Taxi Driver (1976) ...ครบรอบ 35 ปี... You talkin' to me?
Martin Scorsese กับ Robert De Niro คือหนึ่งในคู่ผู้กำกับกับนักแสดงคู่บุญที่ดีที่สุดตลอดกาลอย่างไม่ต้องสงสัย
คำถามที่ว่าหนังเรื่องไหนคือหนังที่ดีที่สุดของ Scorsese กับ De Niro?สามารถกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่ลากยาวไปได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุดในหมู่แฟนานุแฟนหนัง
เพราะแม้แต่หนังเรื่องที่ขึ้นชื่อว่าเป็นหนังฟอร์มกลางๆของทั้งคู่อย่าง New York, New York หรือ Cape Fear ก็ยังเป็นหนังที่ดีมากกว่ามาตรฐานหนังส่วนใหญ่และมีค่าพอแก่การเป็นที่จดจำ
ส่วนหนังเรื่องที่ขึ้นชื่อว่าดี ก็ล้วนแล้วแต่ดีไปจนถึงขั้นดีมาก กลายเป็นมาสเตอร์พีซที่ได้รับการจารึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์
ซึ่งหนัง Drama - Character study ที่ประสบความสำเร็จทั้งในแง่ของคำวิจารณ์(เข้าชิงรางวัลออสการ์สี่สาขาและได้รับรางวัล Palme dOr จากเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์)และรายได้ (28,262,574 ล้านเหรียญสหรัฐตอนออกฉาย)ที่เพิ่งมีอายุอานามครบ 35 ปี(ตัวหนังออกฉายตอนปีค.ศ. 1976) เรื่องนี้...ก็คือหนึ่งในมาสเตอร์พีซชิ้นที่ดีที่สุด(ถ้าไม่ใช่มาสเตอร์พีซชิ้นที่ดีที่สุด)ของ Scorsese กับ De Niro
สำหรับผู้กำกับที่เป็นชาวนิวยอร์กโดยกำเนิดและจับภาพของนิวยอร์กมาวางบนแผ่นฟิล์มมาแล้วนักต่อนักอย่าง Scorsese (แม้กระทั่งนิวยอร์กยุคเก่าในหนัง Period ของเขาอย่าง The Age of Innocence และ Gangs of New York)
ภาพของนิวยอร์กใน Taxi Driver คงถือได้ว่าเป็นนิวยอร์กที่มีความหม่นมืด,เฉอะแฉะ,และสกปรกมากที่สุด...พอๆกับที่เป็นภาพของนิวยอร์กที่น่าจดจำที่สุดในบรรดาหนังของ Scorsese และหนังเรื่องไหนๆก็ตามที่มีมหานครที่ไม่เคยหลับใหลแห่งนี้เป็นฉากหลัง
คำว่า Antihero เป็นคำศัพท์ที่บัญญัติขึ้นมาสำหรับตัวละครจากปลายปากกาของ Paul Schrader (ผู้กำกับและมือเขียนบทชื่อดัง ที่หลังจาก Taxi Driver แล้ว Schrader ก็เขียนบทให้กับหนังของ Scorsese อีกสามเรื่อง คือ Raging Bull, The Last Temptation of Christ, และ Bringing Up the Dead) อย่าง Travis Bickle อดีตทหารผ่านศึกผู้ประกอบอาชีพเป็นคนขับแท็กซี่กะกลางคืนผู้นี้โดยแท้
การกระทำของ Travis Bickle ในตอนท้ายของหนังสามารถถูกมองว่าเป็นได้ทั้งการกระทำอันไร้เหตุผลของคนวิปลาส หรือการกระทำของคนๆหนึ่งที่หวังทำดีต่อสังคม แต่เลือกใช้วิธีการที่ไม่ถูกต้อง
สิ่งที่ทำให้ตัวละครที่มีทั้งด้านที่เป็น Psychopath และด้านที่เป็น Antihero เช่นนี้ยังสามารถดึงอารมณ์ร่วมของคนดูออกมาได้อยู่นั้น จึงเป็นในของความรู้สึกที่เป็นที่มาของทั้งสองด้านนั้นในตัวของ Travis Bickle อย่าง...ความเหงา
กล่าวได้ว่าคนเราทุกคนล้วนมีความเป็น Gods Lonely Man (คนเหงาของพระเจ้า) แบบเดียวกับที่ Travis Bickle เป็น หรือถ้าจะพูดให้ตรงตัวยิ่งกว่านั้นก็คือ...คนเราทุกคนล้วนมีความเป็น Travis Bickle อยู่ในตัว
ความเป็นคนเหงา...ที่ต้องเผชิญหน้ากับสิ่งต่างๆในชีวิตตามลำพัง
ความเป็นคนนอก...ที่ถึงแม้ว่าจะพยายามหนักแค่ไหนก็ไม่เป็นที่ยอมรับของสังคม
Robert De Niro (ที่เตรียมตัวสำหรับมารับบทเป็น Travis Bickle ด้วยการศึกษาจิตวิทยาและไปเป็นคนขับแท็กซี่มาจริงๆ)มอบหนึ่งในการแสดงที่ดีที่สุดของเขาที่สามารถสื่ออารมณ์และสร้างมิติตื้นลึกบางหนาทั้งหลายเหล่านั้นในตัวของ Travis Bickle ได้อย่างยอดเยี่ยมเสียจนยากที่คนดูจะลบเลือนภาพของเขาในบท Travis Bickle ออกไปจากในหัวได้
(จนน่าคิดว่าถ้าหากว่า Dustin Hoffman หรือ Jeff Bridges สองนักแสดงฝีมือที่ได้รับการวางตัวให้มารับบทเป็น Travis Bickle ก่อนการมาถึงของ De Niro เกิดได้รับบทเป็น Travis Bickle ขึ้นมาจริงๆ Travis Bickle ในแบบของพวกเขาจะออกมาเป็นยังไง?)
ตัวหนังยังมีเหล่านักแสดงสมทบมากฝีมือที่ทำหน้าที่ในส่วนของตัวเองได้อย่างยอดเยี่ยม ทั้ง Cybil Shepherd, Albert Brooks, Peter Boyle,
Jodie Foster (ในวัย 12 ปีในบทโสเภณีเด็กที่ทำให้เธอได้รับการจับตามองเป็นครั้งแรกและคว้าตำแหน่งผู้เข้าชิงรางวัลออสการ์ตำแหน่งแรกมาให้กับเธอในสาขานักแสดงสมทบหญิง), Harvey Keitel (อีกหนึ่งนักแสดงคู่บุญของ Scorsese), และตัวผู้กำกับอย่าง Martin Scorsese เองในฉากหนึ่งของหนัง
ความเป็น Character study ของหนังมาจากการที่ตัวหนังเล่าเรื่องราวทั้งหมดผ่านมุมมองของ Travis Bickle (ยกเว้นแต่เพียงฉากเดียวคือฉากเต้นรำระหว่างตัวละครของ Jodie Foster กับ Harvey Keitel)
สิ่งที่สำคัญจริงๆจึงไม่ใช่สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นภายในหนัง แต่เป็นสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นภายในตัวตนของ Travis Bickle
ที่นอกจากตัวหนังจะได้บทหนังที่มีความลึกซึ้งของ Schrader และหนึ่งในการแสดงที่ดีที่สุดกับเสียง Voice-over ที่คอยประกาศสิ่งที่อยู่ในห้วงคำนึงของ Travis Bickle ให้คนดูได้รับรู้เป็นระยะๆและช่วยเพิ่มกลิ่นอายฟิล์มนัวร์ให้กับตัวหนังของ De Niro แล้ว
ความสามารถในการกำกับของ Scorsese (โดยเฉพาะความสามารถในการใช้ฉากสโลว์โมชั่นและ Tracking shot อันเป็นที่เลื่องลือ)และดนตรีประกอบของ Bernard Herrmann (นักประพันธ์เพลงชื่อดังที่หลายๆคนคงจะคุ้นหูกับเสียงดนตรีของเขากันเป็นอย่างดี โดยเฉพาะจากในหนัง Thriller Suspense ของผกก. Alfred Hitchcock อย่าง North by Northwest, Vertigo, และ Psycho) ที่สร้างบรรยากาศของความโดดเดี่ยวได้อย่างโรแมนติก ก็เป็นอีกสองสิ่งที่ทำให้ความคิด,ความรู้สึก,และตัวตนของ Travis Bickle ได้รับการถ่ายทอดอย่างเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น
จนกลายเป็นสูตรสำเร็จที่หนัง Character study ทุกเรื่องต้องเอาเป็นแบบอย่าง
สรุป...ผลงานการกำกับระดับท็อปฟอร์มของ Martin Scorsese และผลงานการแสดงระดับท็อปฟอร์มของ Robert De Niro ในหนึ่งในหนัง Character study ที่ดีที่สุดตลอดกาลและเป็นหนึ่งในมาสเตอร์พีซชิ้นที่ดีที่สุด(ถ้าไม่ใช่มาสเตอร์พีซชิ้นที่ดีที่สุด)ของทั้งคู่
กาลเวลากว่า 35 ปีที่ผ่านมา...ไม่ได้ทำให้คุณภาพของหนังเรื่องนี้ลดลงเลยแม้แต่น้อย
9.0/10
Create Date : 15 พฤษภาคม 2554 |
Last Update : 18 พฤษภาคม 2554 16:33:52 น. |
|
1 comments
|
Counter : 6151 Pageviews. |
|
|
|
โดย: ttt IP: 180.180.70.109 วันที่: 22 มีนาคม 2555 เวลา:17:21:07 น. |
|
|
|
| |