมจงยังฉันทะให้เกิดในช้างเหล่านี้ จงกระทำความไยดีในชีวิต เทวะ ม้าแปดหมื่นสี่พันตัว มีเครื่องอลังการแล้วด้วยทอง มีธงแล้วด้วยทอง มีตาข่าย เครื่องปกคลุมแล้วด้วยทอง มีวลาหกอัศวราชเป็นประมุขเหล่านี้ของทูลกระหม่อม ขอทูลกระหม่อมจงยังฉันทะให้เกิดในม้าเหล่านี้ จงกระทำความไยดีในชีวิต เทวะ รถแปดหมื่นสี่พันคัน หุ้มด้วยหนังราชสีห์ หนังเสือโคร่ง และหนังเสือเหลือง หุ้มด้วยผ้ากัมพลเหลือง มีเครื่องอลังการแล้วด้วยทอง มีธงแล้วด้วยทอง มีตาข่ายเครื่องปกคลุมแล้วด้วยทอง มีรถเวชยันต์เป็นประมุขเหล่านี้ของทูลกระหม่อม ขอทูลกระหม่อมจงยังฉันทะให้เกิดในรถเหล่านี้ จงกระทำความไยดีในชีวิต เทวะ แก้วแปดหมื่นสี่พันดวง มีแก้วมณีเป็นประมุขเหล่านี้ของทูลกระหม่อม ขอทูลกระหม่อมจงยังฉันทะให้เกิดในแก้วมณีเหล่านี้ จงกระทำความไยดีในชีวิต เทวะ สตรีแปดหมื่นสี่พันนาง มีนางแก้วเป็นประมุขเหล่านี้ของทูลกระหม่อม ขอทูลกระหม่อมจงยังฉันทะให้เกิดในสตรีเหล่านี้ จงกระทำความไยดีในชีวิต เทวะ คฤหบดีแปดหมื่นสี่พันคน มีคฤหบดีแก้วเป็นประมุขเหล่านี้ของทูลกระหม่อม ขอทูลกระหม่อมจงยังฉันทะให้เกิดในคฤหบดีเหล่านี้ จงกระทำความไยดีในชีวิต เทวะ กษัตริย์แปดหมื่นสี่พันองค์ผู้สวามิภักดิ์ มีปริณายกแก้วเป็นประมุขเหล่านี้ของทูลกระหม่อม ขอทูลกระหม่อมจะยังฉันทะให้เกิดในกษัตริย์เหล่านี้ จงทำความไยดีในชีวิต เทวะ โคนมแปดหมื่นสี่พันตัว กำลังกำดัดหลั่งน้ำนม กำลังเอาภาชนะรองได้เหล่านี้ของทูลกระหม่อม ขอทูลกระหม่อมจงยังฉันทะให้เกิดในโคนมเหล่านี้ จงกระทำความไยดีในชีวิต เทวะ ผ้าโขมพัสตร์อย่างเนื้อดี ผ้าฝ้ายอย่างเนื้อดี และผ้าไหมอย่างเนื้อดี ผ้ากัมพลอย่างเนื้อดี แปดหมื่นสี่พันโกฏิพับเหล่านี้ของทูลกระหม่อม ขอทูลกระหม่อมจงยังฉันทะให้เกิดในผ้าเหล่านี้ จงกระทำความไยดีในชีวิต พระกระยาหารเต็มภาชนะแปดหมื่นสี่พันสำรับ มีคนนำมาถวายทั้งเวลาเย็นและเวลาเช้าเหล่านี้ของทูลกระหม่อม ขอทูลกระหม่อมจงยังฉันทะให้เกิดในพระกระยาหารเหล่านี้ จงกระทำความไยดีในชีวิต ดังนี้ ฯ

ดูกรอานนท์ เมื่อพระนางกราบทูลอย่างนี้แล้ว พระเจ้ามหาสุทัสสนะได้ตรัสตอบพระเทวีว่า เทวี เธอได้ทักทายเราด้วยของที่น่ารัก น่าใคร่ น่าพอใจ สิ้นกาลนานแล แต่ในกาลภายหลัง เธอจะทักเราด้วยของที่ไม่น่ารัก ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ พระนางกราบทูลว่า หม่อมฉันจะกราบทูลพระองค์อย่างไร เทวี เธอจงทักทายเราอย่างนี้ว่า ความเป็นต่างๆ ความพลัดพราก ความเป็นโดยประการอื่น จากสิ่งที่น่ารัก น่าพอใจทั้งหลาย ทั้งปวงทีเดียว ย่อมมี ทูลกระหม่อม อย่าได้มีความอาลัยทำกาลกิริยาเลย กาลกิริยาของผู้มีความอาลัยเป็นทุกข์ และกาลกิริยาของผู้มีความอาลัย บัณฑิตติเตียน ขอทูลกระหม่อมจงละความพอพระทัยในพระนครแปดหมื่นสี่พัน อันมีกุสาวดีราชธานีเป็นประมุขเหล่านี้ของทูลกระหม่อมเสียเถิด อย่าได้กระทำความอาลัยในชีวิตเลย ขอทูลกระหม่อมจงละความพอพระทัยในปราสาทแปดหมื่นสี่พัน... ในเรือนยอดแปดหมื่นสี่พัน... ในบัลลังก์แปดหมื่นสี่พัน... ในช้างแปดหมื่นสี่พัน... ในม้าแปดหมื่นสี่พัน... ในรถแปดหมื่นสี่พัน... ในแก้วมณีแปดหมื่นสี่พัน... ในสตรีแปดหมื่นสี่พัน ... ในคฤหบดีแปดหมื่นสี่พัน ... ในกษัตริย์แปดหมื่นสี่พัน ... ในโคนมแปดหมื่นสี่พัน ...ในผ้าโขมพัสตร์อย่างเนื้อละเอียด ผ้าฝ้ายอย่างเนื้อดี ผ้าไหมอย่างเนื้อดี ผ้ากัมพลอย่างเนื้อดีแปดหมื่นสี่พันโกฏิพับ... ในสำรับคาวหวานแปดหมื่นสี่พันที่ ขอทูลกระหม่อมจงละความพอพระทัยในสิ่งเหล่านี้ๆ เสียเถิด อย่างได้ทรงทำความอาลัยในชีวิตเลย ดังนี้ ดูกรอานนท์ เมื่อพระเจ้ามหาสุทัสสนะตรัสอย่างนี้แล้ว พระนางสุภัททาเทวีทรงพระกรรแสงหลั่งพระอัสสุชล ฯ

ดูกรอานนท์ ครั้งนั้นแล พระนางสุภัททาเทวีทรงเช็ดพระอัสสุชลแล้ว กราบทูลพระเจ้ามหาสุทัสสนะว่า เทวะ ความเป็นต่างๆ ความพลัดพราก ความเป็นโดยประการอื่น จากสิ่งที่น่ารัก น่าพอใจทั้งปวงทีเดียว ย่อมมี ทูลกระหม่อม อย่าได้มีความอาลัยทำกาลกิริยาเลย กาลกิริยาของผู้มีความอาลัยเป็นทุกข์ กาลกิริยาของผู้มีอาลัย บัณฑิตติเตียน ขอทูลกระหม่อมจงละความพอพระทัยในพระนครแปดหมื่นสี่พัน อันมีกุสาวดีราชธานีเป็นประมุขเหล่านี้ของทูลกระหม่อมเสียเถิด อย่าได้ทรงทำความอาลัยในชีวิตเลย ขอทูลกระหม่อมจงทรงละความพอพระทัยในปราสาทแปดหมื่นสี่พัน... ในเรือนยอดแปดหมื่นสี่พัน... ในบัลลังก์แปดหมื่นสี่พัน ... ในช้างแปดหมื่นสี่พัน ... ในม้าแปดหมื่นสี่พัน ... ในรถแปดหมื่นสี่พัน... ในแก้วมณีแปดหมื่นสี่พัน... ในสตรีแปดหมื่นสี่พัน... ในคฤหบดีแปดหมื่นสี่พัน ... ในกษัตริย์แปดหมื่นสี่พัน ... ในโคนมแปดหมื่นสี่พัน ... ในผ้าโขมพัสตร์อย่างเนื้อดี ผ้าฝ้ายอย่างเนื้อดี ผ้าไหมอย่างเนื้อดี ผ้ากัมพลอย่างเนื้อดีแปดหมื่นสี่พันโกฏิพับ... ในสำรับคาวหวานแปดหมื่นสี่พันที่ ขอทูลกระหม่อมจงละความพอพระทัยในสิ่งเหล่านี้ๆ เสียเถิด อย่าทรงกระทำความอาลัยในชีวิตเลย ดังนี้ ฯ

[พระเจ้ามหาสุทัสสนะทรงกระทำกาลกิริยาเมื่อทรงครอบครองราชสมบัติได้แปดหมื่นสี่พันปี และประพฤติพรหมจรรย์ในธรรมปราสาทแปดหมื่นสี่พันปี]
[๑๘๔] ดูกรอานนท์ ต่อมาไม่นาน พระเจ้ามหาสุทัสสนะได้ทรงกระทำกาลกิริยา ดูกรอานนท์ คฤหบดีหรือบุตรแห่งคฤหบดี เมื่อบริโภคโภชนะอันเป็นที่ชอบใจ ย่อมมึนเมาในอาหาร ฉันใด ความเสวยอารมณ์ในเวลาใกล้มรณะของพระเจ้ามหาสุทัสสนะได้เป็นฉันนั้นเหมือนกัน และพระเจ้ามหาสุทัสสนะครั้นเสด็จสวรรคตแล้ว ทรงเข้าถึงสุคติพรหมโลก ดูกรอานนท์ พระเจ้ามหาสุทัสสนะทรงเล่นอย่างเด็กอยู่ประมาณแปดหมื่นสี่พันปี ทรงดำรงตำแหน่งอุปราชอยู่แปดหมื่นสี่พันปี ทรงครอบครองราชสมบัติอยู่แปดหมื่นสี่พันปี ทรงดำรงเพศคฤหัสถ์ประพฤติพรหมจรรย์ในธรรมปราสาทแปดหมื่นสี่พัน ท้าวเธอทรงเจริญพรหมวิหารสี่ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก จึงเสด็จเข้าถึงพรหมโลก ฯ

[๑๘๕] ดูกรอานนท์ เธอคงจะคิดอย่างนี้ว่า สมัยนั้น พระเจ้ามหาสุทัสสนะคงจะเป็นคนอื่นแน่ ดูกรอานนท์ ข้อนั้นเธอไม่พึงเห็นอย่างนั้น สมัยนั้น เราได้เป็นพระเจ้ามหาสุทัสสนะ พระนครแปดหมื่นสี่พันอันมีกุสาวดี ราชธานีเป็นประมุขเหล่านั้นของเรา ปราสาทแปดหมื่นสี่พันอันมีธรรมปราสาทเป็นประมุขเหล่านั้น เรือนยอดของเราแปดหมื่นสี่พันอันมีเรือนยอดหลังใหญ่เป็นประมุขเหล่านั้นของเรา บัลลังก์แปดหมื่นสี่พันอันแล้วด้วยทอง แล้วด้วยเงิน แล้วด้วยงา แล้วด้วยแก้วบุษราคัม ลาดด้วยขนเจียม ลาดด้วยสักหลาด ลาดด้วยผ้าปักเป็นลวดลายลาดด้วยหนังกวางอย่างดี มีพนักอันสูง มีนวมแดงทั้งสองข้าง เหล่านั้นของเรา ช้างแปดหมื่นสี่พัน มีเครื่องอลังการแล้วด้วยทอง มีธงแล้วด้วยทอง มีตาข่ายเครื่องปกคลุมแล้วด้วยทอง มีพระยาช้างตระกูลอุโบสถเป็นประมุขเหล่านั้นของเรา ม้าแปดหมื่นสี่พัน มีเครื่องอลังการแล้วด้วยทอง มีธงแล้วด้วยทอง มีตาข่ายเครื่องปกคลุมแล้วด้วยทอง มีวลาหกอัศวราชเป็นประมุขเหล่านั้นของเรา รถแปดหมื่นสี่พัน หุ้มด้วยหนังราชสีห์ หนังเสือโคร่ง หนังเสือเหลือง หุ้มด้วยผ้ากัมพลเหลือง มีเครื่องอลังการแล้วด้วยทอง มีธงแล้วด้วยทอง มีตาข่ายเครื่องปกคลุมแล้วด้วยทอง มีรถเวชยันต์เป็นประมุขเหล่านั้นของเรา แก้วมณีแปดหมื่นสี่พันดวง มีแก้วมณีเป็นประมุขเหล่านั้นของเรา สตรีแปดหมื่นสี่พันนาง มีสุภัททาเทวีเป็นประมุขเหล่านั้นของเรา คฤหบดีแปดหมื่นสี่พันคนมีคฤหบดีแก้วเป็นประมุขเหล่านั้นของเรา กษัตริย์แปดหมื่นสี่พันองค์ผู้สวามิภักดิ์ มีปริณายกแก้วเป็นประมุขเหล่านั้นของเรา โคนมแปดหมื่นสี่พันตัว กำลังกำดัดหลั่งน้ำนม กำลังเอาภาชนะรองได้เหล่านั้นของเรา ผ้าโขมพัสตร์อย่างเนื้อดี ผ้าฝ้ายอย่างเนื้อดี ผ้าไหมอย่างเนื้อดี ผ้ากัมพลอย่างเนื้อดี แปดหมื่นสี่พันโกฏิพับเหล่านั้นของเรา สำรับคาวหวานแปดหมื่นสี่พันที่ มีคนใส่ภัตตาหารนำมาถวายทั้งเวลาเช้าและเวลาเย็น เหล่านั้นของเรา ดูกรอานนท์ บรรดาพระนครแปดหมื่นสี่พัน พระนครที่เราอยู่ครอบครองสมัยนั้น คือกุสาวดีราชธานีเมืองเดียว บรรดาปราสาทแปดหมื่นสี่พันเหล่านั้น ปราสาทที่เราอยู่ครอบครองสมัยนั้น คือธรรมปราสาทหลังเดียวเท่านั้น บรรดาเรือนยอดแปดหมื่นสี่พันหลัง เรือนยอดที่เราอยู่ครอบครองสมัยนั้นคือเรือนยอดหลังใหญ่หลังเดียวเท่านั้น บรรดาบัลลังก์แปดหมื่นสี่พันเหล่านั้น บัลลังก์ที่เราใช้สอยสมัยนั้น คือบัลลังก์แล้วด้วยทอง หรือแล้วด้วยเงิน หรือแล้วด้วยงา หรือแล้วด้วยแก้วบุษราคัม บัลลังก์เดียวเท่านั้น บรรดาช้างแปดหมื่นสี่พันเชือกเหล่านั้น ช้างที่เราขึ้นขี่สมัยนั้น คือพระยาช้างตระกูลอุโบสถเชือกเดียวเท่านั้น บรรดาม้าแปดหมื่นสี่พันตัวเหล่านั้น ม้าที่เราขึ้นขี่สมัยนั้น คือวลาหกอัศวราชตัวเดียวเท่านั้น บรรดารถแปดหมื่นสี่พันคันเหล่านั้น รถที่เราขึ้นขี่สมัยนั้นคือรถเวชยันต์คันเดียวเท่านั้น บรรดาสตรีแปดหมื่นสี่พันคนเหล่านั้น สตรีซึ่งบำรุงบำเรอเราสมัยนั้น เป็นนางกษัตริย์หรือแพศย์คนเดียวเท่านั้น บรรดาผ้าแปดหมื่นสี่พันโกฏิพับเหล่านั้น ผ้าที่เรานุ่งห่มสมัยนั้น เป็นผ้าโขมพัสตร์อย่างเนื้อดี หรือผ้าฝ้ายอย่างเนื้อดี หรือผ้าไหมอย่างเนื้อดี หรือผ้ากัมพลอย่างเนื้อดีสำรับเดียวเท่านั้น บรรดาสำรับคาวหวานแปดหมื่นสี่พันที่เหล่านั้น สำรับที่เราบริโภคข้าวสุกทะนานหนึ่งเป็นอย่างยิ่ง และกับพอสมควรแก่ข้าวสุกนั้นสำรับเดียวเท่านั้น ดูกรอานนท์ เธอจงดูเถิด สังขารทั้งหลายเหล่านั้นทั้งหมดล่วงไปแล้วดับไปแล้ว แปรไปแล้ว ดูกรอานนท์ สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงอย่างนี้แล สังขารทั้งหลายไม่ยั่งยืนอย่างนี้แล สังขารทั้งหลายไม่น่ายินดีอย่างนี้แล ดูกรอานนท์ ข้อนี้ควรจะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งหลายทั้งปวงทีเดียว ควรที่จะคลายกำหนัด ควรเพื่อจะหลุดพ้นไป ดูกรอานนท์ เราย่อมรู้ที่ทอดทิ้งร่างกาย เราทอดทิ้งร่างกายไว้ในประเทศนี้ การที่เราเป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้ทรงธรรม เป็นพระราชาโดยธรรม เป็นใหญ่ในแผ่นดินมีมหาสมุทร ๔ เป็นขอบเขต ชนะแล้ว มีอาณาจักรมั่นคง สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ การทอดทิ้งร่างกายไว้นี้ นับเป็นครั้งที่เจ็ด ดูกร อานนท์ เราไม่เล็งเห็นประเทศนั้นๆ ในโลก ทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์ทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ ที่ตถาคตจะทอดทิ้งสรีระไว้เป็นครั้งที่แปด ดังนี้ ฯ
[พระพุทธองค์ตรัสว่าการทอดทิ้งร่างกายไว้ในประเทศนี้ในฐานะราชาผู้ประพฤติธรรม เป็นใหญ่ในแผ่นดินมีมหาสมุทร ๔ เป็นขอบเขตนี้ นับเป็นครั้งที่เจ็ดและไม่มีมากกว่านี้อีกแล้ว]

พระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดา ได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า

[๑๘๖] สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ มีอันเกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา บังเกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป การเข้าไประงับสังขารเหล่านั้นเสียได้เป็นความสุข ดังนี้ ฯ
จบมหาสุทัสสนสูตร ที่ ๔

********************
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านครับ




 

Create Date : 19 กันยายน 2548
0 comments
Last Update : 19 กันยายน 2548 12:53:43 น.
Counter : 443 Pageviews.


พญาเหยี่ยว
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add พญาเหยี่ยว's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.